Wednesday, 18 September 2024
NEWS

นครราชสีมา พบผู้สูงอายุ 610 ราย ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ด้านผู้ว่านครราชสีมา เร่งหาทางช่วยเหลือด้านกฎหมายและการเยียวยาด่วน

ก่อนหน้านี้มีข่าวพบผู้สูงอายุจำนวน 13 ราย ในพื้นที่ ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ถูกเทศบาลตำบลจอหอ เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ตามคำสั่งของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หลังจากตรวจพบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นได้รับเงินบำนาญพิเศษมาก่อนแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ทางเทศบาลตำบลจอหอ จึงได้มีหนังสือเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง ทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย โดยให้ผ่อนชำระรายเดือน ใน 3 เดือนแรก ในอัตราเงินที่สูง บางรายเดือนละ 18,000 บาท

หลังจากนั้นก็ให้ผ่อนชำระในอัตราลดหย่อนลงมาจนครบ ซึ่งมีผู้สูงอายุ จำนวน 9 รายที่ยอมจ่ายเงินคืน ขณะที่อีก 4 ราย ปฏิเสธการจ่ายคืน เนื่องจากเป็นเงินจำนวนมากไม่มีเงินมาจ่ายคืน ทำให้ทางเทศบาลตำบลจอหอ ต้องส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อพิจารณาคดีทางแพ่ง

ต่อมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งการให้สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด และสำนักงานคลังจังหวัด ทำการสำรวจจำนวนผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนในพื้นที่ทั้ง 32 อำเภอ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยา และช่วยเหลือทางด้านกฎหมายอย่างเร่งด่วน

ล่าสุด วันนี้ (29 มกราคม 2564) นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้เผยว่า ทำการสำรวจในระบบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 32 อำเภอ มีผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเก็บเบี้ยยังชีพคืนทั้งหมดจำนวน 610 ราย ซึ่งตามระเบียบการเรียกเงินคืนนั้นก็มีแนวทางในการผ่อนปรน คือ ผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน โดยหากผ่อนจ่าย หมดไม่เกิน 1 ปี จะไม่เสียดอกเบี้ย หากเกิน 1 ปี จะเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อย 7.5 ต่อปี

ส่วนผู้สูงอายุจำนวน 610 ราย ที่ต้องถูกเรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลังนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบมียอดจำนวนเงินเท่าไร มีจ่ายคืนแล้วจำนวนกี่ราย

อย่างไรก็ตามทางหน่วยงานภาครัฐเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนและพร้อมให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สำหรับประเด็นการเรียกคืนเบี้ยยังชีพย้อนหลังนี้ ทางกรมบัญชีกลางได้ให้ท้องถิ่นทุกพื้นที่ สำรวจตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 ก่อนจะพบผู้สูงได้รับเงินทับซ้อน จึงมีการเรียกเก็บคืน บางรายก็ยอมผ่อนจ่ายตามระเบียบ แต่ก็มีบางรายไม่มีจ่ายคืน จึงทำให้ทางท้องถิ่นจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกเก็บเงินคืน

‘ทิพานัน’ ชี้ หาก "ก้าวไกล" ยื่นญัตติแก้ไขยกเลิก มาตรา 112 เข้าข่ายโทษยุบพรรค เหตุถูกชี้นำ ย้อน ‘ปิยบุตร’ เผด็จการทางความคิด ไล่ไทม์ไลน์ ตอนเป็น ส.ส. ก็ไม่ยกเลิกมาตรา 112 ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ภายหลังจากที่พรรคก้าวไกลมีมติดำเนินการเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 และมี ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคนออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยและจะไม่ออกเสียงลงมติดังกล่าว

และหลังจากนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาฯพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้าก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อว่า [ ส.ส. ต้องเป็น “ผู้แทน” ของราษฎร มิใช่ “พนักงานของรัฐ” ] พร้อมแฮชแท็ก “ยกเลิก112” นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 29 แห่ง พรป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

ซึ่งหากพรรคก้าวไกลและสมาชิกยังคงดำเนินการยื่นญัตติและลงมติเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นการชัดเจน มีผลให้นายปิยบุตรต้องโทษตามมาตรา 108 คือ จำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,00-200,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

"นอกจากนี้ สำหรับพรรคก้าวไกลหากยังคงเดินหน้าดำเนินการยื่นญัตติและลงมติเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายดังกล่าว ก็อาจจะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 28 แห่ง พรป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม” ทำให้ต้องได้รับโทษยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 92(3) และคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 92 วรรคท้าย" น.ส. ทิพานัน กล่าว

น.ส. ทิพานัน กล่าว จากการแสดงออกของนายปิยบุตรเองนั้น แสดงให้เห็นลักษณะของการเผด็จการทางความคิด และเป็นที่น่าเสียดายที่นายปิยบุตรไม่สามารถควบคุมโทสจริตของตนเองได้จนมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการพยายาม ควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้พรรคการเมือง และ ส.ส. ดำเนินการแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ในสภา

น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า นอกจากนี้การชี้นิ้วประณาม ส.ส. ว่า “..ส.ส. ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น หาก ส.ส. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ..” ซึ่งในที่นี้หมายถึงการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามแฮชแท็กในโพสต์ดังกล่าวแล้ว ก็ขอให้นายปิยบุตรย้อนดูการกระทำของตัวเองว่าที่ผ่านมาในขณะที่เป็น ส.ส. นั้น นายปิยบุตรก็เข้าข่ายเป็น ส.ส. ที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเอง และคิดว่า ส.ส. เป็น “อาชีพ” ตามที่ว่าคนอื่นหรือไม่ อยากให้ศึกษาสุภาษิตไทยที่ว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” ด้วย

หากไล่ตามไทม์ไลน์ นายปิยบุตรก็กลับไปกลับมาในประเด็นดังกล่าวและหยุดเคลื่อนไหวแก้ไขยกเลิกกฎหมายเพื่อดำรงความเป็น ส.ส. ของตัวเองไว้ ดังนี้

เมื่อ 17 ม.ค. 2555 นายปิยบุตรในฐานะนักวิชาการได้เข้าร่วมลงชื่อในคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 และเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวมาโดยตลอด

เมื่อ 27 มี.ค. 2561 เมื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อสมัครเป็น ส.ส. ก็ประกาศหยุดเคลื่อนไหว และเคยให้สัมภาษณ์ ว่า “ขอยืนยันว่าจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค”

เมื่อ 8 เม.ย. 2561 ยืนยันอีกครั้งโดยนายธนาธร ว่า หากเป็นนายกฯ ไม่คิดแก้ ม.112 แม้นายปิยบุตรเคยเคลื่อนไหวก็ตาม

ต่อมาเมื่อนายปิยบุตร ไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งแล้ว นายปิยบุตรก็กลับมาเคลื่อนไหวการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอีกและยังพยายามชี้นำ ครอบงำ ส.ส. ให้ผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวด้วย โดยเมื่อ 14 ม.ค. 64 ได้ออกมาโพสต์ข้อความยอมรับเองว่า “กลางเดือนมีนาคม 2561 สมัยผมเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมยอม “กลืนเลือด” ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ ให้พรรคได้ไปต่อ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ เพื่อฝ่าแรงเสียดทานจนไปสู่การลงเลือกตั้งได้ และด้วยหวังว่าเขาจะปรานีให้พรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง”

คำพูดตามไทม์ไลน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่านายปิยบุตร ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ด้วยหรือไม่ น.ส. ทิพานัน กล่าว

รมว.แรงงาน เล็งช่วยผู้ประกันตน "ประกันสังคมมาตรา 33" ประมาณ 11 ล้านคน จ่ายเยียวยา 4 พันบาท 1 เดือน เร่งถกคลังสรุปตัวเลขและงบประมาณ ชงเข้าครม.สัปดาห์หน้า

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานหารือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว เกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือ ผู้ประกันตน ในระบบ ประกันสังคมมาตรา 33 ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ได้รับเงินเยียวยา 3,500 หรือ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเบื้องต้นจะใช้เงื่อนไขเหมือนกับโครงการเราชนะ ว่า ต้องเป็นแรงงานสัญชาติไทย และมีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท

ทั้งนี้ สศช.จะนำรายละเอียดข้อมูลกลับไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อสรุปตัวเลขและงบประมาณ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุป หลังจากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ เบื้องต้นมีจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ประมาณ 11 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณที่ต้องใช้กว่า 40,000 ล้านบาท

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียนประจำวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียนประจำวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564

รมว. คมนาคม ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เร่งเดินหน้าระบบตั๋วร่วมรถไฟฟ้า แบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ คาดใช้ได้เต็มรูปแบบ ม.ค. 65

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 1/2564 วันนี้ (28 ม.ค. 2564) ว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย

1.ระยะสั้น ให้เร่งจัดทำระบบให้บัตรโดยสารที่ประชาชนมีอยู่ในปัจจุบัน สามารถใช้บัตรข้ามระบบได้ ซึ่งเมื่อสามารถใช้บัตรข้ามระบบระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชน และส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระบบสูงขึ้น ทั้งนี้ ให้ รฟม. สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำให้ระบบดังกล่าวแล้วเสร็จโดยเร็ว

2.ระยะยาว มีการพิจารณาความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดทำระบบตั๋วร่วมแบบ Account Based Ticketing (ABT) โดยใช้บัตร EMV Contacless (Europay Mastercard and Visa) มาใช้กับระบบตั๋วร่วม โดย รฟม. มีความพร้อมที่จะร่วมมือกับสถาบันการเงินที่มีระบบ EMV ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารกรุงไทย ที่แจ้งว่ามีความพร้อมที่จะลงทุนในระบ EMV ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ประกอบการมาใช้บริการของธนาคารกรุงไทย สำหรับสายสีม่วง และสายสีน้ำเงิน โดยใน ต.ค. 2564 จะใช้ได้ประมาณ 50% และจะใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน ม.ค. 2565

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุม คนต. ยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม 2 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมองค์กร โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีการออกตั๋วร่วม มาตรฐานเทคโนโลยีระบบงาน มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล มาตรฐานความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และมาตรฐานการดำเนินงานของระบบงาน

และ 2.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการจัดเก็บค่าธรรมเนียม มาตรฐานการจัดสรรรายได้ มาตรฐานอัตราค่าโดยสารในกรณีใช้อัตราค่าโดยสารร่วม และกรอบมาตรฐานค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และการเจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการ

ขณะเดียวกัน ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมบูรณาการความร่วมมือและความต้องการของประชาชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดและการพัฒนาระบบการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง ตามหลักธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับระบบตัวร่วมทั้งหมดที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้พิจารณาถึงการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมพัฒนาระบบตั๋วร่วมได้ รวมถึงการพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติในรูปแบบ M-Flow ตลอดจนดำเนินการกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือน ก.พ. 2564

เปิดมาตรการผ่อนปรนศบค. คลายล็อกโควิด ร้านอาหารกทม.นั่งได้ถึง5ทุ่ม แต่ห้ามดื่มสุราผับบาร์ แต่สถานบริการ โรงเรียน ร้านนวด สนามเด็กเล่น ยังคงปิดต่อไป ผ่อนผันตลาด ตลาดนัด สามารถเปิดได้แต่ต้องจำกัดจำนวนคน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงมติที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ถึงมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ว่า…

ทางสมช.ได้เสนอที่ประชุมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด กำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์ ออกเป็น 5 พื้นที่ ประกอบด้วย 1. พื้นที่เฝ้าระวัง 35 จังหวัด 2. พื้นที่เฝ้าระวังสูง 17 จังหวัด 3. พื้นที่ควบคุม 20 จังหวัด 4. พื้นที่ควบคุมสูงสุด 4 จังหวัด และพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 จังหวัด

“สำหรับจังหวัดสมุทรสาคร ยังคงเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม หรือควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยกลุ่มสถานบริการ โรงเรียน ร้านนวด สนามเด็กเล่น ยังคงให้ปิดต่อไป ส่วนตลาด ตลาดนัด สามารถเปิดได้แต่ต้องจำกัดจำนวนคน และเว้นระยะห่าง ขณะที่ร้านอาหารเปิดได้ถึง 21.00 น. นั่งทานที่ร้านได้ โดยงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ในส่วนของ กทม.และปริมณฑล ยังคงอยู่ในพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และยังคงให้ปิดผับบาร์คาราโอเกะ แต่จะคลายล็อคในส่วนของร้านอาหารให้นั่งรับประทานได้ ถึง เวลา 23.00 น. จากเดิมถึงแค่ 21.00 น. โดยจำกัดจำนวนคนต่อโต๊ะและให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้าน แต่สามารถซื้อกลับได้ดื่มที่บ้านได้” น.พ.ทวีศิลป์ ระบุ

ญี่ปุ่นประกาศพร้อมผลิตวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ถึง 90 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนในประเทศ เมื่อทาง AstraZeneca ได้ยืนยันแล้วว่าเตรียมให้ License กับบริษัทยาญี่ปุ่นสามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ เป็นจำนวน 75% ของยอดจองวัคซีนทั้งหมด

เมื่อทาง AstraZeneca ได้ยืนยันแล้วว่าเตรียมให้ License กับบริษัทยาญี่ปุ่นสามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ เป็นจำนวน 75% ของยอดจองวัคซีนทั้งหมดที่ทางญี่ปุ่นได้ทำสัญญาไว้กับทาง AstraZeneca จำนวน 120 ล้านโดส

รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมที่จะเริ่มแผนการฉีดวัคซีน Covid-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ โดยจะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มบุคลากรแถวหน้าก่อน และจะเริ่มทยอยฉีดให้กับประชาชนทั่วไปได้ในเดือนเมษายน โดยได้สั่งซื้อวัคซีนจากบริษัท AstraZeneca ไปแล้วจำนวน 120 ล้านโดส และจาก Pfizer อีก 75 ล้านโดส ตั้งแต่ปลายปี 2020

แต่เนื่องจากบริษัท AstraZenenca กำลังประสบปัญหาในการผลิตที่อาจทำให้การจัดส่งวัคซีนล่าช้ากว่ากำหนด ทาง AstraZeneca จึงเปลี่ยนเป้าหมาย ให้ License แก่บริษัทยาในญี่ปุ่นผลิตวัคซีนของบริษัทแทนจำนวน 90 ล้านโดส ส่วนที่เหลืออีก 30 ล้านโดส จะเป็นวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานในอังกฤษ

ซึ่งข่าวนี้ได้รับการยืนยันจากนาย คาโต้ คัทสึโนบุ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี หลังจากที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากบริษัท AstraZeneca ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งจะสามารถผลิตวัคซีนได้เองในประเทศ

และทาง AstraZeneca ได้พิจารณาบริษัทยาในญี่ปุ่นหลายแห่ง และมีข่าวออกมาแล้วว่าได้เลือกบริษัท JCR Pharmaceutical ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเฮียวโงะ เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมผลิตวัคซีน 90 ล้านโดสให้กับญี่ปุ่น

สำหรับญี่ปุ่น นี่ถือเป็นข่าวดีที่จะการันตีได้ว่าญี่ปุ่นจะได้วัคซีนตามจำนวนที่ต้องการอย่างเร็วที่สุด เพราะนอกเหนือจากความจำเป็นที่ต้องรีบสกัดการแพร่ระบาด เนื่องด้วยญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มักเป็นกลุ่มมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อ Covid-19 และญี่ปุ่นยังมีภารกิจเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ที่ได้ลงทุนล่วงหน้าไปแล้วถึง 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่จะล้มเลิกไม่ได้เป็นอันขาดนั่นเอง

และนอกจากที่ญี่ปุ่นแล้ว AstraZeneca ยังมีพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป อินเดีย ออสเตรเลีย รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/healthcoronavirus-japan-vaccine/update-2-japan-to-source-most-astrazeneca-vaccines-locally-amid-global-snags-idUSL1N2K306N

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/astrazeneca-produce-90-million-covid-19-vaccine-shots-in-japan-14059478

https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/covid-19-japan-to-locally-produce-astrazeneca-vaccine/2125920

https://www.theguardian.pe.ca/news/world/astrazeneca-to-ask-japans-jcr-pharmaceutical-to-produce-covid-19-vaccine-nikkei-545476/

https://apnews.com/article/eu-oxford-astrazeneca-covid-19-vaccine-d1b45f09b97ce528adad654045c72948

.

‘รมว.แรงงาน’ มอบ ผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่จังหวัดระยอง ติดตามการตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบการ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในวงกว้าง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างผู้ประกันตน มาตรา 33

ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม

จึงได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ตามรัฐบาลกำหนดมาอย่างต่อเนื่อง ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้บูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ

นายสุรชัย ยังกล่าวต่อว่า การตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการเป็นนโยบายของท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ที่จะป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ทำงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมไปถึงร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านบริการต่างๆ อีกทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขในการติดตาม สอบสวนโรค

ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ธุรกิจการท่องเที่ยว และการโรงแรม รวมถึงประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาพื้นที่ในจังหวัดระยองได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการติดเชื้อโควิด - 19 เพราะมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิด - 19 ในทุกมิติ

“การตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในวันนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง และโรงพยาบาลในเครือข่าย ในการเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เชิงรุกให้แก่ผู้ประกันตน มาตรา 33 ประมาณ 530 คน ซึ่งหากพบเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป” นายสุรชัย กล่าวในท้ายสุด

ที่รัฐสภา นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการพิจารณาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3

“พรรคพลังประชารัฐ ยังไม่ได้พิจารณาตัวบุคคลว่าจะส่งใครลงสู้ศึกครั้งนี้ โดยต้องรอประชุมกรรมการบริหารพรรคก่อนซึ่งยังไม่ได้กำหนดว่าจะประชุมเมื่อใดแต่คงเร็วๆ นี้”

‘หมอธีระ’ แนะวิธีปฏิบัติเมื่อเปิดเรียนอีกครั้ง เน้นผู้ปกครองย้ำเด็กถึงอันตรายของโควิด-19 ต้องชินกับการรักษาความสะอาด, เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ ปฏิบัติให้คุ้นเคยจนกลายเป็น New Normal ของทุกคนในครอบครัว

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ถึงการรับมือกับโควิด-19 ในช่วงใกล้เปิดเรียนอีกครั้งให้แก่ผู้ปกครองและเด็กๆ ได้ทราบว่า...

New Normal...New "Me" ของพ่อแม่ลูกเมื่อเปิดเรียน

1. ตื่นเช้ามา เช็คกันสักหน่อยว่าทุกคน"สบายดีไหม?" มีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอบ้างไหม? จมูกดมกลิ่นได้ดี ลิ้นรับรสได้ดีนะ?

ถ้าใครไม่สบาย...ให้อยู่กับบ้าน รับผิดชอบต่อตัวเองครอบครัวและสังคม เท่ห์มาก

2. ย้ำกันเสมอ "ออกจากบ้านมีความเสี่ยงต่อโรค COVID-19" นะ รีบไปรีบกลับ ไม่เถลไถล

3. ทบทวนกันว่า ถ้า"ใช้ห้องน้ำห้องส้วมข้างนอกต้องระวัง" ก็ต้องรักษาความสะอาดดีๆ พ่อแม่และเด็กโตควรใส่หน้ากากเสมอ เด็กเล็กใส่หน้ากากไม่สะดวก ดังนั้นต้องเน้นว่าใช้ห้องน้ำห้องส้วมแล้วต้องรีบไปล้างมือทุกครั้ง

4. แจ้งกันให้ทราบทั่วกันทั้งพ่อแม่ลูก ว่าให้หลีกเลี่ยงการไปใช้ของร่วมกับคนอื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ตะเกียบ โทรศัพท์ ปากกา ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ หรือแม้แต่ขนมอมยิ้มก็ตามแต่

5. เน้นเด็กๆ ว่า "เจอเพื่อนฝูง ทักทายกันได้ตามสมควร แต่ให้สังเกต" ว่าเพื่อนคนไหนที่มีอาการไม่สบาย ไอ จาม ต้องหลีกมาห่างๆ ไม่ไปคลุกคลี และบอกคุณครูให้ช่วยดูแลเพื่อน

6. เตือนเด็กๆ ว่า "อย่าเอามือขยี้ ล้วง แคะ แกะ เกา บริเวณตา จมูก และปาก"

7. "เช็คอาวุธ"ประจำตัวของทุกคนก่อนออกจากบ้าน

• 1) หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ใส่ไว้เสมอเวลาอยู่ข้างนอก

• 2) เจลแอลกอฮอล์แบบพกพา หากลูกๆ ยังเล็ก ไม่สะดวกในการพกหรือใช้ลำบาก ก็เน้นย้ำให้ไปล้างมือบ่อยๆ และล้างทุกครั้งที่ไปจับสิ่งของสาธารณะ

8. ตอนเย็น ไปรับที่โรงเรียน เจอกันพ่อแม่ลูก อย่าเพิ่งดีใจไปกอดหอมกันให้หายคิดถึง

เจอปุ๊บ ทักทายกันก่อนว่า สบายดีไหม? ถ้าดีก็โอเค ถ้าไม่สบายก็ไถ่ถามต่อ และจัดการไปตามระเบียบ

ยัง...อย่าเพิ่งไปกอดหอมกัน ให้คุณพ่อคุณแม่ควักเจลแอลกอฮอล์มาหยดให้ทุกคนล้างมือกันก่อน หรือพากันไปล้างมือที่ห้องน้ำ

จะกอดจะหอมกันได้ เมื่อตอนกลับถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วค่อยทำครับ

เหล่านี้คือ New Normal = New "Me" ที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกควรนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันหลังจากเปิดเรียนนะครับ

อยากให้ทุกคนสุขภาพดี ปลอดภัยจากโรค COVID-19 ครับ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?

'สุริยะ’ เร่งบังคับใช้กฎหมายโรงงานติดตั้งระบบตรวจมลพิษ จากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กำชับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ให้เร่งติดตั้งระบบระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 โดยขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งบังคับใช้กฎหมาย

พร้อมทั้งปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ที่ให้โรงงานประเภทต่างๆ ต้องติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 เพื่อให้สามารถตรวจสอบ ติดตามปริมาณการปลดปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ทันที

สำหรับปัจจุบัน กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ เพื่อขยายขอบเขตการบังคับติดตั้งระบบระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่องทั่วประเทศ คาดว่า จะประกาศใช้ได้ในต้นปี 65 โดยปัจจุบันมีโรงงานเพียง 79 แห่ง หรือ 228 ปล่อง ที่ติดตั้งระบบนี้ เบื้องต้นหากประกาศกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ คาดว่าจะมีโรงงานทั่วประเทศติดตั้งระบบไม่น้อยกว่า 600  แห่ง  จำนวน 1,200 ปล่อง เพิ่มเติมจากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น

คลังพร้อมเปิดลงทะเบียน ‘เราชนะ’ วันแรก 29 ม.ค.นี้ มั่นใจระบบไม่ล่ม ย้ำ ไม่ต้องแย่งกันลงทะเบียน เพราะระบบจะไม่มีการเต็ม สามารถลงทะเบียนได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนถึงวันที่ 12 ก.พ.นี้

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโครงการเราชนะ ว่า กระทรวงการคลัง ได้เตรียมความพร้อมเปิดให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยาโครงการเราชนะ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ผ่านเว็บไซต์เราชนะ วันแรกคือวันที่ 29 ม.ค.64 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป โดยมั่นใจว่าระบบจะไม่ล่มเพราะเว็บไซต์สามารถรองรับการลงทะเบียนได้ 5 แสนรายการต่อวินาที

สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องลงทะเบียนข้อมูลในเว็บไซต์ จะเป็นกลุ่มที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการคนละครึ่ง หรือเราเที่ยวด้วยกันมาก่อน ซึ่งการลงทะเบียนโครงการนี้ กระทรวงการคลังขอแจ้งว่า ไม่ต้องแย่งกันลงทะเบียน เพราะระบบจะไม่มีการเต็ม สามารถลงทะเบียนได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนถึงวันที่ 12 ก.พ.นี้

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งไปแล้ว แต่ยืนยันตัวตนรับสิทธิหลังวันที่ 27 ม.ค.64 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าคน หากต้องการเข้าร่วมโครงการ ต้องมาลงทะเบียนในเว็บไซต์นี้ด้วย ส่วนผู้ที่ยืนยันตัวตนเสร็จไปก่อนแล้ว ระบบจะตรวจสอบคุณสมบัติให้อัตโนมัติและจะแจ้งผลให้ทราบอีกครั้งในวันที่ 5 ก.พ.นี้ รวมถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ก็ไม่ต้องลงทะเบียนและจะได้รับเงินอัตโนมัติไปทันที

พรุ่งนี้ 29 มกราคม 2564 วันแรกของผู้ที่ไม่เคยลงทะเบียนใด ๆ สามารถลงชื่อและข้อมูลเพื่อรับสิทธิ์เยียวยาในโครงการ ‘เราชนะ’ ลองศึกษาขั้นตอนให้มั่นใจ เพื่อที่จะไม่พลาดในการลงทะเบียนวันพรุ่งนี้

ปุกาดๆ!! พรุ่งนี้ 6 โมงเช้า ผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนใด ๆ มาก่อน และต้องการจะลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ในโครงการ ‘เราชนะ’ เพื่อรับเงินเยียวยา 7,000 บาท (2 เดือน) สามารถลงทะเบียนได้แล้วเป็นวันแรก ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะลงอย่างไร หรือกลัวจะลงทะเบียนไม่ถูก มาดูวิธีการง่าย ๆ ตามนี้

และสำหรับผู้ที่ไม่มีมือถือหรือสมาร์ทโฟน ทางรัฐก็ไม่ได้ทิ้งกันนะ กำลังหารือเพื่อหาทางให้กลุ่มคนเหล่านี้ ได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน ไปศึกษาดูได้จากภาพนี้ได้เลย

อัยการนัดฟังคำสั่ง ‘เอกชัย’ กับพวกผิดประทุษร้ายพระราชินีหรือไม่ 25 ก.พ.นี้ ส่วน ‘สมยศ’ กับ ‘หมอลำเเบงค์’ ขึ้นปราศรัยโดนคดี 112 นัดฟังคำสั่ง 9 ก.พ. ชี้ดำเนินคดีเเบบกลั่นแกล้งให้เกิดความลำบาก ถือเป็นการใช้สิทธิกฎหมายไม่สุจริตใจ

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนสน.ดุสิตได้นำตัว นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth), นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ

5 ผู้ต้องหาพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในความผิดฐานประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย ม.215 และกีดขวางการจราจรฯ กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563

โดยภายหลังพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 ได้รับสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเเละนัดฟังคำสั่งในวันที่ 25 ก.พ.64

ขณะเดียวกัน วันนี้ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ทางพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามได้นำนาย สมยศ พฤกษาเกษมสุข เเกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เเละนายปฏิภาณ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ เเนวร่วมกลุ่มราษฎรความเห็นสมควรสั่งฟ้องคดี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

นาย สมยศ กล่าวว่า วันนี้ทางพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงครามได้ประสานนัดหมายเเจ้งว่า จะนำส่งตัวพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องคดีต่อพนักงานอัยการ โดยคดีนี้มีผู้ต้องหาจำนวนมาก เเต่ทราบว่าพนักงานสอบสวนนัดตนกับนายปฏิภาณหรือ หมอลำแบงค์ โดยตนกับหมอลำเเบงค์โดนเเจ้งข้อหาตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 จากการขึ้นเวทีปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.63 ที่ผ่านมา

ซึ่งตนเข้าใจว่าวันนี้พนักงานอัยการอาจจะมีคำสั่งเลื่อนนัดออกไป เนื่องจากตัวผู้ต้องหาไม่ครบ ตนสงสัยว่าทำไมพนักงานสอบสวนเร่งรัดคดีผิดปกติ อีกทั้งคดีนี้เดิมพนักงานสอบสวนเเจ้งข้อหาเดียวคือความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตามมาตรา116 ซึ่งตนก็ถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำ 20 วัน จึงได้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคือ112 ชี้ให้เห็นว่าเป็นการดำเนินคดีเเบบกลั่นเเกล้งให้เกิดความลำบากในการใช้ชีวิต ถือเป็นการใช้สิทธิกฎหมายไม่สุจริตใจ หลายคนได้รับผลกระทบจากการเดินทางมารายงานตัว

ตนจะร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเนื่องจากข้อความที่ปราศรัยเป็นเจตนาที่ดีที่เรากำลังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ การทำคดีนี้จึงไม่ยุติธรรม เรื่องคดี112 รัชกาลที่9 เเละ10 เองก็ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็เป็นคนพูด

พระองค์มีเมตตาไม่ประสงค์จะดำเนินคดีเเล้ววันนี้มาทำคดี จะหมายถึงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะทำให้คดีนี้เป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติเเละให้เกิดการเผชิญหน้าหรือไม่ ตรงนี้ที่อยากขอความเป็นธรรมกับทางสำนักงานอัยการสูงสุด

โดยภายหลังรับสำนวน ทางพนักงานอัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีนายสมยศกับพวกในวันที่ 9 ก.พ. นี้ เวลา 10.00 น.

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียนประจำวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2564

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียนประจำวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2564


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top