Sunday, 15 September 2024
NEWS

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (23 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 198 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,302 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 72ราย รักษาหายเพิ่ม 224 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,448 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,782 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 198 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากสวีเดน 1 ราย ,อินเดีย 1 ราย ,อิตาลี 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย ,อียิปต์ 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,บาห์เรน 4 ราย ,สหราชอาณาจักร 5 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 69 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 111 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 175 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 456 ราย รักษาหายแล้ว 403 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.65 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.81 แสน เสียชีวิต 27,453 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.76 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.33 แสน ราย เสียชีวิต 660 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.37 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.21 ราย เสียชีวิต 3,031 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.1 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.68 แสน ราย เสียชีวิต 10,136 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,250 ราย รักษาหายแล้ว 58,983 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,548 ราย รักษาหายแล้ว1,411 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘บิ๊กป้อม’ สั่งการส่วนราชการและทุกจังหวัด บูรณาการแก้ไขปัญหา PM 2.5 พุ่งเกินมาตรฐาน เร่งจัดชุดเฉพาะกิจ กระจายลงพื้นที่ สำรวจและหยุดสาเหตุหลักจากการเผาในที่โล่งทุกพื้นที่ทันที

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศปิดที่ไม่เอื้อต่อการกระจายตัวของฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นปัจจุบัน ต่อเนื่องไปจนถึง 24 ม.ค.64 ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็กและค่า PM 2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพในหลายพื้นที่ของทุกภาค ยกเว้น ภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคเหนือ และภาคกลาง สาเหตุหลักมาจากการเผาในที่โล่ง

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้ง กทม. ประสานกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยทุกจังหวัดถึงระดับท้องถิ่น ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแผนเฉพาะกิจ เพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองของจังหวัดที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน

โดยให้เร่งจัดชุดเฉพาะกิจ กระจายลงพื้นที่สำรวจและหยุดสาเหตุหลักจากการเผาในที่โล่งที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ทันที โดยเฉพาะพืชผลการเกษตร โดยให้ขอความร่วมมือประชาชนและบังคับใช้กฎหมายควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า พร้อมกันนี้ ให้ประสานกับสาธารณสุขจังหวัด ลงพื้นที่ให้คำแนะนำและช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์สร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดควันในห้วงเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้หากพบเห็นการเผาในที่โล่ง ขอให้แจ้งเบาะแส 1650 โดยระหว่างนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น

กฟฝ. เร่งผลักดันโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร ซึ่งถือเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คาดแล้วเสร็จในเดือนมิ.ย. 2564 พร้อมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของจังหวัด

นายฉัตรชัย มาวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กฟผ. ได้เร่งก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร หรือโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี ขนาดกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์

ซึ่งถือเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ให้ทันตามแผน คาดว่า จะแล้วเสร็จสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามแผนได้ในเดือนมิ.ย. 2564

สำหรับความคืบหน้าของโครงการ ล่าสุดอยู่ที่ 82.04% โดยได้ประกอบและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนสิรินธรชุดแรกแล้วเสร็จเมื่อสิ้นปี 2563 พร้อมเร่งเดินหน้าติดตั้งให้ครบ 7 ชุด เพื่อเตรียมทดสอบระบบไฟฟ้าของโครงการ

โดยโครงการฯ มีขอบเขตพื้นที่ประมาณ 760 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนพื้นที่ผิวน้ำไม่ถึง 1% ของพื้นที่อ่างเก็บน้ำทั้งหมด ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนทุ่นลอยน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ บนพื้นที่ผิวน้ำประมาณ 450 ไร่ แผงโซลาร์เซลล์เป็นชนิดดับเบิลกลาส สามารถทนต่อความชื้นสูงได้ดี ทำให้ไม่มีสิ่งปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ

ทั้งนี้ เมื่อโครงการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว กฟผ.ยังร่วมกับจังหวัดอุบลราชธานี พัฒนาโครงการนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของจังหวัด โดยก่อสร้างเส้นทางเดินชมธรรมชาติ ความยาว 415 เมตร เพื่อให้ประชาชนได้เดินชมความสวยงามของทิวทัศน์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมให้ธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดกลับมาคึกคัก ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย

‘แรมโบ้’ ซัด ‘ธนาธร’ ปลาหมอตายเพราะปาก ยันนายกฯ ไม่ได้พูดถึงวัคซีนพระราชทาน อย่าพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจผิด เพื่อหวังผลทางการเมือง

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุคำว่าวัคซีนพระราชทาน นั้นไม่ได้พูด แต่เป็นคำพูดของนายกฯ ว่า หากนายธนาธรได้ฟังคำพูดของนายกฯที่แถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 พ.ย.63 หลังเป็นประธานในพิธี ลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19

ซึ่งนายกฯระบุตอนหนึ่งว่า “เราต้องมีการเตรียมการภายในประเทศคือ เมื่อรับวัคซีนมาแล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งอันนี้ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย อยู่ในขั้นตอน คือเมื่อรับวัคซีนเข้ามาแล้วจะมีการบรรจุ แจกจ่าย"

นายสุภรณ์ กล่าวว่า ในคำพูดของนายกฯเป็นการพูดถึง การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 เข้ามาเป็นผู้ร่วมผลิตวัคซีนโควิดแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) บริษัทผลิตวัคซีนสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน และไม่ได้บอกว่าเป็นวัคซีนพระราชทานเพื่อจะนำมาฉีดให้กับประชาชน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย มีวัตถุประสงค์ที่อยากจะผลิตยาเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้ใช้ยาที่มีราคาถูกกว่ายาที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยไม่คิดถึงกำไรเลยแม้แต่น้อย ต้องการให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงยาที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดี

นายสุภรณ์ กล่าวว่า การที่นายธนาธรบิดเบือนคำพูดของนายกฯคือสิ่งที่เลวทรามที่สุดไร้จรรยาบรรณความรับผิดชอบ และยังกล้าก้าวล่วงพาดพิงไปถึงสถาบัน เพื่อให้คนสำคัญผิด และยังดูหมิ่น เยี่ยงนี้ พวกผมทนไม่ได้ต้องทำหน้าที่ดำเนินคดีไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป

ไม่ใช่เป็นการเตะตัดขาหรือทำลายเครดิตทางการเมืองของนายธนาธร แต่ทุกอย่างนายธนาธรพูดเองทำเองต้องรับผิดชอบเอง คนประเภทนี้เหมือนสุภาษิต"ปลาหมอตายเพราะปาก" ซึ่งนายธนาธรก็ควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณด้วย ที่ท่านทรงมีเมตตา ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอดจวบจนถึงทุกวันนี้ มากกว่าที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พูดจาบจ้วงสถาบันไม่หยุด เพราะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น

นายสุภรณ์ กล่าวว่า การที่นายธนาธรออกมาพูดเรื่องวัคซีนพระราชทาน ตนเองเชื่อว่านายธนาธรได้ฟังคำพูดของนายกฯอย่างละเอียดแล้ว และทราบดีว่านายกฯ ไม่ได้พูดถึงวัคซีนพระราชทาน แต่นายธนาธรมีความพยายามที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจในตัวนายกฯและรัฐบาลผิดๆ เพื่อหวังผลทางการเมือง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน การที่ตนและพวกไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายธนาธร มาตรา 112 จึงเป็นเรื่องที่ทำถูกต้องแล้ว เพราะคนประเภทนี้ต้องได้รับกรรมตามที่ทำไว้

"ในสมองวัน ๆ มีแต่ความอาฆาตแค้น เพราะไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่เคยมีจิตสำนึกว่า ครอบครัวนายธนาธรร่ำรวยบนผืนแผ่นดินไทย แทนที่จะช่วยกันตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตรงข้ามมีแต่จะสร้างปัญหาความแตกแยกวุ่นวายให้เกิดขึ้นตลอดเวลา พยายามที่จะยุยงให้คนออกมาทำลายสถาบัน นี่คือสิ่งที่คนไทยเกลียดที่สุด สวรรค์มีตา กรรมจะตามสนองคนอย่างนายธนาธรอย่างแน่นอน" นายสุภรณ์ กล่าว

‘รมว.แรงงาน’ แจงชัด 'หมอบูรณ์' กรณีขอเงินชราภาพคืน ยันเจ้าตัวเป็นอนุกรรมการด้วย วอนช่วยสื่อสารให้คนในกลุ่มเข้าใจความคืบหน้า ขณะนี้ สปส.กำลังดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมาย ซึ่งมีระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจน

ที่ห้องประชุมกลุ่มงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ น.สพ.บูรณ์ อารยพล แกนนำกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน นำตัวแทนกลุ่มเข้าพบ ยื่นข้อเรียกร้องให้คืนเงินสมทบชราภาพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนจากผลกระทบโควิด-19 ว่า

ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ใช้แรงงานและผู้ประกันตน ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ให้สามารถนำเงินกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ได้บางส่วน ในเรื่องนี้ ผมจะขอกล่าวว่า ในเรื่องที่จะนำเงินชราภาพออกมาช่วยเหลือ ผู้ประกันตนบางส่วนก่อนนั้น นโยบายรัฐบาล โดย ท่าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการกำชับมาที่ผมตั้งแต่รับตำแหน่งแรก ๆ แล้ว

และผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการสั่งการให้ สำนักงานประกันสังคม รีบไปดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากข้อเรียกร้องกรณีผู้ประกันตนเรียกร้องให้สามารถนำเงินกองทุนประกันสังคม (กองทุนชราภาพ) ออกมาใช้บางส่วน และเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล การแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ประกันตนดังกล่าวข้างต้น ความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้ สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เป็นเรื่องเร่งด่วนทันที เพื่อหาแนวทางดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกันตน

โดยคณะกรรมการประกันสังคมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด (เฉพาะกิจ) โดยแต่งตั้งให้ น.สพ.บูรณ์ อารยพล หรือ 'หมอบูรณ์' ร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย และมีการประชุมติดตามรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามขั้นตอนของกรอบกฎหมายมาโดยตลอด

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการประชุมหลายครั้งและได้พิจารณาศึกษาแนวทางการช่วยเหลือใน 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ส่วนในระยะยาว สำนักงานประกันสังคมจะต้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถนำเงินกองทุนชราภาพของผู้ประกันตนมาใช้บางส่วนก่อนกำหนดได้ ภายใต้กรอบขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งในขั้นตอนของสำนักงานประกันสังคม ขั้นตอนของกระทรวงแรงงาน และขั้นตอนของคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีระยะเวลาที่ชัดเจน

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้ประชุมคณะทำงานดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นแนวทางในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา และจะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ต่อไป

"ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน โดยท่านได้กำชับให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงมาติดตามปัญหาด้วยตนเอง เพื่อดูแลพี่น้องแรงงานให้เหมือนคนครอบครัว

การที่หมอบูรณ์ แกนนำกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน ยื่นข้อเรียกร้องให้คืนเงินสมทบชราภาพเพื่อนำเงินบางส่วนมาใช้นั้น ยืนยัน ว่า ได้ติดตามเร่งรัดการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคมมาอย่างใกล้ชิด แต่ไม่เข้าใจว่า'หมอบูรณ์' ซึ่งก็ร่วมเป็นอนุกรรมการศึกษาข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด (เฉพาะกิจ) ด้วย เข้าร่วมประชุมทุกครั้ง รู้ขั้นตอนการดำเนินงานทุกอย่างแต่ทำไมไม่สื่อสารกับเพื่อนสมาชิก กลับเป็นแกนนำ นำเพื่อนสมาชิกไปเที่ยวเรียกร้องตามที่ต่างๆ

จึงขอให้หมอบูรณ์ช่วยนำความคืบหน้าจากที่ประชุมที่ตนเป็นคณะทำงานอยู่ไปสื่อสารให้เพื่อนในกลุ่มได้รับรู้ถึงขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงานประกันสังคมภายใต้กฎหมายซึ่งมีกรอบของระยะเวลาที่ชัดเจนอยู่แล้ว" นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

‘นายกรัฐมนตรี’ รับทราบข้อมูลประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสเรื่องแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน และกิจกรรมใดๆ ที่จะสุ่มเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผ่าน 1111 ทั้ง 5 ช่องทางแล้ว เป็นจำนวน 237 เรื่อง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับทราบข้อมูลที่ประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส เรื่องแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน และกิจกรรมใดๆ ที่จะสุ่มเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผ่าน 1111 ทั้ง 5 ช่องทางแล้วเป็นจำนวนถึง 237 เรื่อง

ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงานการรับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือปล่อยปละละเว้นการกระทำผิดกฎหมาย บ่อน ค้าประเวณี แรงงานผิดกฎหมาย รวมทั้งเรื่องราวร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 ผ่านทั้ง 5 ช่องทาง 1111 ได้แก่

1) สายด่วน 1111

2) ตู้ ปณ. 1111 ทำเนียบรัฐบาล

3) เว็บไซต์ www.1111.go.th

4) แอปพลเคชัน PSC1111

5 ) จุดบริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล

ตั้งแต่วันที่ 7 -22 มกราคม 2564 จำนวน 32,245 เรื่อง แบ่งเป็นเบาะแสแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย 25 เรื่อง เบาะแสบ่อนการพนัน 132 เรื่อง เบาะแสการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฯ 80 เรื่อง ส่วนอีกจำนวน 32,008 เรื่องนั้น เป็นการที่ประชาชนได้แจ้งเรื่องร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ รวมถึงสอบถามข้อมูล เสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะทั่วไปเกี่ยวกับโควิด-19

โดยขอให้ประชาชนผู้ให้ข้อมูล/แจ้งเบาะแส วางใจและมั่นใจว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส โดยจะปกปิดชื่อผู้แจ้ง กำหนดเป็นเรื่องลับ ไม่ให้ผู้แจ้งต้องได้รับภัยจากการแจ้งเบาะแสหรือการให้ข้อมูล

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงประสิทธิภาพกระบวนการส่งข้อมูลเบาะแส โดยให้แจ้งข้อมูลและเบาะแสการเข้าเมืองผิดกฎหมาย แรงงานผิดกฎหมาย ไปยังคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีการเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ส่วนข้อมูลและเบาะแสเกี่ยวกับบ่อนการพนันให้แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่เล่นการพนันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในส่วนข้อมูลการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 9 พ.ร.บ. ฉุกเฉินฯ จะส่งไปยังส่วนศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคง (ศปม.) ซึ่งมีกองบัญชาการทหารสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยปฏิบัติ รวมทั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ให้รายงานผลการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบในทุกระยะด้วย

วาระการออมแห่งชาติเดินหน้าฉลุย นายกชื่นชมทุกฝ่ายร่วมมือ ยอดสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ แตะ 2.4 ล้านคน พบอาชีพเกษตรสนใจสมัครสูงสุด

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ ผนวกกับเป้าหมายร้อยละ60 ของประชากรวัยทำงานเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณ การส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมอย่างเป็นระบบตั้งแต่ในวัยเยาว์ และในกลุ่มผู้มีอาชีพอิสระจึงเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และได้ชื่นชมผลงานการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว เพราะประสบความสำเร็จอย่างมาก

ทั้งนี้ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้เป็นหน่วยงานหลักที่ส่งเสริมการออมในกลุ่มผู้ฝากรายย่อย โดยรัฐออกเงินสมทบ 50%-100% ตามจำนวนเงินฝากและช่วงอายุของสมาชิก เริ่มออมตั้งแต่ 50 บาทต่อเดือน จำนวนสมาชิกกอช.นับจากปี 59 จนถึงสิ้นปี 63 มีเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 4 แสนคน เป็นมากกว่า 2.4 ล้านคน อาชีพที่สนใจสมัครสูงสุดคือ อาชีพเกษตร 48% ผู้ประกอบอาชีพอิสระ 31% อาชีพค้าขาย 6%

นอกจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น ในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถสมัครสมาชิกได้ที่อำเภอ คลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช.ประจำหมู่บ้าน ทางกอช.ยังจับมือกับธนาคารออมสินทำสมุดเงินออมให้กับสมาชิก เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการอัพเดทความเคลื่อนไหวของเงินออม ซึ่งสมาชิกสามารถติดต่อขอรับสมุดเงินออมสะสม (Passbook) ได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ

มากไปกว่านั้น สำหรับกลุ่มเป้าหมายเยาวชนเพื่อสร้างนิสัยการออมและรู้จักวางแผนการเงินตั้งแต่วัยเรียน กอช.ได้ลงนามความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งขณะนี้ ได้นำร่องกับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว จำนวน 119 โรงเรียน และมีนักเรียนนักศึกษาเป็นสมาชิก ร้อยละ 6 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อจบการศึกษาแล้วนักเรียนสามารถออมเงินต่อได้ และสามารถนำเงินออมไปลดหย่อนภาษีได้เมื่อเข้าทำงาน

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การแพร่ระบาดของโควิด19 ทำให้เราตระหนักว่าการมีเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉินเป็นเรื่องจำเป็นมาก การสร้างนิสัยการออมและการมีทักษะการวางแผนการเงินจึงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความใส่ใจ และอยากให้ประชาชนมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องนี้ มากไปกว่านั้น สำหรับสมาชิกกอช. ที่ในช่วงนี้ไม่สามารถส่งเงินออมอย่างต่อเนื่องได้ ทางกอช.ได้ยืนยันว่า สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงสภาพเดิม อย่างไรก็ตาม ควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพื่อรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก

‘ทิพานัน’ อบรมโฆษกเพื่อไทย อย่านั่งเทียนมโนดิสเครดิต ‘บิ๊กตู่’ ยันนายกฯไม่รวบอำนาจศบค.- มีรมต. ทุกกระทรวง และรับฟังรอบด้าน ชี้แนวโน้มรัฐบาลคุมโควิดดีขึ้น ยันไทยไม่กลายเป็นประเทศยากจน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่าผูกขาดคำสั่งการใน ศบค.ไว้เพียงผู้เดียวว่า

เป็นการแสดงความเห็นของนักการเมือง ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริง ไม่ใช่การมโน เนื่องจากโครงสร้างของศบค.นั้น มีรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงร่วมอยู่ด้วย จะผูกขาดได้อย่างไร ที่สำคัญ ศบค. ยังกระจายอำนาจในการตัดสินใจ จากประกาศคำสั่งนายกรัฐมตรี 39/2563 ได้มีการปรับปรุงเพิ่มศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าศูนย์ เพื่อช่วยในการบริหารจัดการ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมพื้นที่จังหวัดของตัวเอง มีอำนาจสั่งการต่างๆในพื้นที่คล่องตัวขึ้น

จะเห็นได้ว่า การดำรงตำแหน่ง ผอ.ศบค.ของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปเพื่อความคล่องตัว เนื่องจากนายกฯมีอำนาจสูงสุด สามารถตัดสินใจในเรื่องเร่งด่วน ฉุกเฉินได้ ซึ่งเป็นผลดีกับคนทำงาน ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 เริ่มทรงตัว ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 300 กว่ารายบวกลบ จึงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เห็นได้จากการที่กรุงเทพมหานคร เริ่มผ่อนปรนมาตรการใน 13 กิจการและกิจกรรมแล้ว

"โฆษกพรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรนั่งเทียนมโนสร้างข่าวเพื่อดิสเครดิตพล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่ตรวจสอบข้อมูล หรือเห็นว่าแนวโน้มการจัดการโควิดเริ่มดีขึ้น จึงกังวลว่า จะถูกประชาชนลืม อาจต้องสร้างข่าวขึ้นมา การจะทำให้ประชาชนจดจำ คือผลงานที่ทำ นักการเมืองควรทุ่มเทให้ความช่วยเหลือประชาชนมากกว่า ใช้วาทะกรรมป้ายสี" น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมาของพล.อ.ประยุทธ์ ยังรับฟังความเห็นรอบด้าน เห็นได้จากการรับฟังข้อเรียกร้องของสมาคมภัตตาคารไทย ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างมาตรการที่เข้มข้นกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับมาตรการในการช่วยเหลือต่างๆ กำลังเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจไทย

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักชำระหนี้ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการพักชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ย เงินกู้ลูกค้า ที่ได้รับผลกระทบ โครงการ "ชำระดีมีคืน" และการลดภาระหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อีกทั้งโครงการ "เราชนะ" ที่จะให้ความช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน 3,500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 2 เดือนคือ มกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเมื่อเม็ดเงินกระจายลงไปก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปได้ นี่คือข้อมูลเบื้องต้น ที่โฆษกพรรคเพื่อไทยควรหาข้อมูลก่อนวิจารณ์

"เราไม่ไปสู่ประเทศที่ยากจนอย่างที่โฆษกพรรคเพื่อไทยกังวลอย่างแน่นอน ขนาดเราต้องสูญเสียงบประมาณไปมหาศาลหลายแสนล้านกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ประเทศไทยเรายังแข็งแกร่ง และประเทศไทยเราไม่จำเป็นต้องเดินตามชาติใด เพราะเราเคยชนะสงครามโควิดมาแล้วในรอบแรก จนเป็นตัวอย่างให้ประเทศทั่วโลกให้การยอมรับ และเชื่อมั่นว่าเราจะชนะอีกรอบ "น.ส.ทิพานัน กล่าว

‘โฆษกเพื่อไทย’ เปรียบ ‘บิ๊กตู่’ อยู่ 7 ปี ประสิทธิภาพการทำงานต่ำกว่า ‘ไบเดน’ ที่ทำงาน 1 วัน เชื่อหากวิสัยทัศน์ผู้นำไม่มี ประเทศไทยจะพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศยากจน

นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดน เพียงในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง นายไบเดนได้เซ็นคำสั่งพิเศษ 10 ฉบับ เพื่อรับมือกับการจัดการโรคโควิด-19 โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนเทียบเท่ากับแผนรับมือสถานการณ์ในภาวะสงคราม

สิ่งที่ไบเดนให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกคือการเร่งหาวัคซีน และการเยียวยาความเดือดร้อนให้ประชากรในประเทศ  ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งติดเชื้อโควิดครบรอบ 1 ปี  สิ่งที่ได้เห็นจากรัฐบาลคือการตั้งคณะทำงานเกือบ 10 ชุด สวนทางกับคณะทำงานแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ระดับโลกจะมอบอำนาจให้ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขดูแล

แต่ของไทยทำงานข้ามหัวรัฐมนตรี ไปรายงานและขออนุมัติโดยตรงที่พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผูกขาดคำสั่งการไว้เพียงผู้เดียวในฐานะหัวหน้า ศบค. ซ้ำยังปล่อยให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงซึ่งเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดระลอก 2 มาควบคุมสถานการณ์และออกมาตรการ โครงสร้างแบบนี้ต่อให้มีนายกรัฐมนตรีเป็นร้อยคนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 

นอกจากนี้ในด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังล้มเหลว  เวลานี้ธนาคารพาณิชย์ทยอยประกาศผลประกอบการ เกือบทุกแห่ง 'กำไรลดลง'​ แต่แบงค์ยังคงมีกำไรเพียงแค่ลดลงจากที่เคยได้  แต่ประชาชนและเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกำลังจะอดตาย พล.อ. ประยุทธ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทำอะไรได้บ้างนอกจากให้กู้ ขณะที่นายไบเดนประกาศพักหนี้-ดอกเบี้ย 3 เดือน  ทั้งหมดอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองประชาชนเป็นนาย ไม่ใช่ผู้รับใช้

"ผู้นำไทยด้อยความสามารถ ทำทุกอย่างสวนทางผู้นำโลก หากยังคงทำหน้าที่ต่อไปประเทศไทยจะหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศยากจนอย่างเต็มตัว แล้วอาจจะกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาในที่สุด" นางสาวอรุณี กล่าว

‘เทพไท’ ยัน พรรคประชาธิปัตย์ส่งสมัครผู้ว่าฯ กทม.ชัวร์ เรียกร้องทุกพรรค ส่งผู้สมัคร ดีกว่าลงสมัครในนามกลุ่มหรือตัวบุคคล หวั่นเกิดความผิดพลาดในการบริหาร จะไม่มีองค์กรใดแสดงความรับผิดชอบ

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ความคืบหน้าการเตรียมยื่นข้อเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีมติส่งผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในนามพรรคว่า

จากการที่ตนได้แสดงความเห็น เรื่องการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และได้เสนอรายชื่อผู้เหมาะสมจำนวน 4 คน คือนายองอาจ คล้ามไพบูลย์,ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์,นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ และนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ปรากฎว่ามีเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่สนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์ ส่งผู้สมัครลงแข่งขันในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ด้วย

ซึ่งในที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา(19 ม.ค.) ตนได้ลุกขึ้นวิเคราะห์สถานการณ์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ให้ที่ประชุมได้รับฟัง และขอความชัดเจนจากคณะกรรมการบริหารพรรคในเรื่องนี้ ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวยืนยันกับที่ประชุมว่า พรรคมีจุดยืนอย่างชัดเจน และพูดมาหลายครั้งแล้วว่า จะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน

ขณะนี้ได้มีรายชื่อผู้เหมาะสมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอจังหวะการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเปิดตัวในวันเปิดรับสมัครเลือกตั้งเลย รวมถึงผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(สก.) ก็มีตัวผู้สมัครครบทุกเขตแล้ว ซึ่งได้เตรียมความพร้อม และทำงานประสานกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาโดยตลอด

ส่วนตัวสนับสนุนให้พรรคการเมืองทุกพรรคส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. เพื่อเป็นการสนับสนุนการเมืองระดับท้องถิ่นขนาดใหญ่ ให้มีผู้บริหารที่สังกัดพรรคการเมือง เพราะสามารถนำนโยบายของพรรคไปปฏิบัติได้ และพรรคการเมืองจะต้องรับผิดชอบ ต่อการบริหารงานของผู้ว่าฯกทม. ในสังกัดพรรคด้วย เพราะถ้าหากลงสมัครในนามกลุ่ม หรือตัวบุคคล ถ้าหากเกิดความผิดพลาดในการบริหาร ก็จะไม่มีองค์กรใดแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้ประชาชนคนกรุงเทพฯ ไม่สามารถทวงถามความรับผิดชอบทางการเมืองได้

ตนจึงขอเรียนต่อสมาชิกพรรค ผู้สนับสนุนพรรค พี่น้องประชาชนทั่วไป ให้มีความสบายใจ และมั่นใจได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคอย่างแน่นอน ขอให้เตรียมพร้อมหาเสียงให้กับพรรคได้ จะไม่มีการหลีกทางให้แก่ บุคคล กลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองใด จนเกิดภาพการฮั้วทางการเมืองอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม พรรคจะรักษาสัจจะที่ให้กับประชาชน ตามคำขวัญของพรรคที่มีมา 75 ปี คือ “สัจจัง เว อมตา วาจา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกแนวปฏิบัติให้องค์กรแรงงานดำเนินกิจกรรมที่มีความจำเป็น อาทิ การจัดประชุมใหญ่ การเลือกตั้งคณะกรรมการ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับ และไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินของการแพร่ระบาด COVID-19

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า องค์กรแรงงาน เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 อันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อสร้างสรรค์ความสัมพันธ์อันดี ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจ ร่วมมือ ร่วมแรง แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน สภาองค์กรลูกจ้าง เป็นต้น ซึ่งจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และจัดทำข้อบังคับขององค์กรแรงงาน โดยมีกิจกรรมที่จำเป็นต้องดำเนินการ อาทิ การจัดประชุมใหญ่ การเลือกตั้งคณะกรรมการแทนคณะกรรมการที่พ้นวาระ

ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID–19 ระลอกใหม่อาจจะเป็นอุปสรรคในการดำเนินการในกิจกรรมข้างต้นได้ ด้วยมีประกาศห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ห้ามการจัดกิจกรรมในเขตพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้โดยง่าย เช่น การประชุม การสัมมนา

ดังนั้น กรมจึงได้ออกแนวปฏิบัติองค์กรแรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ในสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น เพื่อให้องค์กรแรงงานดำเนินกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน สอดคล้องกับข้อบังคับ และไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวปฏิบัติดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.) องค์กรแรงงานที่ดำเนินการจัดประชุมใหญ่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดโดยมีมาตรการทางสาธารณสุขรองรับ และการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรค หรืออาจใช้วิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (กรณีข้อบังคับองค์กรแรงงานกำหนดให้กระทำได้)

2.) กรณีองค์กรแรงงานไม่อาจจัดประชุมใหญ่ได้ให้แจ้งกำหนดการจัดประชุมใหญ่ให้นายทะเบียนทราบล่วงหน้า โดยมิชักช้าเมื่อสามารถดำเนินการได้หรือสถานการณ์ผ่อนคลาย และประกาศแจ้งให้สมาชิกองค์กรแรงงานทราบด้วย

3.) คณะกรรมการองค์กรแรงงาน ที่พ้นวาระการดำรงตำแหน่งในระหว่างที่ยังไม่อาจดำเนินการจัดประชุมใหญ่ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการทดแทนให้ผู้ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนพ้นวาระปฏิบัติหน้าที่แทน เพื่อจัดให้มีการประชุมใหญ่และดำเนินกิจการขององค์กรแรงงานเท่าที่จำเป็นตามที่กำหนดในข้อบังคับเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) สิ้นสุดลง หรือภาครัฐยกเลิกข้อกำหนดการห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคแล้ว องค์กรแรงงานควรเร่งรัดดำเนินการจัดประชุมใหญ่ตามข้อบังคับ ต่อไป

‘คมนาคม’ เคาะแล้ว ‘ทางด่วนภูเก็ต’ ให้บูรณาการ 3 เส้นทาง เป็นโครงการเดียวแบบ ‘PPP’ พร้อมมอบกทพ. เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบดำเนินการ

‘รมว.คมนาคม’ เคาะบูรณาการ 3 โครงการสร้างทางด่วนในจังหวัดภูเก็ต กะทู้-ป่าตอง, เมืองใหม่-เกาะแก้ว และเกาะแก้ว-กะทู้ รวมเป็นโครงการเดียวกัน แบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) มอบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เจ้าภาพหลักดำเนินการ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมโครงการบูรณาการทางพิเศษ และทางหลวงว่า ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินการบูรณาการและการร่วมมือ เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษและทางหลวงใน จ.ภูเก็ต ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และกรมทางหลวง(ทล.)

โดยที่ประชุมมีมติให้นำ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการทางพิเศษ(ทางด่วน) สายกะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาทของ กทพ., 2.โครงการโครงข่ายทางหลวงแนวใหม่ สายเมืองใหม่-เกาะแก้ว ระยะทาง 22.4 กม. วงเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ของ ทล. และ 3.โครงการเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างโครงการที่ 1 และ 2 (Missing Link) บริเวณเกาะแก้ว-กะทู้ ระยะทางประมาณ 12 กม. มารวมเป็นโครงการเดียวกันในรูปแบบของทางด่วน

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้หน่วยงานทั้งสองได้มีประการประชุมหารือร่วมกันเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2564 และเสนอให้มีการบูรณาการเส้นทางทั้งสามให้เป็นเส้นทางเดียว โดยให้ กทพ. เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดำเนินการ เบื้องต้นรูปแบบการลงทุนโครงการจะเป็นแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) โดยได้มอบให้ กทพ. ไปศึกษารายละเอียด และปรับรูปแบบการลงทุน เพราะโครงการสายเมืองใหม่-เกาะแก้ว เดิมจะใช้งบแผ่นดินดำเนินการ พร้อมกันนี้ให้จัดทำแผนปฏิบัติการ และกรอบเวลาต่างๆ ให้ชัดเจน โดยให้เวลา 1 เดือน และกลับมานำเสนอที่ประชุมพิจารณาต่อไป

นอกจากนี้ได้เน้นย้ำไปว่า โครงการดังกล่าวอาจจะแบ่งดำเนินการเป็นตอน ไม่ต้องรอทำทีเดียวพร้อมกันทั้ง 3 ตอน หากตอนใดพร้อมก่อนก็ให้เริ่มดำเนินการก่อน เช่น โครงการทางด่วนกะทู้-ป่าตอง มีความพร้อมที่สุด เตรียมเสนอคณะกรรมการ PPP และครม.เห็นชอบโครงการแล้ว ก็ให้ดำเนินการได้เลย ส่วนตอนที่เหลือก็ให้เร่งรัดดำเนินการให้สามารถก่อสร้างได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากทำเสร็จแค่บางตอนจะแก้ปัญหาการจราจรไม่ได้

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่าที่ประชุมยังได้ติดตามโครงการข่ายทางหลวงพิเศษฯ และทางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง ประกอบด้วย 5 โครงการ แบ่งเป็น ทล. 4 โครงการ และ กทพ. 1 โครงการ โดยในส่วนของ ทล. ได้แก่

1.) โครงการทางหลวงพิเศษ(มอเตอร์เวย์) M82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทาง 15 กม. คาดว่าจะเสนอ ครม. และเปิดประกวดราคาได้ไม่เกินกลางปี 64,

2.) โครงการมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน คาดว่าการศึกษารูปแบบการลงทุนจะแล้วเสร็จภายในปี 64, 3.โครงการมอเตอร์เวย์ M7 สายศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ คาดว่าจะสรุปผลการออกแบบ และรูปแบบการลงทุนได้ปี 64 และ 4.โครงการมอเตอร์เวย์ สายวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง คาดว่าจะสรุปรูปแบบการลงทุนได้ในปี 64

ส่วนโครงการของ กทพ. ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี มีความคืบหน้าประมาณ 12% อยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียดโครงการ และอยู่ระหว่างเตรียมจัดส่งรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) พิจารณาต่อไป

‘รมว.แรงงาน’ เผย จ้างล่าม/ผู้ประสานงานด้านภาษา ปฏิบัติงานประจำศูนย์ประสานแรงงานประมง 20 จังหวัด สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการสื่อสารให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจ รับรู้ ขอรับคำปรึกษา รวมถึงการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มาโดยตลอด จนได้รับการปรับสถานะ จัดอันดับอยู่ในกลุ่มที่ 2(Tier 2) ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดยปรับขึ้นจากเดิมในกลุ่ม Tier 2 Watch list เมื่อปี 2560

“กระทรวงแรงงาน ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีการค้าโลก ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของประเทศไทย ด้วยการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงอย่างเป็นระบบ ลดปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง เพื่อเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง ส่งเสริมให้มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม แรงงานได้รับค่าจ้างและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รวมทั้งการสร้างมาตรฐานการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในการขาดแคลนแรงงาน เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ให้ได้ในปี 2564” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน มีเป้าหมายจ้างเจ้าหน้าที่ตำแหน่งล่าม/ผู้ประสานงานด้านภาษา จำนวน 20 คน เพื่อทำหน้าที่สื่อสารและปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ประสานแรงงานประมง มีระยะเวลาการจ้าง 9 เดือน แบ่งเป็น ล่าม(คนไทย) จำนวน 9 คน ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 9 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ตราด สงขลา ระนอง สมุทรปราการ จันทบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช

และเป็นผู้ประสานงานด้านภาษา (คนต่างด้าว) จำนวน 11 คน ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สตูล ฉะเชิงเทรา กระบี่ ตรัง นราธิวาส ชุมพร ชลบุรี สมุทรสงคราม พังงา และปัตตานี

นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า กรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ โอกาสในการประกอบอาชีพและวิชาชีพของคนไทย ซึ่งในส่วนแรงงานประมงนั้น ประเทศไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงานเรื่อยมา เนื่องจากเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำ เพราะไม่ต้องการทำงาน 3 ประเภท ที่เรียกว่างานกลุ่ม 3D ได้แก่ Difficult (งานลำบาก) Dirty (งานสกปรก) และ Dangerous (งานอันตราย) เช่น ก่อสร้าง เกษตร ปศุสัตว์ โรงสี โรงน้ำแข็ง เหมืองแร่ งานใต้น้ำ และงานประมง จึงจำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมาทดแทน

โดยกลุ่มแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ส่วนใหญ่ใช้เฉพาะภาษาประจำท้องถิ่นของตนเอง เจ้าหน้าที่ประสานงานด้านภาษา /ล่ามเพื่อการสื่อสาร จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการสื่อสารให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจ รับรู้ ขอรับคำปรึกษา การแนะนำ อบรมชี้แจง การยื่นคำขอใบอนุญาตทำงาน การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และบริการของภาครัฐ รวมถึงการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง ในกรณีผู้ที่อาจเข้าข่ายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนต่างด้าวเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง มีค่าจ้าง มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) มีการออกใบอนุญาตทำงาน 34,914 คน อบรมนายจ้าง/ลูกจ้าง 3,810 คน ให้คำปรึกษา 85,108 คน รับแจ้งการทำงาน 26,201 คน

กองทัพบก ส่งกำลังพลลงพื้นที่พ่นฆ่าเชื้อโควิด ทำความสะอาดโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมรับการเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 ก.พ. 64

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ได้ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการล้างสิ่งปนเปื้อน พร้อมอุปกรณ์การฉีดพ่นสารเคมีและยานพาหนะ เข้าทำความสะอาดโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งอยู่ระหว่างปิดและปรับการเรียนเป็นรูปแบบออนไลน์ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการและมาตรการ ศบค.

โดยมีกำหนดเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 ก.พ.64 ซึ่งชุดปฏิบัติการฯ ได้ดำเนินการครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 ม.ค.64 ณ โรงเรียนสารวิทยา เขตจตุจักร และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.64 เพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในด้านสถานที่ ปรับสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนการสอน ให้มีความสะอาด ปลอดภัย ลดการสะสมของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค สร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับนักเรียน ครูผู้สอนและประชาชน

ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าว เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีข้อห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบให้หน่วยทหารทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลและสนับสนุนภาคส่วนต่างๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์มาปรับใช้อย่างเหมาะสม อาทิ ภารกิจการสนับสนุนรัฐบาลจัดตั้งสถานกักกันโรคของรัฐ, การสกัดกั้นคัดกรองตามแนวชายแดน, การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน, การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์, บริการ Army Delivery จัดส่งอาหาร ตัดผมและซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ที่บ้าน, การซื้อพืชผลจากเกษตรกรและสนับสนุนร้านค้าชุมชนเพื่อนำมาประกอบเลี้ยงให้กับกำลังพลภายในหน่วย รวมทั้งการสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ให้กับส่วนราชการแต่ละจังหวัดในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งกองทัพบกพร้อมปฏิบัติทุกภารกิจ ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนข้ามผ่านวิกฤติ ห่างไกลจากโควิด-19 ไปด้วยกัน

ททท. สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว พบส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐออกมาตรการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และสนับสนุนเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน รองลงมาคือพักชำระหนี้ และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งสถานที่พัก บริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร บริการรถเช่า และบริการรถสาธารณะ และอื่นๆ รวม 1,884 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10-12 ม.ค 64 ทางออนไลน์ ถึงแนวทางการช่วยเหลือที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องการจากภาครัฐ

โดยส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐออกมาตรการมาลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และสนับสนุนเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน เพื่อรักษาการจ้างงานมากที่สุด เพราะเห็นว่าเรื่องนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ กับการประคองธุรกิจให้อยู่รอดไปได้

ส่วนความต้องการรองลงมา คือ ขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาพักชำระหนี้ โดยจำนวนเดือนที่ต้องการขอพักหนี้มีแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่กว่า 63% ขอให้พักชำระหนี้ 19-24 เดือน อีก 24% ขอพักชำระหนี้ 7-12 เดือน ส่วน 8% ขอพักชำระหนี้ 1-6 เดือน และสุดท้ายอีก 3% ขอพักชำระหนี้ 13-18 เดือน

พร้อมกันนี้ยังขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมทั้งพักชำระเงินต้น ส่วนใหญ่ 36% ต้องการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่อัตรา 1-1.99% รองลงมา 24% ต้องการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่อัตรา 0-0.5% และอีก 21% ต้องการชำระดอกเบี้ยอยู่ที่อัตรา 2-2.99% เป็นต้น

ขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจยังเสนอให้ช่วยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน โดยส่วนใหญ่ต้องการวงเงินกู้อยู่ที่ 1-5 ล้านบาท มากที่สุด รองลงมาคือ 500,000 – 1 ล้านบาท และ 100,000 – 500,000 บาท ส่วนอัตราสินทรัพย์ค้ำประกันวงเงินกู้ที่ต้องการ ส่วนใหญ่ขอให้ไม่มีการค้ำประกัน รองลงมาคือ มีการค้ำประกัน 1-5% ของวงเงินกู้ และ 15-20% ของวงเงินกู้ ตามลำดับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top