Monday, 10 February 2025
NEWS FEED

"ทิพานัน" ตอบ "ช่อ" ปม 7 ประเด็นคำถามคาใจ ย้อนแสบ คำถามเดียวที่สังคมอยากรู้ "คณะก้าวหน้า" เป็นคนไทยหรือเปล่า วอนเลิกทำลายความหวัง เลิกเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส. พรรณิการ์ วานิช ได้เผยแพร่ข้อมูลทางเฟซบุ๊กและไลฟ์ในหัวข้อ “7 ประเด็นกระทรวงสาธารณสุขแถลงกรณีวัคซีนพระราชทาน เราอยากถามต่อ” ว่า เพราะยังล้าหลัง ทั้งข้อมูลและจิตใจ ทุกประเด็นที่ตั้งคำถามล้วนตั้งป้อมโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และคณะทำงานทุกคน บิดเบือน รวมถึงคนที่ตั้งใจทำงานแก้ปัญหาโควิด19 โดยเฉพาะบุคคลากรทางการแพทย์ ที่ใช้ทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำงานตัดสินใจทั้งสิ้น เพื่อเป็นวิทยาทานให้คุณพรรณิการ์และคณะก้าวหน้า และเพื่อไม่ให้สังคมและผู้ติดตามเพจคณะก้าวหน้าสับสน จะขออธิบายซ้ำอีกครั้งในเบื้องต้นว่า

1. บ.สยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับเลือกจาก AstraZeneca โดยพิจารณาจากศักยภาพทั้งด้านความพร้อมของโรงงานและความสามารถของบุคคลากรที่มีมาตรฐานทั้ง PIC/S และ GMP และเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีศักยภาพด้านชีววัตถุ ส่วนเรื่องที่บริษัทไม่มีกำไรจากผลประกอบนั้นก็ไม่ใช่เกณฑ์ที่ AstraZeneca จะนำมาพิจารณา อีกทั้งทั้ง 2 บริษัทยังมีหลักการร่วมกันในการผลิตวัคซีนคือ No-profit และบ.สยามไบโอไซเอนซ์ก็ได้แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพเพราะที่ผ่านมาได้ผลิตยาคุณภาพเพื่อคนไทยในราคาที่ถูกได้

2. รัฐสนับสนุนทุนในการวิจัยและผลิตวัคซีน 595 ล้านบาทให้แก่ บ.สยามไบโอไซเอนซ์ นั้นไม่ได้หมายความว่า บ. ไม่มีความพร้อมในการผลิตวัคซีน ศักยภาพความพร้อมในการผลิตวัคซีนที่ AstraZeneca พิจารณาไม่ได้ดูจากปัจจัยนี้ ทัเงนี้การที่รัฐบาลจะสนับสนุนใดๆ ต้องมั่นใจถึงความพร้อมของบริษัทนะเนๆ เพราะเงินล้วนเป็นภาษีประชาชน

3. รัฐไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว รัฐสนับสนุนทุนในการวิจัยและผลิตวัคซีนโควิดให้กับหลายรายที่สนใจด้วย เช่น กระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกำลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคโควิด-19 จากใบพืช ดังนั้นจีงไม่ได้เป็นตามที่คณะก้าวหน้ากล่าวหาว่า “เอาภาษีประชาชนแบกบริษัทเอกชนรายเดียวให้พร้อมผลิตวัคซีนให้ได้” และทุนวิจัยที่รัฐสนับสนุน บ.สยามไบโอไซเอนซ์ ไม่ได้เป็นการให้เปล่า โดยจะต้องมีการคืนทุนให้เป็นวัคซีนในจำนวนที่เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับทุน

4. คณะก้าวหน้ากล่าวหาลอยๆ โดยไม่ได้แสดงข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ มีเพียงตารางภาพที่คณะก้าวหน้าจัดทำขึ้นและการกล่าวอ้างของ น.ส.พรรณิการ์ว่ามาข้อมูลมาจาก นสพ. เช่น The Economist โดยไม่ได้แสดงรายละเอียดเงื่อนไขการตกลงราคา เช่น ระยะเวลาจอง ช่วงเวลาที่ปลอดภัยในการนำมาใช้ ทุกอย่างล้วนสะท้อนถึงคุณภาพและราคา ดังนั้นการกล่าวหาว่าประเทศไทยซื้อวัคซีนแพงกว่าประเทศอื่นจึงเป็นการสรุปที่ไม่น่าเชื่อถือ เลื่อนลอย

5. ไม่รีบและเน้นปลอดภัย คือ รัฐบาลไม่ได้รีบจองโดยยังไม่ทราบผลสำเร็จหรือผลข้างเคียง ซึ่งจะเป็นการเสี่ยงทั้งสุขภาพและงบประมาณของประเทศ บางประเทศที่ต้องการเริ่มฉีดวัคซีนเร็ว มีการตัดสินใจใช้วัคซีนที่อาจจะยังทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่ครบถ้วนเพราะสถานการณ์ติดเชื้อในประเทศเลวร้ายไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งประเทศไทยไม่ยอมรับความเสี่ยง ไม่ยอมให้รีบร้อนฉีดวัคซีนที่ยังทดสอบไม่ครบถ้วน และไม่ยอมเป็นประเทศทดลอง วัคซีนทั้งหมดจะต้องผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยา (อย.) ทั้งของไทยและต่างประเทศ

การให้วัคซีนเป็นวิธีการเสริมจากการป้องกันที่ไทยทำได้ดีอยู่แล้ว การได้รับวัคซีนจึงไม่ควรเร่งรีบเกินไป ทางที่ดีที่สุดต้องมีการสมดุลกับผลศึกษา ผลข้างเคียงให้ได้รับวัคซีนที่ปลอดภัยโดยปกติใช้เวลา 1-2 ปี ซึ่งในปีหน้าตลาดวัคซีนจะเป็นของผู้ซื้อ เราจะยิ่งมีโอกาสที่จะเลือกซื้อวัคซีนที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และราคาถูกที่สุด นี่คือความหมายของ “ไม่รีบและเน้นปลอดภัย” ที่ต่างจากที่คณะก้าวหน้าตีความ การฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบก่อนไม่ได้รับประกันความปลอดภัยจากผลข้างเคียง หากรีบฉีดให้ครบทุกคนโดยไม่รอผลการศึกษาตามที่คณะก้าวหน้าตั้งคำถามเชิงเสนอแนะนั้น ก็ขอย้อนถามว่า คณะก้าวหน้าจะรับผิดชอบความเสียหายที่จะเอาชีวิตคนไทยมาเสี่ยงอย่างไร?

6. รัฐไม่ได้ผูกขาดวัคซีนจากรายเดียว ขณะนี้นอกจาก AstraZeneca และ SinoVac แล้ว ยังมีการเจรจากับอีก 4 บริษัท และยังมีการพัฒนาอีกหลายบริษัทภายในประเทศ ดังนั้นจึงไม่ควรเบี่ยงประเด็นโจมตี AstraZeneca เพื่อต้องการด้อยค่ารัฐบาลและ บ.สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งแม้ว่าในปีแรกจะมีการใช้วัคซีนของ AstraZeneca ประมาณ 88% ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการผูกขาดจากรายเดียวหรือทำให้ไม่มีความมั่นคงทางวัคซีน เพราะในปีถัดๆ ไปอาจมีการตกลงจัดซื้อวัคซีนจากบริษัทอื่นได้ โดยที่ในปีถัดๆ ไปตลาดวัคซีนจะเป็นของผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีสิทธิ์เลือกมากขึ้น

ขอย้อนถาม น.ส.พรรณิการ์กลับว่า การจัดหาวัคซีนที่ดีต้องเป็นการจัดซื้อจากทุกบริษัทในสัดส่วนที่เท่ากันหรือ? ในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดแบบนี้ รัฐบาลควรรอเวลาและสั่งซื้อวัคซีนจากเอกชนทุกรายที่มีอยู่ให้มีสัดส่วนที่เท่ากันหรือ? ทำไมไม่พิจารณาที่คุณภาพ ความปลอดภัย ราคา ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ความสะดวกรวดเร็วในการจัดหาให้ทันกับสถานการณ์? และหากในอนาคตพบว่าวัคซีนจาก AstraZeneca ถูกสุด ดีสุด ปลอดภัยสุด รัฐก็ไม่ควรสั่งซื้อจาก AstraZeneca เพียงรายเดียวหรือย่างไร?

ส่วนคำว่า ความมั่นคงทางวัคซีน นั้นเหมือนว่า น.ส.พรรณิการ์จะเข้าใจไม่ถ่องแท้ ความมั่นคงทางวัคซีน หมายถึง การเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การดำเนินการให้มีปริมาณวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการ มีคุณภาพ มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน ทั้งในสถานการณ์ปกติและในสถานการณ์ฉุกเฉิน

7. รัฐบาลบริหารประเทศได้ดี สามารถรับมือโควิดได้ดี มีการบริหารจัดการงบประมาณให้ครอบคลุมทุกกระบวนการอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ได้รับพระราชทานอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงรถโมบายตรวจหาเชื้อนิรภัย ช่วยการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกได้อย่างรวดเร็วจากทรัพย์ส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 10 รวมกว่า 4 พันล้านบาทนั้นเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ทำให้ทุกภาคส่วนมีความพร้อมในการทำงานมากยิ่งขึ้น และยังเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย

"ทั้ง 7 ข้อ ล้วนเป็นคำถามมุ่งโจมตีมากกว่าตั้งคำถามเพื่อความก้าวหน้า ทั้งทีมแพทย์-สาธารณสุข นักรบเสื้อกาวน์ ขณะนี้ทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำเร่งด่วนร่วมกันเพื่อให้ประเทศชาติพ้นวิกฤตโควิด ทุกคนกำลังทำงานหนักเพื่อรักษาชีวิตและสุขภาพของประชาชน เพื่อความหวังการรักษาโรค นักการเมืองที่ไม่ยอมลงมือช่วยทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ก็ขอให้หยุดทำตัวคล้ายๆคนถ่วงความเจริญของชาติเถอะ ทั้งนี้ "สังคมตั้งคำถามเดียวคือ บุคคลในคณะก้าวหน้าเป็นคนไทยหรือเปล่า จ้องแต่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนไทย และทำลายความหวังของคนไทยใช่หรือไม่" " น.ส. ทิพานัน กล่าว

หลังจากโควิด-19 ยังระบาดไม่เลิก ทำให้วิถีการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home กลายเป็นอีกทางเลือกของผู้คน พร้อมๆ ไปกับวิถีการเรียน และการเสพความบันเทิง ซึ่งเริ่มเป็นวัฒนธรรมใหม่ของหลายๆ คน ที่ต้องมาจบลงที่บ้านด้วยเช่นกัน

ฉะนั้นเมื่อการทำงาน การเรียน และบันเทิง ถูกบีบให้เกิดขึ้นในบ้าน ทำให้ผู้คนเริ่มมองหากลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ภายในบ้าน ซึ่งสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมดังกล่าวได้แบบครบจบ

เทคโนโลยี ‘สมาร์ทมอนิเตอร์’ (Smart Monitor) หรือจอภาพอัจฉริยะ กลายเป็นอีกนวัตกรรมที่ดูเหมือนผู้เล่นในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีต่างพัฒนาออกมากันมากขึ้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายภายในบ้านได้บนช่วงเวลาเดียวกัน

ล่าสุดซัมซุง ได้เปิดตัว สมาร์ทมอนิเตอร์รุ่น M5 และ รุ่น M7 นวัตกรรมจอภาพที่มาพร้อมกับความสามารถรอบด้าน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงาน เรียน รวมถึงรับชมคอนเท้นต์เพื่อความบันเทิงแบบครบ จบบนหน้าจอเดียว

สำหรับ Samsung M5 และ M7 ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งการทำงาน เรียน รวมถึงรับชมคอนเทนต์เพื่อความบันเทิงต่างๆ ที่บ้านของตัวเอง โดยสมาร์ทมอนิเตอร์ทั้ง 2 รุ่นสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ PC ได้ และยังมีฟีเจอร์ที่สนับสนุนการเรียนและทำงานทางไกล รวมไปถึงฟีเจอร์ Smart Hub หรือศูนย์รวมความบันเทิง แบบเดียวกับซัมซุงสมาร์ททีวีด้วย

สมาร์ทมอนิเตอร์ทั้ง 2 รุ่น สามารถเลือกเชื่อมต่อได้ทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ส่วนตัวได้เพียงแค่กดปุ่ม Tap View[1] App Casting หรือ Apple AirPlay 2 ไม่เพียงเท่านั้นผู้ใช้ยังสามารถใช้งาน Samsung DeX เพื่อประสบการณ์การใช้หน้าจอที่สมบูรณ์ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการทำงานและการเรียนที่บ้านผ่านแอปพลิเคชัน Microsoft Office 365 ได้ตรงจากมอนิเตอร์โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับพีซี เพียงใช้ Wi-Fi ก็สามารถเรียกดู แก้ไข พร้อมเก็บเอกสารเหล่านั้นไว้บนคลาวด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น และแม้ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่บ้านก็ยังสามารถเรียกดูโน้ตบุ้คที่อยู่ที่ทำงานได้ด้วยการเข้าถึงระยะไกล (Remote Access)

ไม่เพียงเท่านั้นยังใช้พอร์ต USB Type-C (เฉพาะรุ่น M7) ในการรับ-ส่งข้อมูล และเชื่อมต่อจอภาพพร้อมทั้งจ่ายไฟสูงสุดได้ถึง65Wแสดงให้เห็นว่าด้วยการเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียวนี้ ส่งผลให้บริเวณรอบหน้าจอมอนิเตอร์นั้นเรียบร้อยและเป็นระเบียบ ซึ่งนอกจากลำโพง2ชาแนลที่ติดตั้งมาในหน้าจอ ยังมีพอร์ตUSBและบลูทูธ4.2ให้ผู้ใช้สามารถต่ออุปกรณ์อื่นๆ ได้อีกด้วย

ผู้ใช้สามารถรับชมความบันทิงแบบไร้ขีดจำกัดได้ด้วยSamsung Smart Hubในการรับชมคอนเทนต์โปรดทั้งในNetflix, HBOและYouTubeโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ PCหรือแล็ปท็อปแต่อย่างใด ส่วนรีโมทควบคุมกับลำโพงในตัวนั้นก็ช่วยให้เวลาสบายๆ ของคุณนั้นสบายได้มากขึ้นไปอีก ด้วยตัวช่วยอัจฉริยะBixbyทำให้ใช้ระบบสั่งการด้วยเสียงเพื่อสับเปลี่ยนการใช้งานแอปต่างๆ หรือควบคุมวิดีโอ

สมาร์ทมอนิเตอร์ M5 และ M7ยังถูกออกแบบมาให้รับชมคอนเท้นต์ได้สบายตายิ่งขึ้นด้วย Adaptive Picture ซึ่งเป็นเซนเซอร์ตรวจจับแสงรอบข้างเพื่อปรับความสว่างให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้จะทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์รับชมที่ดีที่สุดในทุกๆ สภาพแวดล้อม ลดอาการดวงตาอ่อนล้าจากการจ้องหน้าจอเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังมีโหมด Special Eye-Saver เพื่อลดแสงสีฟ้าอีกด้วย

สำหรับสมาร์ทมอนิเตอร์ ทั้ง 2รุ่น วางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าJIB, Advice, IT City, Banana ITโดยM7มีขนาดหน้าจอ32นิ้ว (ราคา 12,900) รองรับความละเอียดระดับUltra-High Definition (UHD) ส่วน Smart Monitor M5 มีขนาดหน้าจอ 27 นิ้ว (ราคา 7,450) และ 32 นิ้ว (ราคา 8,550) รองรับความละเอียดระดับ Full HD (FHD)

กลายเป็นอีกประเด็นที่น่าจะทำเอาทีมโฆษก ศบค.ต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หลังจาก 'ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์' เจ้าของแนวคิด "การแก้ปัญหาของประเทศไทยอาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร"

กลายเป็นอีกประเด็นที่น่าจะทำเอาทีมโฆษก​ ศบค.ต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่​ หลังจาก​ 'ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์'​ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจ้าของแนวคิด​ "การแก้ปัญหาของประเทศไทยอาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร"

พูดง่ายๆ​ ก็คือ​ เธอผู้นี้เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ซึ่งเท่ากับ ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก 'ราชอาณาจักร'  เป็น 'สหพันธรัฐ'​

โดยล่าสุด​ ดร.ชลิตา​ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก​ Chalita Bundhuwong เกี่ยวกับการนำสถานการณ์โควิด-19 ในมาเลเซีย​ของ​ ศบค. มาสร้างความชอบธรรมในการมอบอำนาจแก่ทหารไทยตามชายแดน​ว่า

#ขอให้ทวีศิลป์อีกสักสเตตัสนะคะ

...ศบค. หมอทวีศิลป์ และผู้ช่วยโฆษกหมอนางงามทั้งหลาย พยายามปั่นเรื่องความรุนแรงของการติดโควิด-19 ในประเทศมาเลเซียมา 2-3 ครั้งแล้ว

โดยเอามาโยงกับเรื่องการรักษาความมั่นคงชายแดนของไทย เราสงสัยว่าทีมโฆษกไม่รู้สึกย้อนแย้งเวลาพูดบ้างเหรอ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2563 มามันน้อยๆ มาก เป็นสีเหลืองกันทั้งนั้น และส่วนใหญ่ติดจากสาเหตุหรือมาจากคลัสเตอร์อื่นไม่ใช่การข้ามแดนมา

ไม่มีใครปฏิเสธว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในมาเลเซียสูงมากในแต่วัน และเราก็ไม่อยากให้มีคนข้ามแดนมาโดยไม่ผ่านการกักตัว แต่ทีมหมอโฆษกช่วย​ 'ลดความโอหัง'​ แล้วหันมาทำความเข้าใจเหตุปัจจัยตัวเลขนี้ของมาเลเซียสักหน่อยดีไหม?

รู้บ้างไหมว่ามาเลเซียทำการตรวจเชิงรุกประชาชนไปแล้วกี่ล้านคน (เยอะมากนะคะ) การแพร่เชื้อในแต่ละภูมิภาคในมาเลเซียสาเหตุที่แตกต่างกันอย่างไร และเคยตระหนักไหมว่ามาเลเซียกำลังสั่งซื้อวัคซีนอยู่กี่สิบล้านโดส (เรื่องวัคซีนนี่น่าอายมากๆ จนเราอยากเอาปี๊บคลุมหัวเมื่อคิดถึงของประเทศไทย)

...ตอนนี้รัฐไทยกำลังเอาเรื่องโควิดในมาเลเซียมาให้ทหารสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการชายแดน โดยขาดการตรวจสอบการและมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่อย่างรุนแรง

(ปล. ขอบคุณ อ.รุสนันท์  Rose Rosenun ที่ช่วยอัพเดทสถานการณ์ในมาเลเซียให้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ ศบค.พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในมาเลเซียนั้นมันตื้นเขินเพียงใด)


ที่มา: เฟซบุ๊ก​ Chalita Bundhuwong

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ได้มีการประชุมกันครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563

โดยมีวาระการพิจารณาผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และที่ประชุมมีการลงมติให้ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งมีกรณีถูกร้องเรียนในการร่วมคณะของมหาวิทยาลัยการกีฬาไปดูงานในภาคพื้นยุโรปโดยที่ไม่มีตำแหน่งใดๆในมหาวิทยาลัยกีฬาเลยนั้น

ทั้งนี้ในการดำเนินการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ คณะกรรมการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ไม่มีการแจ้งประกาศ กำหนดวิธีการ ขั้นตอน และแนวปฏิบัติในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ไปยังหน่วยงานในสังกัดทั้งสำนักงานอธิการบดี คณะ วิทยาเขต และโรงเรียนกีฬา เพื่อให้มีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ โดยการให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ตามหลักธรรมาภิบาล ทำให้บุคลากรเสียสิทธิในการเสนอชื่อสมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ

นอกจากนั้น การทำหน้าที่ 3 ตำแหน่งในเวลาเดียวกันของรักษาการอธิการบดี ซึ่งต้องไปทำหน้าที่ของรักษาการนายกสภามหาวิทยาลัย (นายกสภาฯ ลาออกไปเสียก่อน) เนื่องจากอธิการบดีเป็นอุปนายกของสภามหาวิทยาลัยด้วย จึงอาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนกันด้วย อีกทั้งรักษาการอธิการบดี ซึ่งทำหน้าที่รักษาการนายกสภามหาวิทยาลัย ถูกร้องเรียนก่อนหน้านี้หลายเรื่อง ซึ่งมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่1638/2563 เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ว่า เมื่ออธิการบดีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ย่อมมีลักษณะเป็นคู่กรณีในการพิจารณาทางปกครอง ซึ่งจะดำเนินการให้มีคำสั่งทางปกครองที่เกี่ยวข้องภายใต้อำนาจของสภามหาวิทยาลัยไม่ได้

ดังนั้นกระบวนการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่มีมติให้ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จึงน่าจะขัดหรือแย้งต่อ ม.19 วรรคสาม ของ พรบ.มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 2562 ดังได้กล่าวแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เพื่อสั่งให้มีการทบทวนการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว ในวันพุธที่ 20 ม.ค.63 เวลา 10.00 น. ณ. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถ.ราชดำเนินนอก เขตป้อมปราบฯ กทม.

กระทรวงการคลัง เปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง รอบเก็บตก 1.34 ล้านสิทธิ เริ่มวันที่ 20 มกราคม 2564 ระหว่างเวลา 06.00 น. - 23.00 น.

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะนำสิทธิที่เหลือของโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จำนวนรวม 1.34 ล้านสิทธิ มาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพิ่มเติมในวันพุธที่ 20 มกราคม 2564

สำหรับการลงทะเบียนรอบเพิ่มเติมนี้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จากการไม่ใช้สิทธิภายใน 14 วัน สามารถลงทะเบียนได้ โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.คอม ระหว่างเวลา 06.00 น. - 23.00 น. จนกว่าจะครบจำนวน ซึ่งผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและได้รับข้อความ SMS แจ้งยืนยันการได้รับสิทธิแล้วจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยจึงจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ ทั้งนี้ จะเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 18 มกราคม 2564 เวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 13,655,380 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 66,967 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 34,260.9 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 32,760.1 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ตามลำดับ

โฆษกกระทรวงการคลังยังขอเน้นย้ำให้ประชาชนและร้านค้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ของผู้ไม่หวังดีที่เสนอจะช่วยหาประโยชน์จากโครงการโดยไม่ได้ทำการซื้อขายสินค้าจริง เนื่องจากภาครัฐยังติดตามตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากตรวจพบจะดำเนินการระงับการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที รวมทั้งจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย

วิปรัฐบาล เสนอช่วงเวลาอภิปราย 4 วัน ให้ครม. พิจารณา ตั้งแต่ช่วงวันที่ 16 - 19 ก.พ. เป็นเวลา 4 วัน ย้ำ หากมีไฮไลท์อะไร ให้อภิปรายตั้งแต่วันแรกๆ ส่วนการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ รัฐสภาจะนำเข้าพิจารณาวาระ 2 ช่วงวันที่ 24-25 ก.พ.

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่าขึ้นอยู่กับฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายเมื่อใด ถ้ายื่นในวันที่ 25 ม.ค. คาดว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะจัดการอภิปรายได้ในช่วงกลางเดือนก.พ.

โดยวิปรัฐบาลได้เสนอช่วงเวลาอภิปราย 4 วัน ไปให้ครม.พิจารณา ได้แก่ ช่วงวันที่ 16 - 19 ก.พ. เป็นเวลา 4 วัน รวมกับวันลงมติ วันที่ 20 ก.พ. อีก 1 วัน รวมทั้งหมดเป็น 5 วัน หากฝ่ายค้านอยากได้เวลา 7 วัน คงต้องคุยกัน แต่คงเป็นไปได้ยาก เวลา 5 วันถือว่ามากแล้ว ถ้ามีไฮไลท์อะไร ให้อภิปรายตั้งแต่วันแรกๆ ไม่ใช่เอาแต่น้ำก่อน ส่วนเนื้อไว้ทีหลัง

ส่วนการพิจารณาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น คาดว่าร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐสภา จะนำเข้าพิจารณาวาระ 2 ได้ ช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. จากนั้น จะปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 28 ก.พ. จึงคาดว่ากลางเดือนมี.ค.จะเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาลงมติร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 รวมถึงพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประชามติด้วย แต่คงใช้เวลาเปิดสมัยวิสามัญไม่นาน ขณะนี้สภาฯมีโปรแกรมพิจารณาทั้งร่างกฎหมายต่างๆ กระทู้ต่างๆแน่นเอี๊ยด โดยจะต้องเร่งพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็ว

อุบัติเหตุเหมืองทองระเบิดที่จีน มีคนงานติดอยู่ภายในกว่า 22 คน ผ่านไป 1 สัปดาห์เหมือนจะหมดหวังผู้รอดชีวิต แต่แล้วก็มีปาฎิหารย์ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้รอดชีวิตภายในเหมืองจนได้

ในช่วงเวลานี้ ที่เมืองจีนกำลังติดตามข่าวอุบัติเหตุเหมืองทองหูชาน ในมณฑลชานตง ซึ่งเป็นเหมืองทองของบริษัท ชานตง อู๋ไชหลง บริษัทเหมืองทองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ได้เกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ความรุนแรงของแรงระเบิดทำให้เหมืองถล่มปิดทางออก และระบบสัญญาณสื่อสารภายในเหมืองถูกตัดขาด แต่ข่าวร้ายที่สุดของเหตุการณ์นี้คือ มีคนงานเหมืองติดอยู่ข้างในถึง 22 คน

หลังจากที่ทีมกู้ภัยจีน พยายามขุดเจาะ มองหาสัญญาณชีพของคนงานเหมืองที่ยังติดอยู่ภายใน ด้วยการส่งเชือก อาหาร กระดาษ ปากกา เข้าไปในโพรง ที่คาดว่าจะส่งถึงคนงานเหมือง ผ่านไปนานถึง 1 สัปดาห์ ก็มีเสียงเคาะโลหะดังจากภายใน และมีจดหมายผูกปลายเชือกส่งกลับมาให้ถึงทีมกู้ภัยว่า พวกเขายังมีชีวิตอยู่ กำลังรอความช่วยเหลือ โปรดอย่าท้อถอยที่จะตามหาพวกเขา

ข้อความในจดหมายของคนงานเหมืองทำให้ทราบถึงสถานการณ์ภายในเหมือง ว่ามีคนงานในกลุ่มนี้อยู่ 12 คน ยังไม่มีใครเสียชีวิต แต่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน ซึ่งคนงานเหมืองก็ได้ระบุให้ช่วยส่งยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และผ้าพันแผล มาให้เพื่อนที่บาดเจ็บด้วย

ส่วนคนงานเหมืองที่ยังสูญหายอีก 10 คนนั้น ยังคงไม่รู้ชะตากรรม

แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี และเป็นความหวังสำหรับครอบครัวของชาวเหมือง และทีมกู้ภัยว่าอาจพบคนงานที่เหลืออีก 10 คนเช่นกัน

อุบัติเหตุในอุตสาหกรรมทำเหมืองของจีน มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งก็จบลงด้วยความสูญเสียของคนงานเหมืองเป็นจำนวนมาก ที่ส่วนมากเกิดจากความบกพร่องเรื่องการปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรฐานความปลอดภัย

อุบัติเหตุในเหมืองครั้งร้ายแรงที่สุดของจีน ที่เคยมีบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 ที่เหมืองถ่านหินในเมืองเปิ่นซี มณฑลเหลียวหนิง เมื่อเกิดการระเบิดของแก๊ส และถ่านหินภายในเหมือง ทำให้คนงานเหมือง 1,549 คน เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นอุบัติเหตุในเหมืองครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

และในปี 2020 ที่ผ่านมา ก็เกิดอุบัติเหตุในเหมืองของจีนถึง 9 ครั้ง ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม เมื่อมีก๊าซพิษคาร์บอนมอนนอกไซด์ รั่วภายในเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่ง ในมณฑลฉงชิ่ง ทำให้มีคนงานเหมืองเสียชีวิตถึง 23 คน

ส่วนเหตุการณ์เหมืองทองคำระเบิดที่ชานตงในครั้งนี้ นับเป็นอุบัติเหตุในอุตสาหกรรมเหมืองครั้งแรกของปี 2021 ที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมจีน ถึงมาตรฐานความปลอดภัยของเหมืองจีน และการประสานงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจีน ทำให้ทีมกู้ภัยเข้าไปถึงพื้นที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึง 30 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้บริหารของเหมืองทอง สาขาชานตง ถูกไล่ออก 2 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น และนายกเทศมนตรี ก็โดนไล่ออกเช่นกัน


แหล่งข่าว

https://gulfnews.com/world/asia/12-workers-trapped-a-week-ago-in-china-mine-blast-are-alive-send-note-to-rescuers-1.1610960903984

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55700021

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (19 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 171 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,594 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 70 ราย รักษาหายเพิ่ม 150 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,356 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,168 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 171 ราย เป็น ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากไต้หวัน 1 ราย ,ตุรกี 1 ราย ,เบลเยียม 1 ราย,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,ฝรั่งเศส 2 ราย ,สาธารณรัฐเช็ก 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,ญี่ปุ่น 2 ราย ,มาเลเซีย 2 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 33 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 125 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 441 ราย รักษาหายแล้ว 386 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.17 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.46 แสน เสียชีวิต 26,282 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.62 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.22 แสน ราย เสียชีวิต 605 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.35 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.18 แสน ราย เสียชีวิต 2,973 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.03 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.66 แสน ราย เสียชีวิต 9,909 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,127 ราย รักษาหายแล้ว 58,868 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,539 ราย รักษาหายแล้ว 1,402 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ศาลอาญา สั่งจำคุก 87 ปี ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ อดีตข้าราชการซี 8 กรมสรรพากร ใช้ยูทูปและเฟซบุ๊ก แพร่ข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง ผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ลดโทษเหลือ 29 ปี 174 เดือน

ศาลอาญา สั่งจำคุก 87 ปี ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ อดีตข้าราชการซี 8 กรมสรรพากร ใช้ยูทูปและเฟซบุ๊ก แพร่ข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง ผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ลดโทษเหลือ 29 ปี 174 เดือน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (19 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.3065/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นางอัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร ซี 8 เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14

โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2558 โดยอัยการศาลทหารกรุงเทพอาศัยอำนาจตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 เรื่องความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหารลงวันที่ 25 พ.ค. 2557 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 38/2557 เรื่องคดีที่ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ได้ยื่นฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ www.youtube.com ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้

โดยการใช้นามแฝง anchana siri, มารี รูท, un un และเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ Facebook.com ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยใช้นามแฝงว่า Petch Prakery กระทำความผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันในระหว่างประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยได้ พร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้กระทำผิดหลายรายการยึดเป็นของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระหว่างที่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติทั้งสองฉบับใช้บังคับต่อศาลทหารกรุงเทพเป็นคดีดำที่ 194/2559 เหตุเกิดที่แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน, แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การรับสารภาพ

ภายหลังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีคำสั่งที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 ก.ค. 2562 ให้คดีซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพ 65 สำนวน รวมถึงสำนวนคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงมีหนังสือโอนคดีนี้มายังศาลยุติธรรมและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลทหารกรุงเทพ

ในวันนี้ นางอัญชัญ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความและบุคคลใกล้ชิดหลายคน

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) (3) (5) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม ฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์พระราชินีหรือรัชทายาท กับฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นเท็จและเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 87 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 29 ปี 174 เดือน


ที่มา : mgronline

วันนี้คงมีประเด็นตอบโต้กันหนักหน่วง หลังจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เปิดประเด็นวัคซีนโควิด ที่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เข้ามาเกี่ยว จนทำให้ถูกวิจารณ์ และโต้กลับจากผู้เห็นต่าง

ล่าสุด ก้าวไกลต้อ’เริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพื่อป้องนายธนาธร โดย นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง การให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน กรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จัดรายการผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อคืนนี้ โดยมีการพูดถึงที่มาที่ไปของวัคซีนโควิด-19 และอธิบายความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ของบริษัทผู้ผลิตวัคซีน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวท่อนนึงว่า หากต้องการให้ทุกสิ่งทุกเป็นไปอย่างที่ตนคิดก็ให้เข้ามาบริหารประเทศให้ได้ก่อน

"ผมอยากสื่อสารไปยังนายอนุทินว่าคุณไม่ควรพูดอะไรที่ขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริง คุณเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ยังซื้อหูเง่าจากพรรคที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งแรกเพื่อเสริมพรรคตัวเองอยู่เลยและการเข้าถึงอำนาจบริหารของคุณเองก็ใช้วิธีที่คุณคุ้นเคยเพื่อขออำนาจมาตลอด

"ดังนั้นหากการเข้าสู่อำนาจบริหารประเทศด้วยวิธีการแบบที่คุณอนุทินทำมาตลอดชีวิตทางการเมือง เราคงไม่ทำครับมันไร้ศักดิ์ศรี

"แม้การสู้กันในเกมที่เป็นกติกาของพวกคุณจะยากแต่อย่างน้อยภูมิใจ เพราะไม่ต้องเอาลิ้นไปติดขนหน้าแข้งใคร" ณัฐชา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top