Monday, 10 February 2025
NEWS FEED

คนเนรคุณสองแผ่นดิน!! 'ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์' จวก 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' ด้อยค่า ด่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เลิก แต่ตัวเองไม่เคยเสียสละทำอะไรเพื่อแผ่นดิน

“ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์” ดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Psychometrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่พยายามดิสเครดิตสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เลิก แต่ตัวเองไม่เคยเสียสละทำอะไรเพื่อแผ่นดิน โดยเฉพาะกับกรณีบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่เปิดขึ้นมาแล้วมีแต่ขาดทุน ทั้ง ๆ ที่การขาดทุนนี้คือกำไร เพราะพระเจ้าแผ่นดินทรงเสี่ยงที่จะลงทุนไปมากมาย เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม

ไอ้ตี๋เนรคุณสองแผ่นดิน มีสันดานจ้องหาเรื่องด่าอย่างเดียว

โดยเอากำพืดสันดานธุรกิจในครอบครัวที่เป็นเทคโนโลยีชั้นต่ำ กำไรสูงสุด โดยการยอมเป็นขี้ข้าญี่ปุ่น มาโดยตลอด (เพราะรับจ้างผลิตแต่สินค้าเทคโนโลยีชั้นต่ำ พอสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี ก็อาศัยจังหวะเลย์ออฟพนักงานเอาตัวรอด เยี่ยงนายทุนเลวๆ ได้)

การผลิตยาที่เป็นชีววัตถุ อันมีเทคโนโลยีขั้นสูงมาก ที่ไม่มีโรงงานยาโรงงานไหนในประเทศไทยกล้าลงทุน เพราะไม่รู้ว่าจะคุ้มทุนหรือไม่

มีโรงงานเดียวในประเทศไทยที่ผลิตและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงขนาดนี้ได้

บริษัทของครอบครัวที่ออกมาด่าก็ไม่มีปัญญาจะทำได้หรอกครับ ได้แต่เห่า คิดแต่กำไร ขาดทุน ไม่ได้คิดถึงประเทศและประชาชนหรอก มันก็แค่นายทุนนิยมสามานย์ก็แค่นั้น

ไม่ใช่โรงงานบางคน แค่มาจากทำหนังหุ้มเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ไปจนสายไฟในรถยนต์ แต่ถามว่าป่านนี้สามารถผลิตเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลสำหรับรถวิ่งได้เองได้หรือไม่ คำตอบคือยังหลังเขา เป็นแค่คนผลิตอะไหล่ให้เขา ไม่ได้พึ่งพาตนเองได้หรอกครับ

แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงคิดและทำอย่างที่เรียกว่าขาดทุนคือกำไร สยามไบโอไซนส์ ขาดทุนมาเยอะมาก ห้าร้อยกว่าล้านบาท ไม่มีกำไรอะไรเลยสักนิดเดียว เพื่ออะไร

เพื่อเวลาที่เกิดวิกฤติอย่างโควิดนี่อย่างไรครับ เราถึงผลิตวัคซีนเองได้ โดยเขาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ เพราะเราทำได้เอง เราเก่งพอที่จะรับความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงมาได้ มาทำเองได้ พึ่งพาตนเองได้ ในราคาที่ถูกกว่า เข้าถึงได้มากกว่า

ขาดทุนคือกำไร พระเจ้าแผ่นดินทรงเสี่ยงที่จะลงทุนไปมากมาย เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม โดยเฉพาะเวลาวิกฤติเช่นนี้ ทำให้เราเข้าถึงวัคซีนได้ในราคาที่ถูกมากที่สุด เพราะเรารับถ่ายทอดนวัตกรรมที่เป็นพรมแดนแห่งความรู้ของโลกแล้วเราทำต่อเองได้ ผลิตเองได้

นวัตกรรมใหม่ขนาดนี้ เสี่ยงสูงมาก ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าเจ้าไหน จะสำเร็จก่อนหรือหลัง มีเป็นร้อยๆ เจ้านะครับที่ทำวิจัยวัคซีนโควิด-19 ถ้าประเทศไทยมีเงินถุงเงินถังก็ซื้อทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรมมาไว้ก่อนทั้งหมด แต่ใครจะไปเสียเงินมากมายขนาดนั้น และถ้าจะต้องเสียขนาดนั้น ก็จะมีเสียงนกเสียงกา เสียงห่าเสียงเหว ออกมาเห่ามาหอนอีกว่าไม่คุ้มอีก

แล้วอีกอย่างการพัฒนาวัคซีนก็มีขั้นตอนต้องทดสอบหลายขั้น จนมั่นใจว่าได้คุณภาพมาตรฐานจริงๆ

รัฐบาลจะไม่ซื้อกับสยามไบโอไซนส์ก็ได้แหละครับ แต่จะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่านี้มาก และในเวลานี้ก็ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อได้ ประเทศร่ำรวยเขาลงเงินจองไปหมดแล้ว

ทำไมไม่เอาเงินของครอบครัวมันที่ร่ำรวยนักหนา จากการบุกรุกที่ป่าไม้ จากการโกงภาษีเรือยอชท์ จากการกดขี่เอาเปรียบไล่ออกพนักงาน จากการจ่ายสินบนที่ดินของพระราชา มาผลิตและซื้อวัคซีนแจกจ่ายประชาชนบ้าง

ไม่เห็นมันจะทำห่าอะไรเลย นอกจากเห่า

มือไม่พาย ยังเอาปากสำราก เอาตีนราน้ำ

เอาเวลาไปเตรียมจบที่คุกเถิด ไอ้คนเนรคุณสองแผ่นดิน

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เตรียมขึ้นทะเบียนห้องแล็บทดสอบตามมาตรฐานการจัดการห้องแล็บที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสากล สำหรับทดสอบกัญชาเป็นรายแรกของประเทศไทย ภายในเดือนมี.ค. 2564 นี้

นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษา รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เตรียมขึ้นทะเบียน ห้องแล็บศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นห้องแล็บทดสอบตามมาตรฐานการจัดการห้องแล็บที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสากล สำหรับทดสอบกัญชาเป็นรายแรกของประเทศไทย ภายในเดือนมี.ค. 2564 นี้

ทั้งนี้ การรับรองห้องแล็บของ สวทช. ครั้งนี้จะเป็นไปตามมาตรฐาน มอก.17025-2561 หรือมาตรฐาน ISO/IEC 17025-2017 เพื่อวิเคราะห์สารสกัดจากกัญชา ซึ่งถือว่าเป็นห้องปฏิบัติการที่มีความน่าเชื่อถือ โดยกระบวนการตรวจประเมินความสามารถห้องปฏิบัติการ ดำเนินการโดยคณะผู้ตรวจประเมินของสมอ. ที่มีความเชี่ยวชาญ

“การได้รับการรับรองมาตรฐาน จะมีส่วนสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าที่ผ่านการทดสอบจากห้องแล็บนี้ ว่ามีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด มีความปลอดภัยต่อการนำไปใช้ ขณะเดียวกันก็สามารถนำผลการทดสอบมาใช้เพื่อส่งสินค้าออกนอกประเทศ โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบซ้ำจากคู่ค้าหรือประเทศปลายทาง ทำให้เกิดความคล่องตัว น่าเชื่อถือ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย”

‘กระทรวงแรงงาน’ เตือนแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง อย่าหลงเชื่อนายหน้าเถื่อน หลอกเดินเรื่องทำเอกสารต่อวีซ่า/ขออนุญาตทำงาน พร้อมเผยกระบวนการมีทั้งคนไทยและคนต่างด้าวหลอกลวงกันเอง อาศัยความไม่รู้ข้อมูล และชูความสะดวกสบายเป็นจุดขาย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและมาตรฐานสากล และการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ในปี 2564

“กระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยทั้งของผู้ใช้แรงงานไทย และแรงงานต่างด้าว อย่างเท่าเทียมกัน จึงขอเตือนให้แรงงานต่างด้าวหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจใช้บริการนายหน้าที่อ้างว่า สามารถติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าว และหน่วยงานราชการไทย เพื่อดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทาง การต่ออายุวีซ่า และใบอนุญาตทำงานได้ เนื่องจากปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องมีมาตรการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เว้นระยะห่างจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ แรงงานต่างด้าวและนายจ้างจึงหันไปใช้บริการสาย/นายหน้าให้ดำเนินการแทน มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงเกินจริง และอาจถูกหลอกลวงได้ ซึ่งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศที่ถูกกฎหมายกับกรมการจัดหางานได้“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ (บริษัทนำเข้า) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 250 แห่ง เป็นผู้รับอนุญาตฯ ที่บริษัทตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 75 แห่ง และส่วนภูมิภาค 175 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2564)

“กรมการจัดหางาน จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง หากพบผู้กระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หรือสามารถหาลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง จะต้องระวางมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 - 1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานฯที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th หรือแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ที่ถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการด้วย

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 รอบสองว่า น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวปีที่แล้ว

ที่มีการชุมนุมกดดันรัฐบาล และได้ยกระดับการชุมนุมขึ้นตามลำดับ จึงทำให้มีการนัดชุมนุมอีกครั้ง น่าจะมาจากเหตุผล​ 5​ ประการ คือ

1.กลุ่มคณะราษฎร กำลังถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการจับกุมแกนนำ โดยใช้ข้อหาการกระทำผิดมาตรา 112 จากการชุมนุมทางการเมืองในหลายครั้งที่ผ่านมา

2.กลุ่มคณะราษฎรต้องการเคลื่อนไหว เพื่อตอบโต้การจับกุมแกนนำจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องการให้เป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวจึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวกดดัน ตอบโต้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย

3.เป็นการเคลื่อนไหวภาคประชาชนควบคู่กับการเคลื่อนไหวในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยกเลิกการใช้มาตรา 112 คู่ขนานกับข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกลและกลุ่มคณะก้าวหน้า ที่ต้องการให้มีการแก้ไข มาตรา112

4.เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรักษามวลชน หลังจากว่างเว้นการชุมนุมมาตั้งแต่ช่วงปลายปี และได้ประกาศว่าจะยกระดับการชุมนุมหลังปีใหม่ แต่เมื่อติดสถานการณ์โควิด19 ระบาดรอบสอง จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมใหม่

5.กลุ่มคณะราษฎรได้ปรับรูปแบบการชุมนุม โดยเน้นการชุมนุมในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าปริมาณ โดยหวังขยายผลการชุมนุมทางออนไลน์ มากกว่าการชุมนุมบนท้องถนน

ส่วนตัวเชื่อว่าการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร กำลังรอคอยเวลา สั่งสมมวลชน เมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิด19 ลดน้อยลง ก็จะมีการระดมมวลชนยกระดับการชุมนุมขึ้นมาอีก และจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าจากการเคลื่อนไหวประเด็นการยกเลิกมาตรา 112 กับกลุ่มผู้สนับสนุนให้มีการบังคับใช้มาตรา 112 อีกต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จึงอยากจะให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และผู้รับผิดชอบ ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท หรือประเมินมวลชนต่ำเกินไป ต้องเตรียมมาตรการรับมือกับการชุมนุมของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

‘ธนกร’ จวก ‘ธนาธร’ มือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำ แจงวัคซีนโควิดไม่ใช่เอาเร็วเข้าว่า แต่ต้องได้มาตรฐาน เพราะประเทศไทยไม่ใช่หนูทดลอง ย้ำนายกฯ พูดชัด เปิดกว้างท้องถิ่น-เอกชนจัดหาได้ ย้อนอย่าความจำสั้น รัฐบาลเสียเวลาแก้ปัญหาม็อบเพราะใครแอบสนับสนุน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ประเทศไทยยังไม่มีการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 เพราะรัฐบาลประมาทที่ไม่ได้เร่งจัดหาตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมทั้งครอบคลุมประชาชนน้อยกว่าว่า รัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าคว้าได้ก็รีบคว้าไว้ก่อน แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนด้วย

เหมือนกับที่ท่านายกฯ พูดไว้ว่า จะไม่ยอมให้ประเทศไทยเป็นหนูทดลองเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ตัดโอกาสการพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ในการจัดหาวัคซีน และเปิดกว้างให้ท้องถิ่นและภาคเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนเองได้ด้วย แต่ต้องผ่านมาตรฐานของ อย. โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุดอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่นายธนาธรระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะรับผิดชอบไหวหรือไม่หากประชาชนเกิดอาการแพ้วัคซีน หรือวัคซีนมีประสิทธิภาพไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น นายธนกรกล่าวว่า นายธนาธรสับสนกับคำพูดตัวเองอยู่หรือเปล่า ตอนแรกก็บอกว่าให้จัดหาวัคซีนให้เร็ว ซึ่งรัฐบาลก็กำลังดำเนินการอยู่ แต่ก็มาบอกว่าจะรับผิดชอบอย่างไรถ้าวัคซีนประสิทธิภาพไม่ได้ตามเป้าหมาย

ตกลงแล้วนายธนาธรจะเอาอย่างไรกันแน่ จะเอาเร็ว หรือเอาชัวร์กันแน่ คุยกับตัวเองให้รู้เรื่องและตกผลึกก่อนแล้วค่อยออกมาวิจารณ์จะดีกว่า เพราะมีแต่จะยิ่งทำให้ประชาชนสับสนและกลายเป็นตัวตลกไปเปล่าๆ ซึ่งตนไม่แปลกใจที่การเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ผ่านมา ผู้สมัครของคณะก้าวหน้าจะไม่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเข้ามา ก็เพราะประชาชนเขาอาจจะสับสนกับคำพูดของนายธนาธรที่ไปช่วยหาเสียงหรือไม่ว่า สุดท้ายนายธนาธรต้องการสื่อสารอะไรกันแน่

ส่วนกรณีที่นายธนาธรระบุว่า ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ต้องเดินเกมตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2563 และไม่นำเรื่องวัคซีนโควิดมาหวังผลสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองก่อนผลประโยชน์ของประชาชนนั้น นายธนกรกล่าวว่า นายธนาธรแกล้งลืมหรือความจำสั้น ครึ่งแรกของปี 2563 รัฐบาลก็ทำงานมาตลอด แต่มีนักการเมืองบางคน พรรคการเมืองบางพรรคไม่ใช่หรือ ที่สนับสนุนให้มีการชุมนุมเรียกร้องบนท้องถนน

ซึ่งถ้าช่วยกันตั้งแต่ตอนนั้น ไม่หน้าอย่างแต่ลับหลังอย่าง รัฐบาลก็คงบริหารจัดการสถานการณ์ได้เร็วกว่านี้ อย่าเอาดีใส่ตัว แต่เอาชั่วโยนใส่ให้คนอื่นแบบมั่วๆ เมื่อนายธนาธรไม่เคยคิดจะช่วยมาตั้งแต่ต้น อย่างน้อยก็น่าจะสำนึกบ้างโดยไม่ออกมาสร้างความสับสน หรือเอาเท้าราน้ำให้เสียเวลาเปล่าๆ จะดีกว่า

หลังจากมีการปั่นกระแสถึง บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 ราคาย่อมเยาว์ เพื่อให้คนไทยได้ใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างแพร่หลาย ในเชิงเกี่ยวเนื่องกับการเอื้อผลประโยชน์เอกชนที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ถือหุ้นหลัก จนเกิดความเข้าใจผิด

บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 ราคาย่อมเยาว์ เพื่อให้คนไทยได้ใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างแพร่หลาย ในเชิงเกี่ยวเนื่องกับการเอื้อผลประโยชน์เอกชนที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ถือหุ้นหลัก จนเกิดความเข้าใจผิดของประชาชนจำนวนไม่น้อย

ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Boriphat Sangpakorn ได้โพสต์บอกเล่าข้อเท็จจริงของ “สยามไบโอไซเอนท์” ดังนี้

“2562 ครบรอบ 10 ปี สยามไบโอไซเอนซ์ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนกระทั่งปีปัจจุบัน บริษัท #ยังไม่เคยทำกำไรแม้แต่บาทเดียว และยังขาดทุนสะสมมาแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งกินทุนไปแล้วถึง 1/5

สยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตยาประเภท biosimilars ซึ่งเป็นยาที่เป็นโปรตีน ไม่ใช่ยาเคมีสังเคราะห์ ดังนั้นหลักการผลิตยา จึงเป็นการผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง(ไม่สามารถก๊อปร้อยเปอร์เซ็นได้เหมือนยาเคมี) การผลิตยาชีววัตถุจึงเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไทยไม่เคยทำมาก่อน

จุดกำเนิดของสยามไบโอไซเอนซ์ มาจากการที่อาจารย์หมอจากมหาวิทยาลัยมหิดลไปจูงมือสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาทำ โดยสำนักทรัพย์สินออกทุนทั้งหมด และคณะแพทย์ฯ ศิริราช เป็นหุ้นส่วนฝ่ายการวิจัยและพัฒนา

ดังนั้นในส่วนของสำนักทรัพย์สินจึงได้จดทะเบียนบริษัทเอเพ็กซ์เซล่ามาดูแลการจัดจำหน่าย(ขาดทุนทุกปี ปีละ 20-30 ล้าน เพิ่งรับรู้กำไรปีแรก 2561 จำนวน 4 ล้านบาท และ 2562 กำไร 39 ล้านบาท รวมๆ แล้วเฉพาะเอเพ็กซ์เซล่า ก็ยังขาดทุนสะสมร่วมร้อยล้านบาทอยู่)

ด้านสยามไบโอไซเอนซ์ สำนักทรัพย์สินมอบหมายให้อาจารย์เสนาะ อูนากูล เป็นประธานกรรมการ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นกรรมการ SCC จึงทำให้มีการดึงทีมบริหารจาก SCC มาดูแลสยามไบโอไซเอนซ์ เนื่องจากต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีการผลิต เพราะเป็นเทคโนโลยีการผลิตยาชีววัตถุ เป็นสิ่งที่ภายในประเทศไม่เคยมีมาก่อนเลย

ความใหม่ของเทคโนโลยีและองค์ความรู้ จึงส่งผลให้สยามไบโอไซเอนซ์ต้องแสวงหาพันธมิตร คือร่วมมือกับ CIMAB รัฐวิสาหกิจของคิวบา เพราะประเทศคิวบาเป็นชั้นแนวหน้าของโลกในอุตสาหกรรมยาชีววัตถุ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งความร่วมมือในส่วนนี้จึงขยายผลให้มีการร่วมทุนกันตั้งบริษัทเอบินิสแยกมา ทำโรงงานผลิตเพื่อป้อนยาชีววัตถุให้กับคิวบาและการส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยสัดส่วนการลงทุน 70/30 (สยามไบโอไซเอนซ์/คิวบา)

ดังนั้นตัวโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์จึงมาตราฐานสูงมาก เพราะนายทุน(ทุนลดาวัลย์) กระเป๋าหนัก จึงออกแบบโรงงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมสูง ได้มาตราฐานทั้ง PIC/S และ GMP ต้นทุนโรงงานจึงสูงหลายพันล้านบาท บริษัทต้องเพิ่มทุนไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ปัจจุบันทุนจดทะเบียนกว่า 4.8 พันล้านบาท เรียกว่าลงทุนชาตินี้ กำไรชาติไหนก็ช่าง

ภายใต้พื้นที่ 36 ไร่ ของที่ตั้งโรงงาน ภายในตัวโรงงานได้จัดเนื้อที่ 1,600 ตารางเมตร สำหรับเป็นห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัย การวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพ โดยครอบคลุมวิธีการทดสอบและตรวจวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับยาชีววัตถุในทุกด้าน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพและทางเคมี (physico-chemical), ลักษณะทางชีวภาพ (biological), และ ลักษณะทางชีวกายภาพ (biophysical analysis) โดยโรงงานออกแบบมาเพื่อให้มีความผสมผสานกับสิ่งแวดล้อมโดยมีพื้นที่มากกว่า 30% เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นโรงงานที่ไม่มีการปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม (Zero Emission)

ปัจจุบันยาชีววัตถุวิจัยสำเร็จแล้ว 6 รายการ และได้รับการรับรองแล้ว 2 รายการ คือ ยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล(filgrastim) และยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง(erythropoieth-alfa) โดยมีสายการผลิตอยู่ที่ 1 ล้านโดสต่อปี สามารถทดแทนความต้องการภายในประเทศได้ 1/4 ทำให้รัฐหั่นต้นทุนการนำเข้ายาลงมาได้กึ่งหนึ่ง กล่าวคือประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินปีละ 3 พันล้านบาท แม้ปัจจุบันสยามไบโอไซเอนซ์จะขาดทุนต่อปีที่ 70 ล้านบาท ต่อไปก็ตาม

การผลิตวัคซีนโควิท เป็นความร่วมมือระหว่างอังกฤษกับไทย โดยที่ฝ่ายอังกฤษเป็นผู้เลือกเอง เพราะฝ่ายนั้นเขามีฐานการวิจัยและการอุดหนุนจากองค์การอนามัยโลกอยู่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมีหน้าที่เอาโรงงานที่มีอยู่ในมือใส่พานประเคนให้เลือก

ผมจำไม่ได้ว่าอ่านเจอที่ไหนว่าไทยเสนอไปกี่โรงงาน ซึ่งเข้าใจว่าหนึ่งในนั้นมี บริษัทองค์การเภสัชกรรม เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง องค์การเภสัชกรรมร่วมทุนกับโซนาฟี่ปาสเตอร์(บริษัทผลิตวัคซีนอันดับต้นๆ ของโลก จากฝรั่งเศส) ทำโรงงานผลิตวัคซีนในไทยมานาน 20-30 ปีมาแล้ว แม้ชื่อบริษัทจะมีคำว่าชีววัตถุ แต่ไม่ได้ผลิตยาชีววัตถุ เพราะผลิตเพียงแค่วัคซีน

วัคซีนโควิท มีด้วยกันตามที่เข้าใจตอนนี้ คือ 3 ชนิด กล่าวคือ ชนิด mRNA อย่างของไฟเซอร์ในอเมริกา การดูแลรักษาและขนส่งยุ่งยาก แม้จะผลิตได้จำนวนมาก แต่ก็ยังต้นทุนสูง

ชนิดไวรัส vector แบบของแอสตราเซนเนกา ของอังกฤษ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเป็นยังไง แต่คิดว่าหลักการคงคล้ายๆ กับวัคซีนอีโบล่าที่มหาวิทยาลัยมหิดลวิจัยสำเร็จแหละมั้งครับ อันนี้การดูแลไม่ยุ่งยาก ต้นทุนจึงไม่สูง ยิ่งหากผลิตในโรงงานภายในประเทศ ก็ทุ่นค่าขนส่งไปได้มาก

และสุดท้ายชนิดไวรัสเชื้อตาย เป็นวัคซีนที่ใช้หลักการทั่วๆ อย่างวัคซีนพิษสุนักบ้า เป็นต้น ก็จะเป็นวัคซีนตามความหมายที่เราเข้าใจทั่วๆ ไป อันนี้ก็จะเป็นวัคซีนจากทางจีน ที่ทางซีพีไปซื้อบริษัทลูกเอาไว้เป็นข่าวมาหลายวันก่อนนี้ แต่ก็มีข้อจำกัดที่การผลิตแต่ละรอบจะได้น้อยกว่าสองชนิดที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นโดยเปรียบเทียบก็จะได้จำนวนโดสน้อยกว่า

มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าแอสตราเซนเนกา ถ้าหากจะต้องเลือกโรงงาน ระหว่างโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์กับขององค์การเภสัชกรรม ย่อมต้องเลือกโรงงานที่ทันสมัยที่สุด ความพร้อมในการผลิตสูงที่สุด (โรงงานต้นแบบของ KMUTT ซึ่งเป็นโรงงานยาชีววัตถุแห่งที่สองของไทย ผมไม่คิดว่าจะเป็นตัวเลือกด้วยซ้ำ เพราะเป็นโรงงานที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานการผลิตเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในขณะที่สยามไบโอไซเอนซ์ มีโรงงานที่หนึ่ง โรงงานที่สอง และเข้าใจว่ากำลังจะทำโรงงานที่สามด้วยมั้งครับ ดังนั้นกำลังการผลิตติดตั้งจึงมีเหลือเฟือ)

การที่รัฐบาลอนุมัติงบ 6 พันล้าน เป็นการจัดซื้อจัดหาจากแอสตราเซนเนกา ดังนั้นจึงจ่ายเงินให้แอสตราเซนเนกา ไม่ได้จ่ายเงินให้สยามไบโอไซเอนซ์ เพราะสยามไบโอไซเอนซ์แค่รับจ้างผลิตให้แอสตราเซนเนกา ไม่ได้รับจ้างรัฐบาลไทย

ส่วนความร่วมมือระหว่างแอสตราเซนเนกา กับรัฐบาลไทย ที่จะมีความร่วมมือในการวิจัย-การผลิต-การถ่ายทอดองค์ความรู้ อันนี้เป็นผลพลอยได้นอกเหนือจากการทำสัญญาซื้อวัคซีน

ขณะเดียวกันผู้ใช้เฟซบุ๊ก Vee Chirasrestha ก็ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมถึงกรณี ธนาธรพยายามใส่ความสยามไบโอไซน์ว่า

การที่ธนาธรบอกว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นเสมือนบริษัทที่ ผูกขาด การผลิต ในเชิงที่ต้องการให้คนเข้าใจว่าสถาบันผู้ถือหุ้นเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ผู้เดียว

โดยในไลฟ์ของธนาธรบอกเองว่า สยามไบโอไซน์ ขาดทุนมาตลอด 10 ปี ร่วม 500 ล้านบาท คล้ายกับให้คนคิดต่อไปว่าบริษัทอยู่ได้ด้วยการที่รัฐบาลเอาเงินภาษีประชาชนไป อุ้ม เอาไว้

ความจริงคือ ถ้า เป็นบริษัทอื่น ขาดทุนขนาดนี้ ป่านนี้คงปิดไปแล้ว

แต่ด้วยเพราะในหลวงทรงมีพระราชปณิธานที่จะผลิตยาราคาถูกให้คนไทย เราจึงยังมีองค์กรที่ "มีความพร้อม" ในการผลิตวัคซีน ในขณะที่สิงคโปร์แม้จะมีโรงงาน แต่ก้ไม่ได้เป็นฐานการผลิต

นั่นไม่ใช่เพราะเอสซีจีมีคอนเน็คชั่นกับทางอ็อกซ์ฟอร์ดเท่านั้น แต่เป้นเพราะโรงงานที่ได้มาตรฐานและมีความพร้อมในการผลิตของสยามไบโอไซน์

สยามไบโอไซน์เกิดขึ้นจากพระราชดำริและแนวคิดของแพทย์มหิดล สำนักงานทรัพย์สินเป็นผู้ออกทุนทั้งหมด ขณะที่แพทย์ศิริราชเป็นหุ้นส่วนการวิจัยและพัฒนา

ผลงานการผลิตของสยามไบโอไชน์ สามารถลดต้นทุนการผลิตยาต่างๆ ลงได้มากกว่าครึ่ง ซึ่งศักยภาพนี้เองที่ทำให้ทางอักฤษเลือกที่จะผลิตวัคซีนร่วมกับเราโดยที่รัฐบาลได้ซื้อสิทธิบัตรมาเพื่อสามารถผลิตฉีดให้คนไทยได้ฟรี

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระราชปณิธานของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ ที่ว่า "ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง"

เช่น พระราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์และสาธารณสุข ความว่า

True Success is not in the learning,

But in its application to the benefit of mankind


ที่มา: เพจ Thailand Vision

เฟซบุ๊ก Vee Chirasrestha

‘คนละครึ่งเฟสสอง’ มาแล้วจ้า!! หนนี้มีโควต้าให้อีก 1.34 ล้านสิทธิ์ ศึกษารายละเอียดให้ดีแบบนี้ ไม่มีพลาด!!

นับถอยหลง เอ้ย! ถอยหลัง วันที่ 20 มกราคม ย้ำดังๆ อีกที 20 มกราคม ภาครัฐจะเปิดให้ลงทะเบียน ‘โครงการคนละครึ่งเฟสสอง’ กันอีกครั้ง เรียกว่าเป็นรอบเก็บตก สำหรับผู้ที่ ‘พลาด’ ลงทะเบียนไม่ทัน โดยครั้งนี้มีโควต้าผู้ที่ได้สิทธิ์กว่า 1.34 ล้านสิทธิ์ เตรียมฟิตซ้อมกันให้ดี ครั้งนี้อย่าให้พลาดอีก แต่ก่อนอื่น ไปเช็กกันว่า ตัวเรานี้มีสิทธิ์ไหม และศึกษารายละเอียดให้เข้าใจ จะได้ไม่งงงวยเหมือนคนถูกหวยกินตลอดเวลา โอเค๊!!

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกโรงวิจารณ์นโยบายการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า 'ล้าช้า' และตั้งคำถามถึงแนวทางจัดหาวัคซีนแบบ 'แทงม้าตัวเดียว'

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกโรงวิจารณ์นโยบายการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า 'ล้าช้า' และตั้งคำถามถึงแนวทางจัดหาวัคซีนแบบ 'แทงม้าตัวเดียว' จาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า และแสดงความกังวลต่อการที่บริษัทเอกชนซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดวัคซีน

ธนาธร ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 และการเข้ามาเกี่ยวข้องของ บ.สยามไบโอไซเอนซ์ทางเฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อวันก่อน (18 ม.ค.) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาให้ความมั่นใจกับประชาชนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าว่า รัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้อย่างรอบคอบและยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก 'จะมีแพ้บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ' และล่าสุดได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาและจัดสรรวัคซีนแล้ว

ประธานคณะก้าวหน้ากล่าวว่า เหตุที่เขาออกมาตั้งข้อสังเกตในเรื่องนโยบายและแนวทางการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลเป็นเพราะการได้วัคซีนล่าช้าและไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ นอกจากจะทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงแล้ว ยังทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 เป็นไปอย่างล่าช้ากว่าประเทศอื่น

บีบีซีไทยสรุป 5 ข้อสังเกตของนายธนาธรต่อเรื่องวัคซีนโควิด-19 ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลประยุทธ์

1. รัฐบาลประมาท ไม่เร่งการเจรจาจัดหาวัคซีนจนเกิดความล่าช้า ทั้ง ๆ ที่แผนพิมพ์เขียวเพื่อการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของประชาชนไทยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. 2563

2. 'แทงม้าตัวเดียว' ไม่เปิดทางเลือกอื่นจากบริษัทอื่นๆ โดยมุ่งเป้าไปที่การที่รัฐบาลเลือกที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการเอกชนรายเดียว คือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 จากแอสตร้าเซนเนก้า โดยไม่มีการเจรจากับผู้ผลิตรายอื่น ๆ

3. ความขัดกันของผลประโยชน์ โดยอ้างถึงรายงานการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติครั้งที่ 5/2563 วันที่ 5 ต.ค. 2563 ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญของโครงการนี้คือ 'การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนชนิด viral vector ดำเนินการโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด งบประมาณ 600 ล้านบาท' แต่ในที่ประชุมมีความกังวลเรื่อง 'การขัดกันแห่งผลประโยชน์' จากการนำงบประมาณของรัฐไปสนับสนุนบริษัทเอกชน

4. รัฐบาลฉวยโอกาสจากโควิด กอบกู้ความนิยมช่วงที่มีการเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

โดยธนาธรตั้งคำถามว่าการตัดสินใจ'แทงม้าตัวเดียว' โดยเลือกวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งให้สยามไบโอไซเอนซ์เป็นผู้ผลิตวัคซีนนั้น 'เป็นการกระทำที่ต้องการสร้างความนิยมทางการเมืองมากกว่าที่ต้องการจะหาข้อสรุปในการจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรไทยให้มากที่สุดและเร็วที่สุดหรือเปล่า' เนื่องจากการจัดหาวัคซีนนี้เพิ่งเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาประชาชนที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

และ 5. สถานะของสถาบันกษัตริย์กับผู้เล่นทางเศรษฐกิจไปด้วยกันไม่ได้ เนื่องจาก บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ มีในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง หากมีอะไรผิดพลาดขึ้น ประชาชนย่อมต้องตั้งคำถามกับบริษัท ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ ที่ตัดสินใจเรื่องนี้จะต้องรับผิดชอบ พร้อมทั้งย้ำว่า "ถ้าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องอย่าให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้เล่นทางเศรษฐกิจ"


ที่มา: bbc

ชาวญี่ปุ่นชอบใจไอเดียรถตุ๊กตุ๊กไทย นำไปดัดแปลงเป็นรถนำเที่ยว ทำรายได้งาม แต่ยังติดปัญหาที่ทางการยังไม่มีใบอนุญาตให้ขับขี่รถประเภทสามล้อ

รถตุ๊กตุ๊กของไทย รถแท็กซี่แบบพื้นบ้านที่แสนจะมีเอกลักษณ์ นั่งกินลมก็ได้ ใช้ส่งของก็ดี คล่องตัว สะดวกสบายตามตรอกซอกซอยในกรุงเทพ ที่เป็นที่ติดอกติดใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก อยากจะมาลองนั่งเล่นสักครั้งเมื่อมาเที่ยวเมืองไทย จนชาวญี่ปุ่นเห็นแล้วปิ๊งไอเดีย อยากจะมีรถตุ๊กตุ๊กอย่างบ้านเราบ้าง

แต่การใช้รถตุ๊กตุ๊กในญี่ปุ่นอาจไม่ง่ายเหมือนอย่างในเมืองไทย เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น วัย 49 ปีรายหนึ่ง นำรถตุ๊กตุ๊กมาให้บริการเป็นรถนำเที่ยวในย่านโกดังอิฐแดงโยโกฮามา ที่เป็นหนึ่งในสถานท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัด และคิดค่าบริการ 6,500 เยน (ประมาณ 1,750 บาท) ต่อการให้บริการนำเที่ยวในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง รวมค่าถ่ายรูปคู่กับรถตุ๊กตุ๊กด้วย

ต่อมาทางตำรวจญี่ปุ่นได้จับตัวเจ้าของรถตุ๊กตุ๊กคันดังกล่าว ขณะกำลังขับรถพาผู้โดยสารชมเมือง ด้วยข้อหาใช้รถสามล้อดัดแปลงเป็นรถแท็กซี่โดยไม่ได้รับอนุญาต

ซึ่งในญี่ปุ่นยังไม่อนุญาตให้มีการใช้รถมอเตอร์ไซค์ 3 ล้อ มาดัดแปลงเป็นรถแท็กซี่รับผู้โดยสาร ดังนั้นการใช้รถตุ๊กตุ๊กเป็นรถแท็กซี่จึงผิดกฎหมายจราจรของญี่ปุ่น และกลายเป็นคดีรถแท็กซี่ตุ๊กตุ๊กคดีแรกของญี่ปุ่น

แต่ก่อนจะถูกจับ และระงับการให้บริการ เจ้าของรถตุ๊กตุ๊กได้นำรถออกมาให้บริการรับนักท่องเที่ยวมานานแล้ว แค่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2018 รถตุ๊กตุ๊กไทยหัวใจญี่ปุ่นนี้ ก็สร้างรายได้ให้แก่เจ้าของแล้วกว่า 4 ล้านเยน

สำหรับที่ญี่ปุ่นมีการใช้รถลากที่เรียกว่า ริกชอว์ เป็นรถนำเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยจะใช้คนลาก คิดค่าบริการประมาณ 4,000 - 6,000 เยน ต่อค่าบริการเพียงแค่ 10 นาที รับผู้โดยสารได้สูงสุด 3 คน ต่อคัน แต่สำหรับรถตุ๊กตุ๊กสามล้อติดเครื่องนี้ ยังไม่ได้มีการออกใบอนุญาตให้เป็นแท็กซี่อย่างจริงจัง แต่อาจยกเว้นได้ในบางกรณีที่ใช้เป็นรถเช่าขับเฉพาะกิจ

ยกตัวอย่างเช่น ที่ ฟุกุโอกะ มีรถตุ๊กตุ๊กหน้าตาเหมือนบ้านเราเปี๊ยบ ไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่าขับชมเมืองได้ ด้วยค่าบริการเริ่มต้นที่ 4,000 เยนต่อชั่วโมง หรือเหมาทั้งวันในราคา 18,000 เยนต่อวัน แต่จำกัดผู้โดยสารเพียงแค่ 4 คนต่อคันเท่านั้น และได้รับความนิยมสูงมาก

รถตุ๊กตุ๊กบ้านเรา ก็ไม่ธรรมดานะเนี่ย


แหล่งข่าว

https://japantoday.com/.../japan's-1st-unlicensed-tuk-tuk...

https://www.facebook.com/BackpackersProject/posts/3253821071394968/

วทันยา วงษ์โอภาสี สส.พรรคพลังประชารัฐ หนุนนโยบายสร้างเศรษฐกิจใหม่ ระบุ ‘Soft Power’ จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ที่จะช่วยผลักดันยุทธศาสตร์ ‘BGC Model’ ในการสร้างโอกาสและรายได้ให้กับประเทศ

นางสาววทันยา วงษ์โอภาสี สส.พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า เมื่อวานนี้นายกฯ ออกมาประกาศนโยบาย BCG Model ที่จะเป็นทิศทางหลักของรัฐบาลในการขับเคลื่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาวหลังวิกฤตโควิด-19 ต่อจากนี้ ครั้งแรกได้ยินชื่อย่ออาจเกิดคำถามว่าคืออะไร? แต่เมื่อพลิกดูไส้ในก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ข้อดีในครั้งนี้คือนายกฯ ออกมาประกาศถึงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เมื่อเทียบกับในอดีตที่มักจะมีการหยิบหัวข้อต่างๆมาพูดกันอยู่บ่อยครั้งทั้งในรัฐบาล สภา หรือเวทีเสวนาต่างๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หน่วยงานจะต้องมีแผนการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้สังคมคาดหวังได้ว่านโยบายดังกล่าวจะนำมาใช้พัฒนาประเทศได้จริง ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำสวยหรูที่ขายความฝันให้ประชาชน

หนึ่งนโยบายที่อยู่ภายใต้ BCG Model ที่น่าสนใจคือยุทธศาสตร์ที่ 2 “ การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่” หนึ่งในหัวใจสำคัญของนโยบายยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ “ซอฟท์พาวเวอร์” ที่ครั้งหนึ่งเดียร์ได้เคยนำเสนอนายกฯในเรื่องนี้เช่นกัน หนึ่งในรายละเอียดที่นำเสนอนายกฯคือ การจัดตั้งกองทุน “Creative Industries”

เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทย และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีความคิดสร้างสรรค์สามารถเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมผู้ผลิตคอนเทนต์ให้ทัดเทียมต่างชาติ เพราะที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสื่อในประเทศไทยเราติดกับดักระบบทุนนิยมที่รายได้เป็นโจทย์หลักของการผลิตคอนเทนต์ ทำให้ผู้ประกอบการสื่อในแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่สามารถใส่เม็ดเงินต้นทุนการผลิตได้อย่างที่ใจต้องการ จึงกลายมาเป็นต้นตอของปัญหาคุณภาพในการผลิตไม่ว่าจะเป็น Production value หรือกระทั่งการที่เราอยากจะมีบทภาพยนตร์หรือซีรีย์ดี ๆ สักเรื่องเพื่อที่จะนำพาอัตลักษณ์ของคนไทยไปสู่สายตาชาวโลก นั่นยังไม่นับรวมถึงนโยบายอื่นๆที่รัฐต้องเร่งทำ เช่น การสนับสนุนการศึกษาไทยเพื่อป้อนคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะ “ซอฟท์พาวเวอร์” คือส่วนหนึ่งของคำตอบในการแก้ไขปัญหา “Digital Disruption” ที่วันนี้กำลังคุกคามธุรกิจและสร้างความวิตกถึงอนาคตเยาวชนไทยในการเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตที่อาจถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

เมื่อนายกฯ ประกาศนโยบายที่ชัดเจนแล้ว ความท้าทายก็คือหน่วยงานต้องสามารถดำเนินการเพื่อตอบสนองนโยบายได้อย่างรวดเร็วและมีความเข้าใจอย่างแท้จริง หรือเริ่มต้นแบบง่ายๆ เช่น การที่ภาพยนตร์ต่างชาติจะเข้ามาถ่ายทำหนังในไทยสักเรื่อง ขอให้การติดต่อรวมศูนย์แค่ที่เดียวไม่ต้องวิ่งโร่ไปติดต่อทีละ 4 หรือ 5 กระทรวง สร้างความยุ่งยาก เพื่อโอกาสดีๆ เหล่านี้จะไม่เป็นเพียงแค่ความฝันและคำพูดที่ปฏิบัติจริงไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top