Saturday, 15 March 2025
NEWS FEED

ตอนนี้กระแสกัญชงมาแรงทันที่ อย. เปิดให้มีการขออนุญาตทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ‘กัญชง’ ทำให้หลายบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้ความสนใจในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชงมากขึ้น

โดยเมื่อไม่กี่วันก่อน RS Group ก็ได้ประกาศว่า ได้จับมือพันธมิตรเพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในหมวดสกินแคร์ เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ที่มีสารสกัดจากกัญชงไปแล้ว

ล่าสุด ก็มี บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ที่แว่วมาว่าสนใจและมีความพร้อมในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชง เพราะมีธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่าง กาแฟพันธุ์ไทย และ Coffee World ที่สามารถนำกัญชง มาต่อยอดธุรกิจได้อยู่แล้ว อีกทั้งบริษัท มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน จึงหยิบคอนเซ็ปต์ กัญชง เพื่อประชาชนมาชู

สำหรับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เป็นผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ ‘PT’ นอกจากนี้ PTG ยังเป็นเจ้าของ ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้านกาแฟ Coffee Worldทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน

ฉะนั้นในจังหวะที่ตลาดกัญชง กำลังกลายเป็นอีกเทรนด์ร้อนแรงในเมืองไทย จึงเชื่อได้ว่าจะมีอีกหลายๆ ธุรกิจหันมาไล่จับกัญชงมากขึ้น และเราอาจจะได้เห็นหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่มีกัญชงเป็นส่วนผสม ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้


ที่มา: https://www.ryt9.com/s/prg/3197384

การบินไทย เคาะลดขนาดฝูงบิน ปลดกัปตันเฉียด 400 ชีวิต พร้อมตัดเงินที่เหลือ 900 คน แต่พนักงานข้องใจ? ทำไมยังจะทุ่มหมื่นล้าน ซื้อเครื่องบินเจ้าปัญหาเพิ่ม

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุดการบินไทยได้สรุปแผนฟื้นฟูกิจการด้านการปรับลดฝูงบินเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทตัดสินใจปลดระวางเครื่องบิน 3 ประเภท คือ แอร์บัส A-330-300, แอร์บัส A380 และโบอิ้ง 747 คงเหลือเครื่องบิน 3 ประเภทที่จะใช้ในการทำบินต่อไป ได้แก่ โบอิ้ง 777-300ER, โบอิ้ง 787 และแอร์บัส 350-900

การปรับลดฝูงบินครั้งนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักบินที่ทำการบินเครื่องบิน 3 ประเภทดังกล่าว รวมประมาณ 395 คน ซึ่งจะต้อง ‘ถูกปลดออก’ หรือขอให้เข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออกก่อนกำหนด โดยเฉพาะนักบินที่มีอายุเกินกว่า 52 ปี ซึ่งบริษัทมีคำแนะนำให้สมัครใจลาออก โดยจะอนุมัติให้ออกตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 และส่งผลให้มีนักบินเหลือที่จะปฏิบัติงานรวม 905 คน จากปัจจุบันที่มีนักบินรวม 1,300 คน และในช่วงปี 2564-2565 จะไม่มีการเพิ่มจำนวนนักบินอีก

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 บริษัทจะประกาศรายชื่อนักบินที่บริษัทเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อจำนวน 905 คน โดยจะใช้เกณฑ์ในการประเมินและคัดเลือก ซึ่งพิจารณาจากประสิทธิภาพการทำงานด้านต่างๆ

นอกจากนี้ บริษัทจะทำการปรับโครงสร้างเงินเดือนของนักบินใหม่ทั้งหมด โดยจะปรับลดอัตราเงินเดือนลง 15-20% ตามตลาดความต้องการนักบินทั่วโลกที่ปรับลดลง หลังจากอุตสาหกรรมการบินซบเซาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบริษัทจะให้นักบินทั้ง 905 คน ที่ทำสัญญาจ้างฉบับใหม่

อย่างไรก็ตาม ในแผนการปรับโครงสร้างฝูงบินครั้งนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะจัดหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 จำนวน 9-10 ลำ พร้อมเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น Trent-1000 มูลค่าอีกหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งฝ่ายมองว่าไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าวมีปัญหาใบพัดอัดอากาศเสี่ยงต่อการแตกร้าว ซึ่งการบินไทยเคยประสบปัญหาดังกล่าวมาแล้วในอดีต ทำให้ต้องจอดเครื่องบินรอซ่อมเครื่องยนต์เป็นเวลานาน จนสูญเสียประโยชน์ในการทำการบิน รวมทั้งที่ผ่านมาสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (FAA) ยังได้ออกคำเตือนความเสี่ยงในการใช้เครื่องยนต์ประเภทดังกล่าวด้วย

“ไม่เข้าใจว่าทำไมการบินไทยจะซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 787 เพิ่มอีก 10 ลำ พร้อมเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น Trent-1000 เพราะเป็นเครื่องที่มีปัญหาไปทั่วโลก มีการผูกขาดหลังการขายต้องซ่อมในศูนย์ซ่อมโรลส์รอยซ์และยังต้องจ่ายค่าใช้โปรแกรมเครื่องยนต์อีก ถือว่าเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้บริษัทมาก ขัดแย้งกับแผนฟื้นฟูที่ต้องเร่งลดค่าใช้จ่าย ที่สำคัญในอดีตเครื่องยนต์ยี่ห้อนี้ยังมีข้อครหาเรื่องสินบนมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอยากให้ผู้ทำแผนชี้แจงเหตุผลการสั่งปลดเครื่องบินแอร์บัส A-330-300 จำนวน 15 ลำ ทั้งๆ ที่ผ่อนหมดแล้ว และยังเหลืออายุการใช้งานอีกอย่างน้อย 5 ปี เป็นอย่างน้อย” แหล่งข่าวกล่าว


ที่มา: https://www.thebangkokinsight.com/545260/

The Battle Quotes ประโยคปะทะเดือด ‘ธนาธร vs นพ.วิกรม’ กรณีมาตรา ม.112

#เพราะข่าวก็ร้อน #และประโยคก็เชือดเฉือน The States Times จึงขอเปิดพื้นที่คอนเท้นใหม่ ในชื่อว่า The Battle Quotes เราจะหยิบจับเอา ‘ประโยคเข้มๆ’ จากข่าวดัง ข่าวเด่น ที่มีประเด็นจากสองฝ่าย นำมาปะทะ เอ้ย! เรียกว่า นำมาให้อ่านกันชัดๆ ว่าใคร ฝ่ายไหน คิดเห็นอย่างไร?

ประเดิมเริ่มต้นด้วยประเด็นร้อนๆ กับกรณี ‘ไลฟ์สดวัคซีนพระราชทาน’ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่กลายเป็นว่า เข้าข่ายผิดกฎหมาย มาตรา 112 พาดพิงสถาบันฯ ซึ่งงานนี้มีคู่มวย เอ้ย! คู่ปรับแรงคือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ที่ยกพลขึ้น สน.นางเลิ้ง แจ้งความเอาผิดนายธนาธร มาตรา 112 และ 116 ฐานก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ร้าย และนำไปสู่การยั่วยุปลุกปั่น

สถานการณ์ล่าสุด เมื่อวาน (4 ก.พ.64) นายธนาธร เดินทางมาที่ศาลอาญา เพื่อเข้าฟังนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านของคณะก้าวหน้า ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลสั่งลบลิงค์ตามคำขอ กระทรวงดิจิตอลฯ (MDES) การเผยแพร่ภาพ-คลิปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดพาดพิงสถาบันฯ ผ่านเพจคณะก้าวหน้า โดยเจ้าตัวได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงเรื่องขอบเขตความผิดของ ม.112 ในประเทศไทย

นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก และม.112 มีโทษที่สูงเกินไปด้วย จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมาย ม.112

เมื่อถามต่อว่าในวันนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จะเดินทางมาไปแจ้งความเกี่ยวกับกรณีนี้ นายธนาธร ก็ตอบกลับมาว่า เชิญครับ เพราะตนเองนั้นก็เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ

ด้าน นพ.วิกรม เดชกิจวิกรม ซึ่งได้เดินทางไปที่สน. นางเลิ้ง เพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายธนาธร เมื่อได้ทราบการตอบคำถามของนายธนาธร ก็ได้โพสต์ข้อความขึ้นเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาว่า...

“...ผมมาแจ้งความดำเนินคดีแล้ว และอยากจะบอกนายธนาธรด้วยว่า ที่บอกว่าตนเองบริสุทธิ์ใจนั้น ขอให้พยายามทำการบ้านให้ดีนะ เพราะสิ่งที่คุณบริสุทธิ์ใจนั้น มันกลายเป็นบิดเบือนทั้งสิ้น ที่สำคัญเป็นการจงใจบิดเบือน ให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงเสียด้วย ดูแล้วงานนี้ คุณน่าจะรอดยากครับ จำไว้ด้วยว่า ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะนำเสนออะไร

นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก

ผมอยากจะบอกนายธนาธรด้วยว่า เสรีภาพในการแสดงออกนั้น ต้องอยู่ในกรอบกฏหมาย ไม่ใช่อยากจะไปกล่าวให้ร้ายใครก็ได้ เพราะการไปกล่าวให้ร้ายคนอื่นเสียหาย เขาไม่เรียกเสรีภาพ เขาเรียกดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท เข้าใจไหมครับ”

ดูท่าว่า คู่ปะทะ เอ้ย! คูกรณีคู่นี้ จะได้แลกหมัดกันอีกหลายยก โปรดติดตามกันต่อไป ว่าใครจะน็อคใคร?!!

กระทรวงแรงงาน เชื่อมสัญญาณหัวเว่ย ผลิตบุคลากรติดตั้งระบบ 4G และ 5G เทรนคนละครึ่งทั้งออนไลน์และภาคสนาม ตามแนวทางประชารัฐร่วมมือกับภาคเอกชน

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันทั้งการติดต่อสื่อสาร การทำงาน การเรียน และการพักผ่อน โดยระบบส่งสัญญาณโทรคมนาคมในระบบ 4G และ 5G เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การใช้อินเตอร์เน็ตมีความสะดวกรวดเร็ว ลื่นไหล ไม่ติดขัด .

แต่อย่างไรก็ตามช่างฝีมือในการติดตั้งระบบส่งสัญญาณยังคงขาดแคลนอยู่มาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้กพร. ใช้แนวทางประชารัฐร่วมมือกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ในการพัฒนากำลังคนผลิตช่างฝีมือรองรับการเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัล

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันจัดฝึกอบรมหลักสูตร การติดตั้งระบบส่งสัญญาณโทรคมนาคมในระบบ 4G และ 5G ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติภายใต้หัวข้อการใช้เครื่องมือติดตั้งตามข้อกำหนดการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยนอกสถานที่ การติดตั้งสถานีฐานไร้สายและการตรวจสอบหลังการติดตั้งตามข้อกำหนดความปลอดภัยทางไซเบอร์ และปฏิบัติการภาคสนาม ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 18 ชั่วโมง

ซึ่งได้เริ่มจัดการฝึกอบรมไปแล้วจำนวน 1 รุ่น แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงชะลอการฝึกอบรม และจะกลับมาเริ่มฝึกอีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2564 กำหนดฝึกอบรมจำนวน 4 รุ่น รุ่นละ 20 คน โดยสั่งการให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือกับหัวเว่ยดำเนินการฝึกอบรมในกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่แรก และตั้งเป้าหมายขยายการฝึกอบรมทั่วประเทศในปี 2564 นี้

"เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 กพร.และหัวเว่ย จึงพัฒนารูปแบบการฝึกอบรให้เหมาะสม โดยภาคทฤษฎีจะใช้การฝึกอบรมผ่านระบบออนไลน์แบบถ่ายทอดสด ส่วนภาคปฏิบัติจะเน้นการฝึกปฏิบัติงานภาคสนาม การฝึกอบรมทั้งแบบออนไลน์ภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติภาคสนามแบบคนละครึ่งนี้ผู้เข้าฝึกอบรมจะได้รับทั้งความรู้และทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อการปฏิบัติงานดูแลระบบส่งสัญญาณ 4G และ 5G ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ

เป็นอีกหนึ่งหลักสูตรดี ๆ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ต้องการพัฒนากำลังคนให้มีความพร้อมสู่สังคมดิจิทัลที่ต้องการการสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว โดยคุณสมบัตของผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องมีอายุตั้งแต่ 18-54 ปี มีทักษะด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ช่างพื้นฐาน ผู้สนใจสามารถสอบรายละเอียดเพิ่มได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร เบอร์โทรติดต่อ 0 2390 0265 หรือ www.facebook.com/dsdbangkok" อธิบดีกพร กล่าว

'ณวัฒน์' สื่อถึงใคร ผู้หญิงข้ามเพศ ออกทีวีโอ้อวด-บูลลี่คนอื่น ชี้ศัลยกรรมเปลี่ยนได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด ลั่นแบนในทุกรายการที่ทำ ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่สื่อเหยียดคนอื่น

ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรดัง โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ณวัฒน์ อิสรไกรศีล - Mr.Nawat Itsaragrisil ระบุว่า ผมสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม แต่เห็นผู้หญิงข้ามเพศที่พยายามปั้นตัวเองว่าทั้งสวยและรวยมากมานั่งให้สัมภาษณ์นั่งแฉเรื่องส่วนตัวและบูลลี่คนอื่นโดยใช้คำหยาบคายโอ้อวดพฤติกรรมในเรื่องแฟนบลา ๆ ๆ โดยที่บุคคลที่ถูกพาดพิงไม่มีสิทธิ์โต้แย้งเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้เต็มๆ

คนนี้พยายามรณรงค์เปลี่ยนคำนำหน้าให้เป็นนางสาวผมว่าผู้หญิงทั้งประเทศเค้าคงไม่อยากให้ใช้เพราะผู้หญิงทั่วไปเค้าไม่ทำนิสัยแบบนี้ ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างครับยกเว้นนิสัยและความคิด

ผมขอแบนคนนี้ทุกรายการทีวีที่ผมทำ ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่สื่อในการเหยียดคนอื่น และโฆษณาตัวเองเกินจริงครับ และหลายรายการที่ผมรู้จักก็แบนเหมือนกัน

‘แรมโบ้’ ทำจดหมายเปิดผนึกด่วน ถึง ผู้นำฝ่ายค้าน จี้ถาม 7 ข้อ ขอให้ตอบปมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘บิ๊กตู่’ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเรียน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ตามข้อเรียกร้องที่ผม นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอแนวทางและเรียกร้องให้ท่าน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ขอให้มีการถอน ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือแก้ไขญัตติใหม่ ในประเด็นข้อกล่าวหานายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นความไม่เหมาะสมและอาจจะเกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

และจะสร้างปรากฏการณ์ความเสื่อมเสียอันก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พี่น้องประชาชนคนไทย จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายก้าวล่วง จาบจ้วง บิดเบือน ใส่ร้ายให้สถาบันกษัตริย์เกิดความเสียหายได้ อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคนไทยทั้งประเทศ เพราะเจตนาของพรรคการเมืองบางพรรคที่มีพฤติกรรมในการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขที่ได้ปกครองประเทศอย่างสงบสุขร่มเย็นมาเป็นระยะเวลาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

กระผมจึงขอตั้งคำถามถึงนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดังนี้

1.) ท่าน และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งใจวางแผนร่วมมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการเสนอญัตติที่อัปยศอดสูที่สุดตั้งแต่เคยมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมา เพราะเป็นความต้องการให้มีการอภิปรายถึงสถาบันเบื้องสูง มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันใช่หรือไม่

2.) หากมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายพาดพิง ก้าวร้าว ป้ายสี จาบจ้วง ก้าวล่วง บิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสถาบันเบื้องสูง ท่านในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ได้ร่วมยื่นญัตติร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในครั้งนี้ จะรับผิดชอบอย่างไร

3.) ท่าน และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีความจงรักภักดีและปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือไม่ เพราะผู้นำฝ่ายค้านได้รับโปรดเกล้าฯ จากในหลวง รัชกาลที่ 10 ควรที่จะช่วยกันปกป้องสถาบันใช่หรือไม่

4.) ถ้ามีการอภิปรายพาดพิงสถาบันให้เกิดความเสียหายและเกิดผลกระทบต่อจิตใจของพี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ จนเกิดความแตกแยกมากขึ้นในบ้านเมือง พรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร

5.) ท่าน และพรรคเพื่อไทย ไม่กลัวประชาชนเข้าใจว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนล้มล้างสถาบันกษัตริย์เหมือนกับกลุ่มก้าวหน้า โดยการนำของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ท่านจะอธิบายประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างไรว่า ท่าน และพรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

6.) ท่าน และพรรคเพื่อไทย ไม่กลัวว่าในการเลือกตั้งหาเสียงในสมัยหน้าจะไปลงพื้นที่ในจังหวัดใดก็ตาม จะถูกประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านและเปิดเพลงหนักแผ่นดินขับไล่ดังเช่นกลุ่มก้าวหน้า จนส่งผลไม่ได้รับการเลือกตั้ง นายก อบจ. แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียว ซึ่งพรรคเพื่อไทยอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียวในการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะถูกต่อต้านจากประชาชนดังเช่นกลุ่มก้าวหน้า ท่านไม่กลัวเช่นนั้นใช่หรือไม่

7.) ท่านจะตอบคำถามให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่มีจำนวนมากทั่วประเทศให้เข้าใจและหายสงสัยอย่างไรว่า ท่านและพรรคเพื่อไทยไม่เป็นเครื่องมือให้กับพรรคและกลุ่มที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง เพราะพฤติกรรมของท่าน และพรรคเพื่อไทยเจตนาจงใจกล้าร่วมมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ในครั้งนี้

กระผมจึงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยขอให้ท่านได้ชี้แจงและอธิบายคำตอบให้พี่น้องประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศได้ทราบข้อเท็จจริง เพื่อที่จะได้หายเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดความกระจ่างและสบายใจมาในครั้งนี้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงได้รับคำตอบที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ต่อสถาบันและความทุกข์ใจของพี่น้องประชาชนผู้จงรักภักดีและปกป้องสถาบันต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

(แรมโบ้ อีสาน)

5 กุมภาพันธ์ 2564

คิกออฟ!! อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล เพิ่มรอยยิ้มเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันประเทศไทยในหลายพื้นที่ ต้องพบกับปัญหา ขาดแคลนน้ำ ภัยแล้ง และน้ำท่วม ในบางช่วงเวลา โดยมีหนึ่งในสายน้ำที่เป็น ‘คอขวด’ ของปัญหาหนักแทบทุกปี บนช่วงพิกัดของ ‘แม่น้ำปิง’

ปัจจุบัน แม่น้ำปิง มีสภาพตื้นเขิน มีปัญหาตะกอนทรายเกาะแก่งอยู่ในลำน้ำ ทำให้ร่องน้ำเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้เกษตรกรสูบน้ำไปใช้เพื่อการเกษตรไม่ได้ตามระยะเวลาที่ต้องการ รวมถึงโรงสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค การประปาของเทศบาลและท้องถิ่น ต้องเจอปัญหาการสูบน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาสำหรับชุมชนเมือง

เหตุผลหลักๆ มาจากระดับน้ำในแม่น้ำปิง ณ ปัจจุบันต่ำมาก เนื่องจากการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล อยู่ในเกณฑ์น้อยในแต่ละวัน ซึ่งปัจจัยหลักๆ ก็มาจากปริมาณน้ำในอ่างฯ ที่อยู่ในเกณฑ์น้อยลงนั่นเอง

ปัญหาดังกล่าว ทางกรมชลประทาน ได้นำมาพิจารณาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดแนวคิดแก้ไขผ่านโครงการหนึ่ง ภายใต้ชื่อ ‘อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร’

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับเสียงตอบรับดีหลังร่างแผนโครงการขึ้นมา ทั้งจากภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคการเกษตร ภาคประชาสังคม ภาคอุตสาหกรรม หอการค้า คณะกรรมการภาครัฐและเอกชน โดยแต่ละภาคส่วนต่างต้องการให้มีการศึกษาและก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในลำน้ำปิง ในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อยกระดับน้ำให้สูงขึ้นเล็กน้อย สามารถชะลอน้ำไว้ เพื่อยืดระยะเวลาการสูบน้ำส่งให้กับพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง ช่วยเรื่องของการอุปโภคบริโภค การเกษตร การประมง และส่งเสริมการท่องเที่ยว หากโครงการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำดังกล่าวดำเนินการได้จนแล้วเสร็จ

สำหรับแผนการดำเนินการคัดเลือกโครงการฯ เบื้องต้นมีการเลือกพิกัดจำนวน 3 แห่ง เพื่อนำไปดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

• โครงการอาคารบังคับน้ำบ้านแม่ยะ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก พื้นที่รับประโยชน์ 32,500 ไร่

• โครงการอาคารบังคับน้ำวังยางหนองขวัญ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พื้นที่รับประโยชน์ 601,585 ไร่

• และโครงการอาคารบังคับน้ำคลองกระถินอำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่รับประโยชน์ 112,500 ไร่ โดยทั้ง 3 โครงมีลักษณะเป็นฝายคอนกรีตพร้อมบานระบาย

ทั้งนี้ โครงการอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร คาดว่า จะต้องดูรายละเอียดทั้งหมด พอทุกอย่างผ่านจะออกแบบให้แล้วเสร็จในปี 2565 จากนั้นก็จะเสนอไปกระทรวงการเกษตร เพื่อส่งเรื่องให้ ครม.พิจารณาต่ออีกที โดยคาดว่าหากโครงการดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ ครม. ก็จะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2566 คาดสร้างเสร็จก็จะปี 2568

นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า "ปัจจุบันทางกรมฯ มีการลงพื้นที่ติดตามโครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร โดยเดินทางไปยังบริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับน้ำคลองกระถิน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และบริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับน้ำหนองขวัญ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมพบปะพูดคุยรับฟังข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้แทนประชาชนในพื้นที่ ซึ่งโครงการดังกล่าวหากสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้จนแล้วเสร็จ จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตร การอุปโภคบริโภค และควบคุมการส่งน้ำไปยังพื้นที่ชลประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

"สำหรับ ‘โครงการอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล’ จังหวัดตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ นั้น ทางกรมชลประทาน ได้เดินหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำประชา กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้เลี้ยงปลากระชัง และประชาชน บริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงผลกระทบจากฝุ่นต่าง ๆ หากเริ่มก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย ส่วนบ้านเรือนใดที่มีส่วนติดกับพิกัดที่จะไปก่อสร้างอาคาร ก็จะมีการดูแล จ่ายค่าทดแทน ค่าผลอาสิน อย่างเป็นธรรม รวมถึงงบประมาณที่ดิน ค่าชดเชย ตอบแทน จะมาควบคู่ก่อนการก่อสร้างแก่ผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมเช่นกัน โดยชาวบ้านในพื้นที่รอบเขตก่อสร้างที่ีทางกรมชลประทานได้เข้าไปประชาสัมพันธ์ ต่างเข้าใจ เพราะมองว่านี่คือแผนระยะยาว เพื่อแก้แล้ง - อุทกภัย ช่วยเกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน"


แห่ร่วมอาลัย ‘ดารารัตน์ เกียรติเกิดสุข’ นักร้องต้นฉบับเพลง ‘จับปูดำขยำปูนา’ เสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคโควิด-19 ขณะมีอายุ 91 ปี ที่โรงพยาบาลในสหราชอาณาจักร

เพจเฟซบุ๊ก Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ) รายงานว่า ‘ดารารัตน์ เกียรติเกิดสุข’ นักร้องในตำนาน เจ้าของบทเพลง จับปู (จับปูดำขยำปูนา) ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคโควิด-19 ด้วยวัย 91 ปี ที่ West middlesex Hospital ในสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2021 เวลา 18.10 น. โดยมี คนไทยในสหราชอาณาจักร รวมถึง แฟน ๆ เข้าไปแสดงความเสียใจจำนวนมาก


ที่มา : Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)

https://www.facebook.com/amthaipaper/photos/a.628322723873409/3793499370689046/

Cr : https://www.youtube.com/watch?v=llVx_SkhA3o&feature=embtitle

ชำนาญ จันทร์เรือง คณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก หนุนคนพม่าต่อต้านรัฐประหาร โดยระบุว่า

ไม่ได้โลกสวย แต่การที่คนพม่าออกมาต่อต้านรัฐประหารในทุกรูปแบบครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อคณะราษฎร 63 และจะประสบชัยชนะไปด้วยกันในที่สุด

#nocoup #คณะราษฎร63

'ทัพบก' ขึงขังปฏิรูป เลิก - ลด ซื้ออาวุธต่างประเทศ พร้อมปรับเปลี่ยนโครงการซื้อเครื่องบิน 'วีไอพี' เป็น C-295 เครื่องบินลำเลียงทางทหาร ใช้ในภารกิจหลากหลาย - ช่วยเหลือประชาชน

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก แถลงข่าวถึงแนวทางการปฏิรูปกองทัพ ว่า คือการยกเลิกหรือลดจำนวนโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ราคาสูงจากต่างประเทศให้มากที่สุด และสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศมาใช้มากขึ้น ลดการใช้งบประมาณสำหรับกองทัพบก

เพื่อนำไปใช้บรรเทาความเดือนร้อนประชาชนด้านอื่น ๆ รวมไปถึงการปรับปรุงโครงสร้างกำลังกองทัพบก ไปสู่การจัดหน่วยแบบ เบา ประหยัด มีความคล่องตัวสูง และมีประสิทธิภาพ บริหารจัดการตนเองภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ แต่ในปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอาวุธก้าวหน้าไปมาก สิ่งใดที่เราดำเนินการเองไม่ได้ ก็ต้องจัดหาสำหรับการที่ฝ่ายค้านต้องการให้ตัดงบประมาณปี 2565 ของกองทัพบกวงเงิน 6 พันล้าน

ในหมวดการจัดหายุทโธปกรณ์นั้น อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 โดยภาพรวมถูกปรับลดลงไป 5- 6%

พล.ท.สันติพงษ์ กล่าวยกตัวอย่างว่า แนวทางการจัดทำโครงการจัดหาอาวุธของกองทัพบกปีนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงการจัดหาอากาศยานเดินทางของผู้บัญชา หรือ บุคคลสำคัญ มาเป็น เครื่องบินลำเลียงขนาดกลาง C -295 มีขีดความสามารถ ในการบรรทุกกำลังพลถึง 71 นาย สามารถทำการบินได้สูงถึง 1.3 - 3 หมื่นฟุต ทำการฝึกโดดร่มได้ทั้งแบบ ฮาโล และ Static และในกรณีที่ใช้ในภารกิจโดดร่มสามารถบรรทุกเครื่องอุปกรณ์และกำลังพลได้ประมาณ 54 นาย

ถือว่าเป็นประโยชน์มากกว่าเครื่องบินวีไอพีที่สามารถบรรทุกคนได้เพียง 10 ที่นั่ง ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้ใกล้เคียงกับเครื่องบินสำหรับผู้บังคับบัญชา แต่คุ้มค่า และสามารถใช้ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัย ช่วยเหลือประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top