Monday, 24 June 2024
NEWS FEED

ชื่นชม รปภ.ธรรมศาสตร์ ใจเด็ด โดดขวางนักศึกษาพยายามชักธง 112 หน้าอาคารโดมบริหาร ศูนย์รังสิต อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้เสรีภาพในการแสดงออกต้องอยู่ในขอบเขต ไม่ไปละเมิด หรือหมิ่นประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียหาย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr กรณีที่นายชนินทร์ วงษ์ศรี หรือบอล และ น.ส.เบนจา อะปัญ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พยายามนำธงยกเลิก 112 มาขึ้นแทนธงไตรรงค์

แต่ถูก รปภ.ห้ามไว้ ระบุว่า “ได้ดูคลิปที่มีนักศึกษาธรรมศาสตร์ ทั้งหญิงและชาย รวม 4 คน พยายามนำธงแดงมีข้อความยกเลิก 112 ขึ้นบนเสาธงไตรรงค์หน้าอาคารโดมบริหารที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ รปภ.หลายคนช่วยกันเจรจาห้ามปรามไว้ได้ แต่กว่านักศึกษาจะยอมก็ต้องถกเถียงกันอยู่นานพอควร เจ้าหน้าที่พยายามอธิบายว่ายอมให้ทำไม่ได้ เพราะต้องเคารพธงชาติไทย และต้องให้เกียรติพระมหากษัตริย์

เหตุผลที่นักศึกษาอ้าง สรุปความได้ว่า “นักศึกษาธรรมศาสตร์คนหนึ่ง ต้องติดคุกเพราะมาตรา 112 นักศึกษาจึงต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ดังนั้นต้องทำได้ หากทำไม่ได้ ธรรมศาสตร์ก็ไม่มีเสรีภาพจริง ถ้าเอาธงแดงขึ้นแล้วประเทศจะล่มสลาย หรือจะมีใครต้องตายหรืออย่างไร”

นักศึกษาหญิงที่เถียงกับเจ้าหน้าที่เป็นส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวกันกับที่ไปชูป้ายเรื่องวัคซีนที่ไอคอนสยามนั่นเอง เหตุผลที่นักศึกษาใช้อ้าง เป็นเหตุผลที่แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และผู้อยู่เบื้องหลังใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือคำว่า “เสรีภาพในการแสดงออก” ซึ่งดูเหมือนจะฝังแน่นอยู่ในสมองของคนกลุ่มนี้แบบที่ไม่มีใครจะโยกคลอนได้เลยว่า เสรีภาพคือการที่เราสามารถจะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่การทำผิดกฎหมายหากเราไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนั้น

ไม่ว่าจะอธิบายกันกี่ครั้งว่า เสรีภาพต้องอยู่ในขอบเขตเสมอ ก็ไม่สามารถทำให้คนกลุ่มนี้เข้าใจได้เลย ไม่ต่างจากคำว่า “ภาษีกู” ที่พวกเขาเข้าใจว่า ทุกคนมีสิทธิจะทำอะไรก็ได้กับสิ่งของ หรือถาวรวัตถุที่มาจากเงินภาษีของประเทศ เป็นความเข้าใจที่เข้าข้างตัวเองอย่างถึงที่สุด

เรามีเสรีภาพในการแสดงออกก็จริง แต่การแสดงออกนั้นต้องไม่ไปละเมิด หรือหมิ่นประมาท หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่รู้ว่าใครไปฝังชิปลงในสมองของพวกเขาได้แน่นหนาขนาดนี้ อยากรู้เหลือเกินว่าพ่อแม่ และครอบครัวของพวกเขาเหล่านี้คิดอย่างไร เห็นอย่างไร หากคิดเหมือนกัน เห็นเหมือนกันทั้งครอบครัว ก็น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศมาก หากพ่อแม่หรือครอบครัวไม่ได้เห็นแบบนี้ คิดแบบนี้ ก็น่าสงสารพ่อแม่และครอบครัวของพวกเขาเหล่านี้มาก ต้องกลัดกลุ้ม และไม่มีความสุขแน่ๆ

ต้องขอชมเจ้าหน้าที่ รปภ.ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่รับมือกับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่คนแรกที่มาห้ามปราม เป็นเจ้าหน้าที่ที่ผมค่อนข้างจะคุ้นเคย ตั้งแต่ผมยังทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันเวลาไปประชุม เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็จะมาช่วยดูแลเรื่องที่จอดรถให้เสมอ เจอครั้งหน้าเห็นท่าจะต้องขอสัมภาษณ์ และให้รางวัลสักหน่อยเสียแล้วครับ”

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ใช้วิธีการชักเสาธงเพื่อแสดงออกทางการเมือง เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง อาทิ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2556 นายศรันย์ ฉุยฉาย หรืออั้ม เนโกะ และนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว เคยปลดธงชาติไทยแล้วนำธงดำขึ้นเสาบริเวณตึกโดมบริหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไว้อาลัยอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรณีที่ประกาศหยุดเรียนหยุดสอนหยุดทำงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ต่อมาวันที่ 24 ก.พ. 2563 น.ส.สิรินทร์ มุ่งเจริญ หรือเฟลอ นิสิตคณะอักษรศาสตร์ อดีตรองประธานสภานิสิตคนที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกนนำกลุ่มวิ่งไล่ลุง พยายามนำธงดำขึ้นสู่ยอดเสา อ้างว่าแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อไว้อาลัยแก่กระบวนการยุติธรรม แต่ถูก รปภ.ห้ามไว้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 นายพริษฐ ชิวารักษ์, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, น.ส.เบนจา อะปัญ แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 และกลุ่มการ์ดวีโว่ นำโดย นายปิยรัฐ จงเทพ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคอนาคตใหม่ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทายาทกลุ่มไทยซัมมิท ร่วมกันปลดธงชาติไทยแล้วนำธงสีแดงระบุข้อความ 112 มาชักขึ้นแทน หน้า สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างที่นายชยพล ดโนทัย หรือเดฟ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 112 และเกิดเหตุชุลมุนแย่งธงคืนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

อนึ่ง พระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ผู้ใดกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงที่ได้บัญญัติกำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000014197

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4061779217165936&id=100000016923106

ปตท. เปิดพื้นที่ใน พีทีที สเตชั่น 400 ขายไข่ไก่ธงฟ้าราคาพิเศษ ถาดละ 70 บาท จำนวนทั้งสิ้น 4.5 ล้านฟอง หรือ 150,000 ถาด ช่วยระบายไข่ไก่ล้นตลาดและแก้ปัญหาราคาตกต่ำ พร้อมช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดพื้นที่ปันสุข ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 400 แห่งทั่วประเทศ จำหน่ายไข่ไก่ธงฟ้าในราคาพิเศษ ตามโครงการไข่ไก่ธงฟ้าลดราคาเพื่อประชาชน นำไข่ไก่ไซส์เอ็ม น้ำหนักระหว่าง 55 - 65 กรัมต่อฟอง มาจำหน่ายในราคาพิเศษ ถาดละ 70 บาท บรรจุถาดละ 30 ฟอง จำนวนทั้งสิ้น 4.5 ล้านฟอง หรือ 150,000 ถาด ตั้งแต่วันนี้ - 28 ก.พ. 64

สำหรับโครงการพื้นที่ปันสุข เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทย ช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศที่ประสบปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ หรือประสบปัญหาในการหาช่องทางจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร โดยปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ประสบปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดและราคาตกต่ำ

ดังนั้นบริษัท จึงได้ร่วมกับกรมการค้าภายใน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและฟาร์มผู้เลี้ยงไก่ไข่ อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค ให้ได้ซื้อไข่ไก่ไซส์เอ็มได้ในราคาพิเศษอีกทางหนึ่งด้วย

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับองค์กร The Ocean Cleanup นำร่องส่งนวัตกรรมเครื่อง Interceptor เรือเก็บขยะแม่น้ำ ‘ลำแรก’ ดักเก็บขยะพลาสติกในแม่น้ำเจ้าพระยา สุดล้ำใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แยกขยะ คาดเก็บขยะได้ 3 - 4 ตันต่อวัน

นางสุมนา ขจรวัฒนากุล ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พร้อมด้วย นายโบแยน สแลต ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งองค์กร The Ocean Cleanup จากเนเธอร์แลนด์ ผู้ที่คิดค้นทุ่นดักขยะทะเลใช้กำจัดแพขยะในมหาสมุทร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการนำเครื่อง Interceptor เพื่อวิจัยขยะพลาสติกในแม่น้ำ และการดักเก็บขยะพลาสติกในแม่น้ำของไทยก่อนออกสู่ทะเล

ทั้งนี้จะมีการติดตั้ง Interceptor บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ 3 จุด โดยจุดแรกนำร่องติดตั้งบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า เบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาความลึกของแม่น้ำและกระแสน้ำที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องดังกล่าว

นวัตกรรม Interceptor เพื่อจัดการขยะในแม่น้ำก่อนลงสู่ทะเล ได้ผ่านการคิดค้นและทดสอบประสิทธิภาพมาแล้ว โดยจะนำมา ทดลองใช้ในไทยในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาก่อนลงสู่ทะเล เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณขยะในแม่น้ำมากที่สุด

สำหรับเครื่อง Interceptor สามารถดักเก็บขยะได้แบบอัตโนมัติ เนื่องจากใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถจัดเก็บขยะได้ 3 - 4 ตันต่อวันขึ้นอยู่กับปริมาณขยะในพื้นที่ หรือเฉลี่ยลดปริมาณขยะในแม่น้ำที่จะไหลลงสู่ทะเลได้ถึงร้อยละ 60

โดยขยะที่เก็บรวบรวมได้จะถูกนำมาคัดแยก และกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy

สำหรับนวัตกรรมดังกล่าว เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นขยะตกค้างในสิ่งแวดล้อมก่อนไหลลงสู่ทะเล ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตสัตว์ทะเลหายาก ทรัพยากรทางทะเล และระบบนิเวศชายฝั่ง


ที่มา: https://news.thaipbs.or.th/content/301049

ประชาธิปัตย์ กางแผนปิดเกม เลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ดึงกุนซือเด่นทะลวงเป้า ยันดัน ‘พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์’ ชนะลูกเดียว

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม มีวาระหารือที่สำคัญประเด็นหนึ่งคือ ‘การกำหนดยุทธศาสตร์สู่ชัยชนะ’ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีนายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ เป็นผู้สมัครในนามพรรค

โดยมียุทธศาสตร์สำคัญที่จะเน้นการเข้าถึงประชาชนทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงนำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ๆ และผลงานพรรคจากอดีต ปัจจุบันและอนาคต ที่ประชุมจึงได้มีมติตั้งทีมยุทธศาสตร์เพื่อช่วยสนับสนุนการหาเสียงขึ้นมาสามคณะ ดังนี้

1.) ทีมยุทธศาสตร์ด้านโซเชียลมีเดีย ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ในการรณรงค์หาเสียงผ่านโลกออนไลน์ มีนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคฯ เป็นหัวหน้าทีม และมีทีมงานหลักประกอบไปด้วยนายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.สำนักงานประสานงานเครือข่ายองค์กรภายนอกพรรค นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร โดยมี ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคฯ และประธานคณะกรรมการ Smart Democrat เป็นที่ปรึกษาฯ

2.) ทีมปฏิบัติการพิเศษ ทำหน้าที่ในการดูแลตรวจสอบความโปร่งใสในการเลือกตั้ง มี พลตำรวจตรีวิชัย สังข์ประไพ หรือ ผู้การแต้ม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร เป็นหัวหน้าทีม

3.) ทีมประสานงานเครือข่ายองค์กรภายนอกพรรค ทำหน้าที่ในการประสานเชื่อมโยงกับเครือข่ายภายนอกพรรคเพื่อช่วยสื่อสารนโยบายที่สำคัญ มี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพิช ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานเครือข่ายองค์กรภายนอกพรรคเป็นหัวหน้าทีม

ทั้งหมดนี้จะทำงานประสานกับผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค ตัวผู้สมัคร และทีมงานของผู้สมัครในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดความสุจริตในการหาเสียง นำเสนอนโยบายและผลงานที่เกิดขึ้นเป็นประจักษ์แล้ว ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคได้กำชับและให้แนวทางไว้ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคใต้ของพรรคเมื่อไม่นานมานี้

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวต่อด้วยว่า การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครั้งนี้ พรรคเชื่อมั่นว่าจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน นอกจากตัวผู้สมัครคือนายพงศ์สินธุ์ ที่มีความได้เปรียบเพราะทำงานคลุกคลีอยู่กับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด เป็นคนรุ่นใหม่มีวิสัยทัศน์ มีความมุ่งมั่น ตั้งใจและทุ่มเทในการทำงาน

รวมถึงผลงานของพรรคก็เป็นที่ประจักษ์หลายด้าน เช่น โครงการประกันรายได้ยางพารา โครงการสำคัญที่เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางเป็นอย่างมาก รวมถึงประกันรายได้ชาวสวนปาล์ม ที่ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และที่ผ่านมาการทำงานของพรรคในรัฐบาลได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงานที่ยึดถือประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน เน้นการทำงานไปสู่เป้าหมายที่ต้องทำได้ไวทำได้จริงในทุกเรื่อง

“การเลือกตั้งในครั้งนี้ พรรคมีเป้าหมายเดียว คือ ‘ชัยชนะ’ จึงเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ มีการวางแผนที่ดีและมียุทธศาสตร์ที่ครบด้าน ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของพรรคที่เป็นพรรคของคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย และให้โอกาสผู้สมัครของพรรคคือนายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ ได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการทำงานเพื่อสร้างอนาคตร่วมกันกับพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช” นางดรุณวรรณ กล่าว

นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ออกโรงเตือนกลุ่มเยาวชนอีกครั้ง หลังกลุ่ม 3 นิ้ว ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวอีกรอบในช่วงหลายวันมานี้ โดยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ว่า...

นึกอยู่แล้ว เพื่อนติดคุก ศาลไม่ให้ประกัน ม๊อบสามนิ้วต้องอาละวาด ไม่ผิดคาดจริง ๆ

แต่น่าสงสารแกนนำ ถูกใครหลอกมาให้ลอกเลียนแบบคนอื่นอยู่ร่ำไป

‘สามนิ้ว’ กางร่มแบบฮ่องกง สุดท้ายมาทุบหม้อแบบพม่า

คิดเองไม่เป็น หรือ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าคิดเองหรือไม่มีหัว

อยากเตือนสติแกนนำทั้งหลายว่า การนำม็อบไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ความสำเร็จของการเคลื่อนม็อบ ไม่ใช่จำนวนครั้งที่ขยับ ไม่ใช่จำนวนมวลชนที่มา ไม่ใช่ทำเพราะตาน้ำข้าวสั่ง ไม่ใช่เพราะนักการเมืองสั่ง

แต่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ที่จะต้องไม่มโนเอาเอง

อย่าเชื่อใครว่า ลงถนนแล้วจะชนะ อย่าเชื่อใครว่า คนมาร่วมเป็นล้านแล้วจะชนะ อย่าเชื่อใครว่าต้องใช้ความรุนแรง ต้องปฏิวัติแล้วจะชนะ

ไม่เชื่อถามลุงกำนัน คนมาร่วมเป็นล้านคน ชุมนุมยืดเยื้อครึ่งปีกว่า ก็ไม่ชนะ

เปลี่ยนกุนซือได้แล้ว ดีแต่หนีหน้า หลอกให้คนไปตาย หลอกให้เป็นตัวประกันในคุก อย่าเชื่อใครที่จะให้ลี้ภัยนะ

รองนายกฯ ‘ดอน ปรมัตถ์วินัย’ ซัด มอ. หากเชิญ ‘ปวิน’ สอนออนไลน์จริง สั่งกระทรวง อว. สอบเป็นกรณีพิเศษ ชี้ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง เท่ากับถ่ายทอดปัญหาให้เด็กไทย

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ที่ปรึกษาของนายโจไบเดน คุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โทรศัพท์พูดคุยกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย โดยแสดงความเป็นห่วง กรณีการจับกลุ่มผู้ชุมนุม ม.112 ในประเทศไทย ว่า เรื่องดังกล่าวอาจมีความเข้าใจผิด เนื่องจากเท่าที่ตนทราบ ระหว่างการพูดคุย ไม่มีการยก ความกังวลเรื่องม.112 ขึ้นมา แต่ในระดับเจ้าหน้าที่ที่ออกสเตทเม้นต์มีการพูดคุย

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้มีการพูดคุยหารือถึงความกังวล กรณีการจับกุมผู้ชุมนุมม.112 ในไทยด้วยหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ไม่ เขาพูดคุยกันในสถานการณ์ทั่วไปก็หวังว่าจะไม่มีอะไรที่วุ่นวาย รุนแรง บานปลาย ซึ่งถือเป็นท่าทีปกติ และที่ผ่านมาสหรัฐฯ ก็เห็นการชุมนุมในประเทศไทย เป็นการชุมนุมที่มีการรับมือ ควบคุมสถานการณ์ ได้เป็นปกติ ไม่มีความรุนแรงเหมือนประเทศอื่น ๆ อย่างมากก็มีการฉีดน้ำ ซึ่งในหลักสากลแล้วถือว่าไม่รุนแรง

ส่วนกรณีที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโตในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง โพสต์ทวิตเตอร์ถึงการสอนหนังสือออนไลน์ มายังคณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ วิทยาเขตสงขลา (มอ.) นายดอน กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะการโพสต์ทวิตเตอร์โดยปกติแล้วมักมีสีสันเข้ามาด้วย

เมื่อถามว่าการที่ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองสอนหนังสือออนไลน์มาอย่างนี้เหมาะสมหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อันดับแรกต้องไปถามมหาวิทยาลัย ว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร ตนในฐานะกำกับดูแลงานกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ก็ยังไม่ได้คุยสอบถามจากรัฐมนตรี

แต่คิดว่าหากมีข้อเท็จจริงเขาคงปรึกษามาแล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ ส่วนจะส่งผลกระทบ ต่อการศึกษาไทยหรือไม่นั้น ต้องหาข้อเท็จจริงมาก่อน เนื่องจากสิ่งที่พูดออกไปหรือแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานาคุมไม่ได้อยู่แล้ว และไม่สามารถรับรู้ได้ว่าจะออกมาในแนวใด

"กรณีนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแสดงว่าเป็นปัญหาของมหาวิทยาลัย โดยส่วนตัวมองว่าคนที่มีปัญหาอยู่แล้ว และถูกเชิญให้มาสอน แสดงว่าผู้เชิญเป็นคนมีปัญหา และหากมาสอนจริง มีการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นปัญหาสารพัดให้กับเด็กโยงกันไปหมด

ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้เชิญต้องมีปัญหาโดยจะสั่งการให้ กระทรวงอว.ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นกรณีเป็นพิเศษ เพราะเอาคนที่มีปัญหา กับชาติ กับสถาบัน และความมั่นคง มาถ่ายทอดปัญหาสู่เยาวชน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องกับกระบวนการศึกษาของไทย" นายดอนกล่าว

องค์การเภสัชกรรม ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องวิจัยวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เดือน มี.ค.นี้ โดยใช้โรงงานสระบุรี จากผลิตวัคซีนหวัดใหญ่เป็นวัคซีนโควิดแทน คาดผลิตได้ 25 - 30 ล้านโดส

ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้บริหารสธ. แถลงข่าวศึกษาวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเชื้อตายวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 ว่า รัฐบาลได้ทำสัญญาหรือออกใบสั่งซื้อวัคซีนโควิ-19 ทั้งหมด 63 ล้านโดสแล้ว แบ่งเป็น…

- 61 ล้านโดสจากความร่วมมือของแอสตราซิเนกาและสยามไบโอไซเอนซ์

- ส่วนอีก 2 ล้านโดสจากจีนคือ ซิโนแวค

โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการจัดส่งตามระยะเวลากำหนด ซึ่งในส่วนของซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดส ล็อตแรก 2 แสนโดสในเดือนก.พ นี้ และมี.ค. 8 แสนโดส จากนั้น เม.ย. 1 ล้านโดส ส่วนภายใน พ.ค. - มิ.ย. จะเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะผลิตล็อตแรก 26 ล้านโดส

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เราไม่ได้แทงม้าตัวเดียว โดยในไทยก็มีผลิตเอง จากความร่วมมือขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และสถาบันวิจัยวัคซีนของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ อีก อย่างล่าสุดองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ผลิตวัคซีนหลายชนิด รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

องค์การฯ เริ่มดำเนินการโครงการนี้มาตั้งแต่กลางปี 2563 ขณะนี้ได้ทำการทดสอบในสัตว์ทดลองแล้ว พบว่าวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ผลดีและปลอดภัย เตรียมทำการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ในเดือนมีนาคมนี้

เมื่อศึกษาวิจัยครบทั้ง 3 ระยะ และผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 ได้ จะยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และจะทำการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่โรงงานผลิต(วัคซีน) ชีววัตถุ ขององค์การฯ ที่ จ.สระบุรี ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีเทคโนโลยีไข่ไก่ฟักที่ใช้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว พร้อมปรับมาใช้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ทันที

“หากเป็นไปตามที่คาดหวัง ปี พ.ศ. 2565 องค์การฯ จะสามารถเริ่มการยื่นขอรับทะเบียนตำรับ (Rolling Submissions) คู่ขนานกับการศึกษาวิจัยในระยะที่ 3 และจะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศได้ภายหลังการได้รับทะเบียนตำรับ โดยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ ประมาณ 25-30 ล้านโดสต่อปี” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นี้ ถือเป็นตัวแรกของไทยที่เข้าสู่การวิจัยในมนุษย์ โดยเป็นความร่วมมือกับสถาบัน PATH ประเทศ ซึ่ง PATH ได้ส่งหัวเชื้อไวรัสตั้งต้นที่พัฒนาโดยโรงเรียนแพทย์ที่ Mount Sinai ในนิวยอร์ค และมหาวิทยาลัยเท็กซัส มาให้องค์การเภสัชกรรม เพื่อใช้ในการผลิตวัคซีน

หัวเชื้อไวรัสตั้งต้นดังกล่าวเกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสนิวคาสเซิล ให้มีโปรตีนส่วนหนาม (Spike protein) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อยู่ที่ผิว ซึ่งไวรัสที่ตัดแต่งพันธุกรรมนี้ไม่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 และสามารถเพิ่มจำนวนได้ในไข่ไก่ฟักเหมือนกันกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งสามารถใช้กระบวนการผลิตคล้ายกับการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ การที่องค์การฯ มีโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตในไข่ไก่ฟักพร้อมอยู่แล้ว จึงมีศักยภาพในการรับไวรัสตั้งต้นดังกล่าวมาผลิตในระดับอุตสาหกรรมต่อไปได้

ขณะที่ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า เทคโนโลยีของโรงงานวัคซีนที่สระบุรีนั้นเดิมผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กำลังจะขยายเป็น 4 สายพันธุ์เร็วๆ นี้ การที่เราจะใช้เพื่อการผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วยนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติม เพราะใช้เทคนิคเดียวกันกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่คือเป็นวัคซีนเชื้อตาย เพาะเลี้ยงในไข่ไก่

แต่วัคซีนโควิดฯ จะทำได้เร็วกว่าด้วยเพราะผลิต 1 สายพันธุ์ และการเพาะเลี้ยงในไข่ไก่ก็จะทำให้ได้ปริมาณมากกว่าด้วย ปัจจุบันโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 25-30 ล้านโดสต่อปี ขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และงบขององค์การฯ รวมประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อติดตั้งไลน์การบรรจุวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 60 ล้านโดสต่อปี และถ้าวัคซีนโควิดฯ สำเร็จ แล้ว

โรงงานดังกล่าวไม่จำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนการผลิตวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ สามารถผลิตได้ตามความต้องการใช้ เพราะช่วงเวลาที่ต้องการใช้วัคซีนเหลื่อมกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จะผลิตวัคซีนโควิดฯ ต้นแบบเพื่อการวิจัยในคนระยะที่ 1 และ 2 ราวๆ 1 พันโดส แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ 1 ไมโครกรัม 3 ไมโครกรัมและ 10 ไมโครกรัม

พญ.พรรณี กล่าวว่า "สำหรับการทดลองในคนนั้นจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะ ที่ 1 โดยเปิดรับอาสาสมัครจำนวน 210 คน ที่มีสุขภาพดี อายุ 20 ปี ขึ้นไป ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน ดังนั้นจะต้องมีการตรวจหาภูมิคุ้มกันโรค IgG โดยจะเริ่มให้วัคซีนในเดือนมี.ค.นี้ แบ่งเป็นกลุ่มๆ คือ กลุ่มที่ได้วัคซีนจริงในปริมาณที่แตกต่างกัน กลุ่มที่ได้วัคซีนหลอก และกลุ่มที่ได้รับสารเสริมฤทธิ์เพิ่มเติม"

"ทั้งนี้ ใช้เวลาทดลอง 1 - 2 เดือน เพื่อดูความปลอดภัย และขนาดที่เหมาะสม ก่อนจะนำไปสู่การทดลองในคนระยะที่ 2 คาดว่าจะเริ่มในเดือน เม.ย. หรือพ.ค. นี้ ซึ่งจะใช้อาสาสมัครจำนวน 250 คน โดยเลือกสูตรที่เหมาะสม และเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับอะไรเลย จากนั้นจึงวิเคราะห์ข้อมูลและนำสู่การทดลองในระยะ 3 ต่อไป อย่างไรก็ตามระยะที่ 1 และ 2 สามารถทำในประเทศไทยได้ แต่ระยะที่ 3 ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยด้วย หากไทยมีผู้ป่วยน้อยอาจจะต้องนำไปทดสอบในต่างประเทศ"


ที่มา: https://www.hfocus.org/content/2021/02/21033

กองทัพเรือ ปฏิบัติการเชิงรุก เปิดแฟนเพจเฟซบุ๊ก 'เรือดำน้ำไทย Thai Submarines' พร้อมตั้งทีมงาน 'ป้อนข้อมูล' ที่ถูกต้อง หวังสร้างความเข้าใจกับประชาชน ลดกระแสต่อต้าน

เมื่อวันที่ 12 ก.พ.จากกระแสข่าวจัดทำงบประมาณ 2565 ของกองทัพเรือ ที่ไม่ได้บรรจุรายการ จัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 หลังถูกชะลอไปในปีงบประมาณ 2564 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโวิด 19

ล่าสุด กองทัพเรือ โดย พล.ร.ท.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ ได้จัดตั้ง facebook fanpage “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องเรือดำน้ำแก่สาธารณชนผู้สนใจ โดยการจัดตั้งสื่อกลางในรูปแบบ Social Media เนื่องจากกองทัพเรือไม่เคยจัดตั้งสื่อกลางใน Social Media เพื่อการค้นคว้าหาความรู้เรื่องเรือดำน้ำขึ้นมาโดยเฉพาะมาก่อน

ทั้งนี้ กองทัพเรือเข้าใจดีว่า ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เกี่ยวกับเรือดำน้ำนั้น มีองค์ประกอบหลายด้านที่มากกว่าการเป็น “ยุทโธปกรณ์” และมีเนื้อหาสาระ ความรู้ ที่สาธารณชนผู้สนใจทั่วไปสามารถรับรู้ร่วมกันได้ ประกอบกับหนึ่งในบทบาทสำคัญของกองทัพเรือ คือเป็นหน่วยงานที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคมแห่งการเรียนรู้

สำหรับหัวข้อที่จะนำเสนอใน Facebook Fanpage “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” ที่สำคัญได้แก่ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรือดำน้ำ, ประวัติศาสตร์เรือดำน้ำ ทั้งของสากลและของไทย, สารคดีเกี่ยวกับเรือดำน้ำ, ข่าวสารทั่วไปเกี่ยวกับเรือดำน้ำทั้งในและต่างประเทศ, บทความทั่วไป บทวิเคราะห์ บทความทางวิชาการ,ข้อถามตอบ/แลกเปลี่ยนความคิดเห็น, นำเสนอกิจกรรมที่เกิดขึ้น, link ต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรือดำน้ำ, การแถลงข่าวของกองทัพเรือ

สำหรับแนวทางการดำเนินงาน กองทัพเรือจัดตั้งทีมงานขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อเป็นผู้รวบรวมประสานงาน นำเสนอข้อมูลเสนอใน Facebook Fanpage “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” อย่างต่อเนื่อง พร้อมมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในภายนอกกองทัพเรือร่วมสนับสนุนข้อมูล ทั้งยังเปิดกว้างยังสาธารณในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ร่วมกัน

ทั้งนี้ กองทัพเรือ มีความตั้งใจและปรารถนาดีที่จะได้นำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้นเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ด้วยความตระหนักถึงพี่น้องประชาชน และด้วยกองทัพเรือ คือหนึ่งในเครื่องมือความมั่นคงของชาติ ที่เราจะได้เรียนรู้ถึงบทบาทของกองทัพเรือร่วมกัน

'โฟกัส' แนะลดงบประมาณกองทัพ เจียดเงินช่วยประชาชน พร้อมวางแผนเยียวยาแบบยั่งยืน ดีกว่าช่วงแบบแจกเงินส่ง ๆ

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 โฟกัส จีระกุล ดารานักแสดง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ โดยระบุว่า...

เพียงลด ‘งบประมาณ’ ที่ ‘ไม่จำเป็น’ นำมาพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ นำมาทำแผนเยียวยาแบบยั่งยืน ที่ไม่ใช่การแจกเงินส่ง ๆ สอนให้คนรู้จักทำงาน หาช่องทางทำงานให้เค้า เยียวยาธุรกิจเล็ก ๆ ช่วยเหลือคนตกงาน

ลองเริ่มจากลดงบ ‘กองทัพ’ ดูค่ะ งบที่มากมายขนาดนั้น เงินมากมายที่ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด เจียดเงินมาช่วยเหลือประชาชนบ้างเถอะค่ะประชาชนจะได้ไม่อดตาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top