Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

‘บิ๊กตู่’ ออก Podcast แจงทุกข้อสงสัยเรื่องวัคซีนโควิด-19 ลั่น ตัวเองเดือดเนื้อร้อนใจตลอด ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังจัดหาวัคซีนจากบริษัทอื่นไม่ได้มีแค่แอสตราเซเนก้า-ซิโนแวค ยันสยามไบโอไซเอนซ์มีความพร้อมผลิตแล้ว ยอมรับผลข้างเคียงฉีดวัคซีนโควิดเกิดขึ้น ล้านคนอาจตาย

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ผ่าน PM POSCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ทางเพจไทยคู่ฟ้า ว่า นอกจากชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนแล้ว มีเรื่องการจัดซื้อและแจกจ่ายวัคซีนของประเทศไทยที่หลายคนติดตามและกังวล เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตนเดือดเนื้อร้อนใจ ยิ่งกว่าท่านอีก เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ คำถามที่ว่าเหตุใดประเทศไทยไม่จัดซื้อวัคซีนครอบคลุมจำนวนที่เหมาะสม และแผนฉีดวัคซีนในประเทศไทยล่าช้าเกินไปหรือไม่ รัฐบาลมีแผนแจกจ่ายวัคซีนในระยะยาวอย่างไรนั้น ขอเรียนว่าความพยายามในการจัดหาวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ริเริ่มตั้งแต่ ส.ค. 63 ภายหลังเห็นเงื่อนไขต่างๆ ของผู้ผลิตวัคซีน Covax ในลักษณะการจองวัคซีนล่วงหน้า โดยที่ยังไม่ทราบผลการทดลองในมนุษย์

ประเทศไทยขณะนั้นยังไม่มีกลไกลจัดหาวัคซีนที่มีเงื่อนไขจ่ายเงินก่อนและมีโอกาสไม่ได้วัคซีนหากการวิจัยล้มเหลว สถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมควบคุมโรคได้ปรึกษาหน่วยงานด้านกฎหมายในประเทศ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อัยการสูงสุด สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ได้รับหนังสือตอบกลับจากกรมบัญชีกลางว่าไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ได้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จึงมีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ตามมาตรา 18 ของ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เพี่อให้สามารถจองวัคซีนล่วงหน้าได้ตามกฎหมาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวแผนการฉีดวัคซีนจะกระจายทุกกลุ่มประชากรตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับวัคซีนที่มีจะการส่งมอบ ส่วนคำถามที่ว่าแผนการฉีดวัคซีนเพียงร้อยละ 21.5 ของจำนวนประชากร ไม่สามารถภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่สังคมได้ ถือเป็นการใช้งบไม่คุ้มค่า และไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงหรือไม่นั้น ขอเรียนว่าวันนี้เราจะจัดหาเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ตั้งเป้าไว้เท่านั้น ตอนนี้เราได้มาเท่าไหร่ก็ฉีดไปเท่านั้นก่อน เราไม่หยุดยั้งในการหายี่ห้ออื่น ที่จะจัดหาได้เพิ่มเติม วันนี้เราจัดหาได้จำนวน 63 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรประมาณ 31.5 ล้านคน และจะจัดหาเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มเป้าหมายตามความสมัครใจ ไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไรต่อเลย แต่คิดตลอดเวลา ส่วนที่ว่าหากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ทำตามข้อตกลงมีแผนดำเนินการอะไรต่อไปนั้น คำตอบคือ การจัดหาวัคซีนจากบริษัทอื่นสามารถดำเนินการได้ และกำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดไม่ให้องค์การเภสัชกรรมที่มีโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นผู้ผลิตวัคซีนแทนบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่ต้องรอโรงงานให้พร้อมก่อนผลิต ซึ่งใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4 เดือนนั้น ขอชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดกันหรือไม่ เพราะองค์การเภสัชกรรมไม่สามารถผลิตวัคซีนชนิด Viral vector ได้ เนื่องจากวัคซีนไม่เหมือนกัน และสยามไบโอไซเอนซ์ไม่ได้รอเพื่อทำโรงงานให้พร้อม แต่ที่รอคือการผลิตจริงตามมาตรฐานของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่ ธ.ค. 63 เพื่อให้มีการขึ้นทะเบียนโดย อย.ไทย และเตรียมความพร้อมของบริษัท ที่วันนี้เขาพร้อมทั้งหมด เมื่อได้วัคซีนมาจะดำเนินการได้ทันที เราก็จะเป็นสายการผลิตหนึ่งในประเทศไทยและอาเซียนของแอสตราเซเนก้า และยังมีบริษัทอื่นที่ร่วมมือกับแอสตราเซเนก้าในการผลิตที่ภูมิภาคอื่นอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่ให้สยามไบโอไซเอนซ์ที่มีผลประกอบการขาดทุน 500 กว่าล้านบาทผูกขาดการผลิตวัคซีนในประเทศไทยรายเดียว จะสามารถผลิตได้ทันเวลาหรือไม่นั้น ต้องเข้าใจว่าการที่เราจะเอาวัคซีนมาผลิตเองในประเทศ ต้องขึ้นอยู่แอสตราเซเนก้าซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้คัดเลือกเอกชนที่จะร่วมดำเนินการกับเขา เขาจะพิจารณาความสามารถ บุคลากร และเครื่องมือที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีของแอสตราเซเนก้า ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการเดิม และท่านทราบดีอยู่แล้วว่าสยามไบโอไซเอนซ์ตั้งมาเมื่อไหร่ เป็นวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงตั้งไว้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีวัคซีนที่จำเป็น ไม่ได้หวังผลกำไร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้กีดกันไม่ให้บริษัทเอกชนนำเข้าวัคซีนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน รัฐบาลโดย อย.ยินดีให้ทุกบริษัทมาขอขึ้นทะเบียน ซึ่งได้มีการเปิดช่องทางพิเศษ โดยปัจจุบันมีผู้มาขอขึ้นทะเบียนแล้ว 3 รายและได้รับทะเบียนแล้ว 1 ราย คือ บริษัท แอสตร้า เซเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่เหลือก็ขอให้ยื่นมา ถ้าเข้ากับกติกา หลักเกณฑ์ที่ตนได้เคยกล่าวไปแล้ว ก็จะได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมดในระยะต่อไป

“วัคซีนที่ออกมาทั้งหมด นี้ผมจะพูดให้ชัดว่าผลตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่ เพราะต้องรอให้ครบ 1 ปี แต่ตอนนี้เรามีผลเบื้องต้นว่าอย่างน้อย ผลข้างเคียงไม่เยอะ ยอมรับได้ซึ่งผลข้างเคียงก็ต้องมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราคุ้นเคยกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งผลข้างเคียงเราก็มีข้อมูลอยู่ว่าฉีดไปล้านคน อาจจะตาย 1.1 คน ซึ่งเราก็ไม่อยากให้มีใครตายสักคน ขอให้เข้าใจด้วย ทั้งนี้ หากดูข้อมูลปัจจุบันของวัคซีนโควิด-19 ถ้านับเป็นล้านคนจะตายประมาณ 11 คน นี่คือสถิติที่ถือได้ว่ายอมรับในทางการแพทย์ ซึ่งถ้าฉีดวัคซีนโอกาสติดเชื้อก็มี แต่โอกาสที่จะป่วยน้อยลงเราก็มีข้อมูลอยู่ หรืออาจจะเป็น แต่ไม่รุนแรง หรือโอกาสที่จะป่วย และอัตราการตายน้อยลงกว่าคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

แต่อย่างหนึ่งที่เรายังบอกไม่ได้คือฉีดไปแล้วจะป้องกันการแพร่เชื้อและป้องกันการติดโรคได้หรือไม่ ตรงนี้ยังบอกไม่ได้ข้อมูลยังไม่พอ ทุกอย่างต้องได้รับการทบทวนกลั่นกรองและติดตาม ผ่านการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาหมดแล้ว วัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด และบริษัท โมเดอร์นา จำกัด ผล 95% บริษัท แอสตร้า เซเนก้า จำกัด ผล 90% บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด บริษัท ซิโนฟาร์ม จำกัด ผล 70% ถ้าเป็นอย่างนี้บางคนบอกว่าไม่อยากฉีด แต่ในทางแพทย์ถือว่าเท่ากัน เพราะเราถือมาตรฐาน 50 % ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ตั้งเององค์การอนามัยโลก( WHO) เป็นผู้กำหนดขึ้น

อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้หวัดที่เราฉีดกันทุกปีได้ผล 50% เอง ก็ต้องเข้าใจข้อเท็จจริงตรงนี้ว่าคืออะไรไม่เช่นนั้นก็จะกังวลกันไปหมด ตอนนี้เราอาจจะได้วัคซีนจากประเทศจีนมาอาจจะได้ผล 70% แต่ยืนยันว่าไม่ได้แตกต่างกันเกิน 50% ก็เป็นที่ยอมรับได้อยู่แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นทำให้การแพร่ระบาดลดลง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าถามว่ากลุ่มไหนที่ควรได้รับวัคซีนก่อนนั้น คำตอบคือเราต้องดูปริมาณวัคซีนที่ได้รับเข้ามาจากการสั่งจองซึ่งเป็นการทยอยนำเข้ามา แม้แต่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ก็ต้องทยอยผลิตตามระยะเวลาขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ การจองรอบแรกจำนวน 26 ล้านโดส บวกกับอีก 35 ล้านโดส ก็อาจมาจากการผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาคือปริมาณวัคซีนที่เราได้รับทั้งการผลิตเองและการนำเข้า

สำหรับบุคคลที่จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนมี 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่มีโรคร่วม เช่นเบาหวาน ความดัน เป็นต้น กลุ่มที่สามคือกลุ่มผู้สูงวัยโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคร่วม โรคประจำตัว คนเหล่านี้ถ้าติดเชื้ออาการจะรุนแรงมีอัตราการตายสูง ซึ่งการฉีดวัคซีนอย่างน้อยก็เพื่อการป้องกัน ทั้งนี้จะพิจารณาความเสี่ยงส่วนตัวของผู้สูงวัยรวมทั้งมีโรคร่วม และ ความเสี่ยงในพื้นที่ เช่นที่จังหวัดสมุทรสาครก็น่าจะครอบคลุมพิจารณาถึงกลุ่มแรงงานและประชาชนในพื้นที่จะต้องพิจารณาวัคซีนให้เหมาะสมถือเป็นแผนที่เตรียมไว้ขั้นต้น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งการรับวัคซีนและการแพร่ระบาด จะพิจารณาดูว่าจังหวัดใดมีความเสี่ยง จังหวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราจะดูถึงความจำเป็น ทุกคนมีความต้องการทั้งหมดแต่ต้องเข้าใจว่าเรามีวัคซีนจำนวนจำกัด ทั่วโลกมีบริษัทที่ผลิตวัคซีนไม่ถึง 10 บริษัทซึ่งคาดการณ์ว่าเกือบปีถึงจะฉีดวัคซีนได้ทั้งโลก เรื่องเหล่านี้ต้องคิดและใคร่ครวญให้ดีว่าจะเชื่อใคร แม้ประเทศไทยจะมีการติดเชื้อสูงขึ้นแต่ถือว่าน้อยมากหากเทียบกับหลายๆ ประเทศ

“การมีวัคซีนป้องกันแต่ก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันได้ 100% เพราะวันนี้เป็นกันทั้งโลก แต่วัคซีนก็เป็นความหวัง ผมเชื่อว่าการผลิตวัคซีน การพัฒนา จนกว่าจะนำมาฉีดให้กับคนทั่วโลกอย่างน้อยต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี และไม่ใช่ว่าต้องรอวัคซีนเพียงอย่างเดียว มาตรการสำคัญสูงสุดที่ผมได้ย้ำเสมอคือการขอความร่วมมือทั้งจากประชาชน เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบธุรกิจ สถานประกอบการ ต้องช่วยกันรับผิดชอบ และที่ทำได้เลยและป้องกันได้ทันทีคือการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ การใช้แอลกอฮอล์เจล การเว้นระยะห่างทางสังคม ทั้งนี้ในส่วนของประชาชนขอความร่วมมือว่าอย่าเข้าไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง มีการชุมนุมอยู่ใกล้ชิดกัน หรือการดื่มสุราบางครั้งก็สนุกสนานจนเกินเลย และขอการลงทะเบียนขึ้นทะเบียนออนไลน์ ทั้งเว็บไทยชนะและแอพพลิเคชั่นหมอชนะ ก็ต้องขอความร่วมมือเพื่อจะได้ตามตัวได้ว่ามีการแพร่กระจายไปในพื้นที่ใดบ้าง ถือเป็นความรับผิดชอบทางสังคมของทุกคน เพราะเราคือคนไทย ประเทศไทย และนี่คือวัคซีนอีกประเภทหนึ่งเป็นวัคซีนที่ทุกคนทำได้เอง นอกจากการรอวัคซีนที่จะนำมาผลิตภายในประเทศรวมทั้งจากต่างประเทศ เป็นวัคซีนที่ทำจากตัวของทุกคนในการป้องกัน ขอให้ทุกคนได้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดออกมา ซึ่งไม่มีใครอยากทำให้ทุกคนลำบากหรือเดือดร้อน แต่เมื่อมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของประชาชนจึงต้องร่วมมือกันไม่เช่นนั้นก็ไปไม่ได้ทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ขอแสดงความยินดี! ‘โค้ชอ๊อด’ เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หลังได้รับเลือกเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ FIVB อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้

จาก เฟซบุ๊คของคุณปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์ ระบุว่า

ยินดีด้วยครับ

"โค้ชอ๊อดของพวกเรา" นายเกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ได้รับการเลือกตั้ง (elected) ให้เข้าดำรงตำแหน่งบอร์ดบริหารของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ FIVB (FIVB Board of Administration Member) อย่างเป็นทางการจากการประชุม FIVB World Congress ครั้งที่ 37 เมื่อวานนี้

โดยก่อนหน้านี้ โค้ชอ๊อดได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามารับตำแหน่งบอร์ดบริหารสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเซีย หรือ AVC ทำงานในตำแหน่งรองประธานบริหาร โซนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Executive Zonal Vice President representing Southeastern Zone) และยังได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเซีย (AVC Secretary-General) ด้วย

สำหรับสมาชิกในบอร์ดบริหาร FIVB ที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในที่ประชุม FIVB World Congress (ซึ่งดำเนินการประชุมผ่านทางออนไลน์เป็นครั้งแรกของโลก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19) นั้น จะมีจำนวนทั้งสิ้น 24 คนรวมทั้งสมาชิกสุภาพสตรีอีก 2 คน รวมเป็น 26 คน ประกอบไปด้วย

6 คนจากโซนเอเซีย AVC (ไทย-จีน-ญี่ปุ่น-อิหร่าน-ออสเตรเลีย-คุกไอส์แลนด์)

3 คนจากโซนอาฟริกา CAVB

8 คนจากโซนยุโรป CEV

3 คนจากโซนอเมริกาใต้ CSV

4 คนจากโซนอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง NORCECA

2 สุภาพสตรี ที่ได้รับการเลือกตั้ง gender-in-minority member ประกอบด้วย เมริย่า หลุยส์ อดีตดาวตบแชมป์โอลิมปิกสามสมัยจากคิวบา ได้เสียงโหวต 137 เสียงและ มาร์กาเร็ต เออร์นานเดส จากสก๊อตแลนด์ ได้ 120 เสียง

ซึ่งทั้ง 26 คนนี้จะทำงานในบอร์ดบริหารของ FIVB ร่วมกับประธาน FIVB คนปัจจุบัน คือนายอารี กราซ่าและประธานวอลเลย์บอลภาคพื้นทวีปทั้งห้าทวีปด้วย โดยจะมีช่วงการทำงานในบอร์ดบริหาร FIVB เป็นระยะเวลา 4 ปีของรอบโอลิมปิก Olympic cycle คือระหว่างปี 2021-2024


ที่มา : FB ปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์ (Preechachan Wiriyanupappong)

คิวต่อไป !! ‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้องผู้ว่าฯ กทม. สอบโครงการก่อสร้างแก้มลิงสวนเบญจกิติ 138 ล้าน มีพิรุธ หลังพบเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่ และไม่ทราบเอาดินซึ่งเป็นทรัพย์สินกทม. ไปกองไหว้ไหน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงบึงน้ำบริเวณสวนเบญจกิติเพื่อจัดทำเป็นแก้มลิง เพื่อกักเก็บน้ำให้ได้ 137,000 ลบ.ม. โดยได้จัดทำ TOR และปิดประมูลโครงการและลงนามในสัญญาก่อสร้างกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วในมูลค่าโครงการ 138 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.62-10 ต.ค. 63 ที่ผ่านมานั้น ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดใน TOR และสัญญาว่าจ้างส่วนหนึ่งระบุว่า จะต้องขุดดินในบริเวณบึงรับน้ำตามแบบความลึกไล่ระดับตามที่กำหนด พร้อมขนย้ายดินออกไปทิ้ง ณ ที่กำหนด ฯลฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณ ถ.รัชดาภิเษก ช่วง ถ.สุขุมวิท - ถ.พระราม 4 และบริเวณ ซ.สุขุมวิท 16 โดยสามารถรองรับน้ำส่วนเกินมากักเก็บไว้ให้ได้ 137,000 ลบ.ม. ตามสัญญา
“ แต่ปรากฏว่าขณะนี้ได้สิ้นสุดสัญญาว่าจ้างไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่มีการส่งมอบงานโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในช่วงแรกบริษัทผู้ได้งานมีการจ้างผู้รับเหมาช่วงในการขุดขนดินออกไปทิ้งนั้น คือ บ.ทรัพย์ทรายทอง จก. แต่กลับมีปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างกันขึ้นมา ผู้รับจ้างช่วงจึงนำข้อมูลมาร้องเรียนกับสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยว่า จำนวนดินที่จะต้องขุดลอกอาจไม่ได้ความลึกตามที่กำหนด หรือให้ได้ปริมาตรของการกักเก็บน้ำตามสัญญา และยังมีข้อพิรุธอีกหลายประการ หลังจากมีการเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่เข้ามาแทนที่ โดยไม่มีใครทราบว่าดินเหล่านั้นเอาไปกองไว้ที่ใด เพราะดินเหล่านั้นถือเป็นทรัพย์สินของ กทม. จะนำไปขายให้เอกชนนำไปถมที่ไม่ได้ ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอาจจะไม่รู้ก็ได้” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงจะนำความไปแจ้งและร้องเรียนต่อผู้ว่าฯ กทม. ให้ตรวจสอบปริมาตรดินและปริมาตรน้ำเป็นไปตามสัญญาจ้างครบ 100% หรือไม่  มีการแอบลักดินไปขายให้เอกชนหรือไม่ และได้มีการดำเนินการสั่งปรับตามเงื่อนไขการผิดสัญญาการส่งมอบงานไปแล้วหรือไม่ อย่างไร และหากพบว่ามีการเกี้ยเซียะหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้สั่งดำเนินการลงโทษต่อไป แต่หากผู้ว่าฯเพิกเฉย สมาคมฯจะนำความไปร้อง สตง. และ ป.ป.ช. ต่อไป
นอกจากนั้น จะได้นำชาวบ้านในซอยถาวรธวัช 1 ที่คัดค้านโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนและก่อสร้างทางยกระดับข้ามแยกถาวรธวัชและถนนซอยรามคำแหง 24 เขตบางกะปิ เนื่องจากถูกลิดรอนสิทธิการเวนคืนที่ดินจาก กทม. แต่จะเป็นโครงการที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรมากนัก แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับชาวชุมชน ซึ่งขัดต่อกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เดินทางไปยื่นคำร้องและคัดต้านโครงการดังกล่าวในวันจันทร์ที่ 8 ก.พ.เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานผู้ว่าฯ กทม. ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า

รัฐบาล เผยคนแห่ลงทะเบียน ‘เราชนะ’ รับเงินเยียวยาแล้วเกือบ 10 ล้านคน ส่วนโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้ประกันตนมาตรา 33 คนละ 4,000บาท เข้าครม. 15 ก.พ.นี้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากโครงการเราชนะได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยา ผ่านเว็บไซต์เราชนะ ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. ตัวเลขนับถึงวันที่ 5 ก.พ. มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 9.54 ล้านคน ซึ่งการลงทะเบียนจะเปิดถึงวันที่ 12 ก.พ. สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ทางกระทรวงการคลัง ล่าสุดแจ้งว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป ยังไม่มีกำหนดปิดรับลงทะเบียน 

ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้วงเงินจากโครงการเราชนะได้กับร้านค้าที่เคยใช้อยู่บริการอยู่แล้ว เช่น ร้านธงฟ้า รวมถึงร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ด้วยการสแกนบัตรฯผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน เริ่มแล้วเมื่อ 5 ก.พ. ส่วนกลุ่มที่มีแอปพลิเคชันเป๋าตัง จากโครงการคนละครึ่ง/เราเที่ยวด้วยกัน สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ขณะที่ กลุ่มที่ลงทะเบียนใหม่ สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.

สำหรับการตรวจสอบสิทธิต้องเข้าไปที่เว็บไซด์เราชนะ กดที่ช่อง “ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ” หากพบว่า “ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ” สามารถแสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิได้ทางเว็บไซต์เราชนะ ตั้งแต่ 8 ก.พ. ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิ ทางกระทรวงการคลังจะโอนวงเงินให้ครั้งแรก 2,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เริ่มวันที่ 18 ก.พ. และจะทยอยโอนให้จนครบ 7,000 บาท ในปลายเดือนมี.ค. จึงขออย่าได้กังวลที่ตอนนี้ไม่มีวงเงินโอนไปถึงมือ

ขณะที่กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการเยียวยา  ภายใต้โครงการ “ม33 เรารักกัน” โดยกระทรวงแรงงานให้ข้อมูลว่า ผู้ประกันตนฯจะได้รับการช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 4,000บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง มีเงื่อนไขคือ ต้องไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 5 แสนบาท ไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเปิดให้เริ่มลงลงทะเบียนช่วงกลางเดือนนี้ ที่  www.ม33เรารักกัน.com การโอนเงินจะแบ่งเป็น 4 ครั้ง ตั้งแต่มี.ค.- เม.ย. เรื่องนี้จะเสนอให้ครม. พิจารณา วันที่ 15 ก.พ. และสิทธิการใช้เงินของทุกกลุ่มมีถึงวันที่ 31 พ.ค. ใช้ไม่หมดในแต่ละงวดสามารถสะสมไว้ได้

กว่า 1 ปีที่โลกเผชิญ ‘โควิด-19’ ไวรัสมรณะที่ทำให้โลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่โรคระบาดเกิดขึ้น ณ ‘เมืองอู่ฮั่น’ แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัย ‘สามก๊ก’

โคโรน่าไวรัส​ &​ อูฮั่น​ &​ หูเป่ย​ &​ สามก๊ก
เล่าปี่ผู้รวบรวมแคว้นตะวันตก​ เกงจิ๋วและเฮ็กจิ๋วเป็น​ " สถาปนาจ๊กก๊ก"

ซุนกวน​ ผู้สอบทอดอำนาจจากพ่อและพี่ชาย​ สืบสานดินแดนด้านตะวันออก​เฉียงใต้​แห่งกังตั๋ง เป็นแคว้น​  "เป็นง่อก๊ก"
โจโฉ​ ผู้รวบรวมดินแดนทางเหนือ​กำราบเมืองต่างๆเป็นปึกแผ่น "สถาปนาวุยก๊ก"

ความตอนหนึ่ง​ จากการบันทึกจดหมายเหตุ​ของ โจโฉ​แพ้ทัพ​" ศึกผาแดง​ " ตามหนังดัง​สร้างโดย​ จอห์น​ ซู​ เรื่อง​  Red​ Cliff
เล่าปี่​ และซุนกวน​ ร่วมมือกันยัน​โจโฉ​ ที่เมือง​จีบี้​ (Chibi) ด้านล่างของเมือง​อูฮั่น​ มณฑลหูเป่ย​ จนโจโฉแตกทัพพ่ายแพ้ยับเยิน​ โจโฉอ้างว่าเพราะทหารติดโรคระบาดตายกันเป็นเบือ​ ที่เมืองอูฮั่น​ มณฑล​หูเป่ย

แต่ทางเล่าปี่ และซุนกวน​ บอกว่าแพ้เพราะการทหาร​ และกลยุทธ์
ดังนั้นเมืองอูฮั่น​ และเมืองรอบๆ​ ในมณฑลหูเป่ย​ กลางแผ่นดินจีน​ เคยมีโรคระบาด​ ประมาณ​ 2,000​ ปีที่แล้ว​ อาจจะไม่ใช่ครั้ง​แรก​ ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นกลางแผ่นดินจีน



Cr : รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ
https://youtu.be/g8yGrer0RGY
.
https://youtu.be/pd0bqLQrtdE

‘ธนกร’ โวลั่น ประชาชนปลื้มผลงานรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ ‘เราชนะ’ เยียวยา 41 ล้านคน เหน็บฝ่ายค้าน ซักฟอกอย่าดีแต่โม้ ไม่เอาประเภทสาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ ขอแบบเน้น ๆ และเนื้อหาสร้างสรรค์ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ ชี้แจงได้สบาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19นั้น ในโครงการเราชนะ รัฐบาลจะช่วยเหลือเยียวยาจำนวน 41 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.8 ล้านคน กลุ่มผู้ใช้แอพกระเป๋าตังค์จำนวน 17 ล้านคน และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อีก 9 ล้านคน รวมทั้งกลุ่มอื่นๆ อีก 1.2 ล้านคน สำหรับในส่วนผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโอนเงินให้แล้วล็อตแรก สร้างความพอใจให้ประชาชนอย่างมาก
สำหรับทุกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และโครงการ ม.33 เรารักกัน จะสามารถช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ เป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ฝากขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งมั่นช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
นายธนกร กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านโหมโรงฉายหนังตัวอย่างกันอย่างเต็มที่ประเภทบู๊ล้างพลาญ โดยประกาศจะล้มรัฐบาลให้ได้ รัฐบาลก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกประเด็น โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์นั้นพร้อมมาก เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดอะไร และบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์ ส่วนกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า วางตัว 15 ส.ส.อภิปรายแบบจัดหนัก ข้อมูลแน่น หลักฐานชัดนั้น ขอให้ข้อมูลแน่นจริงๆ อย่าน้ำท่วมทุ่ง ขอให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ อย่าอภิปรายแบบสาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ รัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกประเด็น จะได้ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ รวมไปถึงจะได้แสดงผลงานของรัฐบาลไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตนมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนเข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโควิด-19

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ พบส่วนใหญ่หนุนเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมาย แม้ไม่สนใจเล่น ชี้ผลดีการเก็บภาษี ผลเสียเป็นหนี้ คนไม่ทำงาน ภาระสังคม

จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายครั้งพบว่าบ่อนพนันเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ของการแพร่เชื้อ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหลากหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นควรกวดขันไม่ให้มีบ่อนผิดกฎหมาย หรือควรมีการเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมาย เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน 

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณี ‘การเปิดบ่อนพนัน’ ในหัวข้อ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ จำนวน 1,929 คน สำรวจวันที่ 27 ม.ค. – 5 ก.พ. 2564 พบว่า จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามสถานที่ต่าง ๆ ประชาชนให้ความสำคัญกับกรณีการแพร่ระบาดจากการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานเถื่อนมากที่สุด ร้อยละ 92.55 รองลงมาคือ การแพร่ระบาดจากบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ร้อยละ 86.30 

โดยมองว่าการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายนั้นไม่ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ได้ ร้อยละ 51.63 และเห็นว่าช่วยได้ ร้อยละ 30.12 ผลดีของการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมาย คือ ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี ร้อยละ 81.97 ผลเสียคือ เป็นหนี้ คนไม่ทำงาน เป็นภาระให้ครอบครัว ร้อยละ 69.22  ภาพรวมเห็นด้วยหากจะมีการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย ร้อยละ 50.70 แต่ไม่สนใจไปใช้บริการ ร้อยละ 83.14 

เป็นกระแสที่ถกเถียงกันในสังคมมาช้านานสำหรับประเด็นการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย แม้ผลสำรวจจะเห็นด้วยกับการเปิดบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ต้องมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตามแก้กันอีกในอนาคต   

นายยุธยา อยู่เย็น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากปัญหาการลักลอบเล่นพนันในบ่อนต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยนั้น ส่งผลให้สังคมไทยตื่นตัวและเฝ้าจับตามองการรายงานสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เป็นสิ่งที่ยากต่อการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย เพราะผู้ติดเชื้อมักไม่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลเพราะกลัวความผิด ตลอดจนการตั้งข้อสงสัยต่อประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำถามเดิมที่ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ควรมีการเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยเสียที 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลในประเด็นดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมาย เนื่องจาก เป็นการสร้างรายได้แก่ประเทศในการจัดเก็บภาษี ลดปัญหาการทุจริต การเก็บส่วย หรือ มาเฟีย ตลอดจนทำให้ควบคุมได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็ยังคงต้องไขข้อข้องใจแก่ประชาชน ถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง อาทิเช่น ปัญหาหนี้สิน การมอมเมาประชาชน ตลอดจนการเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน เป็นต้น

7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จทำพิธีเปิด ‘เขื่อนเจ้าพระยา’ เขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่ทำประโยชน์ให้พื้นที่เกษตรภาคกลางมากว่า 64 ปี

วันนี้เมื่อกว่า 64 ปีมาแล้ว เป็นวันสำคัญเมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในการทำพิธีเปิด ‘เขื่อนเจ้าพระยา’ ซึ่งเป็นเขื่อนทดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย

กล่าวถึงเขื่อนเจ้าพระยา เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2495 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2500 โดยเป็นเขื่อนทดน้ำ ที่ไม่ใช่สำหรับกักเก็บน้ำ สร้างขวางแม่น้ำเจ้าพระยา ทำหน้าที่ยกระดับน้ำให้สูงขึ้น +16.50 เมตร จากระดับน้ำทะเล เพื่อส่งน้ำเข้าไปยังลำคลอง ในพื้นที่การเกษตร ทั้งฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา

โดยที่มาของเขื่อนเจ้าพระยานี้ เกิดจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานแนวทางการบรรเทาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเรื่องน้ำให้กับพสกนิกร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพื่อการอุปโภค บริโภค บรรเทาอุทกภัย และแก้ไขปัญหาน้ำทะเลหนุน จึงเป็นที่มาของการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาแห่งนี้

ผ่านมากว่า 64 ปีแล้ว ในวันนี้ เขื่อนเจ้าพระยาก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในการทำประโยชน์ให้พื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากเขื่อนแห่งนี้มาตลอดกว่า 7.5 ล้านไร่

อย่าเล่นกับกับมังกรผยอง!! ปักกิ่งเตรียมฟาด BBC อังกฤษ >> หลังเดือด​จัด!! เหตุ BBC เล่นข่าวจีนแบบมีอคติ​ พร้อมเปิดศึกสงครามสื่อแบบดุเดือดชนิดเกลือจิ้มเกลือ 

รัฐบาลจีนออกโรง เปิดหน้าท้าชนสื่อยักษ์ใหญ่จากฝั่งอังกฤษอย่าง BBC หลังนำเสนอข่าวบิดเบือนโจมตีรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่องมานาน และอาจถึงขั้นพิจารณาถอนใบอนุญาตเผยแพร่ข่าวในประเทศจีนด้วย

กลายเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันอย่างดุเดือดมาก  เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาประนามสื่อ BBC ว่า​ จงใจเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่เป็นกลาง และเป็นอคติต่อรัฐบาลจีน ไม่ว่าจะด้วยภาพ วิดีโอ เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอในมุมของสำนักข่าวที่เชื่อได้ว่าเป็นการครอบงำความคิดของผู้ชมอย่างเป็นระบบ​ โดยมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง 

นอกจากนี้ทางจีนยังกล่าวหาว่า BBC ปักกิ่งนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Covid-19 ที่เข้าข่าย "Fake News" โหมกระแสว่าจีนมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งทางการจีนเรียกร้องให้สำนักข่าว BBC ออกแถลงการขอโทษอย่างเป็นทางการด้วย 

เมื่อทางรัฐบาลจีนแถลงข่าวออกมาเช่นนี้ ทาง BBC ก็ไม่รอช้า สวนกลับทันทีว่าไม่เป็นความจริง และยืนยันว่านำเสนอข่าวตามความจริง อย่างไม่มีอคติมาโดยตลอด

แต่ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลจีนที่มีต่อสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของอังกฤษนี้ เป็นการตอบโต้รัฐบาลอังกฤษโดยตรง หลังจากที่ได้ถอนใบอนุญาตการเผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าว CGTN ข่าวภาคภาษาอังกฤษของจีนที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เบื้องหลังของการถอนใบอนุญาตของ CGTN เริ่มมีประเด็นมาตั้งแต่รัฐบาลจีน และ อังกฤษ ตอบโต้กันในประเด็นการประท้วงในฮ่องกง หลังจากที่จีนได้ผ่านร่างกฏหมายความมั่นคงใหม่ที่บังคับใช้ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง 

ทางรัฐบาลอังกฤษ​ ก็ได้ออกกฏหมายการเข้าเมืองให้สิทธิ์ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง British National (Overseas) สามารถลี้ภัยไปอยู่ที่อังกฤษได้ถึง 3 ล้านสิทธิ์ ซึ่งทางการจีนก็ได้ตอบโต้อังกฤษ​ ด้วยการยกเลิกการรับรองสถานะของหนังสือเดินทาง BN(O) ของชาวฮ่องกง ไม่นับเป็นเอกสารราชการของจีนอีกต่อไป จะใช้เป็นพาสปอร์ตเดินทางออกจากต่างประเทศก็ไม่ได้ด้วย 

หลังจากที่แลกหมัดกันมานานในเรื่องกฏหมายสิทธิพลเมือง ก็ย้ายมาฟาดกันต่อที่สนามสื่อ เมื่อ Ofcom หรือ กสทช ของอังกฤษ​ ได้เพิกถอนใบอนุญาตการแพร่ภาพของสำนักข่าวภาคภาษาอังกฤษของจีน CGTN เมื่อไม่นานมานี้ โดยอ้างว่า CGTN ทำผิดกฏหมายด้านสื่อมวลชนในอังกฤษ ที่ไม่อนุญาตให้สื่อได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรง และทางอ้อมจากคนของฝ่ายการเมือง

ซึ่ง CGTN เป็นสำนักข่าวลูกของ CCTV หรือ China Central Television ที่มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ส่วนสำนักงานของ CGTN ในอังกฤษเพิ่งเปิดเมื่อปี 2019 และถือใบอนุญาตในนามบริษัทเอกชนชื่อ Star China Media 

แต่ทั้งนี้ ทางอังกฤษมองว่าผู้ประกอบการปัจจุบันเป็นเพียงบริษัทบังหน้า ที่เบื้องหลังของ CGTN ก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน และใช้เป็นช่องทางกระจายข่าวสารของรัฐบาลจีน เล็งๆมานานแล้ว มามาได้จังหวะในช่วงนี้ อังกฤษจึงจัดการถอนใบอนุญาตสื่อจีนเสียเลย 

แล้วรัฐบาลจีนก็ยอมเสียที่ไหน เตรียมจัดการเล่นงานสำนักข่าว BBC สื่ออังกฤษเป็นการตอบโต้ ที่ทางจีนเชื่อว่ารายงานข่าวตามใบสั่งรัฐบาลอังกฤษเช่นกัน และหากบานปลายก็มีสิทธิ์ที่ BBC ปักกิ่งจะจอดำได้

ส่วนชาวโซเชียลจีน​ ก็ฟาดแรงไม่แพ้กัน ต่างวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารจาก BBC อย่างเผ็ดร้อน บางคนก็ตั้งชื่อให้สำนักข่าว BBC ว่าเป็น Biased Broadcasting Corporation และโจมตีสำนักข่าวดังของตะวันตกว่า "อย่าเป็นมนุษย์ CNN อย่ารายงานข่าวอย่าง BBC" 

ก็กลายเป็นการฟาดมา ฟาดกลับไม่โกง ระหว่าง  'มังกรผยอง'​ และ 'สิงโตคำราม'​ ที่พร้อมไล่บี้กันทุกสนาม แบบไม่มีใครกลัวใครทีเดียว


อ้างอิง:
https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215082.shtml

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-takes-aim-at-bbc-as-dispute-with-britain-intensifies

 

'อนุทิน'​ ยกย่องฝีมือทีมสาธารณสุข​ จัดการโควิดอยู่​ พร้อมย้ำ!! เรื่องวัคซีนโควิด-19 ไทย ต้องมีแนวทางชัดเจน และต้องผลิตได้ในประเทศ 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อสงสัยเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของไทย ว่า 

ตนและกระทรวงสาธารณสุข มองเรื่องความมั่นคงด้านสุขภาพเป็นสำคัญ โจทย์ของไทย คือ ต้องหาทางเข้าไปเป็นผู้ผลิตให้ได้ หรือต้องสามารถผลิตได้ในประเทศ ให้มี Supply Chain ที่มั่นคง และเราเลือกทางนี้มาตั้งแต่ต้น โดยได้รับการช่วยเหลือผลักดันจากทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทย มีคนเก่งในด้านนี้มากมาย เป็นเรื่องน่ายินดี 

ที่ผ่านมา ประเทศไทย จัดการการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างที่เรากำลังจัดการสถานการณ์ปัจจุบัน นานาชาติ ก็ยกให้ไทย มีระบบการควบคุมโรคติดอันต้นๆ ของโลก เพราะทีมสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง และได้รับความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วน 

ประเทศไทย ทำได้ดีมากแล้ว เราคุมโรคได้ดี และได้สิทธิ์ ผลิตวัคซีนเอง ไทยคือผู้นำด้านสุขภาพ แต่ก็มีบางฝ่ายพยายามเปรียบเทียบให้ไทยล้าหลัง เป็นผู้ตาม ในขณะที่ทั้งโลกยกย่องไทย 

อยากให้คนไทยลองมองกันให้ดี ว่าการสาธารณสุขไทย เราแย่กว่าตรงไหน จำนวนผู้ติดเชื้อ ไทย ก็น้อยกว่า จำนวนการรักษาหาย ไทยก็ดีกว่า จำนวนผู้เสียชีวิต ก็น้อยกว่า นี่คือประสิทธิภาพที่เกิดจากทีมสาธารณสุขไทย 

"แพทย์ พยาบาล อสม. ภาคส่วนต่างๆ ทำงานหนักมาก และต้องการกำลังใจ มากกว่าการที่ต้องมานั่งฟังการวิจารณ์ การเปรียบเทียบ มันบั่นทอนความรู้สึก ที่สุดแล้ว ขอให้คนไทย รับรู้ รับทราบ ความเก่งกาจของทีมแพทย์ไทย

"ทำไม ไม่คิดว่าไทยต้องเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเปรียบเทียบ ไม่ใช่ไปเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะในเรื่องการแพทย์และการสาธารณสุขให้รู้สึกว่า ไทยคือผู้นำ ให้เกิดความภูมิใจ ให้คนทำงานมีกำลังใจ อย่าคิดว่าเราด้อยกว่าผู้อื่นในเรื่องของการแพทย์และการสาธารณสุข"

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top