Wednesday, 15 May 2024
NEWS FEED

“ธนกร” ป้อง ”บิ๊กตู่” ยันรัฐบาลมีผลงานจับต้องได้ ย้อนรัฐบาลไหนกันแน่ที่มีการทุจริตจนอดีต รมต.ต้องติดคุก เหน็บเป็นฝ่ายค้านนานจนติดนิสัยค้านทุกเรื่อง

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารประเทศ 7 ปีล้มเหลวว่า นายวิสารมีโทสาคติเกินไป ตลอดระยะเวลา 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์แก้ปัญหาให้กับประเทศอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจนจนได้รับคำชื่นชมจากประชาชนทั่วประเทศ

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสงบสุขให้กับประเทศ การขยายรถไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการชิมช้อปใช้ โครงการคนละครึ่ง ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลในอดีตที่มีการทุจริตคอรัปชั่นจนมีรัฐมนตรีติดคุกมาแล้วใช่หรือไม่

นายธนกร กล่าวว่า "กรณีที่นายวิสารระบุว่า เงินเยียวยาน้อยกว่าเบี้ยประชุม ครม.นั้น เป็นเพียงวาทกรรมโจมตีรัฐบาลของคนไร้เหตุผล กลับไปกลับมา ตอนรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาก็กล่าวหารัฐบาลกู้เงินมาแจก very กู้ พอรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาก็บอกว่าน้อย ลอกของเก่ามา

สรุปคือรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาพรรคเพื่อไทยก็ด่า ไม่จ่ายก็ด่า จ่ายน้อยก็ด่า จ่ายมากก็ด่า คือทำอะไรก็ผิดไปหมด สมกับที่เป็นฝ่ายค้านนานจนติดนิสัยค้านทุกเรื่อง วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม การจ่ายเงินเยียวยาก็เป็นไปตามความเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงนี้ และนอกจากการจ่ายเงินเยียวยาแล้ว รัฐบาลก็มีมาตรการอื่นอีก

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการเงินการคลัง โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ฯลฯ นายวิสารอย่าพูดโดยไม่คิด ในภาวะที่ประชาชนทุกข์ยาก อย่าพูดอะไรโดยไร้จิตสำนึก"

รัฐบาลวอนคนไทยรักษาวินัยสู้ภัยระบาดโควิด-19 หวังผ่านพ้นช่วง 2 เดือนเมื่อไร กอบกู้เศรษฐกิจไทยทันที ย้ำเป้าหมายรัฐบาลช่วงนี้ต้องเอาให้อยู่ และดูแลสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ได้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รัฐบาลอยากให้คนไทยทุกคนช่วยกันรักษาวินัยเพื่อให้ผ่านพ้นช่วง 2 เดือนนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด

โดยเฉพาะในเดือนมี.ค.นี้ รัฐบาลตั้งใจว่าจะต้องเอาให้อยู่และดูแลสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ได้ ซึ่งการระบาดในระลอกนี้ส่วนตัวมองว่า โชคดีที่รัฐบาลมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกับการระบาดในรอบแรกมาก่อน จึงได้เตรียมความพร้อมรองรับเอาไว้แล้ว และเชื่อว่าจากนี้ทุกอย่างน่าจะปรับตัวดีขึ้น

"สิ่งสำคัญตอนนี้คือ ขอให้คนไทยช่วยกันรักษาวินัย เพราะถ้าผ่านเรื่องนี้ 2 เดือนไปให้ได้ยิ่งดี จะได้พิสูจน์ว่าเราทำได้เร็วกว่าคราวก่อนที่มีการระบาด ซึ่งรัฐบาลก็มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบนานถึง 3 เดือน มารอบนี้จะต้องไม่ทำให้ดีเท่าเดิม

เพราะต้องทำให้ดีกว่ารอบเก่าให้ได้ โดยการเยียวยาเงินให้ 2 เดือน ก็ถือว่ามีความเหมาะสมและผ่านการคิดของทุกหน่วยงานมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เรามีการเรียนรู้ประสบการณ์มาจากครั้งก่อนจึงบริหารจัดการได้ และงบประมาณที่มาจากเงินกู้ แม้ว่าจะใช้จำนวนมากแต่ก็ยืนยันว่าเพียงพอ"

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า "หลังจากสถานการณ์ดีขึ้น ก็ต้องเริ่มการฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกรอบ เพราะปีนี้รัฐบาลได้ประกาศเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นปีแห่งการดึงดูดอุตสาหกรรมสมัยใหม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ตอนนี้จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมและทำงานคู่ขนานกันไปกับการเยียวยารักษาสถานการณ์ภายในประเทศให้ดี

ล่าสุดได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ให้พยายามเร่งพบปะนักลงทุนผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ และปรับปรุงกฎกติกามารองรับ โดยจากการรายงานก็รับทราบว่า มีนักลงทุนต่างชาติหลายรายยังสนใจลงทุนในประเทศไทยอยู่"

การประชุมผู้แทนทั่วประเทศพรรคประชาชนปฏิวัติลาวครั้งที่ 11 ได้สิ้นสุดลงแล้วในเมื่อวันที่ 15 ม.ค. โดยได้มีการประกาศรายชื่อคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ (ชุดที่ 11) ที่ได้มีการเลือกตั้งกันไปเมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังปิดประชุม

คณะกรรมการศูนย์กลางพรรค ประกอบด้วยกรรมการ 71 คน และกรรมการสำรองอีก 10 คน

จากนั้นคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ทั้ง 71 คน ได้ประชุมกันทันที เพื่อคัดเลือกบุคคลที่จะเป็นกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค 13 คน ซึ่งจะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ของลาว

ผลการคัดเลือก กรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ 13 คน ประกอบด้วย

1.) ทองลุน สีสุลิด

2.) พันคำ วิพาวัน

3.) ปานี ยาท่อตู้

4.) บุนทอง จิดมะนี

5.) ไซสมพอน พมวิหาน

6.) พลเอก จันสะหมอน จันยาลาด

7.) คำพัน พมมะทัด

8.) สินละวง คุดไพทูน

9.) สอนไซ สีพันดอน

10.) กิแก้ว ไขคำพิทูน

11.) พลโท วิไล หล้าคำฟอง

12.) สีใส ลีเดดมูนสอน

13.) สะเหลิมไซ กมมะสิด

นอกจากนี้ ยังได้เลือกคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรค 9 คน ได้แก่

1.) ทองลุน สีสุลิด

2.) บุนทอง จิดมะนี

3.) คำพัน พมมะทัด

4.) สีใส ลีเดดมูนสอน

5.) คำพัน เผยยะวง

6.) อานุพาบ ตุนาลม

7.) ทองสะลิด มังหม่อเมก

8.) สุนทอน ไซยะจัก

9.) เวียงทอง สีพันดอน

ที่ประชุมได้เลือกทองลุน สีสุลิด ขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ คณะบริหารศูนย์กลางพรรค ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะได้ขึ้นเป็นประธานประเทศคนใหม่ต่อจากบุนยัง วอละจิด ด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เลือกบุนทอง จิดมะนี เป็นผู้ประจำการ คณะเลขาธิการศูนยกลางพรรค และเลือกคำพัน พมมะทัด เป็นประธานคณะตรวจตราศูนย์กลางพรรค โดยมีรองประธาน 6 คน ได้แก่

1.) วิไลวัน บุดดาคำ

2.) สีไน เมียงลาวัน

3.) สุกคำเพ็ด เรืองบุดสี

4.) ดาวบัวละพา บาวงเพ็ด

5.) ไซคำ อุ่นมีไซ

6.) วันไซ ซงซายู

ขั้นตอนต่อจากนี้ กรมการเมืองศูนย์กลางพรรค 13 คน จะคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากทองลุนอีกครั้งหนึ่ง...

(ภาพจากสำนักข่าวสารประเทศลาว)


เครดิต : Facebook : LandLink

สคบ. คุมเข้มการขายสินค้าทางสื่อออนไลน์ กำชับให้ทำงานเชิงรุกอย่างครอบคลุม ให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมมือป้องกันแก้ปัญหา และให้ความรู้กับผู้บริโภคได้รู้เท่าทันกลโกงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เจอโกงโดนผิดข้อหาหนัก

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คุมเข้มการขายสินค้าทางสื่อออนไลน์ กำชับให้ทำงานเชิงรุกอย่างครอบคลุม ให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมมือป้องกันแก้ปัญหา และให้ความรู้กับผู้บริโภคได้รู้เท่าทันกลโกงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงให้เฝ้าระวังสินค้าที่ผิดกฎหมาย คัดกรองผู้ขายสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอกลวง หากพบเจอให้รีบแจ้งที่ สายด่วน สคบ. 1166 เพื่อเอาผิดทันที

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการซื้อขายออนไลน์มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นคดีอาญามากขึ้น มีผู้บริโภคถูกฉ้อโกงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ซื้อสินค้ามาแล้วเกิดปัญหาแต่หาตัวตนของผู้ขายไม่ได้ ปิดเว็บไซต์หนี หรือผู้บริโภคโอนเงินไปแล้วกลับไม่ส่งสินค้ามาให้ จึงได้เน้นย้ำให้ สคบ. บังคับใช้กฎหมายเข้มงวดมากขึ้น หากพบว่ามีการหลอกลวง หรือทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อนให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งกฎหมายของ สคบ. หรือประสานหน่วยงานอื่นนำกฎหมายที่ดูแลอยู่ไปดำเนินการบังคับใช้

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ประชาชนต่างได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน ขอให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์อย่าซ้ำเติมความเดือดร้อนด้วยการขายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ฉ้อโกงผู้บริโภค ขอให้ซื่อสัตย์ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และก้าวผ่านสถานการณ์ไปด้วยกัน"

‘วิโรจน์’ ก้าวไกล ซัด ‘ราเมศ’ โฆษกปชป. แจ้งความประชาชน ปมใช้รูปชวนในโลกโซเชียลไม่เหมาะสม เเนะออกจากกะลา ปรับตัว เปิดตาสู่โลกโซเชียล ชี้ โฆษกต้องเป็นกลาง ใจกว้าง ย้ำชวน เร่งสั่งราเมศถอนเเจ้งความประชาชน

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายราเมศ รัตนเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปแจ้งความกับประชาชน ที่ไปตัดต่อภาพของคุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร มาทำเป็นมีมหยอกล้อต่างๆ เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่คุณศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ทวีตข้อความพร้อมภาพประกอบผ่านทวิตเตอร์ โดยระบุว่า คุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กดเครื่องชงกาแฟด้วยตนเอง

โดยประชาชนในโลกโซเชียลมีเดียต่างตั้งคำถามว่าการชงกาแฟกินเอง นั้นเป็นเรื่องพิเศษตรงไหน จนนำไปสู่การตัดต่อภาพของคุณชวนมาทำเป็นมีม (Meme) ในเชิงแซว และหยอกล้อกันแบบหนักบ้าง เบาบ้าง กันเป็นไวรัลในโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งทวิตเตอร์ และเฟสบุ๊ค และการทำมีมแซว และหยอกล้อบุคคลสาธารณะ หรือแม้กระทั่งเสียดสี ล้อเลียน และมีการแชร์ต่อๆ กันไป จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติของโลกปัจจุบัน ที่ชุมชน และการสื่อสารนั้นอยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งคนทั่วไป ที่เห็นภาพตัดต่อ ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า เป็นการแซว หรือการล้อเลียน ไม่ได้มีใครคิดว่าภาพตัดต่อนั้นเป็นภาพจริง

“เดิมผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะจากการได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณชวน ผมรู้สึกเสมอว่า คุณชวน เป็นคนใจกว้าง และพร้อมเปิดรับ และปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่ แต่พอทราบว่า คุณราเมศ รัตนเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา และโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศว่า ได้เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพคุณชวน หลีกภัย ผมยอมรับว่าตกใจมาก เพราะไม่คิดว่า โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่เข้าใจโลกสังคมออนไลน์ และไม่พร้อมปรับตัวเองให้เข้ากับการใช้สิทธิ และเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ในโลกยุคใหม่ได้ถึงขนาดนี้ และไม่รู้ว่าไปสื่อสารอย่างไรกับคุณชวน จึงทำให้คุณชวน ที่เป็นคนใจกว้าง ถึงกับยอมมอบอำนาจให้กับคุณราเมศ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชน ด้วยเรื่องแค่นี้ “ วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับนะครับว่า ในโลกยุคใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ มักจะมีชุมชน และมีการสื่อสาร และแสดงออกถึงทรรศนะของตน ระหว่างกัน ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วที่ บุคคลสาธารณะ (Public Figure) จะต้องถูกแซว ถูกเสียดสี ถูกหยอกล้อ ถูกล้อเลียน ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย อย่างกรณีของ บารัค โอบามา หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ โจ ไบเดน ก็มีภาพตัดต่อในเชิงล้อเลียน (ที่เรียกว่า Parody หรือ Irony) ออกมามากมาย แต่ทั้ง โอบามา ทรัมป์ และไบเดน ไม่เคยมีใครแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนเลย เพราะเข้าใจดีว่านี่คือ โลกยุคใหม่ ที่หากต้องการเข้าถึงประชาชน ก็ต้องใจกว้าง และยอมรับการแสดงทรรศนะของประชาชนที่แตกต่างหลากหลาย ผ่านโลกโซเชียลมีเดีย

“ ยิ่งเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่มีที่มาจากประชาชน ยิ่งควรจะต้องใจกว้างให้มากกว่าบุคคลสาธารณะประเภทอื่น เพราะในเมื่อที่มาของ ส.ส. คือ ประชาชน การไปแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชน ที่มาแสดงทรรศนะในเชิงแค่ล้อเลียน เสียดสี ผมมองว่าเป็นอะไรที่ใจแคบมาก และสะท้อนว่า ส.ส. คนดังกล่าว ไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่เลย”

ในฐานะที่ตนเป็น โฆษกพรรคก้าวไกล ที่มีความเข้าใจในโลกโซเชียลมีเดีย และสังคมออนไลน์ อยู่บ้าง ต้องขออนุญาตแนะนำ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยมิตรภาพว่า ในเมื่อโลกยุคใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ ต่างใช้ชีวิต และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในสื่อโซเชียลมีเดีย และสังคมออนไลน์ การเปิดใจให้กว้าง รับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลายของประชาชน หนักบ้าง เบาบ้าง ผ้านวมนิ่มๆ บ้าง ก้อนหินแข็งๆ บ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง เป็นสิ่งที่พรรคการเมือง ซึ่งเป็นองค์รกรที่มีความยึดโยงกับประชาชน ต้องปรับตัวให้ได้

ผมเองที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ก็ถูกภาพมีมตัดต่อ แซวอยู่เป็นระยะๆ แซวเบาๆ บ้าง เสียดสีหนักๆ บ้าง ถูกโจมตีด้วย Hate Speech บ้าง แต่ถ้าติดตามท่าทีของผม ผมจะน้อมรับการวิพากษ์วิจารณ์ และชี้แจงด้วยความสุภาพนอบน้อม โดยไม่เคยคิดที่จะแจ้งความดำเนินคดีใดๆ กับประชาชนเลย เพราะเข้าใจดีว่า ประชาชนเป็นเจ้านายของผม และผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีที่มาจากประชาชน ต้องพร้อมยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน อะไรที่จริงก็น้อมรับ อะไรที่คลาดเคลื่อนก็ชี้แจงกลับด้วยความสุภาพ ไม่เคยมองประชาชนที่ตำหนิติติงเป็นฝ่ายตรงข้ามเลย วิโรจน์ กล่าว.

ผมคิดว่าในฐานะของการเป็นโฆษกพรรค ที่ต้องเป็นตัวกลางในการเชื่อมระหว่างพรรค และประชาชน จะต้องมีความอดทนอดกลั้น คิดบวกต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ไม่มองประชาชนที่ตำหนิติติงเป็นศัตรู และไม่ควรตอบโต้ประชาชนด้วยคำพูดท้าทาย เหยียดหยาม ข่มขู่ แบ่งแยก เหมารวม กระทบกระเทียบ ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้พรรคการเมืองเดินหนีจากประชาชนออกไปเรื่อยๆ

และตำเเหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าของประชาชน ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่ประชาชนแตะต้องไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนที่ประชาชนเลือกมา กินเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน จริงๆ ต้องถือว่าเป็น “ลูกน้อง” ของประชาชน ด้วยซ้ำ การที่ ส.ส. ไปแจ้งความประชาชน จริงๆ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมากๆ ยิ่งทำแบบนี้ ยิ่งวางให้ตน และพรรคของตน เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชน ยกตัวเองให้ลอยเหนือประชาชน ซึ่งในระยะยาวผมไม่เชื่อว่าจะเป็นผลดีกับพรรคการเมืองที่ทำแบบนี้เลย

“การแจ้งความกับประชาชนในกรณีนี้ ผมเข้าใจว่า เป็นความผิดส่วนบุคคล ที่สามารถถอนการแจ้งความได้ และผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าคุณชวน หลีกภัย ได้อ่านบทความนี้ของผม จะทราบดีถึงความเคารพของผมที่ต่อคุณชวน ได้เป็นอย่างดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณชวน ในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ จะให้คำแนะนำกับคุณราเมศ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยความเมตตา เพื่อป้องกันไม่ให้คุณราเมศ แสดงท่าทีที่เป็นศัตรูกับประชาชนอีกเลย และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ควรปรับตัวให้เข้ากับสังคมในโลกยุคใหม่ได้แล้ว

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณชวน จะมอบอำนาจให้คุณราเมศ ไปถอนแจ้งความกับประชาชนในเร็ววันนี้ครับ“ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้าย

‘รมว.ยุติธรรม’ เผย ผลตรวจ ‘เคนมผง’ มีไดอาซีแพมเกินคนรับไหวถึง 20 เท่า อาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต ชี้เป็นสารควบคุมใช้ผลิตยานอนหลับ สั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เร่งประสาน อย.ตรวจสอบเล็ดลอดจากไหน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แถลงถึงกรณียาเสพติด เคนมผง ที่ระบาดจนทำให้มีผู้เสพผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ว่า ข้อมูลเคนมผง จากแล็ปของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่ได้นำสารตัวอย่างมาวิเคราะห์พบว่าเกือบ 100% เป็นสารไดอาซีแพม จากการสืบทราบในกลุ่มผู้เสพไดอาซีแพม 1 กรัมมีราคา 450-600 บาท ซึ่งไดอาซีแพม คือสารที่ใช้ทำยานอนหลับหรือ แวเลียม ตามมาตรฐาน

1 เม็ด จะประกอบด้วยไดอาซีแพม 2 มิลลิกรัม และปกติทางการแพทย์การใช้ยาแวเลียม 10 มิลลิกรัม หรือ 5 เม็ด ถือว่าอันตรายถึงชีวิตแล้ว แต่จากรายงานการตรวจพิสูจน์ 5 ตัวอย่าง พบว่าสารตัวอย่างมีความเข้มข้น 93-99% ตกแล้วผู้เสพ 1 คนใช้แวเลียมถึงคนละ 200 มิลลิกรัม หรือ 100 เม็ด นี่จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า "ทั้งนี้สารไดอาซีแพม เป็นสารควบคุม โดยองค์การอาหารและยา(อย.) ไม่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ใช้สำหรับโรงงานผลิตยาเท่านั้น ซึ่งตนได้สั่งการให้ ป.ป.ส.เร่งตรวจสอบที่มา โดยประสานทาง อย.ขอข้อมูลจากโรงงานที่ขออนุญาต เพื่อตรวจสอบว่าสารดังกล่าวเล็ดลอดมาจากที่ไหนหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้นำสารดังกล่าวมาใช้ในทางที่ผิด เป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับประชาชนต่อไป"

โฆษก กอ.รมน. แจงยิบปม “ติดตั้งโซลาเซลล์อมก๋อย” ท้าลงพื้นที่ตรวจสอบแพงไม่แพง ลั่นเป็นไปตามราคามาตรฐานกรมบัญชีกลาง เปิดประมูลราคาแฟร์เกม มั่นใจกอ.รมน.ทำหน้าที่ หลังฝ่ายการเมืองจ้องยุบ

พล.ต. ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แถลงถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตการจัดทำโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ของ กอ.รมน.ภาค 3 ว่า การแถลงข่าวครั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจ ไม่ได้เป็นการตอบโต้โดยยึดจากข้อมูลที่มีอยู่และย้ำว่าเอกสารที่ถูกนำมาเผยแพร่ก่อนหน้านี้เป็นของกอ.รมน.จริง

ทั้งนี้ขอชี้แจงว่าการจัดทำโครงการฯ เดิมมีการเสนอราคาไปจำนวน 54 ล้านบาท แต่จากการลงพื้นที่ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในปี 2562 ได้ปรับลดงบประมาณเหลือ 45,100,000 บาท เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 215 กิโลวัตต์ พร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่ลิเธียม) ขนาดความจุ 998 กิโลวัตต์ – ชั่วโมง พร้อมติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าชุมชนระยะทาง 5,409 เมตร ติดตั้งเสาไฟฟ้าแสงสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 120 ชุด และโรงคลุมแบตเตอรี่ในพื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จำนวน 5 แห่ง

ได้แก่ หมู่บ้านพะอัน ต.สบโขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 30.72 กิโลวัตต์ หมู่บ้านจกปก ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 51.20 กิโลวัตต์ หมู่บ้านห้วยไก่ป่า ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 51.20 กิโลวัตต์ หมู่บ้านมูเซอหลังเมือง ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 51.20 กิโลวัตต์ และศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงพื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 30.72 กิโลวัตต์

พล.ต. ธนาธิป กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2561 ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงพื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้ลงพื้นที่สำรวจ ความต้องการของประชาชนเกี่ยวกับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ทำการประชุมประชาคมของประชาชนทั้ง 4 หมู่บ้าน และเจ้าหน้าที่ของ 3 อบต. ได้แก่ อบต.สบโขง อบต.แม่ตื่น และอบต.ม่อนจอง โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ดำเนินการติดตั้งระบบฯ กอ.รมน.ภาค 3 จึงได้เสนอโครงการเข้ารับการสนับสนุนงบประมาณในกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในปี 2562 ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างได้ดำเนินการตามพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560

โดยกำหนดราคากลางของโครงการตามบัญชีราคามาตรฐานของกรมบัญชีกลาง และการสืบราคาจากท้องตลาด โดยใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ถือเป็นวิธีที่แฟร์เกมที่สุด ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการทั่วไปยื่นข้อเสนอที่ผ่านมามีผู้สนใจยื่นรับเอกสารผ่านระบบฯ จำนวน 4 ราย และมีผู้ยื่นเสนอราคา จำนวน 3 ราย เมื่อตรวจสอบเอกสาร ตามเงื่อนไขปรากฏว่ามีผู้ยื่นเอกสารที่ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ราย คือ บ.ทีซัส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บ.บี.เอ็น.โซล่าร์ เพาเวอร์ จำกัด ส่วนกิจการร่วมค้า เอ็ม เอ็ม ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดยื่นเอกสารไม่ถูกต้อง และไม่ครบถ้วน จำนวน 11 รายการ ซึ่งเป็นเอกสารที่เป็นสาระสำคัญต่อผลสำเร็จของโครงการจึงไม่ผ่านการคัดเลือกสำหรับบ.บี.เอ็น.โซล่าร์ เพาเวอร์ จำกัด ที่เป็นผู้ชนะการประกวดราคาในราคา 45,100,000 บาทที่ได้จดทะเบียนตั้ง บริษัทในปี 2557 วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทเพื่อประกอบกิจการด้านพลังงานทดแทนอย่างชัดเจน ประกอบกับมีผลงานการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานวงเงินไม่น้อยกว่า 12 ล้านบาทตามเงื่อนไข

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทที่ชนะการประกวดราคามีนามสกุลเดียวกับนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทยนั้น เรื่องดังกล่าวตนไม่ทราบ แต่การดำเนินการกอ.รมน.ใช้วิธีการประกาศเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาประกวดราคา เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาประกวดราคาจะนามสกุลใดก็แล้วแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ขอให้มีรายละเอียดตรงตามที่กำหนด

พล.ต. ธนาธิป กล่าวอีกว่า การดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ครั้งนี้มีเป้าหมายหลักไปยังพื้นที่สาธารณะประโยชน์ และพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน ได้แก่ อาคารเรียน ศาลาประชาคมประจำพื้นที่ และเสาไฟส่องสว่างตามเส้นทางภายในหมู่บ้าน ส่วนโครงข่ายไฟฟ้าชุมชนที่ให้ประชาชนใช้งานภายในบ้านจะดำเนินการต่อไป

ที่ผ่านมา กอ.รมน. ได้ดำเนินการตรวจรับงานแล้ว เมื่อเดือนก.ย. 63 ระบบสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมจัดทำบัญชีคุมอุปกรณ์การผลิตไฟฟ้าฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการโอน/ส่งมอบระบบให้ทั้ง 3 อบต. ใช้งาน โดยเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 63 กอ.รมน. ได้ส่งหนังสือการพิจารณายืนยันการรับมอบระบบฯ ไปยัง 3 อบต. ภายหลังจากอบต. ตอบหนังสือยืนยันกลับมาแล้วจึงจะทำการโอนระบบให้อบต. แล้วจึงจะบริหารจัดการระบบโครงข่ายไฟฟ้าชุมชน โดยการเชื่อมสายไฟเข้าไปในตัวบ้านเพื่อใช้งานต่อไป

เมื่อถามว่า มีการเปรียบเทียบราคาว่าทำไมของกอ.รมน. แพงกว่าของน.ส.พิมพ์พรรณ สรัลรัชญ์ หรือพิมรี่พาย เน็ตไอดอลชื่อดัง ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่หมู่บ้านแม่เกิบนั้น พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า จะถูกหรือแพงสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งต้องไปดูบัญชีราคามาตรฐานของกรมบัญชีกลาง ระเบียบกระทรวงการคลังตามพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุปี 2560 อีกทั้งเหตุราคาของกอ.รมน.ที่สูงกว่า เพราะมีอุปกรณ์ส่วนควบหลายส่วน มีโรงเก็บแบตเตอรี่ การลากสายไฟฟ้าไปยังครัวเรือนต่างๆ รวมถึงเสาไฟฟ้าในพื้นที่หมู่บ้าน

ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในโครงการที่กอ.รมน.ดำเนินการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านให้อยู่ดีกินดีที่เป็นปัญหาความมั่นคง ทั้งหมดสามารถตรวจได้ และกอ.รมน.ภาค 3 ยินดีให้ความร่วมมือ หากใครต้องการลงพื้นที่ไปตรวจสอบ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่มีการฟ้องกลับกับคนที่โจมตีพาดพิงกอ.รมน. เพราะถือเป็นเรื่องดีที่มีการช่วยตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริต

สำหรับกรณีที่ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมกอ.รมน.ไม่ทำโครงการดังกล่าวในหมู่บ้านแม่เกิบที่ตกเป็นข่าวนั้นก็เพราะว่าหมู่บ้านแม่เกิบอยู่ไกลจาก 4 หมู่บ้านในกลุ่มเดียวกันนี้ ซึ่งปกติแล้วการจัดทำโครงการจะเลือกหมู่บ้านใกล้เคียงกัน ไม่กระโดดออกไปในระยะที่ห่างไกลกันมากนัก หากไม่มีกรณีที่เกิดขึ้นทางกอ.รมน.ก็จะทำแผนโครงการติดตั้งพลังงานทดแทนให้อยู่แล้ว เพราะเป็นพื้นที่ทุรกันดารและไม่มีไฟฟ้าใช้

เมื่อถามถึงกรณีที่มีเพจดังรายงานข้อมูลโครงการจัดทำแผงโซล่าเซลล์ของกอ.รมน. 20 จุดในพื้นที่ ขจ.ตาก และจ.แม่ฮ่องสอน เมื่อปี 2561 รวม 45,590,000 บาท ไม่มีจุดไหนใช้งานได้สักจุดนั้น พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า ตนได้ตรวจสอบกับกอ.รมน.ภาค 3 พบว่าเมื่อเดือนก.ค. 63 ได้มีการเข้าไปแก้ไขตรวจสอบทั้ง 20 จุดตามวงรอบปกติของประกันบริษัทที่ดูแล แต่เชื่อว่ามีบางจุดอาจต้องซ่อมแซมหรือใช้ไม่ได้ แต่เชื่อว่าคงไม่ถึง 20 จุด ทั้งนี้ขอให้ไปตรวจสอบกับประชาชนในหมู่บ้านว่าใช้งานและได้ใช้ประโยชน์จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามการใช้งานในภาพรวมคงต้องใช้ไปก่อน ถึงจะรู้ว่าต้องปรับปรุงส่วนใดหรือไม่ แต่ยืนยันการดำเนินงานมีประกันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า ขณะนี้พรรคการเมืองโจมตีบทบาทหน้าที่กอ.รมน. และเสนอยุบหน่วยงานนี้ พล.ต.ธนาธิป กล่าวยืนยันว่า กอ.รมน. มีบทบาทประสานงานกับหลายภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เร็วขึ้น พร้อมทั้งให้ความสำคัญในแต่ละพื้นที่ โครงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหน้าที่ของ กอ.รมน. เพราะการอยู่ดีมีสุขเป็นเรื่องของความมั่นคง

พนักงานขับรถไฟใต้ดินญี่ปุ่น ติดโควิดแล้ว 38 ราย คาดจับก๊อกน้ำระหว่างแปรงฟัน ทำเชื้อแพร่กระจาย เบื้องต้น มีคำสั่งให้พนักงานจับก๊อกน้ำด้วยกระดาษเช็ดมือ และพิจารณาเปลี่ยนก๊อกน้ำเป็นระบบเซนเซอร์

เว็บไซต์ Toyo Keizai ของญี่ปุ่น รายงานว่า สถานการณ์โควิด 19 ในญี่ปุ่นขณะนี้ ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการทำงานของระบบขนส่งสาธารณะ โดยล่าสุดพบว่า รถไฟใต้ดินโทเอ (Toei Subway) สายโอเอโดะ (Oedo Line) ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินสายสำคัญในกรุงโตเกียว กำลังเผชิญสภาวะคับขัน เมื่อมีพนักงานขับรถไฟติดโควิด 19 แล้วจำนวนมากถึง 38 ราย

เบื้องต้น ทางสำนักงานได้มีคำสั่งให้พนักงานขับรถไฟจับก๊อกน้ำด้วยกระดาษเช็ดมือ และให้ล้างมือฆ่าเชื้อให้สะอาดทุกครั้งหลังการใช้งาน พร้อมทั้งกำลังพิจารณาเปลี่ยนระบบก๊อกน้ำของพนักงานให้เป็นระบบเซนเซอร์ทั้งหมด

โดยรายงานเผยว่า เริ่มพบพนักงานขับรถไฟติดเชื้อรายแรก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็พบพนักงานขับรถไฟติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทีละคน กระทั่งยอดรวมเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา พบว่ามีมากถึง 38 ราย คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานขับทั้งหมด

ตามรายงานของสำนักงานขนส่งมวลชนกรุงโตเกียว ระบุว่า พนักงานขับรถไฟทั้ง 38 ราย พักอยู่ในอาคารของรัฐบาล ในเขตโคโตะ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับขับรถไฟขบวนแรก ห้องนอนเป็นห้องส่วนตัวมีการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกวัน แต่ห้องน้ำและห้องครัวใช้ร่วมกัน

จากการสอบสวนเส้นทางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เจ้าหน้าที่คาดว่า จุดแพร่เชื้อมาจากก๊อกน้ำในห้องน้ำ โดยเริ่มจากพนักงานแปรงฟันในห้องน้ำ จากนั้นก็จับที่ก๊อกน้ำ เมื่อพนักงานรายอื่นที่มาจับต่อ ๆ กัน จึงรับเชื้อที่ตกค้างไป ซึ่งถือว่าเป็นจุดสัมผัสเสี่ยงอันตราย

สำหรับรถไฟใต้ดินสายโอเอโดะนี้ เชื่อมต่อจุดสำคัญหลายจุดใจกลางกรุงโตเกียว เช่น ชินจุกุ และรปปงหงิ อีกทั้งยังมีส่วนหนึ่งขยายไปถึงเขตเนริมะ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เฉลี่ยมีผู้ใช้งานมากถึงประมาณ 980,000 รายต่อวัน


ขอบคุณข้อมูลจาก Toyo Keizai

โดนอีกหนึ่งราย!! กระสุนสั่งลา จาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่กำลังจะกลายประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ล่าสุดสั่งแบน ‘Xiaomi’ ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่จากจีนเพิ่มอีกหนึ่งราย ตามรอย 'Huawei' และ ‘ZTE’ ที่โดนแบนไปแล้วก่อนหน้านี้

เหตุการณ์นี้เกิดจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ที่ได้เสนอชื่อ บริษัท จีน 9 แห่งให้ติดบัญชีดำด้านการลงทุน ซึ่งรวมถึง Xiaomi ผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติจีน โดยสหรัฐกล่าวหาว่าเป็น “บริษัททหารของจีนคอมมิวนิสต์” ที่ดำเนินการไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายของมาตรา 1237 ของพระราชบัญญัติการให้อำนาจในการป้องกันประเทศปีงบประมาณ 2542

สหรัฐฯให้คำจำกัดความ “บริษัททหารของจีนคอมมิวนิสต์” เป็น “บุคคลใด ๆ ที่ระบุในสิ่งพิมพ์ของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมหมายเลข VP-1920-271-90 ลงวันที่กันยายน 1990 หรือ PC-1921-57- 95 ลงวันที่ตุลาคม 1995 และการปรับปรุงสิ่งตีพิมพ์เหล่านั้นเพื่อวัตถุประสงค์ของส่วนนี้” รวมทั้ง“ บุคคลอื่นใดที่ – (i) เป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยกองทัพปลดปล่อยประชาชน และ (ii) มีส่วนร่วมในการให้บริการทางการค้าการผลิตการผลิตหรือการส่งออก”

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า Xiaomi เกี่ยวพันกับเงื่อนไขที่ว่าอย่างไร เนื่องจากส่วนใหญ่บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์นักลงทุนชาวอเมริกันจะต้องถอนการถือครองในแต่ละ บริษัท ที่อยู่ในบัญชีดำภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นั่นเป็นเพราะคำสั่งของผู้บริหารที่ลงนามโดยประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 โดยห้ามไม่ให้ชาวอเมริกันลงทุนใน บริษัท ใด ๆ ที่เพิ่มเข้ามา รายการของ DOD บริษัทที่เคยอยู่ในบัญชีดำนี้ ได้แก่ Huawei และ SMIC

สิ่งนี้หมายถึงอนาคตของ Xiaomi อยู่ในความไม่แน่นอนทันที เนื่องจากแม้ว่าจะไม่ใช่การห้ามการค้าทั้งหมด แต่ก็เป็นไปได้ว่า บริษัท ได้รับเงินลงทุนจำนวนมากจาก บริษัท ในสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น Qualcomm Ventures ได้ลงทุนต่อสาธารณะใน Xiaomi ดังนั้น ภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน Qualcomm อาจจำเป็นต้องยกเลิกการถือครอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Xiaomi แต่โชคดีสำหรับบริษัทที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน

หาก Xiaomi ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อเอนทิตีของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (เช่นเดียวกับ Huawei และ DJI ) บริษัทจะถูกห้ามไม่ให้ดำเนินธุรกิจใด ๆ กับ บริษัทที่อยู่ในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ บริษัทใดๆ ที่ใช้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักซึ่งรวมถึงโรงหล่อชิปและ บริษัท ออกแบบชิปจำนวนมากก็จะถูกห้ามการค้ากับ Xiaomi

ตำแหน่งของ Huawei ในรายชื่อเอนทิตีทำให้ความสามารถในการขายสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android ในต่างประเทศถูกทำลายเนื่องจากไม่มีใบอนุญาต GMS ตำแหน่งดังกล่าวยังทำให้ความสามารถของ HiSilicon ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ Huawei เกิดอุปสรรคในการออกแบบชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM รุ่นใหม่

โชคดีสำหรับ Xiaomi พวกเขามีเวลาเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดซึ่งยังไม่เกิดขึ้น

“ไม่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นเรามีแผน B แต่เหนือสิ่งอื่นใดเรากำลังลงทุนอย่างมากในผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายรายในจีน และเราเชื่อว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจของเราไม่ควรถูกกำหนดโดยการตัดสินใจของนักการเมือง

จนถึงตอนนี้เราได้เลือกใช้ส่วนประกอบที่ดีที่สุดในผลิตภัณฑ์ของเราและเราจะดำเนินการต่อไปในอนาคต” Abi Go ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Xiaomi กล่าว

แต่ในโชคร้ายยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ อาจเป็นไปได้ว่าฝ่ายบริหารของว่าที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ อาจลบ Xiaomi ออกจากบัญชีดำนี้ แม้ว่าจะยังไม่รับประกันข่าวดังกล่าวก็ตาม

นับจากวันนี้ไป เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ของคนที่เป็นสาวก Xiaomi เลยทีเดียว เพราะสมาร์ตโฟน Xiaomi รุ่นใหม่ๆ ก็อาจจะใช้บริการ YouTube, Google Maps ไม่ได้ เหมือนแบบที่ Huawei เป็นอยู่ตอนนี้

จัดหนัก แรมโบ้-สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อัด ปิยบุตร แสงกนกกุล เล่นการเมืองไม่เลิก หลังจุดชนวนยกเลิก ม.112 ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เพราะมีปัญหาในทุกมิติว่า

“ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายปิยบุตร ในสมองถึงยังคงวนเวียนกับการเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา112 เพราะขณะนี้เป็นช่วงที่ประเทศต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากสถานการณ์โควิด-19 แทนที่ควรให้หยุดพูดในเรื่องนี้ก่อนและหันมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ในสมองกลับคิดแต่จะวางแผนในเรื่องก้าวล่วงสถาบัน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า "การที่นายปิยบุตร ระบุว่าขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เสียงสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112 มีมากกว่าเดิมเยอะ ประชาชนจำนวนมากพร้อมสนับสนุน นั้นก็อยากถามกลับว่า แล้วประชาชนที่ไม่สนับสนุนให้มีการยกเลิกมาตรา112 มีจำนวนมากมากมายมหาศาลเต็มแผ่นดินเช่นเดียวกันนายปิยบุตรก็รู้แก่ใจ ซึ่งตนเองมั่นใจว่ามีมากกว่าหลายเท่า อย่ามาเดาเข้าข้างตัวเองแบบมั่วๆ เอาเอง คนไทยเกือบทั้งแผ่นดินต้องการมีมาตรา112 ให้คงอยู่และต้องการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดกับคนที่ฝ่าฝืนกระทำผิดมาตรา112 เอามาลงโทษตามกฎหมายให้ได้เด็ดขาด"

นายสุภรณ์ กล่าวว่า "สถาบันที่เป็นที่เคารพและศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ แต่นายปิยบุตรคิดแต่จะเข้าข้างตัวเองว่ามีคนสนับสนุนจำนวนมาก แต่ไม่สนใจความคิดหรือจิตใจของคนทั้งประเทศ สิ่งที่นายปิยบุตร พูดคือความคิดที่คนไทยอ่านออกว่า เป้าหมายคือการจวบจ้วงก้าวล่วงคิดล้มล้างสถาบัน คนไทยไม่ได้โง่อย่ามาวางแผนคิดทำลายสถาบันเลย คนไทยไม่ยอมแน่นอน"

“และที่นายปิยบุตรบอกว่าไม่ควรมีใครถูกจำคุกเพียงเพราะการใช้เสรีภาพในการแสดงออก และจะปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” โดนตั้งข้อหา ดำเนินคดีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นั้น ขอให้นายปิยบุตรกลับไปดูพฤติกรรมของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยว่าเป็นอย่างไร และการดูหมิ่นกล่าวให้ร้ายคนอื่นนั้นนายปิยะบุตรถือเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่ ทั้งนี้การชุมนุมก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่

นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า นายปิยบุตรเป็นถึงอาจารย์ แต่กลับทำตัวไม่มีเหตุผล เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวเอง โดยไม่สนใจที่จะฟังเสียงคนอื่น ไม่สนใจในสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น คนแบบนี้ตนเองมองว่าไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ หรือแม้แต่จะเป็นนักการเมืองที่ถือเป็นผู้แทนของประชาชน "จำไว้ ถ้าอยู่อย่างปกติเหมือนคนทั่วไปมาตรา112 ไม่เคยเดินไปเล่นงานใครก่อน มีแต่นายปิยบุตรและพวกที่เดินมาหามาตรา112 เองต่างหาก กฎหมายจึงต้องบังคับใช้ เป็นเพราะนายปิยบุตรและพวกในหัวสมองในจิตใจ ไม่เคยจงรักภักดีและไม่เคยหวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ จึงต้องการยกเลิกมาตรา112 อย่าคิดว่าคนไทยที่รักสถาบันจะโง่ ตามความคิดนายปิยบุตรไม่ทัน และคนไทยที่รักสถาบันปกป้องสถาบันจะไม่มีวันยอมให้ยกเลิกมาตรา112 เด็ดขาด"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top