Tuesday, 14 May 2024
NEWS FEED

‘แรมโบ้’ ยืนยัน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยฉวยโอกาสจับแกนนำผู้ชุมนุม หลัง ‘รังสิมันต์’ ออกโรงปกป้อง สวนกลับ สมองคิดแต่จะสนับสนุนหรือปกป้องคนจาบจ้วงสถาบัน

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และโฆษก กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก นายสิริชัย นาถึง หรือนิว แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พ่นสีพระบรมฉายาลักษณ์ เขียนข้อความปล่อยเพื่อนเราไม่ผิดกฎหมาย ม.112 ว่า

ตำรวจไม่ได้ฉวยโอกาสจับใคร หรือซ้ำเติมกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะกับแกนนำผู้ชุมนุม แต่ตำรวจต้องทำตามกฎหมายจับกุมผู้ที่กระทำความผิดทุกคน รวมถึงได้ทำงานอย่างหนักในการปราบปรามลักลอบขนแรงงานข้ามประเทศ บ่อนการพนัน หรือยาเสพติด เพียงแต่คนอย่างนายรังสิมันต์มีแนวความคิดสนับสนุนกลุ่มคนที่คิดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่เคยคิดออกมาห้ามปรามคนที่ทำผิดกฎหมายมาตรา112 จึงพยายามกล่าวหาเจ้าหน้าที่และปกป้องคนที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันตลอดมา

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายรังสิมันต์เป็นถึงโฆษก กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน แต่กลับปกป้องคนที่ทำผิดกฎหมายและอ้างว่าการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมสาธารณะแต่การชุมนุมที่ไปละเมิดคนอื่นกลับมองไม่เห็น ยิ่งกระทำความผิดกฎหมายตามมาตรา112 ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ที่จงรักภักดี ทำไมพรรคก้าวไกลไม่เคยคิดออกมาห้ามบ้าง หรือว่าเป็นอีแอบตัวจริงที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้คนเหล่านี้กระทำความผิดมาตรา112

ตนเข้าใจว่านายรังสิมันต์เคยเป็นนักเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ก็ต้องปกป้องกันแต่ขณะนี้นายรังสิมันต์มีสถานะที่เป็นถึง ส.ส.ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯและยังได้เป็นโฆษก กมธ.กฎหมายฯเวลาที่จะทำอะไร หรือจะปกป้องใครขอให้ใช้สมองคิดตริตรองให้ดีเสียก่อนว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ และก็ควรให้เกียรติกับตำแหน่ง ส.ส.ที่ตนเองเป็นอยู่ด้วย

“หากนายรังสิมันต์ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแกนนำผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย นายรังสิมันต์ในฐานะโฆษก กมธ.กฎหมาย ก็ควรไปขอให้แกนนำยุติการชุมนุม และขอให้แกนนำอย่าทำผิดกฎหมาย อย่าให้ร้าย ก้าวล่วงสถาบันในทุกรูปแบบ ทำแบบนี้ถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตนยืนยันมาตรา112 ไม่เคยไปใช้รังแกใคร มีแต่คนที่ไม่หวังดีต่อสถาบัน คิดร้ายต่อสถาบันไปท้าทายฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา112 เสียเอง ดังนั้นบ้านเมืองมีขื่อมีแปร กฎหมายต้องเป็นกฎหมายเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด"นายสุภรณ์กล่าว

‘เทพไท’ เตรียมชง ประชาธิปัตย์ ส่งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรค แย้ม 4 รายชื่อเหมาะลงสมัคร "องอาจ-สามารถ-พนิต-ปริญญ์" พร้อมยืนยันไม่มีการฮั้วทางการเมืองกับพรรคหรือกลุ่มการเมืองใด ๆ

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)ในขณะนี้ว่า หลังจากคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นขึ้นตามลำดับ ส่วน กทม.ซึ่งเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ก็จะมีการเลือกตั้งด้วย จึงทำให้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.กันอย่างคึกคักจำนวนหลายคน

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ และเคยเป็นผู้บริหาร กทม.มาหลายสมัย แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ออกมา อาจจะทำให้สมาชิกพรรค แฟนพันธุ์แท้ หรือกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค เกิดคำถามได้ว่าทางพรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคหรือไม่

ซึ่งเรื่องนี้โดยหลักการแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะต้องส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อย่างแน่นอน เพราะเป็นพรรคการเมืองที่เคยครองพื้นที่ กทม.อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน มีฐานเสียงในเขตพื้นที่ กทม.หนาแน่นและเป็นอุดมการณ์ของพรรคที่สนับสนุนหลักการกระจายอำนาจอย่างชัดเจน ซึ่งมั่นใจว่าคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ จะมีมติส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคอย่างแน่นอน ยืนยันได้ว่าจะไม่มีการฮั้วทางการเมืองกับพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดๆ จนทำให้สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรค ต้องผิดหวังอย่างเด็ดขาด

ส่วนตัวจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการบริหารพรรคให้มีการประชุมพิจารณา และมีมติโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนได้เตรียมตัวรณรงค์หาเสียง ให้กับผู้สมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งในขณะนี้ทางพรรคมีสมาชิกพรรคที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทางด้านการเมือง การบริหารงาน กทม.หลายคน ที่สามารถลงสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม.ได้

เช่น 1.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค เป็น ส.ส.กทม.มาหลายสมัย เป็นอดีตรัฐมนตรี เป็นส.ส.ที่รู้ปัญหาพื้นที่ กทม.มากที่สุดคนหนึ่ง

2.) นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นอดีต ส.ส. และเป็นอดีตรองผู้ว่าฯกทม. ที่มีความเชียวชาญด้านการขนส่งและการจราจรมากที่สุดคนหนึ่ง มีความเหมาะสมที่จะบริหาร กทม.เพื่อแก้ปัญหารถติด และรถไฟฟ้าทุกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของ กทม.ในปัจจุบัน

3.) นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เคยเป็นรองผู้ว่าฯกทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ เป็นมีประสบการณ์การบริหารทั้งภาครัฐและเอกชน มีความรู้ทางด้านการเงินการคลังเป็นพิเศษ สามารถเข้ามาบริหารงบประมาณของ กทม.ปีละ1แสนล้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

4.) นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน มีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับสูงภาคเอกชนมาก่อน มีความพร้อมทั้งด้านคุณวุฒิ วัยวุฒิ และชาติวุฒิ

นายเทพไท กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางพรรคยังมีบุคคลภายนอก ที่มีชื่อเสียงและประวัติการทำงานที่โดดเด่น มีความสนใจได้เสนอตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์อีกหลายคน แต่เบื้องต้นตนจะขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรค พิจารณาผู้เหมาะสมจากบุคคลภายในพรรคก่อน ก่อนที่จะพิจารณาผู้เหมาะสมจากบุคคลภายนอกต่อไป

สะพัด!! กระทรวงการคลัง จะใช้เว็บไซต์ www.เราชนะ.com ในการรองรับการลงทะเบียน มาตรการเยียวยารอบ2 ของรัฐบาล ในชื่อ มาตรการ 'เราชนะ' ที่จ่ายเงิน เยียวยา เดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน รวม 7,000 บาท ต่อคน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

แม้ตัว เว็บไซต์ www.เราชนะ.com จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีความเป็นไปได้ว่า หลังจากกระทรวงการคลังมีการนำเสนอวาระ 'มาตรการเราชนะ' เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันอังคารที่ 19 มกราคม นี้ คงได้เห็นหน้าตาและความชัดเจนในการลงทะเบียน

ก่อนหน้านี้ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยโดย คาดว่า เว็บไซต์ www.เราชนะ.com จะเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์มาตรการเราชนะ ในการเยียวยารอบ2 ได้ในช่วงสิ้นเดือน ม.ค.นี้ ซึ่งรายละเอียดการลงทะเบียนจะไม่ยุ่งยากเหมือนมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ที่มีชุดคำถามเชิงลึก เพื่อพิจารณาว่าได้รับผลกระทบจริงหรือไม่

ส่วนอีกเสียงที่มียืนยันคือ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ว่า มาตรการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 'เราชนะ' เตรียมเปิดให้ลงทะเบียนสิ้นเดือนมกราคมนี้ คาดว่าครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดประมาณ 30-35 ล้านคน การลงทะเบียนเราชนะ พยายามไม่ทำให้ยุ่งยากเหมือนรอบที่ผ่านมา โดยจะมุ่งเน้นใช้ฐานเฉพาะข้อมูล และเลขบัตรประชาชน


ที่มา: PostToday

'นอร์เวย์' พบผู้เสียชีวิต 23 รายหลังฉีดวัคซีน Pfizer-BioNTech เบื้องต้นเป็นผู้สูงอายุ 13 ราย เหตุเพราะแพ้

สถาบันสาธารณสุขแห่งนอร์เวย์นอร์เวย์กล่าวว่า วัคซีน Covid-19 อาจเป็นความเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้ที่อายุมากและป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นคำแถลงที่ระมัดระวังที่สุดจากหน่วยงานด้านสุขภาพของยุโรป เนื่องจากประเทศต่างๆ ประเมินผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนครั้งแรกเพื่อให้ได้รับการอนุมัติ

เจ้าหน้าที่นอร์เวย์กล่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 23 คนในประเทศแล้วๆ หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ในบรรดาผู้เสียชีวิตเหล่านี้ได้รับการชันสูตรพลิกศพ 13 ราย โดยผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผลข้างเคียงที่พบบ่อยอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงในผู้สูงอายุที่อ่อนแอ

“สำหรับผู้ที่มีความอ่อนแอแม้ผลข้างเคียงจากวัคซีนที่ไม่รุนแรงก็อาจส่งผลร้ายแรงได้ และสำหรับผู้สูงอายุมากๆ อาจได้รับประโยชน์จากวัคซีนเพียงอาจเล็กน้อยหรืออาจจะไม่เลย”

แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอายุน้อยและมีสุขภาพดีจะควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีน แต่เป็นการบ่งชี้สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในระยะแรก เนื่องจากประเทศต่างๆ เริ่มออกรายงานการติดตามความปลอดภัยเกี่ยวกับวัคซีน

Emer Cooke จาก European Medicines Agency กล่าวว่า การติดตามความปลอดภัยของวัคซีนโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Messenger RNA จะเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อมีการนำไปฉีดให้กับผู้คนในวงกว้าง

Pfizer และ BioNTech กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลของนอร์เวย์ เพื่อตรวจสอบการเสียชีวิตในนอร์เวย์ โดย Pfizer กล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมลว่า “จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้ยังไม่น่าตกใจและสอดคล้องกับความคาดหวัง”

จนถึงตอนนี้อาการแพ้เป็นเรื่องปกติ ในสหรัฐอเมริกาเจ้าหน้าที่ได้รายงานจำนวนผู้ป่วย 21 ราย ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงตั้งแต่วันที่ 14 - 23 ธันวาคม หลังจากได้รับวัคซีนล็อตแรกประมาณ 1.9 ล้านโดส ที่พัฒนาโดย Pfizer Inc. และ BioNTech SE คิดเป็นสัดส่วน 11.1 รายต่อ 1 ล้านราย ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ

แม้ว่าวัคซีน Covid-19 ทั้งสองชนิดที่ได้รับการรับรองแล้วในยุโรป และได้รับการทดสอบในผู้คนหลายหมื่นคนรวมทั้งอาสาสมัครที่เกิดในช่วงปลายยุค 80 และ 90 ผู้เข้าร่วมการทดลองโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วงอายุราว 50 ต้น ๆ คนกลุ่มแรกที่ได้รับการฉีดวัคซีนในหลายพื้นที่มีอายุมากกว่านั้น เนื่องจากประเทศต่างๆ เร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้อยู่อาศัยในบ้านพักคนชราที่มีความเสี่ยงสูงจากไวรัส

นอร์เวย์ได้ให้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 ครั้งแก่ผู้คนประมาณ 33,000 คนโดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด หากพวกเขาติดเชื้อไวรัสรวมถึงผู้สูงอายุ โดยวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech ที่ได้รับการอนุมัติเมื่อปลายปีที่แล้ว และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ส่วนวัคซีนจาก Moderna Inc. พึ่งได้รับการอนุมัติเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

จาก 29 กรณีของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นที่ทางการนอร์เวย์ตรวจสอบพบว่า เกือบ 3 ใน 4 อยู่ในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปหน่วยงานกำกับดูแลกล่าวในรายงานเมื่อวันที่ 14 มกราคม

ส่วนในฝรั่งเศสผู้ป่วยที่อ่อนแอรายหนึ่งเสียชีวิตในสถานดูแล 2 ชั่วโมงหลังจากได้รับวัคซีน แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเนื่องจากประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยก่อนหน้านี้ไม่มีข้อบ่งชี้การเสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับวัคซีน ซึ่งหน่วยงานด้านความปลอดภัยด้านเภสัชกรรมของฝรั่งเศสเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมารายงานว่ามีผู้ป่วย 4 รายที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงและมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ 2 ครั้งหลังการฉีดวัคซีน

รายงานความปลอดภัยฉบับแรกทั่วยุโรปเกี่ยวกับวัคซีน Pfizer-BioNTech อาจได้รับการเผยแพร่ในปลายเดือนมกราคม

ขณะที่ในสหราชอาณาจักรซึ่งดำเนินการฉีดวัคซีนต่อหัวมากกว่าที่อื่นๆ ในยุโรปเจ้าหน้าที่จะประเมินข้อมูลด้านความปลอดภัยและวางแผนที่จะเผยแพร่รายละเอียดของปฏิกิริยาที่น่าสงสัย “เป็นประจำ” ต่อหน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ


ที่มา:

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-15/norway-warns-of-vaccination-risks-for-sick-patients-over-80

‘ศรีสุวรรณ’ ออกแถลงการจี้ รมว.คมนาคม ต้องรับผิดชอบค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง หลังปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท ‘ชี้’ อาจเพราะเป็นคนบุรีรัมย์เลยไม่ทุกข์ร้อน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แถลงการณ์เรื่อง รมว.คมนาคมต้องรับผิดชอบค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง ว่า ตามที่มีข่าวเผยแพร่ออกมาว่ากรุงเทพมหานคร จะได้กำหนดอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวสูงสุดตลอดสายจะอยู่ที่ 158 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.2564 เป็นต้นไปแต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 กทม.จึงออกประกาศเมื่อวันที่ 15 ม.ค.64 ที่ผ่านมาโดยปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายมาอยู่ที่ 104 บาทนั้น

ทางสมาคมเห็นว่าการปรับราคาดังกล่าวลงมาเหลือ 104 บาทตลอดสายยังถือว่าแพงเกินไปสำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ โดยเฉพาะในสถานการณ์การเผชิญกับปัญหาโควิด-19 ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ กทม.กับเอกชนผู้รับสัญญาสัมปทานเคยตกลงกันได้แล้วโดยความเห็นชอบของ รมว.มหาดไทย ว่าจะกำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดอยู่ตลอดสายอยู่ที่ 65 บาท โดย กทม. ได้นำเสนอข้อตกลงการแก้ไขสัญญาสัมปทานต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ

ซึ่งหากมีการเห็นชอบแล้ว การแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้จะช่วยลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดจาก 104 บาท เป็น 65 บาท ลดลง 39 บาท และช่วยแก้ไขภาระหนี้สินกว่า 120,000 ล้านบาทของ กทม. ได้ นอกจากนี้ เอกชนยังจะสามารถแบ่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารหลังปี 2572 ให้ กทม. อีกกว่า 200,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มเติมในกรณีที่ผลประกอบการจริงดีกว่าที่คาดการณ์ตอนเจรจา

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แต่กระทรวงคมนาคม กลับมีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563 ไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของเอกชนใน 4 ประเด็น อาทิ 1.ความครบถ้วนตามหลักการของพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 2.การคิดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ 3.การใช้สินทรัพย์ของรัฐที่ได้รับโอนจากเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและ 4.ข้อพิพาททางกฎหมาย

ทั้ง ๆ ที่โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องของ กทม. และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ตกลงเจรจากันเรียบร้อยแล้วเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย แต่การที่กระทรวงคมนาคมสอดเข้ามาท้วงติงเช่นนี้ จึงเท่ากับว่าเป็นการผลักภาระค่าโดยสารที่ กทม.เพิ่งประกาศไปเมื่อวานเป็นภาระของประชาชนคนกรุงเทพฯโดยมิอาจเลี่ยงได้

“รมว.คมนาคมเป็นคนบุรีรัมย์ ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับปัญหาค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคนกรุงเทพฯจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นการที่ กทม.ประกาศกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวใหม่ดังกล่าว 104 บาท ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็น 65 บาท จึงเป็นความรับผิดชอบของ รมว.กระทรวงคมนาคม และพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องตอบคำถามกับคนกรุงเทพฯว่าท่านจะรับผิดชอบกับกรณีนี้อย่างไร เลือกตั้งครั้งหน้าคนกรุงเทพฯควรจะเลือกคนของพรรคภูมิใจไทยเข้ามาเป็นผู้แทนไหม ? และตลอดเวลาที่ร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มา พรรคภูมิใจไทยเคยทำอะไรที่ประสบผลสำเร็จตามที่ได้เคยหาเสียงไว้แล้วหรือไม่ ขอคำตอบให้คนกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วย” นายศรีสุวรรณ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณทุกภาคส่วน ‘รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19’ เดินหน้าจัดตั้งรพ.สนาม ในหลายพื้นที่เสี่ยง สำหรับการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับรายงานการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุข บูรณาการงานสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม

โดยเฉพาะจังหวัดเสี่ยง ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนามแล้วหลายพื้นที่ โดยข้อมูลจาก ศปก.ศบค. รายงานว่าได้มีการ ประสานจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ของกองทัพแล้ว จำนวน 10 แห่ง 2,106 เตียง โดยแบ่งเป็นพื้นที่กองทัพบก 6 พื้นที่ จำนวน 1,260 เตียง กองทัพอากาศ 1 พื้นที่ จำนวน 120 เตียง และกองทัพเรือ 3 พื้นที่ จำนวน 726 เตียง ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนได้เข้าใจว่า โรงพยาบาลสนาม เป็นการจัดตั้งที่พัก สำหรับการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ ในพื้นที่ที่มีการควบคุมเท่านั้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สาธารณสุขจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคง ดูแลผู้ป่วยและประชาชนที่เข้ามาใช้โรงพยาบาลสนาม ปฏิบัติตามขั้นตอนระบบการรักษาและเฝ้าระวังโรคเช่นเดียวกับในโรงพยาบาล

ทั้งนี้ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ยังเป็นภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ให้การดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งชาวไทยและแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน

ซึ่งนายกรัฐมนตรียังฝากชื่นชมภาคเอกชนในหลายพื้นที่ที่ได้อนุญาตให้ใช้ที่ดินในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สะท้อนความร่วมมือร่วมใจระหว่างภาคประชาชนและรัฐบาลตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ ต้านภัยโควิด-19” ให้เป็นวัคซีนประเทศนำไทยชนะภัยโควิด-19 ด้วย

ช่วงเช้าวันนี้สภาพอากาศ กรุงเทพมหานคร มีปริมาณค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และมีผลกระทบต่อสุขภาพ

เพจเฟซบุ๊ก ‘กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร‘ โพสต์ข้อความระบุว่า ผลการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง พบว่าเกินค่ามาตรฐานจำนวน 70 พื้นที่ ได้แก่ เขตประเวศ เขตบางนา เขตจอมทอง เขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหนองแขม เขตพระโขนง เขตบางเขน สวนธนบุรีรมย์ (เขตทุ่งครุ) เขตทวีวัฒนา เขตคลองเตย เขตทุ่งครุ เขตบางบอน เขตคลองสามวา เขตบางกอกน้อย สวนทวีวนารมย์ (เขตทวีวัฒนา) เขตยานนาวา เขตตลิ่งชัน เขตบางกอกใหญ่

เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตภาษีเจริญ เขตบางขุนเทียน เขตคลองสาน เขตธนบุรี เขตมีนบุรี เขตจตุจักร เขตบางกะปิ เขตคันนายาว สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน (เขตดอนเมือง) เขตดินแดง เขตดุสิต เขตสวนหลวง เขตบางซื่อ เขตปทุมวัน เขตสัมพันธวงศ์ สวนหลวง ร.9 (เขตประเวศ) เขตลาดกระบัง เขตบางแค เขตวัฒนา เขตสาทร เขตพญาไท เขตราษฎร์บูรณะ เขตบึงกุ่ม เขตพระนคร เขตบางพลัด อุทยานเบญจสิริ (เขตคลองเตย) เขตหนองจอก

เขตบางคอแหลม สวนบางแคภิรมย์ (เขตบางแค) สวนหลวงพระราม 8 (เขตบางพลัด) เขตบางรัก สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา (เขตบางคอแหลม) สวนวชิรเบญจทัศ (เขตจตุจักร) เขตลาดพร้าว สวนเบญจกิติ (เขตคลองเตย) เขตวังทองหลาง สวนกีฬารามอินทรา (เขตบางเขน) เขตสะพานสูง สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ (เขตลาดกระบัง) เขตราชเทวี สวนจตุจักร (เขตจตุจักร) สวนสันติภาพ (เขตราชเทวี) สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ (เขตจตุจักร)

เขตห้วยขวาง สวนเสรีไทย (เขตบึงกุ่ม) สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (เขตบางกอกน้อย) สวนพระนคร (เขตลาดกระบัง) สวนหนองจอก (เขตหนองจอก) สวนลุมพินี (เขตปทุมวัน) และเขตหลักสี่

โดยตรวจวัดได้ในช่วง 64-110 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) (ค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) คิดเป็นร้อยละ 100 จากจำนวนเขตที่มีสถานีตรวจวัดทั้งหมด คุณภาพอากาศส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และระดับมีผลต่อสุขภาพในบางพื้นที่ ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

คำแนะนำในการปฏิบัติตน

: คุณภาพอากาศปานกลาง

ประชาชนทั่วไปสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หากมีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง

: คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ให้ประชาชนทั่วไปในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศเกินมาตรฐานให้เฝ้าระวังสุขภาพ หากมีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยเฉพาะ ผู้สูงอายุ เด็กและผู้ป่วยทางเดินหายใจ และใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากเกิดความจำเป็น

: คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิด หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์

“ธนกร” ป้อง ”บิ๊กตู่” ยันรัฐบาลมีผลงานจับต้องได้ ย้อนรัฐบาลไหนกันแน่ที่มีการทุจริตจนอดีต รมต.ต้องติดคุก เหน็บเป็นฝ่ายค้านนานจนติดนิสัยค้านทุกเรื่อง

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารประเทศ 7 ปีล้มเหลวว่า นายวิสารมีโทสาคติเกินไป ตลอดระยะเวลา 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์แก้ปัญหาให้กับประเทศอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจนจนได้รับคำชื่นชมจากประชาชนทั่วประเทศ

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสงบสุขให้กับประเทศ การขยายรถไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการชิมช้อปใช้ โครงการคนละครึ่ง ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลในอดีตที่มีการทุจริตคอรัปชั่นจนมีรัฐมนตรีติดคุกมาแล้วใช่หรือไม่

นายธนกร กล่าวว่า "กรณีที่นายวิสารระบุว่า เงินเยียวยาน้อยกว่าเบี้ยประชุม ครม.นั้น เป็นเพียงวาทกรรมโจมตีรัฐบาลของคนไร้เหตุผล กลับไปกลับมา ตอนรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาก็กล่าวหารัฐบาลกู้เงินมาแจก very กู้ พอรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาก็บอกว่าน้อย ลอกของเก่ามา

สรุปคือรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาพรรคเพื่อไทยก็ด่า ไม่จ่ายก็ด่า จ่ายน้อยก็ด่า จ่ายมากก็ด่า คือทำอะไรก็ผิดไปหมด สมกับที่เป็นฝ่ายค้านนานจนติดนิสัยค้านทุกเรื่อง วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม การจ่ายเงินเยียวยาก็เป็นไปตามความเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงนี้ และนอกจากการจ่ายเงินเยียวยาแล้ว รัฐบาลก็มีมาตรการอื่นอีก

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการเงินการคลัง โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ฯลฯ นายวิสารอย่าพูดโดยไม่คิด ในภาวะที่ประชาชนทุกข์ยาก อย่าพูดอะไรโดยไร้จิตสำนึก"

รัฐบาลวอนคนไทยรักษาวินัยสู้ภัยระบาดโควิด-19 หวังผ่านพ้นช่วง 2 เดือนเมื่อไร กอบกู้เศรษฐกิจไทยทันที ย้ำเป้าหมายรัฐบาลช่วงนี้ต้องเอาให้อยู่ และดูแลสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ได้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รัฐบาลอยากให้คนไทยทุกคนช่วยกันรักษาวินัยเพื่อให้ผ่านพ้นช่วง 2 เดือนนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด

โดยเฉพาะในเดือนมี.ค.นี้ รัฐบาลตั้งใจว่าจะต้องเอาให้อยู่และดูแลสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ได้ ซึ่งการระบาดในระลอกนี้ส่วนตัวมองว่า โชคดีที่รัฐบาลมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกับการระบาดในรอบแรกมาก่อน จึงได้เตรียมความพร้อมรองรับเอาไว้แล้ว และเชื่อว่าจากนี้ทุกอย่างน่าจะปรับตัวดีขึ้น

"สิ่งสำคัญตอนนี้คือ ขอให้คนไทยช่วยกันรักษาวินัย เพราะถ้าผ่านเรื่องนี้ 2 เดือนไปให้ได้ยิ่งดี จะได้พิสูจน์ว่าเราทำได้เร็วกว่าคราวก่อนที่มีการระบาด ซึ่งรัฐบาลก็มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบนานถึง 3 เดือน มารอบนี้จะต้องไม่ทำให้ดีเท่าเดิม

เพราะต้องทำให้ดีกว่ารอบเก่าให้ได้ โดยการเยียวยาเงินให้ 2 เดือน ก็ถือว่ามีความเหมาะสมและผ่านการคิดของทุกหน่วยงานมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เรามีการเรียนรู้ประสบการณ์มาจากครั้งก่อนจึงบริหารจัดการได้ และงบประมาณที่มาจากเงินกู้ แม้ว่าจะใช้จำนวนมากแต่ก็ยืนยันว่าเพียงพอ"

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า "หลังจากสถานการณ์ดีขึ้น ก็ต้องเริ่มการฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกรอบ เพราะปีนี้รัฐบาลได้ประกาศเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นปีแห่งการดึงดูดอุตสาหกรรมสมัยใหม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ตอนนี้จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมและทำงานคู่ขนานกันไปกับการเยียวยารักษาสถานการณ์ภายในประเทศให้ดี

ล่าสุดได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ให้พยายามเร่งพบปะนักลงทุนผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ และปรับปรุงกฎกติกามารองรับ โดยจากการรายงานก็รับทราบว่า มีนักลงทุนต่างชาติหลายรายยังสนใจลงทุนในประเทศไทยอยู่"

การประชุมผู้แทนทั่วประเทศพรรคประชาชนปฏิวัติลาวครั้งที่ 11 ได้สิ้นสุดลงแล้วในเมื่อวันที่ 15 ม.ค. โดยได้มีการประกาศรายชื่อคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ (ชุดที่ 11) ที่ได้มีการเลือกตั้งกันไปเมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังปิดประชุม

คณะกรรมการศูนย์กลางพรรค ประกอบด้วยกรรมการ 71 คน และกรรมการสำรองอีก 10 คน

จากนั้นคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ทั้ง 71 คน ได้ประชุมกันทันที เพื่อคัดเลือกบุคคลที่จะเป็นกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค 13 คน ซึ่งจะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ของลาว

ผลการคัดเลือก กรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ 13 คน ประกอบด้วย

1.) ทองลุน สีสุลิด

2.) พันคำ วิพาวัน

3.) ปานี ยาท่อตู้

4.) บุนทอง จิดมะนี

5.) ไซสมพอน พมวิหาน

6.) พลเอก จันสะหมอน จันยาลาด

7.) คำพัน พมมะทัด

8.) สินละวง คุดไพทูน

9.) สอนไซ สีพันดอน

10.) กิแก้ว ไขคำพิทูน

11.) พลโท วิไล หล้าคำฟอง

12.) สีใส ลีเดดมูนสอน

13.) สะเหลิมไซ กมมะสิด

นอกจากนี้ ยังได้เลือกคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรค 9 คน ได้แก่

1.) ทองลุน สีสุลิด

2.) บุนทอง จิดมะนี

3.) คำพัน พมมะทัด

4.) สีใส ลีเดดมูนสอน

5.) คำพัน เผยยะวง

6.) อานุพาบ ตุนาลม

7.) ทองสะลิด มังหม่อเมก

8.) สุนทอน ไซยะจัก

9.) เวียงทอง สีพันดอน

ที่ประชุมได้เลือกทองลุน สีสุลิด ขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ คณะบริหารศูนย์กลางพรรค ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะได้ขึ้นเป็นประธานประเทศคนใหม่ต่อจากบุนยัง วอละจิด ด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เลือกบุนทอง จิดมะนี เป็นผู้ประจำการ คณะเลขาธิการศูนยกลางพรรค และเลือกคำพัน พมมะทัด เป็นประธานคณะตรวจตราศูนย์กลางพรรค โดยมีรองประธาน 6 คน ได้แก่

1.) วิไลวัน บุดดาคำ

2.) สีไน เมียงลาวัน

3.) สุกคำเพ็ด เรืองบุดสี

4.) ดาวบัวละพา บาวงเพ็ด

5.) ไซคำ อุ่นมีไซ

6.) วันไซ ซงซายู

ขั้นตอนต่อจากนี้ กรมการเมืองศูนย์กลางพรรค 13 คน จะคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากทองลุนอีกครั้งหนึ่ง...

(ภาพจากสำนักข่าวสารประเทศลาว)


เครดิต : Facebook : LandLink


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top