ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีประเทศในแถบเอเชีย ที่เริ่มกล้าออกมาแสดงจุดยืนที่ห้าวหาญในประเด็นการเมืองโลก โดยล่าสุด Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีของสิงค์โปร์ ได้ออกคำเตือนไปยังสหรัฐฯ โดยตรงว่า "อย่าพยายาม โดดเดี่ยวจีน จากประเด็นเรื่องยูเครน เพราะทุกวันนี้โลกของเรา "ก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว" และยังลั่นอีกด้วยว่าในอนาคต สหรัฐฯ อาจไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลกอีกต่อไป
นายกฯ สิงคโปร์ กล่าวไว้ชัดเจนว่า ถ้าหากสหรัฐฯ ยังหันมาเปิดศึกกับจีน จะยิ่งเป็นการแบ่งแยกระบอบประชาธิปไตยกับเผด็จการอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ปัญหา Supply Chain โลกซับซ้อนเข้าไปอีก และแน่นอนว่าถ้าลุกลามถึงขั้นคว่ำบาตรจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกสูงกว่าการคว่ำบาตรรัสเซียเป็นอย่างมาก
“คุณต้องระวังให้มากที่จะไม่กำหนดปัญหายูเครนในลักษณะที่จะทำให้จีนเป็นฝ่ายผิดตั้งแต่แรกเริ่มโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น การทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและเผด็จการ”
(You have to be very careful not to define the problem with Ukraine in such a way that automatically, China is already on the wrong side, for example, by making this a battle of democracies against autocracies.)
“เราทุกคนมีปัญหาในยูเครน ผมคิดว่าถ้าเราพูดถึงอธิปไตย ความเป็นอิสระ และบูรณภาพแห่งดินแดน หลายประเทศสามารถเข้าร่วมได้ แม้แต่จีนเองก็ยังไม่คัดค้านและยังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนอย่างแข็งขันเป็นการส่วนตัวด้วย แต่ถ้าคุณ (สหรัฐฯ) บอกว่านี่เป็นเรื่องของประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการของปูติน ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ยากพออยู่แล้ว และถ้าคุณยังบอกอีกว่าประชาธิปไตยต้องสู้กับเผด็จการ นั่นถือเป็นการกำหนดให้ประเทศจีนเป็นฝ่ายที่ผิดตั้งแต่แรก และทำให้สิ่งต่างๆ จะยากขึ้นไปอีก”
(We all have a problem in Ukraine. I think if we talk about sovereignty, independence and territorial integrity, a lot of countries can come along. Even China would not object to that, and would actually privately strongly support that. But if you say it is democracies versus Putin’s autocracy, I think that already is difficult. If you say democracies versus autocracies – plural – that already defines China into the wrong camp, and makes things even more difficult.)
นอกจากนี้ นายกฯ สิงคโปร์ยังสอนมวยสหรัฐฯ อีกว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายมีความไว้วางใจกันน้อยมาก และมันไม่ง่ายเลยที่จะหาระดับที่เหมาะสมในความสัมพันธ์ ขณะที่สิงคโปร์จะเลือกเดินตามทางของตัวเองในการแก้ไขและป้องกันไม่ให้เรื่องทั้งหมดบานปลาย
ดังนั้นสหรัฐฯ ต้องรู้ตัวแล้วว่า ถ้าเศรษฐกิจยังคงต้องพึ่งพากันและกันกับจีน ก็ไม่ควรวาง 80% ของจุดยืนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ในมุมของการเป็นปรปักษ์หรือศัตรูกัน แล้วมาบอกว่าความสัมพันธ์อันดี 20% ที่เหลือคือการ "Win-Win" ทั้ง 2 ฝ่าย
เขากล่าวชัดเจนว่าแนวคิดนี้ "ควรจะครอบงำรัฐบาลสหรัฐฯ" (กล่าวคือสหรัฐฯ ควรตระหนักเรื่องนี้โดยด่วน) และนอกเหนือจากยูเครนแล้ว สหรัฐฯ ควรรู้ด้วยว่าภูมิภาคเอเชียนี้ ถือเป็นสมรภูมิสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องวางจุดยืนของตัวเองให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล่าวด้วยว่าสหรัฐฯ ควรหันมามองเรื่อง "ความน่าเชื่อถือของตัวเอง" โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความสม่ำเสมอในการทำธุรกิจ (ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงการคว่ำบาตรด้วย) เพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงมาก และอาจทำให้ประเทศอื่น ๆ ลดความไว้เนื้อเชื่อใจสหรัฐฯ ลงในอนาคต
Lee เสริมว่า ในภายภาคหน้านี้ สหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลกอีกต่อไป แต่จะยังคงเป็น 1 ในแนวหน้าทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก ซึ่งเขากล่าวว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่จะทำใจยอมรับได้สำหรับสหรัฐฯ แต่เขาก็ปลอบใจว่าเมื่อเวลาผ่านไป สหรัฐฯ จะปรับตัวได้เอง