Tuesday, 16 April 2024
ECONBIZ

'เฉลิมชัย' ทำลายสถิติสำเร็จอีกครั้งส่งออกผลไม้ครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้กว่า 8 หมื่นล้าน ชื่นชมชาวสวนภาครัฐภาคเอกชนร่วมมือพัฒนาคุณภาพจนครองแชมป์ตลาดจีนเด็ดขาดเกือบ 50% แต่ห่วงลำไยทรุดสั่งฟรุ้ทบอร์ดปรับกลยุทธ์เร่งแก้ไข

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board) แถลงวันนี้ (8 ก.ค.) ว่า การส่งออกผลไม้สดไปสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้พิธีสารระหว่างไทย-จีนในรอบ 6 เดือนแรกปีนี้มีปริมาณถึง 1,123,543 ตัน ทำลายสถิติการส่งออกในระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งส่งออกได้ 1,002,771 ตัน โดยเพิ่มขึ้นกว่า 120,000 ตัน หรือกว่า 10% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 81,282 ล้านบาท

ในขณะที่ต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคนานัปการโดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการไดนามิคซีโร่โควิดของจีนในการป้องกันการแพร่ระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นส่งผลต่อค่าระวางขนส่งทางบกทางเรือทางอากาศปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงจากภาวะเศรษฐกิจทำให้มูลค่าการส่งออกผลไม้สดลดลง 2,900 ล้านบาท หรือลดลง 3.45% ส่วนหนึ่งเกิดจากการส่งออกลำไยลดลง เนื่องจากการปิดด่านบางด่านของจีนช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีจากปัญหาโควิด-19 ในจีนจึงสั่งให้ฟรุ้ทบอร์ดปรับกลยุทธ์เร่งแก้ไขปัญหาลำไยซึ่งหล่นจากการส่งออกไปจีนเป็นลำดับ 3 รองจากทุเรียนและมะพร้าว

✨น้ำมันลด 3 บาท ‼

'ปตท.-บางจาก' ปรับลดราคาน้ำมัน
• กลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับลด 3 บาท/ลิตร 
- เว้น E85 ลด 1.80 บาท/ลิตร
• กลุ่มดีเซลราคาคงเดิม


มีผลวันพรุ่งนี้ (8 ก.ค. 65) ตั้งแต่เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป 


ที่มา : https://www.facebook.com/ThaiPBS/photos/a.348532055084/10167090604630085/

กระทรวงเกษตรไทย-ญี่ปุ่น ตกลงขยายความร่วมมือมิติใหม่เชื่อม 4,200 องค์กร บนแพลตฟอร์ม FKII เพิ่มโอกาสการค้าการลงทุน 2 ประเทศ

'อลงกรณ์' เผยเน้นการร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตการแปรรูปสู่เกษตรมูลค่าสูงรวมทั้งอาหารแห่งอนาคตและระบบโลจิสติกส์ความเย็นสินค้าเกษตร

รายงานจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงโตเกียววันนี้ (6 ก.ค.) แจ้งว่านายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ วิวิธเกยูรวงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงโตเกียว นายโชติ พึงเจริญพงศ์ คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ นายสกนธ์ วนาเศรษฐี ที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงโตเกียว และคณะพบหารือกับนายคูนิอากิ คาวามูระ (Mr. Kuniaki Kawamura) ประธานสภาความร่วมมือภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และภาครัฐ (The Council of Industry-Academia-Government Collaboration) ซึ่งมีแพลตฟอร์มเพื่อการวิจัยและพัฒนาในการเป็นแหล่งองค์ความรู้ การบูรณาการและนวัตกรรม (Filed for Knowledge, Integration & Innovation หรือ FKII) FKII อยู่ภายใต้กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น (MAFF) โดยมีนายโอคูมะ ราเคชิ (Mr. Okuma Rakeshi) เป็นผู้อำนวยการ FKII และทีมงานร่วมประชุมที่กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว

นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวว่าการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นนโยบายของ ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีต้องการให้ขยายความร่วมมือทางด้านการเกษตรกับประเทศญี่ปุ่นในมิติต่างๆภายหลังจากนายเก็นจิโร คาเนโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น พร้อมคณะเข้าพบหารือกับดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาในวาระครบรอบ 135 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ 

โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญอันดับ 2 ของไทย มีสัดส่วนการส่งออกไปญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 11.35 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลกเป็นการสนองตอบต่อนโยบายเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของญี่ปุ่นซึ่งผลิตอาหารได้ 37% ของความต้องการในประเทศ ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวงและภาคีภาคส่วนต่างๆจะช่วยเติมเต็มนโยบายของกันและกัน 

พร้อมกันนั้นนายอลงกรณ์ ได้แสดงความชื่นชม FKII ที่สามารถสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ในหลากหลายด้าน อาทิ เกษตรอัจฉริยะ อาหารสุขภาพ เกษตรกรรมยั่งยืน ฯลฯ โดยเฉพาะงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable agriculture) ที่ FKII มีแพลตฟอร์มเพื่อการวิจัยและพัฒนาถึง 72 กลุ่ม สอดคล้องกับแนวนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นแหล่งอาหารของโลก 

‘ขาณุโมเดล’ ต้นแบบความสำเร็จ ‘ข้าว-ชาวนา’ ยุทธศาสตร์แก้ปัญหาระดับโครงสร้างของภาครัฐ

แม้สังคมจะพยายามตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของ ‘ชาวนาไทย’ ที่ผ่านไปนานเท่าไร ก็ยังวนเวียนอยู่กับวังวน ‘หนี้สิน’ แต่คำตอบที่ได้มันก็จะยังวนเวียนเหมือนปัญหาใหญ่ของสินค้าเกษตรของไทยทุกตัว เช่น การโทษไปที่สถานการณ์โลก สงคราม โรคระบาด ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ จนนำมาสู่ความยากลำบากของชาวนาและเกษตรกร

ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่ง!!

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาที่แท้ และไม่มีใครแคร์จริง มันอยู่ที่ ‘โครงสร้าง’ ปัญหาโครงการทั้งระบบที่ไม่เคยถูกแก้ ก็จะแผ่วงในห่วงโซ่อุปทาน ให้ โรงสี และ ผู้ส่งออก อ่วมต่อไปเป็นทอด ๆ

แน่นอนว่า การแก้ปัญหาให้ได้ทั้งระบบ มันไม่ใช่แค่ประกาศนโยบายมาตัวเดียวแล้วครอบคลุม แต่ยังมีเรื่องที่ยิบย่อยที่บางครั้งก็ต้องใช้ทั้งแนวทางประชานิยม หรือบางครั้งก็ต้องลงไปวาดยุทธศาสตร์เฉพาะถิ่นเอาเอง

แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวดีเรื่องของข้าวที่มีปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 63 โดยรัฐบาลมีการปรับระบบการผลิตข้าว ให้เข้าสู่ ‘วงจรปกติ’ 

คำนี้สำคัญ!! เพราะเดิมทีไทยเรามีระบบการผลิต ที่มุ่งเน้นมาตรฐานคุณภาพ แต่มันดันไป ‘ล่มสลาย’ ช่วงนโยบาย ‘จำนำข้าว’ ที่ทำให้ชาวนาขาดความสนใจในจุดสำคัญนี้ไป

ช่างมัน!! เริ่มกันใหม่!!

เป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการช่วยเรื่องราคาข้าวแบบชั่วครั้งชั่วคราว หากแต่ในระยะยาว การแก้ปัญหาที่เห็นผล คือ ชาวนาต้องยืนได้ด้วยตัวเอง และรัฐบาลไหนเข้ามารับไม้ต่อ ชาวนาก็ไม่ต้องรอความช่วยเหลือแบบเป็นครั้ง ๆ ไป 

ดังนั้นช่วงปี 2563 ยุทธศาสตร์ของภาครัฐ จึงอยู่ที่การรื้อระบบคิดของชาวนาออกจากวังวนเดิม วังวนของผู้รอรับการช่วยเหลือแบบจบเป็นครั้ง ๆ แต่รัฐมุ่งเข้าไปส่งเสริมเรื่ององค์ความรู้, เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์, สนับสนุนเทคโนโลยี, มุ่งเน้นการผลิตที่คำนึงระบบนิเวศ รวมถึงการส่งเสริมข้าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ 

>> ถ้าพูดให้เห็นภาพ คือ รัฐส่ง ‘คันเบ็ด’ แทนการให้ ‘ปลา’ แก่ชาวนามากขึ้น 

เมื่อระบบการผลิตข้าวได้มาตรฐานคุณภาพ โรงสี/ ผู้ส่งออก ก็สามารถกลับเข้าไปในตลาดที่เลิกซื้อข้าวของเรา เช่น ประเทศอิรัก จำนวนมากกว่าหนึ่งแสนตัน รวมไปถึงกลับมาเป็นประเทศผู้นำพันธุ์ข้าวชั้นดีแบบที่เคยเป็นในอดีต

ที่ผ่านมา ทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี, สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือแม้แต่หน่วยงานอย่างกรมการข้าว ได้ทำงานร่วมกัน เพื่อผลักดันภาพใหญ่ให้เกิดขึ้นกับวงการข้าวไทย โดยใช้แนวทาง ‘ตลาดนำการผลิต’ ไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ก็เข้าไปเปลี่ยนแนวคิดชาวนา ให้เขาสร้างเป้าหมายใหม่ ๆ เช่น ต้องปลูกข้าวเพื่อสู้กับเวียดนาม ต้องสร้างมาตรฐานข้าวยั่งยืนเพื่อให้ข้าวเป็นบ่อแห่งความมั่งคั่งและยั่งยืนของชาวนา

เรียกว่าอดีตเคยใช้ ‘เหงื่อแลกเงิน’ ปัจจุบันก็เปลี่ยนเป็นสร้างคุณค่าให้ ‘งานหรือผลผลิต’ ไปแลกเงิน 

'กรณ์' จี้นายกฯ บี้รมว.พลังงาน แฉ ซ้ำ ราคาหน้าโรงกลั่นถูกลง แต่หน้าปั๊มไม่ลด ปล่อยเพิ่มค่าการตลาดฟันกำไร

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้าเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี กำชับ 'รัฐมนตรีพลังงาน' ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดในช่วงนี้เนื่องจากมีความหละหลวมในการดูแลประชาชนอย่างมาก  เนื่องจากเดือนที่ผ่านมานี้สังคมกดดันท่านรัฐมนตรีเรื่อง 'ค่าการกลั่น' ที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ น้ำมันแพง  ของแพง วันนั้นท่านออกมาสัมภาษณ์ว่า ‘คิดมาก่อนแล้ว เตรียมมาตรการไว้เป็นชุด’ แต่แล้วถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน ส่วน 3-4 วันที่ผ่านมานี้ ท่านได้ปล่อยให้ผู้ขายนํ้ามันเพิ่ม ‘ค่าการตลาด’ (รายได้ของผู้ค้าน้ำมัน) ในกรณีของเบนซินขึ้นมาสูงเกินมาตรฐานปกติอย่างมาก

"วานนี้ (5 ก.ค.) ค่าการตลาด Gasohol95 E10 สูงถึง 3.42 บาทต่อลิตร ส่วน Gasohol 91 อยู่ที่ 3.62 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดปกติไม่ควรเกิน 2 บาท และที่น่าสนใจคือ หากเทียบกับวันที่ พรรคกล้า ได้ออกมากระทุ้งรัฐบาลครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.เราจะเห็นว่า ราคานํ้ามันที่รับจากโรงกลั่นน้ำมันถูกลง แต่ราคาหน้าปั้มยังอยู่ในระดับเดิม แทนที่คนไทยเรา จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ถูกลง กลับกลายเป็นผู้ค้าเอาไปเป็นรายได้ของตนเอง ซึ่งผู้ค้าใหญ่สุดก็คือ ปตท. นั่นเองรัฐมนตรีพลังงาน ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรครับ" หัวหน้าพรรคกล้า ตั้งข้อสังเกต

'ก.เกษตรฯ' จับมือญี่ปุ่น ดันนโยบายผลิตภัณฑ์จากแมลง ส่งเสริมการ 'สร้างงาน - อาชีพ - รายได้' ให้เกษตรกรไทย

รายงานจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโตเกียววันนี้ (5 ก.ค.) แจ้งว่านายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมศักดิ์ วิวิธเกยูรวงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงโตเกียว, นายโชติ พึงเจริญพงศ์ คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ, นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ, นายสกนธ์ วนาเศรษฐี ที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงโตเกียว และคณะ เดินทางไปมหาวิทยาลัยทากะซากิ (Takasaki City University of Economics) ในจังหวัดกุนมะ เพื่อร่วมประชุมหารือกับ ดร.ทาเคชิ มิซึกุจิ (Takeshi Mizuguchi) อธิการบดีมหาวิทยาลัย และคณะ เมื่อวานนี้ เพื่อขยายความร่วมมือด้านการพัฒนาอาหารแห่งอนาคต (Future Food) 

โดย มหาวิทยาลัยทากะซากิได้ร่วมวิจัยและพัฒนากับบริษัท ฟิวเจอร์นอท อิงค์ (Futurenaut Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารจากแมลง โดยใช้ผงจิ้งหรีดนำเข้าจากประเทศไทยเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าแปรรูป เช่น ขนมแคร็กเกอร์ โปรตีนแท่ง เป็นต้น

โดยนายเรน ซากุไร (Ren Sakurai) CEO บริษัทฟิวเจอร์นอท และ ดร.อะกิฮิโร อีจิมะ (Akihiro Iijima) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี (Chief Technology Officer) ได้นำเสนอข้อมูลของบริษัทตลอดจนพาชมห้องปฏิบัติการทดลองเลี้ยงจิ้งหรีดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์

สำหรับการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ มีสื่อมวลชนญี่ปุ่นให้ความสนใจอย่างมาก โดยติดตามทำข่าวและสัมภาษณ์นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ, ดร.ทาเคชิ มิซึกุจิ อธิการบดี และนายเรน ซากุไร ซีอีโอ บริษัทฟิวเจอร์นอท

ทั้งนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) กล่าวว่า พอใจต่อความสำเร็จในการเจรจาหารือโดย ท่านอธิการบดี ดร.ทาเคชิ มิซึกุจิ และนายเรน ซากุไร ซีอีโอ บริษัทฟิวเจอร์นอท พร้อมจะทำความตกลงลงนามเอ็มโอยู กับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ด้านแมลง เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาแมลงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนทางเลือกใหม่ ภายใต้นโยบายอาหารแห่งอนาคต (Future Food) และนโยบายฮับแมลงโลกของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังสอดรับกับแนวทางขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO: Food and Agriculture Organization) ที่ประกาศให้ 'แมลงเป็นแหล่งอาหารในอนาคตของโลก' และเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอีกด้วย

JSL ชี้แจง!! จ่ายชดเชย 16% ของยอดทั้งหมดแค่บรรเทา ยันจะจ่ายให้ครบตามกฎหมาย แต่ยังขาดกระแสเงินสด

(5 ก.ค.65) เพจเฟซบุ๊ก 'JSL Global Media เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย' มีการชี้แจงเรื่องเงินชดเชยของพนักงาน ระบุว่า...

เรื่องเงินชดเชยของพนักงาน ทางบริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจและยังมีความตั้งใจที่จะจ่ายให้ครบจำนวนตามที่กฏหมายกำหนดไว้ แต่เนื่องด้วยภาวะการขาดกระแสเงินสดฉับพลันและยังไม่สามารถหาเงินมาให้ทันกับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องแจ้งพนักงานทุกคนตามความเป็นจริงเรื่องจำนวน % ที่บริษัทสามารถจ่ายให้ได้ ณ วันนั้น

อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องเงินชดเชยที่ขาด และได้พยายามหลายวิธีการเพื่อหาเงินมาจ่ายให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพราะทราบความเดือดร้อนของพนักงานทุกคน ตามกระบวนการที่ควรจะเป็นคือบริษัทและพนักงานต้องมีการคุยเจรจากันก่อนที่จะไปถึงกระบวนการของสำนักงานแรงงาน แต่ด้วยข้อจำกัดที่บริษัทมีขณะนั้น เราจึงไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดการจ่ายชดเชยที่เหลือได้ ทางบริษัทต้องขออภัยในความล่าช้าและทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนเกิดเหตุการณ์ตามข่าว ทางบริษัทขอชี้แจงกระบวนการการจัดสรรงบประมาณในการจ่ายชดเชยที่จะมีการดำเนินการต่อไปดังนี้ 
 

'กรณ์' ผิดหวัง ประชุม สมช.ไร้ธงแก้น้ำมันแพงชัด!! แต่กลับตั้ง คกก.ซ้อน ครม.เศรษฐกิจ อีก 2 ชุด

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ไลฟ์สดผ่านเฟซบุคส่วนตัว หลังทราบผลประชุม สมช. มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในช่วงเย็นของวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยระบุว่า รู้สึกอึดอัดผิดหวังกับผลการประชุมในวันนี้มาก เนื่องจากไม่มีมาตรการอะไรที่ชัดเจน นอกจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทับซ้อน ครม.เศรษฐกิจ อีก 2 ชุด โดยมีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานอย่างละชุด แทนที่จะให้ ครม.เศรษฐกิจทำหน้าที่เองให้เต็มที่ 

นายกรณ์ กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคกล้าได้เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาแก้ไขปัญหาราคาน้ำ พร้อมเสนอทางออกให้มากมาย นำไปสู่การประกาศโรงกลั่นบริจาคเงินเข้ากองทุนน้ำมันเดือนละ 8,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 เดือน เท่ากับ 24,000 ล้านบาท จนถึงวันนี้เงียบ ไม่รู้ว่าได้ดำเนินการไปแค่ไหนอย่างไร รวมถึงที่นายกรัฐมนตรี เรียก รมว.พลังงานฯ และ รมว.พาณิชย์ เข้าพบปัญหามันควรจะจบนับตั้งแต่วันนั้น เพราะข้อมูลของทั้งสองท่านต้องมีครบถ้วน และมีอำนาจเต็มในการดำเนินการ ขนาดพวกเราไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังสามารถติดตามข้อมูลจากทางราชการ เพื่อประเมินสถานการณ์ นำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาได้

“การตั้งกรรมการมีคนนั่งล้อมวงตามวัฒนธรรมการทำงานราชการไทย ไม่มีใครกล้าพูดหรือเสนออะไร ท่านนายกฯ นั่งหัวโต๊ะว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ซึ่งมันไม่ได้นำไปสู่การมีข้อสรุปหรือนโยบายใด ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนได้ ขอย้ำว่า ประชาชนเดือดร้อน น้ำมันแพง ของแพง มันเป็นภาระกับประชาชนโดยตรง  มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยการตั้งคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า จริง ๆ การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยาก มันมีมาตรการและทางออกที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่มีคนในวงการทำให้ดูสลับซับซ้อนเพื่อที่สุดท้ายจะทำให้ไม่มีคำตอบ” นายกรณ์ กล่าว

'สุริยะ' เผยแผนศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ คาดเสร็จ 100% พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ปี 2569

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center – ATTRIC) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการบนพื้นที่ 1,235 ไร่ ณ บริเวณเขตสวนป่าลาดกระทิง ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อของไทย ไปสู่การเป็นซุปเปอร์คลัสเตอร์ (Super Cluster) ตามยุทธศาสตร์ของประเทศและศักยภาพของพื้นที่ 

สนับสนุนให้มีการออกแบบ วิจัยพัฒนา และนวัตกรรม ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ไทยเป็นผู้นำและเป็นศูนย์กลางการทดสอบและรับรองในภูมิภาคอาเซียน มีบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถในด้านผลิตภัณฑ์      

ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อ สามารถทดสอบและรับรองได้เองในประเทศ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในประเทศที่ไม่ต้องส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบที่ต่างประเทศ สร้างแรงจูงใจให้กับผู้ลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการพัฒนาและเจริญเติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเฉพาะการเป็นศูนย์ทดสอบเพื่อรองรับมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า ยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า

ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา  เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น 3,705.7 ล้านบาท ซึ่งได้รับการจัดสรรแล้ว 1,872.7 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการของบประมาณ ปี 2566 อีก 1,833 ล้านบาท โดยการดำเนินการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้...

AIS ทุ่ม 32,420 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ 3BB จ่อขึ้นแท่น 'เจ้าบรอดแบนด์ - เครือข่าย' ชน True

สมรภูมิบรอดแบนด์ส่อแววระอุอีกครั้ง หลัง AIS ทุ่มเม็ดเงินเข้าซื้อกิจการ 3BB และ JASIF รวมมูลค่าการลงทุ 32,420 ล้านบาท จ่อขึ้นแท่นผู้ให้บริการบรอดแบนด์รายใหญ่ของไทย

เมื่อช่วงต้นปีมีข่าวปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ว่า บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส สนใจเข้าซื้อธุรกิจบรอดแบนด์ของ บมจ. ทริปเปิลที บรอดแบนด์ หรือ 3BB แต่ทาง บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ก็ออกมายืนยันว่า บริษัทไม่ได้ดำเนินการ หรือมีพัฒนาการใดๆ ในเรื่องการขายธุรกิจบรอดแบนด์ของบริษัทดังกล่าว

ล่าสุด!! AIS ซื้อได้เข้าซื้อกิจการ 3BB บรอดแบรนด์แล้วด้วยมูลค่า 32,420 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการเข้าซื้อกิจการ 3BB มูลค่า 19,500 ล้านบาท จาก บริษัท JAS และซื้อหน่วยลงทุน JASIF 12,920 ล้านบาท จาก JAS เช่นกัน รวมเป็นมูลค่า 32,420 ล้านบาท

ทั้งนี้ AWN ได้ลงนามใน บันทึกข้อตกลงกับ ACU และ JAS ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2565 เพื่อซื้อขายหุ้น TTTBB และหน่วยลงทุนใน JASIF (Undertaking Agreement) ('บันทึกข้อตกลง') โดย AWN จะยื่นเรื่องขออนุญาตในการเข้าทำธุรกรรมจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งภายหลังจากการได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นและหน่วยลงทุน โดยบริษัทฯ คาดว่าธุรกรรมซื้อหุ้นและซื้อหน่วยลงทุนจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 1 ของปี 2566 ถ้าได้รับการอนุมัติจาก กสทช.

เกาะ 986 พิกัด!! สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย ผู้ให้บริการรายไหน? จัดเต็ม!!

ในวันที่ทิศทางยานยนต์ไฟฟ้าเริ่มชัดเจน และตลาดก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว ค่ายรถยนต์น้องใหม่ รวมถึงค่ายเทคโนโลยีดังๆ หลายเจ้า เริ่มขอเข้ามาแทรกแซงทางโค้งเพื่อเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าของตนในประเทศไทยกันถ้วนหน้า จนสร้างความคึกคักท่ามกลางความคลื่นสึนามิย่อมๆ ของเศรษฐกิจไทย ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนของกำลังซื้อใหม่ๆ ได้อย่างน่าสนใจ

แต่ถึงกระนั้นกระแสการตื่นตัวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่เกิดขึ้น กลับสวนทางกับภาพของการใช้งานจริง นั่นก็เพราะเรายังเห็นจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV วิ่งกันบนท้องถนนแบบจริงจัง น้อยมาก!! 

แน่นอนว่าตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ ยังอยู่ที่ความล่าช้าในการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่ผู้บริโภค, ทางเลือกที่ยังมีจำกัด, ราคาที่ยังไม่สร้างแรงจูงใจให้กับผู้ใช้ส่วนมาก, ศูนย์บริการที่สามารถดูแลเมื่อเกิดปัญหาที่ยังไม่ครอบคลุม และ ‘อีกตัวแปรสำคัญ’ ที่น่าจะมีผลต่อความเบาบางของรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนมากเกือบที่สุด คือ ความกังวลของผู้ใช้รถว่าแบตเตอรี่ของตนอาจหมดลง แล้วหาสถานีชาร์จได้ลำบากนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทุกภาคส่วนของประเทศไทยที่อยู่ในระบบนิเวศนี้ ต่างรับรู้ปัญหาดี จึงได้มีการร่วมผลักดันสร้างสถานีชาร์จขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่คิดแค่อยากจะตั้งก็ตั้งขึ้นมาได้ เพราะการจัดตั้งสถานีชาร์จในแต่ละที่ ต้องมีการคำนึงถึงความพร้อมของกระแสไฟฟ้าของพื้นที่นั้นๆ อยู่ด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้สถานีชาร์จในบ้านเรา ก็ผุดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกันบ้างพอสมควรแล้ว

ว่าแต่...ในวันนี้ประเทศไทยมีสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศมากน้อยแค่ไหน?

จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและพลังงานแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า สถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มีนาคม 2565) มีจำนวน 986 สถานีทั่วประเทศ มีหัวชาร์จรวมมากกว่า 2,200 หัวชาร์จ กระจายครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ / นนทบุรี / ปทุมธานี / ภาคกลาง / ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / ภาคเหนือ และ ภาคใต้ โดยมีจำนวนผู้ให้บริการที่ติดตั้งจุดชาร์จแล้ว ดังนี้...

>> EA ANYWHERE แบรนด์ภายใต้บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ผลิตภัณฑ์ด้านสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า มีจำนวนสถานีอัดประจุที่บริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 459 สถานี จำนวน 1,900 หัวชาร์จ
>> บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีจำนวนสถานีอัดประจุที่บริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 120 สถานี
>> บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) มีจำนวนสถานีอัดประจุที่บริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 108 สถานี
>> การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีจำนวนสถานีอัดประจุที่ กฟภ. เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 73 สถานี
>> สถานีอัดประจุจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย มีจำนวนสถานีอัดประจุทั้งหมด 68 สถานี
>> บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด มีจำนวนสถานีอัดประจุที่บริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด 51 สถานี

‘เกรท วอลล์’ เฮ!! น้องเหมียวไฟฟ้าตัวแรง ‘ORA Good Cat GT’ จองหมด 500 คัน ใน 58 นาที

หลังจาก บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (Great Wall Motor) หรือ GWM ได้ประกาศเปิดตัว ORA Good Cat GT อย่างเป็นทางการเมื่อคืนวันที่ (29 มิถุนายน) ที่ผ่านมา พร้อมเปิดรับจองออนไลน์ ตั้งแต่เวลา 20:00 น. ปรากฎว่า แค่ 58 นาที หรือไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ปิดยอดจองได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ทาง เกรท วอลล์ ได้ระบุเงื่อนไขการจองให้ผู้จอง ORA Good Cat GT (โอร่า กู๊ดแคท จีที) ผ่านทาง GWM Application และเว็บไซต์ www.GWM.CO.TH โดยต้องวางเงินมัดจำ 10,000 บาท และพบว่าหลังเปิดรับจอง 58 นาที มีผู้จองพร้อมวางเงินมัดจำครบ 500 คัน ตามจำนวนโควตาที่บริษัทได้ระบุ

สำหรับโควต้า 500 คัน ของ ORA Good Cat GT ทางเกรท วอลล์ จะสามารถเริ่มต้นส่งมอบล็อตแรก 200 คัน ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 ขณะที่ที่เหลืออีก 300 คัน จะเริ่มต้นส่งมอบได้ตั้งแต่เดือน เมษายน 2566 เป็นต้นไป

ด้าน ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ORA Good Cat GT การมียอดจองครบ 500 คันภายในเวลาอันรวดเร็ว นับการพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคชาวไทยมีต่อเกรท วอลล์ มอเตอร์

สำหรับ ORA Good Cat GT มีราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 1,549,000 บาท แต่หลังจากหักส่วนลดและสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ ทั้งเงินสนับสนุน 150,000 บาท การลดภาษีสรรพามิตจาก 8% เหลือ 2% ทำให้ราคาลงมาอยู่ที่ 1,286,000 บาท

เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 3/2565

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 3/2565 สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจและราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น  สร้างความกังวลสูงต่อผู้ประกอบการคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาไตรมาสแรกของปีหน้า

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น จากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน  325 คน  ระหว่างวันที่ 16 ถึง 24 มิถุนายน 2565  เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ได้ดังนี้...

ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน จากเหตุดังกล่าวจึงมีการสำรวจปัจจัยที่มีความกังวลที่เกิดมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ พบว่าผู้ให้ข้อมูลความกังวลในสองลำดับแรกคือสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจ และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ที่สร้างความกังวลกับผู้ให้ข้อมูลเป็นอย่างมาก (เป็นจำนวนร้อยละ 76 และ 68 ตามลำดับ) ในขณะที่ความกังวลในลำดับรองลงมาคือราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนของตลาดการเงิน (เป็นจำนวนร้อยละ 38 และ 29 ตามลำดับ) จากสถานการณ์โควิดในวันนี้พบว่าผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีความกังวลอยู่บ้างแต่ใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น (ร้อยละ 65) และอีกส่วนหนึ่งมีความกังวลพอควรและใช้ชีวิตระวังเช่นเดิม (ร้อยละ 20) และมีผู้ให้ข้อมูลบางส่วนได้หมดความกังวลแล้ว (ร้อยละ 11) สถานการณ์คลี่คลายความกังวลจากโควิดเป็นสัญญาณที่ดีมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ 

จากการปรับตัวของราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสที่สอง ผู้ให้ข้อมูล ได้แบ่งปันประสบการณ์ผลกระทบต่อต้นทุนทางธุรกิจ และพบว่าร้อยละ 50 ของผู้ให้ข้อมูลที่สำรวจมีต้นทุนการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 10 ถึง 20  ร้อยละ 31 ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 20 ถึง 40 และร้อยละ 12 ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มมากกว่าร้อยละ 40 จากประเด็นดังกล่าวจึงมีคำถามต่อเนื่องหากในสามเดือนหน้าราคาน้ำมันและวัตถุดิบยังคงเดิมเช่นวันนี้จะมีการปรับราคาสินค้าหรือไม่ พบว่าร้อยละ 51 ของผู้ให้ข้อมูลจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 25 ของผู้ให้ข้อมูลต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นให้เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังที่ผ่านมา และมีเพียงร้อยละ 14 ยังรอการปรับราคาได้ แนวโน้มดังกล่าวส่งสัญญาณว่าปัญหาทางด้านเงินเฟ้อคงยังไม่ชะลอตัวลง

เมื่อได้สอบถามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจีนกล่าวคือในระยะที่ผ่านมารัฐบาลจีนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 60 คาดว่าสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะต้องใช้เวลามากกว่าอีกหกเดือนจากวันนี้ ขณะที่ร้อยละ 34.5 คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่างสามถึงหกเดือน จากนโยบายปลอดโควิดของจีนนั้นที่ทำให้เกิดการปิดบังเมืองชั่วคราว ผู้ให้ข้อมูลให้ข้อคิดเห็นว่านโยบายดังกล่าว มีผลต่อการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศจีน โดยที่ร้อยละ 48 ของผู้ให้ข้อมูลระบุว่ามีผลกระทบเป็นอย่างมาก และร้อยละ 31 มีผลกระทบพอประมาณ จากสถานการณ์ภายในประเทศจีนต่อการเดินทางไปต่างประเทศ ร้อยละ 44 ของผู้ให้ข้อมูลคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเยือนประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ในขณะที่ร้อยละ 16 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมายืนเมืองไทยก่อนสิ้นปี 2565 ส่วนผู้ให้ข้อมูลที่เหลือคาดว่าต้องรอจนหลังไตรมาสที่สองของปี 2566 ที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง 

ในเรื่องของการท่องเที่ยวอีกเช่นกันจากนโยบายผ่อนปรนจนกระทั่งไม่มีการตรวจโควิดกับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 55 คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่างสามถึงหกเดือน การท่องเที่ยวจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอีกครั้งหนึ่งอย่างเต็มที่ ขณะที่ร้อยละ 36.8 คาดว่าต้องใช้เวลามากกว่าอีกหกเดือน 

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 29 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ 3 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ร้อยละ 43 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรงๆ ส่วนร้อยละ 22 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันกล่าวคือ ร้อยละ 54 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 27 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน การคาดคะเนการนำเข้านั้น ร้อยละ 58 คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ 23 การนำเข้าจะทรงตัว ส่วนผลของการสอบถามความคิดเห็น ด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า ร้อยละ 56 ของผู้ให้ข้อมูลคิดว่าการลงทุนจากจีนในไทยในไตรมาสที่สามเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สองจะเพิ่มขึ้นในขณะที่ร้อยละ 28 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่าการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน กล่าวโดยสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นบ้างในอีกสามเดือนหน้า และน่าจะมีผลที่ดีกับประเทศไทยในเรื่องการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ

การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน สรุปได้ว่าร้อยละ 52 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 25 จะทรงๆ ขณะที่ร้อยละ 20 ไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงอีก ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสหน้า คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร ธุรกิจบริการสุขภาพ และธุรกิจออนไลน์ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร  และพลังงานและสาธารณูปโภค การสอบถามเพิ่มเติมในส่วนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว พบว่าเป็นอุตสาหกรรมเป็นโอกาสของประเทศไทยที่สำคัญและจะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้หากได้รับการแก้ไขอุปสรรคอย่าวรวดเร็ว

การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 51 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวลดลง ร้อยละ 22 คาดว่าคงเดิม ร้อยละ 23 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสหน้านั้น เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 57 คาดว่าเงินบาทจะมีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา และอีกร้อยละ 17 คิดว่าถ้าเงินบาทจะอ่อนตัวลงเป็นอย่างมาก

‘สุริยะ’ เร่งช่วยเหลือภาคธุรกิจกระทบสงคราม สั่ง สมอ. แก้กฎลดอุปสรรค ‘ส่งออก-นำเข้า’

สมอ. แก้ประกาศคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ช่วยเหลือผู้ส่งออกสินค้าควบคุม จากเดิมที่ให้รายงานปริมาณการผลิต การส่งออก และปริมาณคงเหลือ ต่อ สมอ. ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีการส่งออก เป็น 30 วัน หลังจากได้รับเอกสารครบถ้วนจากกรมศุลกากร เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกอย่างเร่งด่วน โดยตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ที่ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน หากมีกฎระเบียบหรือประกาศของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การค้า การส่งออก-นำเข้า ให้พิจารณาแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการให้มากที่สุด โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ต้องไม่กระทบกับนโยบายด้านการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมถึงให้ความช่วยเหลือกรณีที่ผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ไม่สามารถส่งสินค้าเข้าประเทศปลายทางได้ และจำเป็นต้องนำกลับเข้ามาในประเทศให้ สมอ. หามาตรการช่วยเหลือด้วย

ด้าน นายบรรจง  สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ที่ตนได้เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมื่อเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ก็ได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง กรณีที่ไม่สามารถรายงานปริมาณการผลิต การส่งออก และปริมาณคงเหลือ ต่อ สมอ. ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งออกได้ จึงทำให้ต้องถูกดำเนินคดี ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว สมอ. จึงเสนอบอร์ดคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์

‘ดร.กฤชนนท์’ เผย อุตสาหกรรมไทยยังโตต่อเนื่อง ชี้ กลุ่มเครื่องมือแพทย์ - ยานยนต์ไฟฟ้า มาแรง

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผย ภาพรวมอุตสาหกรรมไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะเกิดวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมโลก 

โดยในไทยพบ กลุ่มอุตสาหกรรมด้านอาหาร อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์สมุนไพรไทย และยานยนต์ไฟฟ้า มีแนวโน้มการเติบโตสูง ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าแฟชั่นเติบโตลดลง

นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมไทย ในงาน Thailand’s Smart Awards ครั้งที่ 3

ว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ภาพรวมการเติบโตอุตสาหกรรมไทยลดลงจากมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไทยนั้น มีการปรับตัวทำให้กลับมาเทียบเท่าก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย GDP ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตขึ้น 5.9 % ซึ่งสูงกว่า GDP ของประเทศที่เมื่อปีที่แล้วเติบโตอยู่ประมาณ 1.6 % โดยในปีนี้คาดการณ์ว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 2.2 – 3.2 % 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top