Saturday, 20 April 2024
ECONBIZ

‘SABUY’ คว้ารางวัลระดับโลกจาก ‘Global Brand ’สุดยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีการชำระเงิน

SABUY คว้ารางวัลระดับโลก The Global Brand Awards 2022 รางวัลสุด ยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีการชำระเงิน และระบบโซลูชั่นส์แห่งประเทศไทย  

นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เปิดเผยว่า นับเป็นอีกก้าวย่างแห่งความสำเร็จ หลังจากที่บริษัทฯ สามารถคว้ารางวัลระดับโลก The Best Payment Technology & Solution Provider in Thailand 2022 หรือ รางวัลสุดยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีการชำระเงินและระบบโซลูชั่นส์แห่งประเทศไทย ปี 2565 จากงาน The Global Brand Awards 2022 ซึ่งเป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร Global Brand สื่อสิ่งพิมพ์ระดับนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในสหราชอาณาจักร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเชิดชูและมอบรางวัลให้แก่บริษัทที่มีความโดดเด่นด้านผลงาน และมีความสำเร็จขององค์กรที่มีผลงานในด้านอุตสาหกรรมของตนเอง 

นายชูเกียรติ ย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นของกลุ่มสบายว่า “ SABUY เรามุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีจากทุกด้าน รวมถึงการสร้างแพลทฟอร์มทางการค้าที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมและสร้างประสิทธิภาพและคุณค่าของการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยสร้างเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนตามแต่ละเป้าหมายของชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็น การใส่ใจด้านสุขภาพ , ความมั่งคั่ง , การทำงาน , การใช้เวลายามว่าง และการเข้าใจถึงข้อมูลความต้องการของแต่ละบุคคล 

ดร.กอบศักดิ์ เตือน ระวังการสร้างหนี้ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้!! เงินเฟ้อพุ่ง ทำให้ 'ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน' จบลง

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Kobsak Pootrakool’ ระบุว่า 

ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น !!!! 

ยุคที่เราต้องระวังเรื่องการใช้จ่าย กำลังเริ่มแล้ว

เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กำลังทำให้ “ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน” จบลง

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสู้สงครามกับเงินเฟ้อของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก 

ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายแต่ละประเทศ ต้องปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง 

โดยในเวลาไม่ถึงปี

- สหรัฐ ขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง รวม +3.0%
- สหภาพยุโรป ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม +1.25% 
- อังกฤษ ขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง รวม +2.15%
- ออสเตรเลีย 5 ครั้ง รวม +2.25%
- ฟิลิปปินส์ 5 ครั้ง รวม +2.25%
- มาเลเซีย 3 ครั้ง รวม +0.75%
- อินโดนีเซีย 2 ครั้ง รวม +0.75%
- ไทย 2 ครั้ง รวม +0.5%

เมื่อธนาคารกลางขยับ ดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรต่าง ๆ ก็จะขยับตามเป็นขบวนแรก

ทั้งดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของเอกชน 

บางครั้ง ขึ้นก่อนธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยซ้ำไป

ส่วนดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ก็เช่นกัน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น 

ตามสัญญาณจากธนาคารกลาง เป็นขบวนถัดมา 

ในสหรัฐ JPMorgan Chase Bank แบงก์ที่ใหญ่ที่สุด ได้ปรับ Prime Lending Rate ขึ้น 5 ครั้ง

จาก 3.25% เป็น 6.25% ขึ้นมา +3.0% ตามจังหวะที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างสอดประสาน

แบงก์อื่น ๆ เช่น Bank of America หรือ Well Fargo Bank ก็ปรับขึ้น 5 ครั้ง ในจังหวะและอัตราเดียวกัน

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ปกติแล้วธนาคารพาณิชย์จะคอยดูสัญญาณจากธนาคารกลางว่า 

ต้องการให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน 

และจะดำเนินการตามที่ธนาคารกลางส่งทิศทางมา 

ทั้งนี้ เนื่องจากแบงก์พาณิชย์แต่ละแบงก์ เป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจ 

คงยากที่จะฝืนทิศทางของธนาคารกลางได้ 

เพราะสัญญาณและนโยบายจากธนาคารกลาง 

จะกระทบไปทุกส่วนของตลาดการเงิน 

โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรที่จะเป็นตลาดแรกที่ปรับทันที 

ส่วนธนาคารพาณิชย์ อาจจะใช้เวลา อาจจะรอได้บ้าง ในช่วงสั้น ๆ

แต่เมื่อธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยไปต่อเนื่องในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง 

ทำให้ดอกเบี้ยในระบบ เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น

ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องปรับตาม ในท้ายที่สุดเช่นกัน

ซึ่งการปรับดอกเบี้ยตามดังกล่าว จะช่วยให้นโยบายของธนาคารกลาง 

สามารถส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ ในทิศทางที่ธนาคารกลางต้องการ

สำหรับประเทศไทย 

หลังแบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมา 2 ครั้ง +0.5% และคงปรับขึ้นไปต่ออีกระยะ 

การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน 

ส่งผลต่อดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในประเภทต่าง ๆ 

ซึ่งจะช่วยในกระบวนการดูแลเงินเฟ้อของแบงก์ชาติ 

ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนลงทุน และกู้ยืมน้อยลง

ดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนฝากเงิน ใช้จ่ายน้อยลงเช่นกัน 

ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมใช้จ่ายลดลง ลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

โดยกระบวนการนี้ จะเริ่มชะลอและหยุดลง 

ก็ต่อเมื่อแบงก์ชาติซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางดอกเบี้ย จบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย

หมายความว่า “ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” ในไทย 

ยังจะเดินหน้าไปอีกระยะ

ส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินกู้แบบต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น

สินเชื่อบ้านแบบคงที่ 2-3 ปี ดอกต่ำ ๆ ก็แทบหาไม่ได้ในขณะนี้ ต่างจากช่วงก่อนหน้า

ซึ่งเราทุกคนคงต้องระวังเรื่องการสร้างหนี้ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น นี้

ยิ่งเศรษฐกิจโลกกำลังอ่อนลง 

บริษัทต่าง ๆ คงต้องคิดเรื่อง สภาพคล่อง ดูแลกระแสเงินสด ฐานะการเงินให้ดี

อะไรไม่จำเป็นก็คงต้องผลักออกไปก่อน

โลตัส ฉลองครบรอบ 28 ปี ตอกย้ำผู้นำวงการค้าปลีก พร้อมผลักดันธุรกิจออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขาย 20% ของยอดขายรวมภายใน 3 ปี

โลตัส ฉลองครบรอบ 28 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำวงการค้าปลีกสมัยใหม่ เดินหน้าต่อยอด New SMART Retail ปูพรมเปิดสาขา next generation รูปแบบใหม่ พร้อมผลักดันธุรกิจออนไลน์เต็มสูบ ตั้งเป้ายอดขาย 20% ของยอดขายรวมภายใน 3 ปี

โลตัส เฉลิมฉลองครบรอบ 28 ปี ของการเป็นผู้นำวงการค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทย ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท ส่งแคมเปญเฉลิมฉลองและขอบคุณลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าต่อยอด New SMART Retail ผลักดันการเติบโตแบบ omni-channel ด้วยการเปิดสาขา next generation รูปแบบใหม่ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในแต่ละพื้นที่ ควบคู่กับการเป็น fulfillment center สำหรับธุรกิจออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขาย 20% ของยอดขายรวมภายใน 3 ปี

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 28 ปีที่ผ่านมา โลตัส มีส่วนร่วมในการผลักดันวิวัฒนาการของค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยในทุกยุคสมัย ตั้งแต่ Retail 1.0 ซึ่งคือการเริ่มต้นของร้านค้าในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่นำความสะดวกสบายของการมีสินค้าคุณภาพสูงที่ครบครันและหลากหลายอยู่ภายในที่เดียวในราคาที่คุ้มค่า โดยโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาแรกเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2537 หลังจากนั้น ในยุค Retail 2.0 ได้ต่อยอดด้วยการพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อให้มีร้านค้าที่เติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้โลตัส เป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว นอกเหนือจากการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนการพัฒนาสาขารูปแบบใหม่ ๆ ทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก ในปี พ.ศ. 2556 ภายใต้ยุค Retail 3.0 และการเกิดขึ้นของ e-commerce โลตัส เป็นค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตรายแรกในประเทศไทยที่เปิดตัวแพลทฟอร์มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ของตนเอง จำหน่ายสินค้าครอบคลุมทุกหมวดหมู่ รวมถึงอาหารสด โดยสามารถจัดส่งสินค้าจากสาขา และยังมีรูปแบบ click & collect ให้ลูกค้าสามารถมารับสินค้าได้ด้วยตนเอง และในยุค Retail 4.0 คือการเติบโตของค้าปลีกแบบ omni-channel และ personalization โดยโลตัส ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่น Lotus’s SMART App ในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา โดยรวมออนไลน์ช้อปปิ้งเอาไว้กับโปรแกรมขอบคุณลูกค้า MyLotus’s เพื่อส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อระหว่างออฟไลน์และออนไลน์ ควบคู่ไปกับความคุ้มค่าที่ถูกออกแบบมาสำหรับลูกค้าแต่ละคน โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งในช่วงเวลาเพียงแค่ 6 เดือนหลังจากเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Lotus’s SMART App ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 5.3 ล้านราย และช่วยผลักดันให้ยอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์โตขึ้นกว่า 12 เท่าตัว”

“ก้าวต่อไปของโลตัส ในปีที่ 29 ของการดำเนินธุรกิจ คือการเป็นผู้นำผลักดัน Retail 5.0 New SMART Retail ในประเทศไทย ด้วยการเดินหน้าเปิดสาขา next generation ในหลากหลายรูปแบบที่มีความเหมาะสมกับไลฟ์ไสตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ โดยที่ทุกสาขาจะต้องทำหน้าที่เป็น fulfillment center ในการจัดส่งสินค้าสำหรับแพลทฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย โดย โลตัส ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ยอดขายจากแพลทฟอร์มออนไลน์จะมีสัดส่วน 20% ของยอดขายโดยรวมทั้งหมด สำหรับพื้นที่ศูนย์การค้า จะได้รับการปรับและเพิ่มพื้นที่ให้เป็น Everyday SMART Community Center ศูนย์รวมการใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของชุมชนรอบข้าง โดยมีร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ มุ่งเน้นการเป็น inspiring food destination และการทำกิจกรรมของชุมชน แผนงานภายใน 3 ปีข้างหน้าคือการปรับพื้นที่ศูนย์การค้าใน 140 สาขา ควบคู่กับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ต่อยอดสู่การเป็นผู้พัฒนาและบริหารโครงการค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต”

“ในส่วนของแพลทฟอร์มออนไลน์ เราจะเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถรองรับการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่จะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าในแต่ละราย เพื่อมอบส่วนลด สิทธิประโยชน์ และข้อเสนอที่ตรงใจลูกค้าในระดับปัจเจกบุคคล ปัจจุบันเรามีฐานสมาชิกโปรแกรมขอบคุณลูกค้า มายโลตัส (MyLotus’s) กว่า 23 ล้านบัญชี โดยตั้งเป้า migrate สมาชิกทั้งมาอยู่บนแพลทฟอร์ม Lotus’s SMART App เพื่อการใช้งานที่สะดวกและไร้รอยต่อที่สุด นอกจากนั้น แผนงานด้านผลิตภัณฑ์ จะต้องตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ในอนาคต รวมถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าพรีเมียม สินค้านำเข้า สินค้าอัตลักษณ์ สินค้าท้องถิ่น สินค้า SME โดยในแต่ละสาขาจะมีสินค้าที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของโปรไฟล์ลูกค้าในแต่ละพื้นที่ นอกจากนั้น แผนงานพัฒนาสินค้า own brand ของเรา จะมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงอาหารสดคุณภาพสูง ปลอดภัย มาจากแหล่งที่ยั่งยืน และจำหน่ายในราคาที่เอื้อมถึงได้”

‘กนง.’ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มีผลทันที แตะระดับ 1% ต่อปี

‘กนง.’ เอกฉันท์ ปรับดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มีผลทันที ส่งผลดอกเบี้ยล่าสุดแตะระดับ 1% ต่อปี พร้อมคงคาดการณ์จีดีพีโต 3.3% ส่วนเงินเฟ้อปีนี้อยู่ที่ 6.3% ส่วนปีหน้า 2.6%

เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมนโยบายการเงิน ครั้งที่ 5/2565 ในวันที่ 28 กันยายน 2565 ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที และคงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ 3.3% และคาดว่าปีหน้าจะขยายตัวที่ 3.8% เป็นไปตามการคาดการณ์เดิมตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคของเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกชะลอตัวลง แต่ไม่กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าเพิ่มขึ้นที่ 6.3% และ 2.6% ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2565 และ 2566 คาดว่าอยู่ที่ 2.6% และ 2.4% ตามลำดับ มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐปรับอ่อนค่าเร็วและต่อเนื่องตามการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยคณะกรรมการจะติดตามพัฒนาการในตลาดอย่างใกล้ชิด

EA ผนึก CFM พันธมิตรใหญ่ในมาเลเซีย ลุยพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

EA ส่ง EA Mobility Holding จับมือพันธมิตร Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) ลงนาม HOA (Head of Agreement) ลุยพัฒนามาเลเซียสู่การเป็นสังคมไร้คาร์บอน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองในมาเลเซีย ปูทางสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในตัวเมืองลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เมื่อวันที่ (26 กันยายน 2565) ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานพิธีลงนามความร่วมมือเพื่อที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศมาเลเซียโดยมี Mr.Datuk Wira Justin Lim Hwa Tat กรรมการบริหาร, Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมในพิธีลงนาม

ณ ปัจจุบันประเทศมาเลเซีย มีนโยบายด้านพลังงานในการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งเน้นให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นถึง 37% ตามแผนนโยบายในปี 2022-2040 อีกทั้งการเข้าร่วม COP26 ของทางรัฐบาล เพื่อตอบสนองต่อนโยบายแห่งชาติในเวทีโลก เข้าสู่สังคมไร้มลพิษ จึงเป็นที่มาของการร่วมมือเพื่อลงทุนพัฒนาระบบการคมนาคมไฟฟ้าแบบครบวงจรในครั้งนี้ โดยทางบริษัท CFM ได้เห็นถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศไทย ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมเกี่ยวกับการคมนาคมแบบไร้มลพิษ ตั้งแต่การพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถโดยสารไฟฟ้า และเรือโดยสารไฟฟ้า และการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งมีเทคโนโลยีระบบ Ultra Fast Charge Technology สามารถอัดประจุไฟฟ้าสู่ยานยนต์ทุกชนิด 80% ในระยะเวลาเพียง 15-20 นาที

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ฯ เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ CFM เพื่อร่วมลงทุนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไร้มลพิษ นับเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของ EA ที่ได้รับการยอมรับในการนำนวัตกรรม Ultra Fast Charge Technology ของบริษัทฯ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่พัฒนา และผลิตในประเทศไทย เข้าสู่ตลาดขนส่งมวลชนของประเทศมาเลเซีย ก่อให้เกิดการร่วมลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ร่วมกันในอนาคต สามารถผลักดันให้บริษัทขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก และตลาดโลกต่อไปในอนาคต

รัฐขยายระยะเวลาบรรเทาค่าใช้จ่าย 'น้ำ-ไฟ' ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 7 เดือน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2565 - เมษายน 2566 (7 เดือน) โดยใช้งบประมาณจากกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จํานวน 1,933.05 ล้านบาท แบ่งเป็นสนับสนุนค่าไฟฟ้า จํานวน 1,786.05 ล้านบาท ช่วยเหลือประมาณ 810,000 ครัวเรือน และงบประมาณสนับสนุนค่าน้ำประปา จํานวน 147 ล้านบาท ช่วยเหลือประมาณ 210,000 ครัวเรือน

ทั้งนี้ มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา มีรายละเอียดดังนี้...

>> ค่าไฟฟ้า
1.) กรณีใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกัน 3 เดือน ให้ใช้สิทธิ์ค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน 
2.) กรณีใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย/เดือน ให้ใช้สิทธิ์ตามมาตรการนี้ ในวงเงิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน 
3.) กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กําหนด ผู้มีบัตรฯ เป็นผู้รับภาระ ค่าไฟฟ้าทั้งหมด 

'บิ๊กป้อม' สั่งพาณิชย์คุมเข้มราคา-คุณภาพอาหาร ป้องกันการฉวยโอกาสในช่วงเทศกาลกินเจ

เมื่อวันที่ (26 ก.ย. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดูแลการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงเทศกาลกินเจ 2565 ซึ่งปีนี้ตรงกับช่วงวันที่ 26 ก.ย.- 4 ต.ค. โดยให้สำรวจรายการอาหาร ทั้งอาหารเจ และอาหารปกติ ตลอดจนพืชผัก เครื่องปรุงรส ฯลฯ ให้อยู่ในราคาที่เหมาะ ไม่สูงเกินสมควร เพื่อเป็นการป้องกันการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชนในช่วงเทศกาลกินเจ ดูแลผู้บริโภคไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว

‘เอ็กโก’ ซื้อหุ้นเพิ่ม 10% ใน 2 โรงไฟฟ้า เดินหนาขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

เอ็กโก กรุ๊ป ขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10% ในโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” จ.ชัยภูมิ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “เอ็กโกได้ซื้อหุ้นเพิ่มในสัดส่วน 10% ของบริษัท ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม จำกัด และบริษัท เทพพนา วินด์ฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” จ.ชัยภูมิ ตามลำดับ ซึ่งเป็นการ ซื้อหุ้นทั้งหมดจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม โดยการซื้อและโอนหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมได้เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2565 เป็นผลให้เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง”  

โรงไฟฟ้า 'ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม' ตั้งอยู่ใน อ.ซับใหญ่ จ.ชัยภูมิ มีกำลังผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer – SPP) ประเภทสัญญา Non-firm ในขณะที่โรงไฟฟ้า 'เทพพนา วินด์ฟาร์ม' ตั้งอยู่ใน อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ มีกำลังผลิตติดตั้ง 7.5 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer – VSPP) เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อปี 2559 และ ปี 2556 ตามลำดับ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง มีผลการดำเนินงานที่ดี มีค่าความพร้อมจ่ายสูง เครื่องจักรได้รับการบำรุงรักษาอยู่ในสภาพที่ดี และยังตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพและมีลมตลอดทั้งปี

'พิธา' แง้ม!! คำตอบของอนาคตเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่การพึ่ง 'สินค้าเกษตร-อิเล็กทรอนิกส์' อีกต่อไป

'พิธา-พรรณิการ์' ร่วมงานแฟชั่นโชว์โพเอ้ม ชี้อนาคตเศรษฐกิจไทยคือ อุตสาหกรรมครีเอทีฟ-คราฟต์

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้รับเชิญเข้าร่วมงานแฟชั่นโชว์ของแบรนด์ POEM โดยชวนล ไคศิริ ดีไซเนอร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Bangkok International Fashion Week 2022 

พิธา กล่าวว่า คำตอบของอนาคตเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่การพึ่งสินค้าเกษตรหรืออิเล็กทรอนิกส์อีกต่อไป เพราะโลกยุคดิจิทัลและ AI ดิสรัปชั่น อุตสาหกรรมไทยจะถูกท้าทายอย่างมาก แต่ทางออกของการสร้างงานที่ดี มีรายได้สูง เป็นธรรมและเป็นการใช้ศักยภาพคนไทยอย่างเต็มที่ คืออุตสาหกรรมครีเอทีฟ - คราฟต์ - แคร์ หรืองานใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานฝีมือ และงานบริการ ที่หุ่นยนต์ไม่สามารถแทนที่คนได้ ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมแฟชั่นดีไซน์ จึงเป็นอนาคต ที่รัฐต้องสนับสนุนทั้งสาขาดีไซน์ และสาขาการผลิต ซึ่งหมายถึงช่างฝีมือจำนวนหลักแสนหรือล้านคน

พิธา ระบุว่า รัฐต้องสนับสนุนดีไซเนอร์ให้มีต้นทุนต่ำลงในการคงอยู่ในวงการ เพราะคนส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายปีและต้นทุนมหาศาล กว่าจะประสบความสำเร็จ หนึ่งในเรื่องที่รัฐทำได้ คือการสร้าง Common House หรือสถานที่ที่ออกแบบเพื่อการทำงานดีไซน์และช่างฝีมือโดยเฉพาะ มีสตูดิโอและอุปกรณ์เครื่องมือจำเป็นให้ใช้ฟรี สถานที่แบบนี้นอกจากจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของดีไซเนอร์รุ่นสร้างตัว ยังเป็นแหล่งพบปะแลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างดีไซเนอร์และช่างฝีมือแขนงต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดไอเดียได้ดีขึ้น

ส่วนในสายงานช่างเย็บ ช่างปัก ช่างแพทเทิร์น พิธาเสนอโมเดลของ เลอดิสเนิฟ เอ็ม เมติเย ดาต์ ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นองค์กรที่รวมเอาช่างฝีมือทุกแขนงมาทำงานด้วยกัน พัฒนาต่อยอด ผสมผสานองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ หากรัฐบาลไทยจัดให้มีสถาบันแบบนี้ขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือช่าง หรือแม้แต่รับจ้างผลิต ให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ๆ ไม่ต้องหาช่างเป็นของตัวเอง แต่นำแบบมาสั่งผลิตได้ที่นี่ ก็จะทำให้เกิดระบบซัพพลายที่แข็งแกร่ง แข่งขันในเวทีโลกได้

“หมดยุคที่อุตสาหกรรมสิ่งทอ แฟชั่นไทย จะสร้างศักยภาพการแข่งขันด้วยของถูก ด้วยการบีบค่าแรงช่าง เราต้องส่งเสริมฝีมือช่างไทย สร้างระบบอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างเป็นธรรม แข่งขันด้วยฝีมือและความประณีต นี่คืออนาคตของคนรุ่นต่อไป” พิธา กล่าวทิ้งท้าย

‘ดีอีเอส’ ร่วมมือ มธ. เปิดศูนย์ Thammasat AI Center ต่อยอดความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์สู่คนรุ่นใหม่

(22 ก.ย. 65) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิธีเปิด ‘ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์’ หรือ ‘Thammasat AI Center’ เพื่อเป็นศูนย์กลางฝึกอบรม วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้ให้คนรุ่นใหม่และผู้สนใจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้เกียรติร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้บริหาร เยี่ยมชมบรรยากาศการเรียนการสอน AI ณ อาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีโลกเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งส่งเสริมองค์กรต่างๆ ในการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ การพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ พร้อมจัดตั้ง ‘กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม’ ซึ่งได้สนับสนุน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้ง ‘ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์’ หรือ Thammasat AI Center เป็นแหล่งศึกษา เรียนรู้และพัฒนาการวิจัยด้าน AI ร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ยกระดับศักยภาพและกระตุ้นการคิดค้นต่อยอดนวัตกรรม สร้างระบบนิเวศชุมชนใช้ AI เป็นเครื่องมือดำเนินธุรกิจ คาดว่ามูลค่าการตลาด AI ทั่วโลกจะสูงกว่า 15.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 565 ล้านล้านบาทในปี 2030 เพิ่มมูลค่าถึง 26% นำไปสู่โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคต

ด้าน รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการขับเคลื่อนโครงการใหม่ๆ พัฒนานวัตกรรม ความรู้ และทักษะด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจัดตั้ง Thammasat AI Center มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ภาคธุรกิจ และบุคคลทั่วไป ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ผลงานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ให้โดดเด่น พร้อมยกระดับสู่ความร่วมมือระดับชาติและนานาชาติ รองรับการเปลี่ยนผ่านที่ท้าทายของประเทศไทยต้องก้าวสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต

ปัจจุบัน นอกจาก Thammasat AI Center แล้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้ริเริ่มโครงการใหม่ 3 โครงการได้แก่... 

1. โครงการ Medical Valley ต้นแบบศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา
2. โครงการ 88 sandbox ศูนย์การเรียนรู้ทักษะผู้ประกอบการแห่งอนาคต
3. โครงการ TU Metaverse ที่จะสร้าง Campus ที่ 5 ใน Metaverse พร้อมหลักสูตร AI ทั้งระดับปริญญาตรี โท และเอก สอน Online และ Offline ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ กว่า 60 องค์กร พัฒนานวัตกรและวิศวกรด้านปัญญาประดิษฐ์ เสริมศักยภาพ AI ของประเทศ

‘Thailand Digital Valley’ บิ๊กโปรเจกต์ดึงดูดต่างชาติ กับความพรัอมสู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลระดับอาเซียน

(21 ก.ย. 65) เฟซบุ๊กเพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'Thailand Digital Valley ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัล EECd ศูนย์บ่มเพาะ Startup และเทคโนโลยี แห่งใหม่ของ DEPA สู่ศูนย์กลางระดับอาเซียน!!!' ว่า...

วันนี้ไปงาน Building Construction Technology Expo ซึ่งเราเป็น Media Partner ของโครงการ แล้วไปเจอกับบูธ depa Thailand หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งได้นำโครงการหนึ่งในโครงการที่สำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานภายใน EEC คือ Thailand Digital Valley ซึ่งอยู่ภายในพื้นที่ EECd หรือพื้นที่ในการพัฒนาด้านดิจิทัล

ซึ่ง Thailand Digital Valley ถูกวางไว้เป็น ศูนย์บ่มเพาะ Startup เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ในประเทศ รวมถึงดึงดูด Tech Startup และบริษัทจากทั่วโลก มาใช้สาธารณูปโภคร่วมกันในพื้นที่ EECd ซึ่งปัจจุบันก็มีบริษัทขนาดใหญ่ มาเช่าพื้นที่เพื่อทำศูนย์วิจัยแล้ว!!!!

มาทำความรู้จักกับ Thailand Digital Valley กันก่อน
https://youtu.be/o1HGYVJGuiM

Thailand Digital Valley ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม EECd บริเวณ ศูนย์โทรคมนาคมศรีราชา ในขอบเขตเดียวกับ GISTDA ซึ่งเป็น Gateway internet ด้วยสาย Fiber Obtic ของ CAT อีกด้วย!!!

จึงทำให้หาความได้เปรียบของตำแหน่งในการพัฒนาสู่ศูนย์กลางของธุรกิจดิจิทัลของไทย เพื่อเป็น ศูนย์กลางด้านการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลขั้นสูงแห่งภูมิภาคอาเซียน

โดยภายในโครงการ Thailand Digital Valley มีพื้นที่สำหรับพัฒนาโดยรวม 30 ไร่ แบ่งเป็น 5 อาคาร (ตามเฟสการก่อสร้าง) ได้แก่...

1. อาคาร depa Digital One Stop Service พื้นที่ 1,500 ตารางเมตร (สร้างเสร็จแล้ว มีพื้นที่ให้เช่า พร้อมกับ Co-Working space ให้ใช้งาน)

เป็นพื้นที่ให้บริการอำนวยความสะดวกกับนักลงทุน (One Stop Service : OSS) และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเชื่อมต่อข้อมูลมายังศูนย์สั่งการอัจฉริยะของเมือง โดยจะมีระบบรองรับการบริหารจัดการเมืองในลักษณะ Intelligent Operation Center ผลักดันการขับเคลื่อนนโยบายเมืองอัจฉริยะ (smart city) รวมถึงเป็นศูนย์ประสานงานสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคตะวันออก

2. อาคาร Digital Startup Knowledge Exchange Centre (อาคารนวัตกรรม IoT 1) พื้นที่ 4,500 ตารางเมตร (กำลังก่อสร้าง จะเสร็จภายในปี 65 นี้!!!) 

ซึ่งอาคารนี้เป็นหน้าด่าน และประตูของทั้งโครงการ เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนการเรียนรู้นวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วยพื้นที่ทำงานร่วม (Co-Working Space) พื้นที่สำนักงาน (Office) และพื้นที่ธุรกิจ (Commercial Area)

3. อาคาร Digital Innovation Centre (อาคารนวัตกรรม IoT 2) พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร (เริ่มก่อสร้างแล้ว เสร็จปี 66)

เป็นศูนย์สร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วยพื้นที่ทดสอบเทคโนโลยี 5G (5G Testing Lab) ห้องปฏิบัติการระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent Lab) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) พื้นที่ออกแบบนวัตกรรมไอโอทีและระบบอัจฉริยะ (IoT Design Center) พื้นที่ประดิษฐ์ต้นแบบนวัตกรรมไอโอที (Prototyping Fabrication Lab) และพื้นที่ออกแบบและทดสอบเครื่องกลและหุ่นยนต์ (Mechatronics and Robotics Lab)

4. อาคาร Digital Edutainment Complex (อาคารนวัตกรรม IoT 3) พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร 

เป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมเพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเรียนรู้และท้าทายความสามารถ อาทิเช่น Robotic School, Robot Fighting Arena, Drone School และ Drone racing Arena

5. อาคาร Digital Go Global Centre (อาคารนวัตกรรม IoT 4)พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร 

เป็นศูนย์ออกแบบและทดสอบเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลระดับนานาชาติ (International Digital and Innovation) และกำหนดให้เป็นพื้นที่ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ Startup ของไทย เพื่อให้มีการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศด้วยนวัตกรรมออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นในการสร้าง Product, พัฒนา Product

'สุริยะ' ยันชาวไร่อ้อยเตรียมรับเงินตัดอ้อยสด อัตรา 120 บาท/ตัน พ.ย.นี้ หวังช่วยลดฝุ่น PM 2.5

ครม. อนุมัติ 8,319.74 ล้านบาท โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2564/65 คาดจ่ายเงินช่วยเหลือได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2565"

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2564/65 โดยมีนโยบายช่วยเหลือชาวไร่อ้อยทุกรายที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีส่งโรงงานเท่านั้น ในอัตรา 120 บาทต่อตัน เช่นเดียวกับฤดูการผลิตปี 2563/64 ซึ่งมีเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งโรงงานเพื่อผลิตน้ำตาลทราย ผลิตเอทานอล และผลิตน้ำตาลทรายแดงได้ประโยชน์รวมกว่า 200,000 ราย คาดว่าจะสามารถเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เกิดขึ้นตามนโยบายแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ของรัฐบาล

คลังเคาะแล้ว!! ลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 5 รอบเก็บตก จำนวน 3.09 ล้านสิทธิ เริ่ม 23 ก.ย.นี้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 มีสิทธิคงเหลือประมาณ 3.09 ล้านสิทธิ จากประชาชนกลุ่มที่ได้รับสิทธิแล้ว แต่ไม่ได้มีการใช้จ่ายครั้งแรกภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังจะนำสิทธิคงเหลือดังกล่าวมาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรอบใหม่ โดยกระทรวงการคลังจะเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ รอบใหม่ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 จนถึงวันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2565 ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังหรือ www.คนละครึ่ง.com ระหว่างเวลา 06.00 น. - 22.00 น. 

สำหรับประชาชนที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน มีหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และมีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2565 ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 3 และไม่เคยถูกระงับสิทธิ ถูกเรียกเงินคืน หรือฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ โดยประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนรอบใหม่นี้ได้ ทั้งประชาชนที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิโครงการฯ และประชาชนที่เคยได้รับสิทธิโครงการฯ แต่ไม่ได้ใช้จ่ายครั้งแรกภายในระยะเวลาที่กำหนด

สำหรับความคืบหน้าการใช้สิทธิมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ระยะที่ 2 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 5 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 3 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 โฆษกกระทรวงการคลังเผยว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันอังคารที่ 20 กันยายน 2565 เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 36.85 ล้านคน และมียอดใช้จ่ายสะสมทั้งสิ้น 28,186.08 ล้านบาท โดยโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 มีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจำนวน 23.40 ล้านคน และมียอดใช้จ่ายรวม 25,503.48 ล้านบาท

'ส.อ.ท.' จับมือ 'อบก.' สร้างศูนย์ซื้อขาย 'คาร์บอนเครดิต' พร้อมเปิดตัว 'FTIX' แพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานสะอาด

สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดพิธีลงนามความตกลงประกอบการเป็นศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตและพิธีเปิดตัวแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานสะอาดและคาร์บอนเครดิต หรือ FTI : CC/RE/REC X Platform (FTIX) ในงาน 'ลงมือทำ ลดโลกร้อน : ทางรอด ทางรุ่ง ของโลก ของไทย' Take Climate Action : Save The Earth, Prosper All ในวันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม ซี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว 

นายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาภาวะโลกร้อนที่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อตระหนักถึงปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออก ส่งผลให้ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา คือ สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการ และช่วยขับเคลื่อนการนำนโยบายของภาครัฐไปสู่การปฏิบัติ ให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี พ.ศ. 2608 ของประเทศ

คาร์บอนเครดิตเป็นกลไกการตลาดที่สำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจและเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการในการลดก๊าซเรือนกระจก ส.อ.ท. มีการดำเนินงานร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. จากความร่วมมือที่มีมาอย่างต่อเนื่องในการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส.อ.ท. และ อบก. จึงมีความเห็นร่วมกันในการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินกิจกรรมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนตลาดคาร์บอนภายในประเทศ จึงเป็นที่มาของการลงนามความตกลงประกอบการเป็นศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตในครั้งนี้

ส.อ.ท. ได้พัฒนาและบริหารจัดการแพลตฟอร์ม FTIX เพื่อประกอบการเป็นศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบของ อบก. นอกจากนี้ ยังมีการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% (RE100) รวมถึงการซื้อขายใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือ REC อีกด้วย โดย ส.อ.ท. ได้ยื่นแพลตฟอร์ม FTIX นี้เข้าร่วมในโครงการ ERC Sandbox 2 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อทดสอบระบบของตลาดการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้มีความโปร่งใสและเชื่อถือได้ โดยที่อุตสาหกรรมทุกขนาดทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จะสามารถเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีจะได้ทำการเปิดตัวแพลตฟอร์ม FTIX พร้อมกับศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต

การจัดงานนี้เป็นไปในรูปแบบของ Green Event โดยมีการควบคุมอุณหภูมิห้องไม่ให้ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส จึงขอให้ผู้เข้าร่วมงานงดการใส่สูท และเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตฮาวายและเสื้อยืดแทน โดยได้รับความเอื้อเฟื้อจาก 'โครงการเซ็นทรัลทำ' ของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล นอกจากนี้ ยังได้รับความช่วยเหลือจากทาง อบก. ในการคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนในงานนี้ และได้รับความอนุเคราะห์จากกลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ Energy Absolute (EA) และกลุ่มบริษัทซุปเปอร์ เอ็นเนอร์ยี บริจาคคาร์บอนเครดิตรวมกันเป็นจำนวน 260 ตันคาร์บอนเทียบเท่า ซึ่งสามารถ Offset หรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการจัดงานนี้ได้ทั้งหมด เพื่อเป็นงานที่นำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral Event อีกด้วย 

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ 'ภาครัฐ ประสาน ภาคเอกชน ขับเคลื่อนไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน' โดยกล่าวถึง ประเด็นผลกระทบที่ทั่วโลกต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรง เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมใหญ่ในเกาหลีใต้ และปากีสถาน โดยที่ประเทศไทยนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่ 21 ของโลก (ประมาณ 0.8% ของโลก) และเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงที่สุด

จากถ้อยแถลงของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ว่า “ประเทศไทยจะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่และด้วยทุกวิถีทาง เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608” ทำให้ประเทศไทยต้องปรับปรุง 'ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย' หรือ LT-LEDS ซึ่งจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเพื่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อยู่ระหว่างการจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (The 2nd updated NDC) ที่ 40% ในปี พ.ศ. 2573 ประเทศสามารถดำเนินการได้เอง 30% และการดำเนินงานที่ต้องได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากต่างประเทศอีก 10% 

‘บิ๊กป้อม’ สั่งคลังเร่งถกแบงก์ชาติเบรกค่าเงินบาทอ่อน ชี้ ค่าเงินบาทควรอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์

(21 ก.ย. 65) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงการคลังไปหารือธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนี้ว่า...

“เดี๋ยวให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน เพราะเราจะปล่อยให้อ่อนค่าอย่างนี้ไม่ได้ เรื่องการผันผวนค่าเงินดังกล่าวเราต้องพยายามทำให้ดีขึ้น ซึ่ง รมว.การคลังจะดำเนินการ” จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า ค่าเงินบาทจะต้องอยู่ที่ตัวเลขใดถึงจะเหมาะสม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “จะไปรู้หรอ ต้องให้เขาคุยกันก่อน จะมาถามล่วงหน้าทั้งที่เขายังไม่ได้คุยกันได้อย่างไร”

ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า มีการสั่งการตัวเลขให้อยู่ 35 บาทต่อดอลลาร์หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมบอกว่าควรจะ” และเมื่อถามว่า จากค่าเงินบาทอ่อนหากปล่อยไว้จะมีผลกระทบมากขึ้นใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “เงินมันแปรผัน ไม่ต้องถามแล้วเดี๋ยวให้เขาประชุมเสร็จก่อน และดูว่าเขาจะดำเนินการอย่างไร ไม่ต้องห่วง”

สุดท้ายถามว่ามีการกำหนดกรอบเวลาให้รายงานกลับหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ตอบ พร้อมเดินออกจากไมโครโฟนแถลงข่าวทันที และพูดอีกว่า จะมาถามเมื่อไหร่ ได้อย่างไร จะไปรู้ได้อย่างไร เขาจะนัดประชุมกันเมื่อไหร่
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top