Thursday, 13 February 2025
ECONBIZ NEWS

‘EA’ ส่งมอบชุดแบตเตอรีลิเทียมไอออน ‘อมิตา เทคโนโลยี’ ให้ กทม. หนุนพัฒนารถสันดาปสู่รถไฟฟ้าดัดแปลง หวังแก้ปัญหาฝุ่น-มลภาวะ

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด เดินหน้าส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ได้ส่งมอบชุดแบตเตอรีลิเทียมไอออน ใช้สำหรับดัดแปลงรถสันดาปเป็นรถไฟฟ้า (EV Conversion) จากนวัตกรรมระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจร ‘อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย)’ โดยมี นางสาวอำภา นรนาถตระกูล ผู้อำนวยการสำนักการคลัง เป็นผู้แทนผู้บริหารกรุงเทพมหานครรับมอบ ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

สำหรับโครงการรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงต้นแบบ เป็นความร่วมมือระหว่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ กับ ‘สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ’ (สสส.) มูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย ตามโครงการสานพลังขับเคลื่อนเคานต์ดาวน์ PM2.5 เพิ่มสุขภาวะผู้คนในพื้นที่ กทม. ซึ่งมุ่งแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

โดยหนึ่งในแผนงาน คือ การนำรถยนต์สันดาป มาทำการดัดแปลงเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เพื่อทำการศึกษาประโยชน์จากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ต้นทุนการดำเนินการ ความคุ้มค่า ความปลอดภัยในการใช้งาน และความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนรถยนต์ราชการของกรุงเทพมหานครเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในการนี้ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 30 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการจัดทำรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงที่มีมูลค่าสูง

โดยการดัดแปลงนั้น กทม. ร่วมกับศูนย์วิจัย Mobility & Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ

คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 จากนั้นจะมีการจัดทำชุดความรู้เกี่ยวกับการดัดแปลง

การใช้งาน และการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงจัดทำหลักสูตรการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าเพื่ออบรมให้ความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไปผ่านโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครต่อไป

‘กกพ.’ ประกาศ ครม.มีมติ ‘ลดค่าไฟ’ เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลตั้งแต่ ก.ย.66 ชี้ หากจ่ายไปแล้วจะหักในรอบบิลถัดไปแทน

(5 ต.ค.66) นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า บอร์ด กกพ.มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ตามที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเสนอมาในอัตรา 20.48 สตางค์ต่อหน่วย 

ทั้งนี้ จะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 กันยายน 2566 ซึ่งมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย 

โดยให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วน ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างดำเนินการส่งหนังสือแจ้งการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) เพื่อประกาศค่าเอฟทีค่าใหม่ในรอบเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 

สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่จ่ายค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน 2566 ไปแล้ว จะได้รับการหักส่วนลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวในรอบบิลเดือนตุลาคมนี้ต่อไป

"การดำเนินการดังกล่าวอาศัยอำนาจตามมาตรา 64 ประกอบกับมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และข้อ 11 ตามประกาศ กกพ. เรื่อง กระบวนการขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ พ.ศ. 2565" 

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ เปิดให้บริการ ‘ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปอีสาน’ ช่วยลดต้นทุน - เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง - มุ่งเป้า Net Zero

เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ประกาศเปิดให้บริการ ‘ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ’ อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ซึ่งเอ็กโก กรุ๊ป ถือหุ้นในสัดส่วน 44.6% โดยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสนับสนุนการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมเสริมทัพธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคของเอ็กโก กรุ๊ป

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมาช่วยเสริมทัพธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคของเอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

โดยคาร์บอนเครดิตจะเป็นของผู้มาใช้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อและคลังน้ำมันของ TPN และยังสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของเอ็กโก กรุ๊ป ในการบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (ปี ค.ศ.2050)

นอกจากนี้ โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งลดปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุบนถนน

TPN ดำเนินธุรกิจให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและให้บริการคลังน้ำมัน โดยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีระยะทางรวม 342 กิโลเมตร และมีกำลัง การขนส่งสูงสุดต่อปีอยู่ที่ 5,443 ล้านลิตร ซึ่งจะเชื่อมต่อคลังน้ำมันของ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) ในจังหวัดสระบุรี ไปยังคลังน้ำมันขนาด 157 ล้านลิตร ของ TPN ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นคลังที่มีความทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีรถน้ำมันของกลุ่มลูกค้าบริษัทค้าปลีกน้ำมันชั้นนำของประเทศใช้บริการและมารับน้ำมันออกแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 

‘NRPT’ จับมือ ‘ION’ เดินเครื่องโรงงาน Plant & Bean (Thailand) ปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตโปรตีนจากพืชด้วยพลังงานโซลาร์ 

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท เอ็นอาร์พีที จำกัด ร่วมกับ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด เดินเครื่องกำลังการผลิตโปรตีนจากพืชด้วยพลังงานโซลาร์ ขนาดติดตั้ง 389.61 kWp โดยผ่านการทดสอบระบบแล้ว 3 เดือน ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 800 kWh ต่อวัน สร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งความยั่งยืน ตั้งแต่การผลิตด้วยพลังงานสะอาด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเดือนละ 27 ตัน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ถึง 30% สร้างความได้เปรียบในการควบคุมต้นทุนการผลิต พร้อมช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืช ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผยว่า โรงงาน Plant & Bean (Thailand) ของ NRPT เป็นโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 25,000 ตันต่อปี โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการระยะแรก ไตรมาส 4 ปี 2566 ที่กำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี สายการผลิตของโรงงานถูกออกแบบเป็นกึ่งอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งเน้นในเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ดังนั้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในกระบวนการผลิต นอกจากจะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโรงงาน ยังช่วยลดภาระค่าไฟได้มากถึง 30% ต่อเดือน เป็นการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานที่จะทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ และได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่ต้องการการดูแลทางด้านโภชนาการได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้นตามเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. ที่ต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายเกียรติ์กมล ตั้งงามจิตต์ กรรมการผู้จัดการ โรงงานแพลนท์ แอนด์ บีน (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การผลิตด้วยพลังงานสะอาดนี้ช่วยให้โรงงานของ NRPT สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้เดือนละ 27 ตัน ซึ่งคาดว่าภายใน 1 ปีจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 324 ตัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการผลิตมาสู่พลังงานสะอาดในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดของ NRPT ในฐานะผู้ผลิตอาหารเพื่อความยั่งยืน ถือเป็นจุดเริ่มต้นการกำหนดรูปแบบธุรกิจที่มุ่งสู่การลดคาร์บอนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทั้งจากการผลิตด้วยพลังงานจากโซลาร์เป็นการลดคาร์บอนโดยตรงแล้ว การส่งเสริมให้ผู้คนหันมาบริโภคโปรตีนจากพืช ก็เป็นอีกวิธีลดคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกระบวนการผลิตอาหารปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 30% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากการผลิตเนื้อสัตว์ ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานอำนวยการ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด หรือ ION ผู้จัดหาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาแผงโซลาร์ การออกแบบและติดตั้ง รวมถึงการลงทุนติดตั้งโซลาร์ฟรี ผ่านการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟภาคเอกชน หรือ Private PPA เปิดเผยว่า ION ได้ส่งมอบโครงการติดตั้งระบบพลังงานโซลาร์ครบวงจรขนาดติดตั้ง 389.61 Kilowatt Peak (kWp) ให้กับโรงงาน Plant & Bean (Thailand) โดยก่อนทำการส่งมอบงานในครั้งนี้ได้ผ่านช่วงทดสอบระบบมาแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย. - กลางเดือน ก.ย. 2566 พบว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ให้กับโรงงานได้สูงสุดวันละ 800 kWh หรือคิดเป็น 60% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่โรงงานต้องใช้ในแต่ละวัน สามารถครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันได้เกือบ 100% โดยการให้บริการของ ION จะมีระบบเชื่อมต่อระหว่างการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์และการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าในช่วงกลางคืนอย่างไม่มีสะดุด เพื่อให้โรงงานสามารถเดินหน้าระบบสายการผลิตได้อย่างต่อเนื่องทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน รวมถึงมีแอปพลิเคชัน ION Energy ที่สามารถตรวจสอบระบบการทำงาน ควบคุมการทำงาน รวมถึงสามารถตรวจสอบค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

'สันติธาร เสถียรไทย' ผงาดนั่ง 'บอร์ด กนง.' อายุน้อยที่สุด ดีกรีนักพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมระดับโลก 3 ปีซ้อน

(4 ต.ค. 66)​​​​​​ นางสาวดวงพร รอดเพ็งสังคหะ เลขานุการคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 ที่ประชุมได้คัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ โดยกรรมการใหม่จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ดังนี้

1.นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน
2.นายรพี สุจริตกุล
3.นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส
4.นายสันติธาร เสถียรไทย

สำหรับนายสันติธาร เสถียรไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาบริษัท Sea Group ซึ่งเป็นเจ้าของ Garena, Shopee และ AirPay และเป็นบริษัทเทคโนโลยี “ยูนิคอร์น”ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

นายสันติธารเคยเป็นผู้บริหารสูงสุดของทีมเศรษฐกิจเอเชียที่ธนาคาร Credit Suiss มีหน้าที่วิเคราะห์พยากรณ์เศรษฐกิจและให้คำแนะนำการลงทุนใน10 เศรษฐกิจในเอเชีย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้เดียวในเอเชียที่ชนะรางวัลพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมระดับโลกของ Consensus Economics ติดกันสามปีซ้อน

เคยได้รับการโหวตเป็นนักเศรษฐศาสตร์มหภาคอันดับ 1 ของประเทศไทยโดย Asia Money และเป็นคนเดียวจากอาเซียนที่ได้เชิญจาก World Economic Forum ให้เป็นสมาชิกกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่มาช่วยคิดออกแบบอนาคตเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 (Global Chief Economist Community) รวมทั้งยังเคยทำงานที่กระทรวงการคลังในประเทศไทย และ Government of Singapore Investment Corporation

นายสันติธาร จบปริญญาเอกด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ด้วยทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย จบปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ด้านการพัฒนาระหว่างประเทศจากที่เดียวกันพร้อมรางวัลวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยม และจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และโทจากมหาวิทยาลัย London School of Economics and Political Sciences (LSE)

ธปท. วิเคราะห์ 'ดอลลาร์-ทองคำ-น้ำมัน' สารพัดปัจจัยต่างประเทศ ทำบาทอ่อน

ไม่นานมานี้ นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และอ่อนค่าผ่านระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปรับอ่อนค่าลงร้อยละ 6.75 จากต้นปี

สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค โดยการอ่อนค่าในช่วงหลังได้รับผลจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ 

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ประกอบกับนักลงทุนยังรอความชัดเจนของนโยบายการคลังและการระดมทุนของภาครัฐ 

ทั้งนี้ ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเข้าดูแลหากเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากผิดปกติเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ และในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง ภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน

‘พีระพันธุ์’ ถกแก้ กม. คุมราคาน้ำมันเบนซิน ลั่น!! ค่าการตลาดไม่ควรเกิน 2 บาทต่อลิตร

เมื่อวานนี้ (3 ต.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ผลการหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัด เกี่ยวกับการควบคุมค่าการตลาดน้ำมันที่กำหนดไว้ที่ 2 บาทนั้น โดยได้เชิญผู้แทนสำนักงานกฤษฎีกา ปลัดกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานกระทรวงพลังงานในการหารือกรณีการดูแลราคาน้ำมันเบนซิน เพราะส่วนที่มีปัญหาและทำให้ราคาสูงขึ้น มาจากค่าการตลาด 

ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานของกระทรวงพลังงานได้คิดคำนวณจากข้อมูลพื้นฐาน พบว่าควรอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร แต่ความจริงตอนนี้ผู้ประกอบการกำหนดค่าไว้ในระดับที่สูงมาก โดยกระทรวงพลังงานได้เคยหารือกับกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อน้ำมันอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม ก็ขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยดำเนินการในส่วนของค่าการตลาดนี้ เพื่อให้อยู่ในกรอบที่กระทรวงพลังงานกำหนด 

แต่กระทรวงพาณิชย์แย้งว่ากระทรวงพลังงานมีกฎหมายเฉพาะอยู่แล้ว และมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดว่า กระทรวงพลังงานมีกฎหมายเฉพาะอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดำเนินการให้ โดยกฎหมายเฉพาะนี้ได้เข้าไปพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกฎหมายเฉพาะที่อ้างอิง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 ที่เกิดวิกฤตน้ำมัน คำพิพากษาศาลจึงออกมาในตอนนั้นกระทรวงพาณิชย์จึงคิดว่ายังเป็นกฎหมายเฉพาะอยู่ ทำให้ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ

โดยหากกระทรวงพลังงานมองว่ากฎหมายแท้ ๆ ของกระทรวงไม่มีอำนาจ แต่กระทรวงพาณิชย์มองว่ามีและยืนยันว่ามี ทำให้ต้องหาทางดำเนินการต่อไป อาทิ การแก้ไขกฎหมาย ในการกำหนดค่าตลาดว่าให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้กำหนด ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานเห็นว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตรในทุกผลิตภัณฑ์

“ที่ผ่านมาเคยขอความร่วมมือผู้ประกอบการในการกำหนดค่าตลาดที่ไม่เกิน 2 บาท แต่ผู้ประกอบการบางรายยังคิดค่าตลาดในบางสินค้าเกิน 4 บาทด้วย ทำให้เวลานี้คงมาดูในเรื่องการแก้ไขกฎหมายหากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามจะมีบทลงโทษอย่างไร เพราะที่ผ่านมาเป็นการขอความร่วมมือผ่านการกำหนดราคาจากกระทรวงพลังงาน แต่หากผู้ประกอบการไม่ทำตามจะทำอย่างไร เพราะไม่มีกฎหมายกำกับควบคุมให้ดำเนินการตามในส่วนนี้” นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อวางแนวทางในการปรับแก้กฎหมายแล้ว โดยจะพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อดูแลราคาน้ำมันในประเทศ เพราะช่วงที่ผ่านมาได้พยายามหารือกับผู้ประกอบการไปแล้วว่าต้นทุนควรเป็นเท่าไหร่ แต่ไม่ได้รับการชี้แจงในรายละเอียด เพราะอ้างเป็นความลับทางการค้าซึ่งในส่วนนี้ยืนยันด้วยว่า ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเปิดเผยได้ และไม่ควรอ้างการค้าเสรีเพื่อเป็นอุปสรรคต่อการกำกับดูแลค่าการตลาดที่เหมาะสมในทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันในประเทศไทย

'ไทยเบฟฯ' สานต่อ!! 'ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน' ปีที่ 7  ชูแนวคิด เกาะติดเทรนด์แฟชัน ใส่ได้ทุกเพศและทุกวัย

(4 ต.ค. 66) บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เครือข่ายบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม ทั่วประเทศ ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา และ ภาคเอกชน ดำเนินโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากจุดเริ่มต้นของโครงการในปี พ.ศ. 2559 ภายใต้การทำงานของคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการร่วมกันพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ของชุมชนในชนบท โดยมี บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับ กรกิจเพื่อสังคม ทั่วประเทศ ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา ผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าขาวม้าทอมือ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้และพัฒนาทักษะอาชีพให้กับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทั่วประเทศ ที่ริเริ่มโครงการโดย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมี คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะกรรมการ โครงการ ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ที่เป็นผู้ริเริ่มและหัวเรือหลักในการดำเนินงานมาตั้งแต่ต้น และเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง สร้างความภาคภูมิใจในการสืบสาน และต่อยอดหัตถกรรมพื้นบ้านให้เกิดความยั่งยืน

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย กล่าวว่า งาน ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ ครั้งนี้นับเป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และในปีนี้มีความพิเศษกว่าปีก่อน ๆ โดยกิจกรรมของเราได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงาน Sustainability Expo 2023 (SX 2023) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 8 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นมหกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด ‘พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก’

โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย และ ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ คือการสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของผ้าขาวม้าในเชิงศิลปวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เฟ้นหาอัตลักษณ์ของผ้าขาวม้าจากชุมชนต่าง ๆ และเสริมสร้างผ้าขาวม้าทอมือให้มีความโดดเด่นพร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าให้มีความหลากหลายและตรงต่อความต้องการของตลาดเพื่อสร้างอาชีพและเสริมสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน

อีกทั้ง ยังเป็นการอนุรักษ์ มรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) ที่มีคุณค่าจากฝีมือของมนุษย์ อาทิ การนำเส้นใยและสีธรรมชาติมาใช้กับการย้อมผ้าขาวม้า และการรวมพลังคนรุ่นใหม่ของ Creative Young Designer ให้มาร่วมสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือกับกลุ่มนักศึกษา ซึ่งนอกจากต่อยอดความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า ของใช้ ของที่ระลึก ของชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือให้มีความทันสมัยแล้ว ยังมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาด้านการตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมผ้าขาวม้าทอมือ เพิ่มศักยภาพ การผลิตและต่อยอดทางธุรกิจให้แก่ชุมชนผ้าขาวม้า ด้วยแนวคิดในการออกแมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เครือข่ายบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหบบใหม่ ๆ ผ่านการดูแลและให้คำปรึกษา (Coaching) และทำงานร่วมกับชุมชนก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม

ทั้งนี้ชุมชนจะได้รับผลิตภัณฑ์ต้นแบบนำไปต่อยอดด้านการตลาด รวมไปถึงสโมรสรฟุตบอลหลายแห่งที่ได้ร่วมสนับสนุนนำผ้าขาวม้าทอมือมาประกอบเป็นสินค้าที่ระลึกของสโมสร ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจในชุมชนมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ โครงการ ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทยมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผ้าขาวม้าทอมือ จนสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง โดยประสบความสำเร็จ ใน 5 มิติหลัก คือ

1) การสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ้าขาวม้าทอมือ 
2) การสร้างเครือข่ายภาควิชาการและภาคเอกชนที่พร้อมสนับสนุนชุมชนในการสั่งซื้อ ให้ความรู้เชิงธุรกิจ และการออกแบบ
3) การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน 
4) การสานต่องานผลิตและแปรรูปผ้าขาวม้าสู่คนรุ่นใหม่ 
5) การสร้างห่วงโซ่การผลิตผ้าขาวม้าทอมือที่เข้มแข็งมีความเกื้อกูลกันระหว่างชุมชน

นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายความร่วมมือ จากจุดเริ่มต้นเพียง 2 ชุมชน 2 มหาวิทยาลัย ในปี 2562 ไปสู่ 18 ชุมชน 16 สถาบันการศึกษา โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เครือข่ายทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจร่วมงานกันมาในโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จะยังคงร่วมกันถักทอแรงบันดาลใจในการพัฒนาผ้าขาวไทยต่อไปในอนาคต ซึ่งจะไม่เป็นเพียงการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น แต่จะยังช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง และที่สำคัญที่สุดคือ คนในชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทุกแห่งมีความรักสามัคคีและภูมิใจในคุณค่าภูมิปัญญาของตนเอง

คุณต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้จัดการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย กล่าวว่า ‘โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย’ เป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2559 ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้รับความร่วมมืออันดียิ่งจากชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในการร่วมกันพัฒนาคุณภาพและการออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือให้มีความทันสมัย ตรงกับความต้องการของตลาด และยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป

การจัดงาน ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ ในปี 2566 ภายใต้แนวคิด Nature's Diversity สื่อให้เห็นว่า ผ้าขาวม้าสามารถใสได้ทุกเพศและทุกวัย มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนให้ได้มีพื้นที่จัดแสดงโชว์ผลงาน แลกเปลี่ยนแนวความคิด และสร้างเครือข่ายการดำเนินงานร่วมกันของชุมชน/การแสดงแฟชั่นโชว์ชุดผ้าขาวม้าจากโครงการ Creative Young designers Season3 ออกสู่สายตาประชาชน/การจัดแสดงนิทรรศการโซน cultural heritage/โซนจัดแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้าของ 16 มหาวิทยาลัย 18 ชุมชน/กิจกรรมTalk หัวข้อ ผ้าขาวม้า มรดกภูมิปัญญาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน/โซน Market Place ของ 12 ชุมชน และโซนกิจกรรม online บอกต่อความประทับใจ ถ่ายภาพและแชร์พร้อมบรรยายเชิญชวนเพื่อนมาเที่ยวงาน ‘ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน’ ภายใน Sustainability Expo 2023 (SX 2023)

ในฐานะตัวแทนของคณะทำงานโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ดิฉันขอขอบพระคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการฯ ทั้ง บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย สถาบันการศึกษาในเครือข่าย eisa และ ภาคีทุกภาคส่วน ที่ได้ให้ความสนับสนุนโครงการนี้มาตลอดระยะเวลา 7 ปี ส่งผลให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานมาได้อย่างต่อเนื่อง ดิฉันขอให้คำมั่นว่า โครงการของเราจะยังคงทำงานร่วมกับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการของเราจะยังได้รับการสนับสนุนจากทุกท่านต่อไปในอนาคต เพื่อให้เราสามารถบรรลุถึงเป้าประสงค์หลัก คือ การพัฒนาผ้าขาวม้าทอมือของไทยเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชุมชนผู้ผลิตของเราทั่วประเทศ”

ขอเชิญเลือกช้อปผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าส่งตรงจาก ร้อยเอ็ด ลำปาง อุบลราชธานี สุโขทัย เชียงใหม่ ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี หนองบัวลำภู บึงกาฬ ในโซน Sustainable Marketplace ชั้น LG โซน B - Sufficient Living ชมการจัดแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าจากสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ในชั้น G โซน Foyer A ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน - 8 ตุลาคม 2566 ในงาน Sustainability Expo 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/PakaomaThailand 

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! แนวโน้ม ศก.โลกไม่เอื้อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แนะทยอยแจกตลอด 4 ปี ดีกว่าทุ่มรวดเดียว 5.6 แสนลบ.

(3 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ ‘อีโก้ของพรรคเพื่อไทยเรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่เป็นใจเลย’ ว่า…

(1) วิกฤติขาดสภาพคล่อง

ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในเฟสที่ 2 คือการสร้างความวุ่นวาย สร้างวิกฤตทางเศรษฐกิจให้รุนแรงยิ่งขึ้น กับสร้างสงครามกลางเมือง เพื่อไปสู่การสร้างสงครามระหว่างประเทศ และไปสู่เฟสที่ 3 คือการเกิดสงครามใหญ่ หลังจากที่โลกได้ผ่านเฟสที่ 1 ของการเกิดโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic) ไปแล้ว

การเกิดโรคระบาดทั่วโลกถูกใช้เป็นข้ออ้างให้ Fed พิมพ์เงินเข้ามาแก้วิกฤตกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ อันที่จริงเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปลายปี 2019 ได้เกิดปัญหาระบบขาดสภาพคล่อง จนดอกเบี้ยกู้ยืมชั่วข้ามคืนระหว่างสถาบันทางการเงิน (Repurchase Agreement) พุ่งขึ้นสูงถึง 9% ทำให้ Fed ต้องรีบพิมพ์เงินเข้ามาเติมสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน (ทำ QE หรือ Quantitative Easing)

และเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ตลาดหุ้นทรุดตัว และ Fed ก็ใช้ข้ออ้างของ Pandemic ทำ QE อีกครั้งเพื่อเข้ามาพยุงตลาดหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็นฟองสบู่ ขนาดใหญ่มากกว่าครั้งใด ๆ ในอดีต 

หลังจากได้ถอดบทเรียนจากวิกฤติการเงินในปี 2008 Fed จึงออกกฎกติกาให้สถาบันทางการเงินต้องกันสภาพคล่องเอาไว้ให้เพียงพอ 

นี่เป็นที่มาที่ทำให้เงินที่ Fed พิมพ์เพิ่มเข้ามาในระบบไหลไปที่สถาบันการเงินใหญ่ (Big 4 : Bank of America, JP Morgan, Wells Fargo, Citibank) ไปดันราคาหุ้นจนแทบไม่มีการปล่อยกู้สู่ภาคธุรกิจแท้จริง

นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎเทียบราคาสินทรัพย์กับราคาตลาด ในขณะทำการซื้อขาย เรียกว่า Mark to การเทียบราคาสินทรัพย์ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ แบบ Mark to market ทำให้เกิดกำไร-ขาดทุน ในจังหวะที่ซื้อขายกัน ตามราคาตลาดในขณะนั้น

ดังนั้นเมื่อ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เรื่อยมา จากดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0 จนตอนนี้อยู่ที่กว่า 5% จึงทำให้ราคาหุ้นตก และราคาตราสารหนี้ ลดลง

การขาดสภาพคล่องของธุรกิจที่กู้ยืมเงินไปลงทุนแบบทำ Leverage ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ร่วมกับการชะงักงัน/ถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคาร/เจ้าหนี้

มิหนำซ้ำการลงทุนของธนาคารก็ขาดทุน เพราะเศรษฐกิจไม่ดีทั่วโลกก่อนการเกิด Pandemic และจาก Disruption ร่วมกับการแห่ถอนเงินออกของผู้ฝากเงินจากผลประกอบการ/การลงทุน ที่ไม่ดี/ขาดทุนของธนาคาร และนำเงินไปซื้อตราสารทางการเงินระยะสั้น (MMF: Money Market Fund; อายุไม่เกิน 1 ปี) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 5% ...ได้บังคับให้ธนาคาร จำต้องขายตราสารหนี้/พันธบัตร ออกไป ในราคาขาดทุน

หลายธนาคารในอเมริกาและยุโรปต้องล้มละลาย และถูกซื้อกิจการไป เช่นการซื้อธนาคาร Credit Suisse โดย ธนาคารใหญ่ UBS: Union Bank of Switzerland  

นี่เป็นการลดจำนวนธนาคารขนาดเล็กเพื่อให้เหลือธนาคารใหญ่ไม่กี่แห่งในระบบทางการเงินใหม่แบบดิจิตัล

Fed ให้การช่วยเหลือบางธนาคาร ที่ขาดสภาพคล่อง โดยให้กู้เงินจาก Fed ไปเติมสภาพคล่อง โดยให้ใช้หลักประกันเป็นพันธบัตรอเมริกาตามราคาหน้าตั๋วชดเชยการให้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ราคาแบบ Mark to market ที่มีราคาลดลง

แต่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับทำลายเศรษฐกิจ มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในธุรกิจที่กู้เงินมาซื้อกิจการ หรือ LBO: Leveraged BuyOut 

เพราะหนี้เงินกู้ (Equity loan) ได้เกิดเป็น Debt complex ...เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จึงไม่อาจหมุนเงิน มาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยของหุ้นกู้ของบริษัทตัวเองได้ (เกิด Default บนตราสารหนี้ของตัวเอง) เพราะขาดสภาพคล่อง

(2) การรับมือของจีนที่ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’

เนื่องจากตลอด กว่า 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อต้องเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม จาก ยุค 3.0 สู่ 4.0 

จีนจึงต้องเผชิญกับวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องมีการล้มหายตายจากของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของประเทศ (เช่น Evergrande และ Country Garden)

แต่จีนได้มีการเตรียมความพร้อม ด้วยการให้ 4 ธนาคารใหญ่ของจีนตั้งสำรองหนี้สูญในระดับสูงที่สุดในโลก เพื่อรับมือกับวิกฤตที่ 'เรือเศรษฐกิจโลก' บนการรองรับจาก 'หนี้ดอลลาร์' กำลังจะจม

อันที่จริงจีนได้วางแผนหนีออกจากดอลลาร์มากว่าสิบปีแล้ว เมื่อมองขาดว่า...การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้ควบคุมเรือเศรษฐกิจโลก หรือ Fed ด้วยการใช้ หนี้ดอลลาร์ (พันธบัตรอเมริกา; US Treasuries) เป็นผืนน้ำที่หนุนเรือเศรษฐกิจโลกเอาไว้กำลังจะไปไม่รอด เพราะดอลลาร์เสื่อมค่า  ดอลลาร์ไม่ทำงานเพื่อพยุงเรือ ดอลลาร์กำลังจะเสียหน้าที่ในการประคับประคองเรือเศรษฐกิจ ให้ลอยและแล่นต่อไปได้

จีนจึงจับมือกับกลุ่มตะวันออก ตั้งกลุ่ม BRICS+ (+ ซาอุดิอาระเบีย, อิหร่าน, ยูเออี, อียิปต์, เอธิโอเปียและ อาร์เจนตินา; กลุ่ม + มีผล 1 มกราคม 2024) เพื่อหาทางรอด...ออกจากเรือเศรษฐกิจที่กำลังจะจม เพราะ ดอลลาร์ที่พยุงเรือเสื่อมค่าลง

จีนออกกฎหมายควบคุมการเติบโตแบบฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ (30% ของ GDP) ที่ถึงตอนนี้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ 3 อันดับแรกของจีน ถูกปล่อยให้ล่มจม

สั้น ๆ จีนจะช่วยบางธุรกิจแห่งเศรษฐกิจอนาคตที่ถูกเลือกเท่านั้น 

สิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ด้วยการเทขายพันธบัตรอเมริกาออกไปอีก, เก็บเพิ่มทองคำในทุนสำรอง, บริหารการอ่อนค่าของเงินหยวน, การสร้าง ‘เรือลำใหม่’ บนตัวพยุงเรือเศรษฐกิจใหม่ (ด้วยเงินดิจิทัลของกลุ่ม BRICs) เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ซับซ้อน ยืดเยื้อและอ่อนไหว

มันจึงไม่สามารถพลิกวิกฤติสถานการณ์โลกเฉพาะหน้าได้

(3) สงครามโลกครั้งที่สามเกิดแน่ 

(แต่ไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2)
รัสเซียที่จับมือกับเกาหลีเหนือ กำลังนำชาติตะวันตกไปสู่หายนะระดับโลก เพราะปัจจุบันสหรัฐฯ ไม่มีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือเลย

ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 

สงคราม​โลกครั้งที่ 3 ในการควบคุมของมหาอำนาจตะวันออก​ จะมาในรูปแบบของ ‘สงครามไฮบริด’ เหตุและผลที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะจะไม่มีการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์  

มหาอำนาจนิวเคลียร์​ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นประเทศ​ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT)

แต่เกาหลีเหนือ เป็นประเทศที่พัฒนาทางทหารชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของชมรมนิวเคลียร์ (Nuclear​ Club) แต่ยังไม่เคยลงนามในสนธิสัญญา​ไม่แพร่กระจาย​อาวุธ​นิวเคลียร์​กับใคร 

ชาติตะวันตกกลัวว่าผลจากการร่วมมือกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ จะทำให้กองทัพรัสเซียมีกระสุนหลายล้านนัดเพื่อเอาชนะกองทัพยูเครน และเกาหลีเหนืออาจมีเทคโนโลยีขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีทุกเมืองในสหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธ​นิวเคลียร์  

เหตุใดความร่วมมือกับเกาหลีเหนือจึงมีประโยชน์สำหรับรัสเซีย?  

ด้วยการเพิ่มกิจกรรมทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลี เกาหลี​เหนือสามารถบังคับให้เกาหลีใต้ทิ้งการจัดหาอาวุธของตนให้กับประเทศ NATO และมุ่งเน้นไปที่ภารกิจการป้องกันประเทศ 

เพราะคาบสมุทร​เกาหลี​จะร้อนระอุกว่าวิกฤติไต้หวัน​

รัสเซียสามารถเสนอเทคโนโลยีทางทหารแก่เกาหลีเหนือได้มากมาย ซึ่งจะเปลี่ยนสมดุลทางอำนาจในภูมิภาค ของพันธมิตรที่เป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์​ ออสเตรเลีย​ นิวซีแลนด์​ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกลุ่มทหาร AUKUS 

คาบสมุทรเกาหลีจะลุกเป็นไฟ ไม่ใช่ไต้หวัน  

อำนาจของผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ว่าระเบียบโลกที่มีขั้วเดียวจะไม่มีอีกต่อไป และกระแสโลกที่มีต่อระบบหลายขั้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่อเมริกา​จะขัดขวางได้  

แต่อย่างไรก็ตามมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของโลกมายาวนานอย่างสหรัฐฯ ไม่ต้องการออกจากฐานอย่างสงบ เหมือนกับที่สหภาพโซเวียตของกอร์บาชอฟเคยถูกบีบให้ต้องทำ

และการเป็นมหาอำนาจของรัสเซียในวันนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแนวทางการสู้รบในยูเครน ยิ่งประสบความสำเร็จในสนามรบมากเท่าใด สถานะในการเมืองโลกของโลกหลายขั้วก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้คือ ผลของสงครามโลกครั้งที่สามรูปแบบใหม่ โดยปราศจากการสู้รบจากมหาอำนาจนิวเคลียร์​เหมือนสงครามโลก​ครั้งก่อน ๆ เลย

สั้น ๆ สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นแน่ แต่ในรูปแบบที่จีน รัสเซีย​ เกาหลี​เหนือ และอิหร่าน ควบคุมได้ และผลของสงครามที่เริ่มประจักษ์​แก่สายตาชาวโลก นั่นคือการดำรงอยู่ของ ‘โลกหลายขั้ว’ ที่ไม่มีใครขัดขวางได้

(4) อีโก้ของพรรคเพื่อไทย เรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล

ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐพุ่ง เพราะไม่มีคนซื้อพันธบัตร
ทองดิ่ง น้ำมันดิ่ง หุ้นดิ่งเงินดอลแข็ง เงินบาทอ่อน (เทียบกับเงินดอล)

ลากดอกเบี้ยเพื่อดันดอลลาร์ให้แข็ง เพื่อทุบราคาน้ำมันของรัสเซีย ซาอุ เพื่อทุบราคาทองในสำรองฝั่ง BRICS

เฟดกะทุบให้เศรษฐกิจโลกเข้าภาวะถดถอยกันให้หมด เพื่อรักษาเงินดอลลาร์เอาไว้ เป็น fight for survival ของเงินดอลลาร์ สู้กับ de-dollarization ที่เป็นเป้าหมายของฝ่าย BRICS ลากดอกเบี้ยหนักขนาดนี้อีกไม่เกิน 2 ปี global recession แน่นอน 

จากเพจ สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา 

วันนี้เพจ ลงทุนแมน เขียนว่า

"เช้านี้ ค่าเงินบาท ทะลุ 37 บาท เป็นที่เรียบร้อย

- ยิ่งไม่มีความชัดเจน ในการแจกเงินดิจิทัล เงินบาทยิ่งอ่อนค่าไปเรื่อย ๆ และค่าเงินบาทที่อ่อนนี้ จะเป็นต้นทุนทางอ้อมของรัฐบาลเอง

1. ต่างชาติเทขายพันธบัตร หุ้น เรื่อยมา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน หลังจากที่ตลาดรู้ว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้าน ซึ่งชัดเจนว่าอ่อนกว่าภูมิภาค ทั้ง เยนญี่ปุ่น มาเลเซียริงกิต

2. ที่ต้องขายก็เพราะเหตุผลแรกคือ ข้อแรก ดอกเบี้ยสหรัฐมีอัตราที่สูงกว่า ข้อสอง ตลาดเก็งว่าราคาพันธบัตรของไทยจะลดลงในอนาคต เนื่องจาก Yield ที่สูงขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินของภาครัฐมาแจกเงิน 560,000 ล้าน

3. เมื่อรู้ว่าพันธบัตรจะราคาลดในอนาคต ก็ต้องรีบเทขายตอนนี้ เมื่อขายนำเงินกลับประเทศ ค่าเงินบาทก็อ่อนอย่างต่อเนื่อง

4. เงินต่างชาติก้อนใหญ่ ขายวันเดียวไม่หมด จึงต้องทยอยขายไปเรื่อย ซึ่งเราก็จะเห็นว่า ค่าเงินบาทรันเทรนด์ การอ่อนค่าแบบไปเรื่อย ๆ เหมือนมีคนทยอยขายเรื่อย ๆ

5. อีกประการคือ พันธบัตรระยะยาวสหรัฐ มี yield ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อคืนพันธบัตร 10 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงเงินกลับ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ

1. เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า เราจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการนำเข้า น้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย

2. ผู้สินค้านำเข้าทุกอย่างจะจ่ายแพงขึ้นอีก ใกล้ตัวเราที่เห็นแล้วก็ iPhone ในไทยที่จะไม่ได้ขายที่ราคาถูกแบบเมื่อก่อน

3. สุดท้าย แบงก์ชาติ ก็คงพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย หรือ มีมาตรการอะไรเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท

4. ในขณะเดียวกันก็จะมีโครงการขนาดใหญ่มากดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอีก นั่นก็คือการแจกเงิน 560,000 ล้าน ซึ่งต้องกู้เงิน และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็แปลว่ารัฐบาลไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นเพื่อมาแจกเงินเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดการแจกเงินยังไม่ชัดเจน และยิ่งไม่ชัดเจน ตลาดก็กังวล และเลือกที่จะขายออกมาก่อนแบบในช่วงนี้"

ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยดันทุรังจะแจกเงิน 560,000 ล้านบาทให้จงได้ ผมขอเสนอแนวทางประนีประนอมดังต่อไปนี้

(1) ควรทยอยแจก 4 ปี ในระหว่างที่เป็นรัฐบาล คือแจกทุกปี ๆ ละ 140,000 ล้านบาท ดีกว่าแจกรวดเดียว 560,000 ล้านบาท ภายในหกเดือนของปีแรก

(2) ตอนที่แจกปีละ 140,000 ล้านบาท ควรทยอยแจกทุกเดือน ๆ ละ 10,000 กว่าล้านบาท ผ่านแอป ‘คนละครึ่ง’ ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดแล้วว่าได้ผลจริงในการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้คน

ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลเพื่อไทยจะยอมลดอีโก้ของตนเองลงหรือไม่ หรือจะยอมปล่อยให้นโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัล ทำให้การคลังของบ้านเมืองพังเหมือนนโยบายจำนำข้าวที่ฉาวโฉ่ในอดีต

ด้วยความปรารถนาดี

‘ขันเงิน’ เปิดตัว ‘ซาเล็คต้า’ หลังเปลี่ยนชื่อจาก MPIC เตรียมลุยธุรกิจบันเทิง-มุ่งสร้างไลฟ์สไตล์แนวใหม่ในเมืองไทย

(3 ต.ค.66) หลังจากที่ ‘นายขันเงิน เนื้อนวล’ หรือ ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม แรปเปอร์ชื่อดังได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC จากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (MAJOR) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) หรือ ZALEKTA Public Company Limited

ล่าสุด ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม ได้เปิดตัว ‘ซาเล็คต้า’ อย่างเป็นทางการแล้ว มุ่งสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์และไลฟ์สไตล์แนวใหม่ในคอนเซ็ปต์ ‘Vibes Setter’ ของเมืองไทย

ขันเงิน ในฐานะกรรมการบริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ชื่อบริษัท ซาเล็คต้า มาจากคำว่า ‘ซีเล็คเตอร์’ ที่แปลว่า เราจะเป็นผู้คัดสรรสิ่งต่าง ๆ ตามเทรนด์โลกที่น่าตื่นเต้น และนำบรรยากาศด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์รวมทั้งไลฟ์สไตล์ที่อาจจะยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมาให้คนไทยได้เสพ ตามคอนเซ็ปต์ Vibes Setter

โดยร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์และไลฟ์สไตล์ของประเทศไทยเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์งานให้สนุกและตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเฟสติวัลต่าง ๆ ทั้งมิวสิคเฟสติวัล อาร์ตเฟสติวัล ทอยเฟสติวัล ภาพยนตร์ ตลอดจนการจับไลฟ์สไตล์และเรื่องที่คนไทยและทั่วโลกกำลังสนใจ

อีกสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำให้สำเร็จ คือการกรุยทางเปิดโอกาสให้ศิลปินและเอ็นเตอร์เทนเนอร์ไทยได้ไปโชว์ความสามารถในเวทีระดับสากลมากขึ้น เพราะคนไทยเป็นคนที่มีความสามารถ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เหล่านี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของผม ขันเงินกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top