คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 2
ในตอนแรกได้กล่าวถึงสาเหตุหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจในการคอร์รัปชั่น คือ ทรัพย์แผ่นดินหรือสาธารณสมบัติ ซึ่งรัฐหรือประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ผู้อ่านก็คงสงสัยว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป ซึ่งหมายถึง มีกฎหมาย กฎเกณฑ์ในสังคม ก็น่าจะเป็นเครื่องมือที่คอยยับยั้งการกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบได้ ในตอนนี้จึงขอกล่าวถึง ช่องว่างของกฎหมาย โดยใช้แว่นขยายทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ยิ่งไปกว่านั้น การคอร์รัปชั่นโดยถูกกฎหมายนั้น “เบ่งบาน” มากขึ้นเนื่องจากความไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมหรือกลโกงของเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
มีสุภาษิตเยอรมันบทหนึ่งกล่าวว่า “Der Teufel steckt im Detail.” ซึ่งใกล้เคียงกับสำนวนในภาษาอังกฤษว่า “The devil is in the details.” แปลเป็นไทยว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด” เมื่อนำมาประยุกต์กับการคอร์รัปชั่นมักจะพบว่า กฎหมายหรือระเบียบที่ออกมามักจะให้อำนาจในกฎหมายลูก หลายครั้งต้องตามไปดูว่า รายละเอียดที่แท้จริงเป็นอย่างไร และให้อำนาจใดกับใคร แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนทั่วไปในการทำความเข้าใจตัวบทกฎหมาย
ความไม่เท่าเทียมในข้อมูลข่าวสาร (Incomplete Information) ความไม่รู้กฎหมาย จึงเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นที่ง่ายและเร็วมากขึ้น
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือ การฟ้องคดีทางปกครองที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืน ไม่ว่าจะเพื่อการสร้างรถไฟฟ้า ถนน ทางด่วน สะพานลอย เสาไฟ หรือการกำหนดรูปแบบรายการ รายละเอียดอุปกรณ์ เครื่องมือประกอบแบบ ล้วนต้องอาศัยอำนาจรัฐและกฎหมายในการดำเนินการ หากผู้ใช้อำนาจนั้นกระทำการโดยสุจริตปัญหาการฟ้องร้อง ร้องเรียน จะมีไม่มาก แต่หากลองสวมหมวกเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ตรงไปตรงมาแล้ว การใช้อำนาจรัฐและกฎหมาย สามารถสร้างประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นโดยง่าย การเรียกรับผลประโยชน์จากการกำหนดจุด การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรูปแบบรายการโดยมิชอบ เป็นกรณีที่พบมากในการร้องเรียนแต่มีช่องว่างทางกฎหมาย
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร โดยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันบัญญัติว่า “การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผล แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”
การกำหนดจุดเสาตอม่อรถไฟฟ้า สะพานลอย ทางออกของถนน มีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนและเกี่ยวพันทั้งด้านวิศวกรรม ความปลอดภัย ความสวยงาม แต่มีช่องว่างที่เอื้อต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยถูกกฎหมาย เพราะในขั้นตอนสำรวจจะมีทีมลงพื้นที่ก่อนการเวนคืน มีกระบวนการทางเอกสารและการเวนคืน ทำให้หากเกิดการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบแล้วประชาชนทั่วไปจะฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ แต่สุ่มเสี่ยงในการถูกยกฟ้องเพราะพ้นกำหนดการฟ้องคดีที่มีระยะเวลา 90 วัน
วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี อาจถูกนับตั้งแต่วันที่ทีมสำรวจมาแจ้งด้วยวาจา หรือหน่วยงานออกเอกสารว่าอยู่ในเขตทางแต่ยังไม่เวนคืน เป็นต้น “รายละเอียด” เหล่านี้ ประชาชนทั่วไปไม่มีทางรู้เท่าทันกลโกงเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าหน้าที่รัฐที่คดโกง และสำคัญที่สุดคือ ประชาชนไม่อยากเป็นความ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “กินขี้หมาดีกว่าเป็นความ” ก็ได้แต่นึกโทษโชคชะตา ทั้งที่การทุจริตประพฤติมิชอบเป็นกรรมปัจจุบันและเป็นการกระทำผิดของทุรชน
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรูปแบบรายการโดยมิชอบและขู่กรรโชกเรียกผลประโยชน์จากผู้รับเหมาโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบโครงการหรือเป็นกรรมการตรวจรับ เป็นกรณีที่ผู้รับเหมาพบบ่อยครั้ง และปล่อยผ่านเพราะไม่อยากมีเรื่องราว ทำให้การกระทำทุจริตประพฤติมิชอบเติบโตขึ้นและแทรกซึมลงไปใน “รายละเอียด”
อีกเรื่องหนึ่งคือ ประเด็นเรื่อง การงด หรือ ลดค่าปรับ หรือ การขยายเวลา ของโครงการรัฐนั้น ที่ปรากฏว่า ผู้มีอำนาจที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานมักใช้ช่องทางนี้ในการเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ทั้งที่กฎหมายระบุรายละเอียดชัดแจ้งตั้งแต่เป็น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ จนพัฒนามาเป็น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
มาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า
“การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญาหรือข้อตกลง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอํานาจที่จะพิจารณาได้ตามจํานวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง เฉพาะในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
(๔) เหตุอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
หลักเกณฑ์และวิธีการของดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญาหรือข้อตกลง ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด”
ยังมีประเด็นเรื่อง “ค่าโง่” ซึ่งมีรายละเอียดมาก และน่าจะนำขึ้นมาเขียนเพราะสังคมควรได้เรียนรู้เรื่องการบริหารสัญญาภาครัฐ ที่เจือด้วยการทุจริตประพฤติมิชอบ นำไปสู่การเสียประโยชน์ของรัฐโดยไม่ควรเสีย ซึ่งพบว่าพัวพันกับผู้มีอำนาจและนักกฎหมายที่เลว
ผู้สันทัดในทางกฎหมายเคยให้ความรู้ผู้เขียนว่า “นักกฎหมายที่เลว จะบิดเบือนข้อกฎหมาย หรือ บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือ ทำทั้งสองอย่าง” เช่น การขยายเวลาให้เนื่องจาก ฝนตกเยอะ เป็นต้น เพราะนักกฎหมายที่เลวจะรู้ว่า ผู้มีอำนาจที่อาจสมรู้ร่วมคิดมักจะตัดตอนคดีให้ได้และปกปิดนั่งทับเอาไว้ได้ ตัวอย่างที่ผู้มีอำนาจร่วมกับนักกฎหมายที่เลว หรืออาจเป็นคนเดียวกันได้ ก็คือ การกล่าวอ้างว่ามีอำนาจทั้งที่ไม่มี การละเว้นการพิจารณาของคณะกรรมการที่ราชพัสดุโดยอ้างว่าเอกชนให้ผลประโยชน์เหมาะสม เป็นต้น
ดังนั้น การกระทำทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีนักกฎหมายที่เลวผสมโรง หรือมีคราบนักกฎหมายนั้น จึงมักจะจับได้ไล่ทันยาก เพราะความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ความไม่รู้ของหน่วยงานตรวจสอบและกำกับดูแล รวมถึงทัศนคติของประชาชนทั้งเรื่อง การเป็นความ และความเชื่อเรื่องกรรมเก่า
ในความเป็นจริง ยังมีทางออก สำหรับการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดจาก “ช่องว่างทางกฎหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดเผยข้อมูล เพราะ “ผีกลัวแสงสว่าง” ซึ่งคอลัมน์นี้จะมาลงรายละเอียดในภายหลัง
ทิ้งท้ายด้วยการขอน้อมนำพระบรมราโชวาท ของรัชกาลที่ 9 มาไว้เพื่อเตือนสติว่า
“...กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากแต่เป็นบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม
ผู้ใดก็ตามแม้ไม่รูกฎหมายแต่ถ้าประพฤติปฏิบัติด้วยความสุจริตแล้วควรจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายอย่างเต็มที่
ตรงกันข้าม คนที่รู้กฎหมาย แต่ใช้กฎหมายไปในทางทุจริต ควรต้องถือว่าทุจริต...”