Tuesday, 12 November 2024
COLUMNIST

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 2

ในตอนแรกได้กล่าวถึงสาเหตุหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจในการคอร์รัปชั่น คือ ทรัพย์แผ่นดินหรือสาธารณสมบัติ ซึ่งรัฐหรือประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ผู้อ่านก็คงสงสัยว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป ซึ่งหมายถึง มีกฎหมาย กฎเกณฑ์ในสังคม ก็น่าจะเป็นเครื่องมือที่คอยยับยั้งการกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบได้ ในตอนนี้จึงขอกล่าวถึง ช่องว่างของกฎหมาย โดยใช้แว่นขยายทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ยิ่งไปกว่านั้น การคอร์รัปชั่นโดยถูกกฎหมายนั้น “เบ่งบาน” มากขึ้นเนื่องจากความไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมหรือกลโกงของเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ

มีสุภาษิตเยอรมันบทหนึ่งกล่าวว่า “Der Teufel steckt im Detail.”  ซึ่งใกล้เคียงกับสำนวนในภาษาอังกฤษว่า “The devil is in the details.” แปลเป็นไทยว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด” เมื่อนำมาประยุกต์กับการคอร์รัปชั่นมักจะพบว่า กฎหมายหรือระเบียบที่ออกมามักจะให้อำนาจในกฎหมายลูก หลายครั้งต้องตามไปดูว่า รายละเอียดที่แท้จริงเป็นอย่างไร และให้อำนาจใดกับใคร แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนทั่วไปในการทำความเข้าใจตัวบทกฎหมาย

ความไม่เท่าเทียมในข้อมูลข่าวสาร (Incomplete Information) ความไม่รู้กฎหมาย จึงเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นที่ง่ายและเร็วมากขึ้น

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือ การฟ้องคดีทางปกครองที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืน ไม่ว่าจะเพื่อการสร้างรถไฟฟ้า ถนน ทางด่วน สะพานลอย เสาไฟ หรือการกำหนดรูปแบบรายการ รายละเอียดอุปกรณ์ เครื่องมือประกอบแบบ ล้วนต้องอาศัยอำนาจรัฐและกฎหมายในการดำเนินการ หากผู้ใช้อำนาจนั้นกระทำการโดยสุจริตปัญหาการฟ้องร้อง ร้องเรียน จะมีไม่มาก แต่หากลองสวมหมวกเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ตรงไปตรงมาแล้ว การใช้อำนาจรัฐและกฎหมาย สามารถสร้างประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นโดยง่าย การเรียกรับผลประโยชน์จากการกำหนดจุด การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรูปแบบรายการโดยมิชอบ เป็นกรณีที่พบมากในการร้องเรียนแต่มีช่องว่างทางกฎหมาย

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร โดยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันบัญญัติว่า “การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผล แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

การกำหนดจุดเสาตอม่อรถไฟฟ้า สะพานลอย ทางออกของถนน มีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนและเกี่ยวพันทั้งด้านวิศวกรรม ความปลอดภัย ความสวยงาม แต่มีช่องว่างที่เอื้อต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยถูกกฎหมาย เพราะในขั้นตอนสำรวจจะมีทีมลงพื้นที่ก่อนการเวนคืน มีกระบวนการทางเอกสารและการเวนคืน ทำให้หากเกิดการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบแล้วประชาชนทั่วไปจะฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ แต่สุ่มเสี่ยงในการถูกยกฟ้องเพราะพ้นกำหนดการฟ้องคดีที่มีระยะเวลา 90 วัน

วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี อาจถูกนับตั้งแต่วันที่ทีมสำรวจมาแจ้งด้วยวาจา หรือหน่วยงานออกเอกสารว่าอยู่ในเขตทางแต่ยังไม่เวนคืน เป็นต้น “รายละเอียด” เหล่านี้ ประชาชนทั่วไปไม่มีทางรู้เท่าทันกลโกงเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าหน้าที่รัฐที่คดโกง และสำคัญที่สุดคือ ประชาชนไม่อยากเป็นความ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “กินขี้หมาดีกว่าเป็นความ” ก็ได้แต่นึกโทษโชคชะตา ทั้งที่การทุจริตประพฤติมิชอบเป็นกรรมปัจจุบันและเป็นการกระทำผิดของทุรชน

ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรูปแบบรายการโดยมิชอบและขู่กรรโชกเรียกผลประโยชน์จากผู้รับเหมาโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบโครงการหรือเป็นกรรมการตรวจรับ เป็นกรณีที่ผู้รับเหมาพบบ่อยครั้ง และปล่อยผ่านเพราะไม่อยากมีเรื่องราว ทำให้การกระทำทุจริตประพฤติมิชอบเติบโตขึ้นและแทรกซึมลงไปใน “รายละเอียด”

อีกเรื่องหนึ่งคือ ประเด็นเรื่อง การงด หรือ ลดค่าปรับ หรือ การขยายเวลา ของโครงการรัฐนั้น ที่ปรากฏว่า ผู้มีอำนาจที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานมักใช้ช่องทางนี้ในการเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ทั้งที่กฎหมายระบุรายละเอียดชัดแจ้งตั้งแต่เป็น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ จนพัฒนามาเป็น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560

มาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า

“การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญาหรือข้อตกลง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอํานาจที่จะพิจารณาได้ตามจํานวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง เฉพาะในกรณี ดังต่อไปนี้

(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ

(๒) เหตุสุดวิสัย

(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย

(๔) เหตุอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง

หลักเกณฑ์และวิธีการของดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญาหรือข้อตกลง ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด”

ยังมีประเด็นเรื่อง “ค่าโง่” ซึ่งมีรายละเอียดมาก และน่าจะนำขึ้นมาเขียนเพราะสังคมควรได้เรียนรู้เรื่องการบริหารสัญญาภาครัฐ ที่เจือด้วยการทุจริตประพฤติมิชอบ นำไปสู่การเสียประโยชน์ของรัฐโดยไม่ควรเสีย ซึ่งพบว่าพัวพันกับผู้มีอำนาจและนักกฎหมายที่เลว

ผู้สันทัดในทางกฎหมายเคยให้ความรู้ผู้เขียนว่า “นักกฎหมายที่เลว จะบิดเบือนข้อกฎหมาย หรือ บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือ ทำทั้งสองอย่าง” เช่น การขยายเวลาให้เนื่องจาก ฝนตกเยอะ เป็นต้น เพราะนักกฎหมายที่เลวจะรู้ว่า ผู้มีอำนาจที่อาจสมรู้ร่วมคิดมักจะตัดตอนคดีให้ได้และปกปิดนั่งทับเอาไว้ได้ ตัวอย่างที่ผู้มีอำนาจร่วมกับนักกฎหมายที่เลว หรืออาจเป็นคนเดียวกันได้ ก็คือ การกล่าวอ้างว่ามีอำนาจทั้งที่ไม่มี การละเว้นการพิจารณาของคณะกรรมการที่ราชพัสดุโดยอ้างว่าเอกชนให้ผลประโยชน์เหมาะสม เป็นต้น

ดังนั้น การกระทำทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีนักกฎหมายที่เลวผสมโรง หรือมีคราบนักกฎหมายนั้น จึงมักจะจับได้ไล่ทันยาก เพราะความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ความไม่รู้ของหน่วยงานตรวจสอบและกำกับดูแล รวมถึงทัศนคติของประชาชนทั้งเรื่อง การเป็นความ และความเชื่อเรื่องกรรมเก่า

ในความเป็นจริง ยังมีทางออก สำหรับการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดจาก “ช่องว่างทางกฎหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดเผยข้อมูล เพราะ “ผีกลัวแสงสว่าง” ซึ่งคอลัมน์นี้จะมาลงรายละเอียดในภายหลัง

ทิ้งท้ายด้วยการขอน้อมนำพระบรมราโชวาท ของรัชกาลที่ 9 มาไว้เพื่อเตือนสติว่า

“...กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากแต่เป็นบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม

ผู้ใดก็ตามแม้ไม่รูกฎหมายแต่ถ้าประพฤติปฏิบัติด้วยความสุจริตแล้วควรจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายอย่างเต็มที่

ตรงกันข้าม คนที่รู้กฎหมาย แต่ใช้กฎหมายไปในทางทุจริต ควรต้องถือว่าทุจริต...”

I care a lot เมื่อห่วง….แต่หวังฮุบ

spoil alert (เนื้อหาในบทความอาจมีการกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญในหนัง I care a lot)

ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง I care a lot ชื่อไทยว่า ห่วง… แต่หวังฮุบ เรื่องราวของมิจฉาชีพในคราบนักธุรกิจ นักธุรกิจสาวที่แสร้งว่าตนเองและธุรกิจของตนเองนั้นเป็นธุรกิจที่ห่วงใย ใส่ใจสิทธิและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ แต่ที่ไหนได้ ลับหลังคือการเอาเปรียบหลอกลวงและหวังจะฮุบเอาทรัพย์สมบัติบ้านช่องของผู้สูงอายุมาเป็นของตนเอง โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย จากหนังเรื่องนี้ทำให้มีพูดถึงปัญหาการจัดการทรัพย์สินให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายในประเทศไทยยังไม่มีการรองรับ กฎหมายที่ใกล้เคียงที่สุด คือร่างพระราชบัญญัติบริหารทรัพย์สินส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ ทรัสต์ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่ในบทความนี้จะไม่พูดถึงตัวกฎหมาย แต่อยากชวยคุยในประเด็นสังคมและวัฒนธรรมในการดูแลผู้สูงอายุในประเทศตะวันตก ประเทศที่ได้ชื่อว่าให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด แต่หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอีกมุมอันตรายจากการคุ้มครองสิทธินี้อย่างคาดไม่ถึง

หากมองสภาพสังคมในตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเราก็จะพบว่ามีลักษณะเป็นสังคมปัจเจกนิยม สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเปรียบเสมือนศีลสำคัญของความดำรงอยู่ในสังคม  ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว  พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น เมื่อโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ก็จะแยกบ้านเรือนออกไปใช้ชีวิตตนเอง ไม่นิยมการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวขยายอย่างเช่นสังคมในประเทศในฝั่งตะวันออก อย่างประเทศไทยที่ลูกหลานพ่อแม่ปูยาตายายอยู่รวมกัน ทำให้ผู้สูงอายุในประเทศแถบตะวันตกมักอยู่เพียงลำพัง พอถึงจุดหนึ่งผู้สูงอายุอาจถูกมองว่าต้องอยู่ในสภาวะพึ่งพิงผู้อื่น แต่หันซ้ายหันขวาลูกหลานอยู่ไกล หรือไม่รู้อยู่ไหนกัน รัฐจึงยื่นมือเข้ามาหวังจะช่วยดูแลผู้สูงอายุ  โดยให้อำนาจแก่บริษัทฯดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเอง ได้รวมถึงให้อำนาจบริษัทฯจัดการทรัพย์สินของผู้สูงอายุด้วย  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน่าจะดีแต่หนังเรื่องนี้กลับสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายมีช่องโหว่และสังคมเองก็ไม่ได้เชื่อมั่นว่าผู้สูงอายุมีศักยภาพในการดูแลตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเชื่อใจบริษัทตัวแทนเหล่านี้มาก จากกฎหมายที่อยากจะปกป้องสิทธิของผู้สูงอายุ กลับกลายเป็นผู้ลิดรอนสิทธิของผู้สูงอายุเสียเอง

เรื่องราวน่าหดหู่และชวนให้คิดใคร่ครวญ คือการสะท้อนว่าแม้ผู้สูงอายุยังสามารถดูแลตนเองได้ดีและยืนยันจะดูแลตัวเองต่อไป บริษัทฯก็จัดฉากสร้างเรื่องทำให้ผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อนั้นดูเป็นคนไร้ความสามารถ ให้หมอที่รู้กันกับบริษัทวินิจฉัยว่าผู้สูงอายุมีความจำเลอะเลือนบ้าง หรือมีจิตไม่ปกติบ้างจนไม่สามารถดูแลตนเองได้ เพื่อให้ศาลสั่งบังคับให้มีผู้ดูแล ซึ่งศาลก็มักจะเชื่อตามหลักฐานจากหมอมากกว่าจะเชื่อจากปากผู้สูงอายุ และสุดท้ายผู้สูงอายุก็เข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราที่สมรู้ร่วมคิดกับกับบริษัทฯไว้แล้ว แม้ลูกหลานจะพยายามช่วย หรือแม้แต่จะขอเข้าพบพ่อแม่ยังไม่สามารถทำได้เพราะบ้านพักคนชราและบริษัทฯก็ใช้ข้อกฎหมายมาเล่นแง่จนลูกๆไม่สามารถเข้าพบหรือพาพ่อแม่ออกมาได้ 

สิ่งที่ทำให้มิจฉาชีพใช้กฎหมายมาเล่นแง่กับลูกๆของผู้สูงอายุได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความที่ลูกๆก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดหรือใส่ใจดูแลพ่อแม่มาก่อนหน้านี้ทำให้บริษัทฯใช้เป็นข้ออ้างถึงการไม่ควรให้ลูกเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุรวมถึงทรัพย์สินของผู้สูงอายุ พูดง่ายๆว่าระแวงลูกว่าลูกจะไม่ได้ใส่ใจในการดูแลพ่อแม่และศาลก็เชื่อตามนั้น หนังดำเนินเรื่องแบบตลกร้าย แต่ดูแล้วก็ตลกไม่ออกกับการเห็นผู้สูงอายุต้องตกเหยื่อของธุรกิจที่ชั่วร้ายนี้  ผู้สูงอายุทุกคนสมควรจะได้จะมีชีวิตที่ตามที่ใจปรารถนาในช่วงบั้นปลายชีวิต สมควรที่จะมีอิสระและมีความสุขตามวัย  แต่ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุในเรื่องนี้กลับเป็นการพรากคุณค่าและความสุขทั้งหมดทั้งมวลในช่วงบั้นปลายของมนุษย์คนหนึ่งไปอย่างหน้าชื่นตาบาน ซ้ำยังได้รับการชื่นชมในการของการบริหารธุรกิจในโลกของระบบทุนนิยมที่ผลกำไรเป็นเรื่องใหญ่เสมอ  สุดท้ายผู้สูงอายุจึงไม่ใช่ผู้ได้รับการคุ้มครองดูแลตามสิทธิอันพึงได้รับ แต่กลับกลายเป็นเหยื่อของธุรกิจค้าความชราจนผู้สูงอายุไม่มีสิทธิแม้แต่จะเป็นเจ้าของชีวิตของตนเองได้เพียงเพราะความเชื่อว่าผู้สูงอายุไม่สามารถพึงพาตนเองได้และจะต้องอยู่ในการดูแลพึงพาอาศัยผู้อื่น

ดูหนังแล้วย้อนดูสังคมไทยกับสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศ  แอบใจชื่นขึ้นมาหน่อยเพราะสังคมไทยเราเป็นสังคมที่มีลักษณะความผูกพันในครอบครัวที่เหนียวแน่นกว่าในสังคมตะวันตก การอยู่รวมกันแบบครอบครัวขยายของคน 3 รุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย  ลูก หลานยังมีให้เห็นมากมาย ถึงแม้จะมีแนวโน้มว่าจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น  ไหนๆก็พูดถึงผู้สูงอายุเลยขอชวนหันมาดูสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุกันสักหน่อย จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553 - พ.ศ.2583 พบว่าสัดส่วนของประชากรสูงอายุ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนจากร้อยละ 13.2 ในปี 2553  จะเพิ่มเป็นร้อยละ 26.6 ในปี 2573 และเพิ่มเป็น 32.1 ในปี 2583

จากข้อมูลการสำรวจประชากร จะพบว่าตอนนี้ประเทศไทยเราเดินมาไกลเกินกว่าการเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) แล้ว ( สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ)  แต่เรากำลังจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society)  ภายในปี 2564นี้  ซึ่งหมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ เพราะจากข้อมูลสถิติประชาการศาสตร์ในปี 2562  ไทยมีประชากรรวม 66,558,935 คน  ในจำนวนนี้ มีประชากรวัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทั้งหมดจำนวน 11,136,059 คน คิดเป็นร้อยละ 16.73   หรือนึกภาพเป็นตัวเลขกลมๆ ให้นึกว่าหากมีคนเดินมา 10 คน  2 คนใน 10 นั้นคือผู้สูงอายุ  และมีแนวโน้มที่ประชาชนจะมีอายุขัยที่ยาวขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุวัยปลายมากขึ้นด้วย ดังนั้นภาครัฐของเรานั้นต้องหันมาเร่งดำเนินการเพื่อรองรับกับกับเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร 

ประเทศไทยมีการจัดทำแผนผู้สูงอายุแห่งชาติมา 2 ฉบับแล้ว ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 แผนฉบับนี้มีวิสัยทัศน์ว่าผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสมควรส่งเสริมให้คงคุณค่าไว้ให้นานที่สุดแต่ในกรณีที่ตกอยู่ในสถานะต้องพึ่งพิงผู้อื่นครอบครัวและชุมชนจะต้องเป็นด่านแรกในการเกื้อกูลเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงอยู่ในชุมชนได้อย่างมีสุขภาพที่เหมาะสมที่สมเหตุสมผลได้นานที่สุดโดยมีสวัสดิการจากรัฐเป็นระบบเสริมเพื่อให้เกิดหลักประกันในวัยสูงอายุและความมั่นคงของสังคม  แม้จะมีแผนผู้สูงอายุแห่งชาติมา 2  ฉบับแล้วแต่ภาครัฐต้องเร่งกำลังเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพ การส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ การคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุซึ่งก็ต้องเร่งพัฒนากันต่อไปให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เกิดขึ้น   

นอกจากการดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อผู้สูงอายุแล้ว สิ่งรัฐต้องเร่งดำเนินดำเนินการควบคู่ไปด้วยคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคมว่า การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) นั้นไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกครอบครัวและทุกคนในสังคม  เป็นเรื่องของคนทุกช่วงวัยที่ต้องทำความเข้าใจและพึ่งพาอาศัยกันต่อไปด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน  ค่านิยมในการมองผู้สูงอายุเป็นบุคคลไร้ความสามารถ เป็นวัยที่ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ เป็นวัยที่เป็นภาระ หรือทัศนคติเชิงลบต่อผู้สูงวัยว่า คือคนที่ไม่สามารถปรับตัวหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้  โดยเปรียบเทียบผู้สูงวัยให้เป็นไดโนเสาร์เช่นนี้ อาจทำให้เกิดสถานการณ์อย่างในหนังที่กล่าวถึงขั้นต้นเข้าสักวัน 

ดังนั้นการสื่อสารเพื่อสร้างทัศนคติในการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ของคนทุกช่วงวัยจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะในสถาบันครอบครัว ความรักความห่วงใยการดูแลเอาใจใส่กันและกันของคนในครอบครัว คือเกราะป้องกันชั้นดีให้กับผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน มิใช่แค่เพียงเด็กๆหรือลูกหลานที่ต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่  ในขณะเดียวกันเมื่อกาลเวลาผ่าน พ่อแม่ในวัยผู้สูงอายุก็ยิ่งต้องการความรัก ควาวมห่วงใยและน้ำใจจากลูกๆ เช่นเดียวกัน ผู้เขียนเชื่อว่าวัฒนธรรมความรักในครอบครัวจะช่วยให้ผู้สูงอายุของไทยสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเอง

ช่วงนี้เห็นมีโฆษณาบ้านพักผู้สูงอายุหลักเกษียณมากมายมาใช้เลือกใช้บริการทั้งราคาย่อมเยาจนถึงราคาสูงลิบ โฆษณาว่าอยู่ดีอยู่สบายครบวงจรทั้งการดูแลสุขภาพ หมอพยาบาลและอาหารการกิน …. แว๊บหนึ่งแอบคิดถึงหนัง I care a lot ห่วง… แต่หวังฮุบ ขึ้นมาทันที  หวังว่าเราจะไม่เจอสภาพเช่นผู้สูงอายุในหนังเรื่องนี้  แต่คิดๆไปก็เบาใจ ผู้เขียนคงไม่เจอสถานการณ์อย่างในหนัง เพราะไม่มีเงินและสมบัติพอให้ใครมาฮุบ  ถ้าจะทำหนังคงต้องชื่อว่า  “ห่วงได้ แต่ไม่มีให้อะไรให้ฮุบ” 


ที่มา

สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย (ด้านประชากร) – FOPDEV

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย (dop.go.th)  กรมกิจการผู้สูงอายุ

แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564)  คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ความหวังฟื้นเศรษฐกิจ ‘โลก - ไทย’

นับจากเดือนธันวาคม 2019 ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลกหดตัวลง หรือขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก จนหลายคนหวั่นเกรงว่าจะกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression เช่นเดียวกับในช่วงทศวรรษที่ 1930

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อการพัฒนาวัคซีนเพื่อพิชิตไวรัสดังกล่าวประสบผลสำเร็จ และเริ่มมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 กว่า 300 ล้านโดสให้กับประชากรทั่วโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ก็กลายเป็นตัวแปรที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นในช่วงกลางปี 2021 นี้

ประเด็นที่น่าสนใจจากการใช้ประโยชน์จากวัคซีนโควิดที่มีการกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้น คือ การนำไปสู่ความปกติใหม่ หรือ ’New Normal’ ของการใช้ ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ซึ่งเป็นหลักฐานการได้รับวัคซีนสำหรับผู้ต้องการเดินทางระหว่างประเทศทั้งเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนา ‘แอปพลิเคชันพาสปอร์ตวัคซีน’ อาทิเช่น…

...แอปพลิเคชัน IATA Travel Pass ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ

...แอปพลิเคชัน CommonPass เพื่อใช้ในสายการบิน Jet Blue, Lufthansa และ United

...แอปพลิเคชัน IBM Digital Health ของบริษัท IBM

...และแอปพลิเคชัน iProov แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการวิกฤตสุขภาพของประเทศอังกฤษ

เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมสำคัญในระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกกลับสู่ภาวะปกติได้เหมือนเดิมอีกครั้ง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า หากวิกฤติโรคระบาดคลี่ ‘คลายลง’ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 5.5 โดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะดีดตัวขึ้นไปอยู่ที่ 5.8% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและอินเดียที่จะขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.3

ในส่วนของประเทศไทย ภายหลังจากการนำเข้าวัคซีนซิโนแวค ล็อตแรก 2 แสนโดส (จากทั้งหมด 2 ล้านโดส) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 117,600 โดส เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 อีกทั้งการยื่นขออนุญาตจาก อย. ของภาคเอกชนจาก 4 โรงพยาบาลใหญ่ ‘ธนบุรี - รามฯ - กรุงเทพ - เกษมราษฎร์’ นำเข้าวัคซีนไฟเซอร์, โมเดอร์นา, ซิโนฟาร์ม, สปุตนิก และโนวาแวกซ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ขณะเดียวกันมติเห็นชอบการใช้ ‘พาสปอร์ตวัคซีนของไทย’ จากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่กำลังจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ศบค.ชุดใหญ่ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น เชื่อได้ว่าจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องที่ได้รับผลบวกและกระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% – 3.5% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 3% – 5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% - 1%

นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้านี้ จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่...

1.) ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังหลังผ่อนคลายมาตรการ

2.) การกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

3.) มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด-19 รวมไปถึงการประคับประคองกำลังซื้อในประเทศ

อย่างไรก็ตามในปี 2021 แนวโน้มเศรษฐกิจของโลก และของไทย กำลังจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากจุดต่ำสุด ภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายระลอกที่ผ่านมา แต่จะเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติแค่ไหน จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของระบบเศรษฐกิจอย่างเฉิดฉายเพียงใด อีกไม่ช้านี้ คงได้ทราบกัน...


แหล่งที่มา

https://www.bbc.com/thai/international-52291254

https://www.jsccib.org/th/news/view/350

https://www.prachachat.net/economy/news-623456

https://www.prachachat.net/marketing/news-623170

ทำไม? ‘สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น’ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงเป็น ‘อินโดนีเซีย’

‘Startup’ ชื่อเท่ ๆ ของธุรกิจดิจิทัล และหรือธุรกิจแนวคิดใหม่ เย้ายวนให้บรรดาคนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากเข้าไปเกี่ยวข้อง สามารถทำเงินถึงหลักหมื่นล้านได้ภายในเวลาไม่กี่ปี (หากประสบความสำเร็จ)

แต่ทราบหรือไม่ว่าธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลกที่คนทั่วไปรู้จักกันดี อาทิเช่น Apple, Facebook, SpaceX, Amazon และ Alibaba ต่างก็เริ่มต้นจากกลุ่มคนทำงานไม่กี่คนในโฮมออฟฟิศเล็กๆ ที่บ้าน ก่อนที่จะผลักดันธุรกิจให้เติบโตจนกลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ในทุกวันนี้

ว่าแต่ ‘ยูนิคอร์น’ คืออะไร?

ยูนิคอร์น หมายถึง ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จเติบโตจนมีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) โดยปัจจุบันมีธุรกิจสตาร์ทอัพมากกว่า 300 ล้านบริษัททั่วโลก แต่มีเพียง 556 บริษัทเท่านั้นที่สามารถเติบโตจนถึงระดับยูนิคอร์น ซึ่งในนั้นเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันมากที่สุดถึง 137 บริษัท รองลงมาคือจีน 120 บริษัท

ส่วนประเทศในย่านอาเซียนนั้น ก็มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอยู่ 11 บริษัท โดยประเทศอินโดนีเซียมีการผลิตสตาร์ทอัพสัญชาติอิเหนาได้มากถึง 6 บริษัท และทำให้อินโดนิเซียเป็นประเทศที่มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากเป็นอันดับ 9 ของโลก รวมถึงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน

เพราะเหตุใดอินโดนิเซียถึงกลายเป็นเจ้าแห่งยูนิคอร์น ‘สตาร์ทอัพ’ อะไรเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศน์เชิงธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซีย วันนี้เรามาลองแอบส่องเหตุ ‘ปัจจัย’ ในการสร้าง ‘ลูกม้า’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ของเมืองอิเหนา ประเทศเพื่อนบ้านของเรากัน

จุดเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซียเกิดขึ้นในช่วงราว ๆ ปี 2009 จากกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ได้เรียนรู้การทำธุรกิจในยุค ดอทคอมรุ่งเรืองและนำมาต่อยอด เพื่อสร้างธุรกิจในอินโดนิเซีย และตอนนี้ในอินโดนิเซีย ก็มีกลุ่มสตาร์ทอัพที่ยังคงอยู่ในธุรกิจมากถึง 2,000 บริษัท และเป็นถึงระดับยูนิคอร์น 6 บริษัท ได้แก่...

1.) Gojek ก่อตั้งครั้งแรกในปี 2009 โดยนาเดียม อันวาร์ มาคาริม นักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน เรียกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีอยู่เพียง 20 คัน จนกลายเป็น Super App ที่มีบริการหลากหลายถึง 24 ประเภท และขึ้นแท่นยูนิคอร์นตัวแรกในอินโดนิเซียเมื่อปี 2017 แถมตอนนี้ก็ยกระดับธุรกิจขึ้นไปอีกขั้น จนกลายเป็น ‘ดีคาคอร์น’ ที่มีมูลค่าของบริษัทมากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ (3 แสนล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2.) Tokopedia เว็บไซด์ e-Commerce ที่ก่อตั้งปีเดียวกับ Gojek โดยนักธุรกิจดาวรุ่ง วิลเลี่ยม ทานุวิชยา ที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์ม Customer-to-Customer เพื่อรองรับตลาดการค้าที่ใหญ่ และหลากหลายมากในอินโดนีเซีย จนสามารถต่อยอดเป็นธุรกิจระดับยูนิคอร์นได้ แถมยังได้รับทุนสนับสนุนจาก Alibaba, Google และ เทมาเส็ก

3.) Traveloka ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างครบวงจร เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งในอินโดนิเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยด้วย ที่หลายคนอาจไม่คิดว่าบริษัทแม่ของ Traveloka ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ต้า ในอินโดนิเซียนี่เอง แถมมีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 3 พันล้านเหรียญแล้วในปัจจุบัน

4.) Bukalapak เป็นอีกหนึ่ง e-Commerce ระดับยูนิคอร์นอีกเจ้าของอินโดนิเซีย แม้ว่าชาวอินโดฯ จะมี Tokopedia ไปแล้ว แต่ตลาดออนไลน์เจ้าเดียวคงไม่พอสำหรับประชากรที่มากถึง 270 ล้านคน ซึ่ง Bukalapak ก็มีจุดเริ่มต้นที่แสนจะคลาสสิค เนื่องจากทีมผู้ก่อตั้งบริษัท เกิดจากการรวมตัวของ เพื่อนร่วมสถาบัน 3 คนจาก Bandung Institute of Technology ที่ต้องการสร้างสตาร์ทอัพของตัวเองหลังเรียนจบ และมาลงตัวที่การสร้างมาร์เก็ตเพลส สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ของโชห่วย ไปจนถึงประกันชีวิต จนกลายเป็นแพล็ตฟอร์มตลาดนัดที่มีผู้ใช้บริการสูงถึง 70 ล้านคนต่อเดือน

5.) OVO ผู้ให้บริการด้านธุรกรรมออนไลน์ รายล่าสุดของอินโดนิเซียที่มาแรงมาก เกิดจากการร่วมทุนของบริษัทสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่อย่าง Grab Tokopedia ที่ทำให้ OVO ผู้ให้บริการ e-Payment ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีก็สามารถเติบโตจนกลายเป็น ยูนิคอร์น สตาร์ทอัพได้ในปี 2019

6.) JD.id ธุรกิจสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวล่าสุดของอินโดนิเซีย ที่เป็นธุรกิจลูกของ JD.com จากประเทศจีน เป็นธุรกิจ e-Commerce ที่เน้นสินค้าเทคโนโลยี แก็ดเจททันสมัยที่หายากในท้องตลาด สินค้าพรีเมี่ยม เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในอินโดนิเซีย แต่ก็สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจระดับพันล้านเหรียญได้

หลายคนอาจมองว่าอินโดนิเซียเป็นประเทศที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด สตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น มากกว่าใครในย่านนี้ และหากคำนวนคร่าว ๆ แล้ว ก็เท่ากับว่าในอินโดนิเซียมีอัตราการเกิดสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น 1 บริษัทต่อประชากร 45 ล้านคน

แต่หากมองมาที่ประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากรเพียง 5.7 ล้านคน ที่มีธุรกิจระดับยูนิคอร์นแล้วถึง 4 บริษัท แล้วกับประเทศไทยที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน กลับไม่มีสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น เกิดเลยแม้แต่เจ้าเดียว ก็พอจะบอกได้ว่าปัจจัยเรื่องปริมาณของประชากรไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสร้างสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์นได้

ดังนั้นสูตรสำเร็จของการแจ้งเกิดยูนิคอร์นของอินโดนิเซียนั้น มีความน่าสนใจมากกว่าขนาดของตลาดและประชากรในประเทศ

โดยมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดยูนิคอร์นน่าจะมาจาก…

ประชากรที่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ จากการเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกันมากกว่า 17,000 เกาะ จึงเป็นความท้าทายในเรื่องงานสร้างสรรค์บริการที่ต้องเข้าถึงคนในท้องถิ่น และการจัดการระบบขนส่ง

ขณะเดียวกันชาวอินโดนิเซียนิยมการใช้ ‘เงินสด’ มากกว่า ‘เครดิตการ์ด’ ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้เงินสดในการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และนิยมใช้สินค้า/บริการจากคนในท้องถิ่น

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า ชาวอินโดนิเซียมากถึง 60% นิยมใช้สินค้า/บริการจากผู้ให้บริการในประเทศ มากกว่าแบรนด์ต่างประเทศ และมักเลือกสินค้า/บริการจากความรู้สึกที่คุ้นเคย และเข้ากับวิถีชีวิตแบบอินโดนิเซีย แต่ก็รับเทคโนโลยีในโลกดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ในอินโดนิเซียมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ 171 ล้านคน และมีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนถึง 45% ของจำนวนประชากรในอาเซียนทั้งหมด

ดังนั้นชาวอินโดนิเซีย จึงมีความพร้อมในการตอบรับธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆ ขอเพียงแค่คุณต้องเข้าใจความต้องการของคนอินโดนีเซียได้อย่างแท้จริง ซึ่งโจทย์นี้เองที่เป็นความหินของสตาร์ทอัพต่างชาติที่ต้องการตีตลาดในอินโดนิเซีย แต่ก็เป็นความได้เปรียบของนักธุรกิจในประเทศที่มีความรู้ ความเข้าใจผู้บริโภคในตลาดได้ดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น Gojek ที่มีจุดมุ่งหมายในการสกัดการรุกคืบตลาดของ สตาร์ทอัพ Ride-sharing ระดับโลกอย่าง Uber ทั้งๆ ที่มีทุนต่างกันมาก แต่เพราะ Gojek เข้าใจวิถีการเดินทางของชาวอินโดนิเซีย ที่คุ้นเคยกับการใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้างมากกว่าระบบ Ride-sharing ในโมเดลของตะวันตก ทำให้ Gojek ยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์ในบริการเรียกรถขนส่งเป็นอันดับ 1 ไว้ได้ และยังกินส่วนแบ่งตลาดถึง 95% ของบริการส่งอาหาร จน Uber ต้องยอมล่าถอยจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในที่สุด

นอกจากจะเข้าใจคนอินโดนิเซียแล้ว การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ก็ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพของชาวอินโดนิเซีย ‘ได้ใจ’ ผู้ใช้ในประเทศอย่างมาก อย่างโมเดลการทำธุรกิจของ Bukalapak ที่ต้องการสร้างมาร์เก็ตเพลสที่ช่วยสนับสนุน SME รายย่อยในอินโดนิเซียที่มีอยู่กว่า 99% ของภาคธุรกิจทั้งหมดในประเทศ ที่อาจเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต หรือไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับธุรกิจค้าปลีกทุนหนาให้สามารถขายสินค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งของชำทั่วไป ชิ้นส่วนอุปกรณ์ช่างทั่วไป จนถึงตั๋วรถไฟ หรือประกันชีวิต ทุกวันนี้จึงมี SME มากกว่า 4.5 ล้านราย นำเสนอสินค้าบน Bukalapak และมีการทำธุรกรรมซื้อขายไม่น้อยกว่า 2 ล้านครั้งต่อวัน

จอห์น ฟิทซ์แพทริค หัวหน้า Google Cloud Startup Program ในเขตเอเชียแปซิฟิค ได้ให้ความเห็นถึงปัจจัยที่ทำให้ สตาร์ทอัพของอินโดนิเซียประสบความสำเร็จ คือ การมีฐานผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่กระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลอย่างมาก และมีกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้สตาร์ทอัพหน้าใหม่ ๆ ยังมีโอกาสโต แม้จะมีรุ่นพี่ระดับยูนิคอร์นเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วก็ตาม

นอกจากนี้ ฟิทซ์แพทริค ยังเสริมว่า นักธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซียมี Mindset ที่ดีและพร้อมเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อโอกาสใหม่ๆเสมอ โดยไม่ยึดติดกับสูตรเดิม ๆ

"เราคงไม่เห็น Gojek ที่อัพเกรดจากแอปพลิเคชันที่มีเครือข่ายมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพียงแค่ 20 คัน กลายเป็น Super App ที่มีบริการให้ผู้ใช้งานได้เลือกถึง 24 ประเภทไม่ซ้ำกัน Traveloka คงอยู่ไม่รอดในวิกฤติ Covid-19 หากยังคงยึดติดเพียงแค่ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน และธุรกิจสตาร์ทอัพของอินโดนิเซียคงไม่เติบโตจนกลายเป็นยูนิคอร์นที่แข็งแกร่ง หากมองเพียงโอกาสแค่ตลาดในประเทศ"

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซีย จึงดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ ทั้ง Amazon, Alibaba, Tencent, Softbank หรือ Microsoft ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจที่สามารถต่อ ยอดได้ไกลทั่วภูมิภาค และยิ่งส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์ของธุรกิจสตาร์ทอัพของอินโดนิเซียยังสามารถโตได้อีกอย่างไม่จำกัด

จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอินโดนิเซียถึงได้กลายเป็นเซียนสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นในย่านอาเซียน และยังสามารถตีตลาดประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย และนี่แหละที่จะเป็นโจทย์สำคัญของไทยนับจากนี้ ในการเร่งพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพของคนไทยให้เติบโต และก้าวไปไกลกว่าในประเทศตัวเอง


อ้างอิง:

https://www.mime.asia/6-startup-unicorn-indonesia-that-you-should-know/

https://techcollectivesea.com/2021/02/22/we-take-a-closer-look-at-the-indonesian-unicorn-startups/

https://techsauce.co/news/indonesia-the-startup-ecosystem-with-the-most-unicorns-in-southeast-asia

https://greenhouse.co/blog/how-do-unicorn-startups-grow-so-fast-in-indonesia/

https://www.techinasia.com/indonesias-unicorns-achieved-hyperscale

https://www.thejakartapost.com/travel/2020/06/30/from-cooking-to-art-traveloka-xperience-expands-to-live-content.html

เศรษฐกิจในเมียนมาพังเพราะใคร..?

เป็นเวลากว่า 40 กว่าวันแล้ว ที่กองทัพเมียนมาเข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน ทางกองทัพเข้าคุมตัวนางอองซานซูจีและสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีตามมาด้วยการตอบของพรรคเอ็นแอลดีโดยการเรียกประชาชนที่สนับสนุนออกมาประท้วงทั่วประเทศ และก็ไม่เป็นเรื่องที่ยากเย็นนักที่ชาวเมียนมาผู้มีบาดแผลที่กองทัพเมียนมาในอดีตเคยกระทำ จะทำให้คนเมียนมาโกรธแค้นและพร้อมใจกันออกมาเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้นำของเขา

กลยุทธ์ทำลายเศรษฐกิจด้วยวิธีอารยะขัดขืน เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการตอบโต้กองทัพเมียนมา ด้วยการไม่ไปทำงาน ซึ่งกลายเป็นความนิยมที่คนพม่าต่างพร้อมใจในการปฏิบัติตาม แต่คนพม่าหารู้ไม่ว่า การทำอารยะขัดขืนด้วยวิธีนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เพียงธุรกิจของกองทัพเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศด้วย

การไม่ทำงานส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดอย่างไม่มีกำหนด หรือเปิดบริการได้แบบเปิด ๆ ปิด ๆ หลายบริษัท ห้าง ร้าน ไม่สามารถค้าขายสินค้าได้ แม้ในช่วงแรกเจ้าของกิจการจะร่วมมืออย่างเต็มร้อย แต่เมื่อใกล้ถึงปลายเดือน เหล่าเจ้าของกิจการได้เริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากการทำอารยะขัดขืนดังกล่าว

การอารยะขัดขืนทำให้รายรับเขาลดลง ไม่ว่าจากการที่เขาต้องปิดกิจการก็ดี ไม่มีพนักงานมาทำงานก็ดี หรือลูกหนี้ของเขาไม่จ่ายเงินเนื่องมาจากการติดขัดจากการที่ธนาคารปิดเพราะทำอารยะขัดขืนก็ดี ในขณะที่รายจ่ายเขายังคงที่ทำให้หลายๆ ธุรกิจก้าวข้ามผ่านเดือนแรกของการปฏิวัติไปอย่างทุลักทุเล เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายสิบปี หลายๆ คนถึงขั้นต้องนำเงินสำรองออกมาใช้จ่ายเพื่อพยุงธุรกิจให้ผ่านเดือนที่ผ่านมาไปได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวข้ามสู่เดือนมีนาคม เดือนที่ 2 ของการต่อสู้ หลายธุรกิจเริ่มปรับตัวได้ และเริ่มปรับกลยุทธ์แบบจ่ายเฉพาะวันที่ทำงาน หรือบางคนปรับลดการทำงานและการจ่ายเงินลงเช่นจ่ายเป็น 3 ใน 4 หรือครึ่งเดียวเป็นต้น ในขณะที่บางบริษัทยังดำเนินการเหมือนเดิมโดยการจ่ายเงินเดือนผ่านระบบ Payroll แม้ว่าธนาคารจะหาตู้กดเงินลำบากก็ตาม

ผมจำได้ว่าหลังจากรัฐประหารมาไม่กี่วัน คณะรัฐประหารออกแถลงการณ์ให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างปกติ และทุกวันนี้ยังมีการออกประกาศต่างๆ ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาจากการที่ธนาคารก็ดี หรือ ชิปปิ้งที่ทำเรื่องนำเข้าส่งออกก็ดีทำอารยะขัดขืน โดยล่าสุดก็ยกเลิกการทำเอกสาร Import License เพื่อให้ขั้นตอนการนำเข้าทำได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาการนำระบบแมนนวลกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาสินค้าติดค้างตรงชายแดน ซึ่งก็มองว่ารัฐบาลทหารมีความพยายามอย่างมากในการประคับประคองเศรษฐกิจเมียนมาที่เปราะบางใกล้จะพังเต็มที

สุดท้ายคงต้องขึ้นกับประชาชนเมียนมาว่าเขาจะมองประชาธิปไตยสำคัญกว่าปากท้องของเขาหรือไม่ เพราะสุดท้ายไม่มีระบอบไหนที่จะให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องทำงาน และเหล่าบรรดาผู้ประกอบการต่าง ๆ จะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยของเขาได้นานแค่ไหนเช่นกัน

‘เทพไท เสนพงศ์’ เท่านั้น ที่คนรัก ‘ลุงตู่’ ยอมไม่ได้!!

ความพ่ายแพ้ของตระกูล ‘เสนพงศ์’ ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย อำเภอชะอวด, อำเภอจุฬาภรณ์ เฉลิมพระเกียรติ และอำเภอพระพรหม ที่เรียกว่าเป็นฐานมั่นของพรรคประชาธิปัตย์ สุดแข็งโป๊ก ไม่เคยแพ้เลยในรอบหลายสิบปี

แต่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เทพไท เสนพงศ์ ทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคที่ครองพื้นที่เจ็บปวดมาก เช่น เขตอำเภอจุฬาภรณ์ และร่อนพิบูลย์ บ้านเกิด อดีต ส.ส. และรัฐมนตรี ชื่อชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ยึดครองมาหลายสิบปีไม่เคยพ่ายแพ้

เขตอำเภอชะอวด อดีต ส.ส. ดร.อภิชาติ การิกาญจน์ ก็ยึดครองมานาน ไม่เคยพ่ายแพ้เช่น ส่วนอำเภอพระพรหม และเฉลิมพระเกียรติ ที่มีจำนวนประชากรไม่เยอะมาก และเป็นอำเภอตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เคยพ่ายแพ้เช่นกัน งานนี้อดีต ส.ส.ชำนิ และอภิชาต หนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะมีสิทธิ์เสียพื้นที่ถาวรให้พรรคพลังประชารัฐยาว ๆ ได้

‘คบเทพไท’ จะเรียกว่าคบเด็กสร้างบ้านได้หรือไม่?

จากผลการเลือกตั้งปรากฎ อดีตนายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ‘นายอาญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ’ ชนะ ‘นายพงศ์สินธ์ เสนพงศ์’ โดยพื้นเพ นายอาญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ นั้น คนที่มีนามสกุลนี้ มีพื้นเพเป็นคนอำเภอร่อนพิบูลย์ และจุฬาภรณ์ หรือเรียกว่าเป็นคนในพื้นที่เขต 3 เลยก็ว่าได้

แต่ตระกูลเสนพงษ์ เป็นคนอำเภอเชียรใหญ่ ไม่ได้อยู่ในเขตเลือกตั้งนี้ เลยมีความเสียเปรียบในเรื่องวงศาคณาญาติอยู่พอสมควร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนพื้นเพปักษ์ใต้

...ตำนานเทพไท

เทพไท เสนพงศ์ ไม่เคยได้ลง ส.ส.ในพื้นที่บ้านเกิด อำเภอเชียรใหญ่เลย เขาเข้าการเมืองมาเพราะมีชื่อเป็นนักกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง เลยคุ้นเคยกับบิ๊กเนมในรามคำแหง อย่าง ‘วัชระ เพชรทอง’ และ ‘จตุพร พรหมพันธ์’ หรือคนอื่น ๆ ที่ดังจากรั้วรามคำแหง

ในยุคแรกเขาอยู่กับ อดีต รมช.มหาดไทย ‘ชำนิ ศักดิเศรษฐ์’ ชื่อเขาโผล่ขึ้นมาในนามบอร์ดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จนพนักงานร้องยี้ เพราะไม่เคยมีชื่อนี้ในสารบบวงการการไฟฟ้า หลังจากนั้นป้ายขนาดยักษ์ของเขาติดที่สี่แยกหัวถนน ทางเข้าตัวเมืองนครศรีธรรมราช จนชาวบ้านงงว่าเขาเป็นใคร จะมาทำอะไร เพราะมีโลโก้พรรคประชาธิปัตย์ติดไปด้วย มารู้ทีหลังว่าคน ๆ นี้ จะกลับบ้านมาลง ส.ส. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต่อมาทราบว่าพื้นที่ นครศรีธรรมราช ‘แน่นเอี๊ยด’ มีคนจับจองเต็ม ‘เทพไท’ จึงต้องตบยุงต่อไป

แต่เทพไท ก็มีวิธีลงจนได้ เพราะอดีต ‘ส.ส.ตรีพล เจาะจิตต์’ ยกพื้นที่ อำเภอทุ่งใหญ่ ให้เทพไท ‘แจ้งเกิด’ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนด้วยการมีข้อแลกเปลี่ยนให้ ตรีพล จำนวนนึง และตรีพล ไปลงสนาม ส.ว.แทน ในที่สุดเทพไท ก็ได้เป็น ส.ส. สำเร็จ แต่ ‘ตรีพล เจาะจิตต์’ แม้จะชนะเลือกตั้ง ส.ว. แต่โดนตัดสิทธิ์ เพราะลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ครบตามกำหนด เลยออกกำลังทรัพย์ กำลังแรง...ฟรี!!

...เส้นทางดังของเทพไท

เส้นทางเติบโตของ เทพไท เสนพงษ์ ในยุคลุงกำนันเป็นเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ‘เป็นใหญ่’ เทพไท ก็ไปสนิทด้วย โดยสังกัดมุ้งลุงกำนัน

ต่อมายุคนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จากการพลิกเกมส์ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาพรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ก็ถือว่าเป็นคนสนิทนายก คู่กับ นายศิริโชค โสภา ที่ได้ฉายาว่าวอลล์เปเปอร์ จนเสื้อแดงหมายหัว เมื่อมีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองแรงๆ ที่ต้องพานายกอภิสิทธ์ ไปหลบภัยในค่ายทหารราบ 11 ตัวเทพไท ก็เป็น 1 ในคนสนิทอดีตนายกอภิสิทธิ์ ที่ต้องไปหลบภัยเสื้อแดงด้วยกัน

หลังจากอภิสิทธ์ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก แต่การบริหารงานมีแต่ความอื้อฉาว เช่น นโยบายรถคันแรก นโยบายรับจำนำข้าว และ พรบ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใส จนศาลรัฐธรรมนูญต้องยับยั้ง เพราะผิดรัฐธรรมนูญ ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลับมาเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น...

นายเทพไท เสนพงศ์ ก็ดังเป็นพลุแตก จากการจัดรายการสายล่อฟ้า ทางช่องทีวีดาวเทียม ช่องบลูสกาย หรือเรียกว่าสามเกลอ ประกอบด้วย เทพไท เสนพงษ์ สส.นครศรีธรรมราช / ศิริโชค โสภา สส.สงขลา และ ชวนนท์ อินทรโกมารสุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ชื่อรายการ ‘สายล่อฟ้า’ รายการนี้เน้นวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีแฟนรายการที่ตรงข้ามรัฐบาลขณะนั้น ติดกันงอมแงม มีเนื้อหาล่อแหลม จนอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ได้ฟ้องร้องสามเกลอ เรื่อง ว.5 โฟร์ซีซัน มาแล้ว

...ยุคล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

พรรคเพื่อไทย เสนอออกกฎหมาย พรบ.นิรโทษกรรม ตอนตี 3 หรือเรียกว่ากฎหมายสุดซอย ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง จนเกิดมวลมหาประชาชน หรือ กปปส. แรก ๆ จะเห็น ส.ส.สายอภิสิทธ์ รวมทั้งเทพไท ขึ้นเวทีเป่านกหวีด พอมาระยะหลังหายหน้าหายตาไปหมด เหลือแต่สายลุงกำนัน และมีเสียงนินทามาตามหลังว่าพวกอภิสิทธิ์ไม่สู้จริง คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ หรือว่า ‘ดีแต่พูด’ นี่แหละ

...สนามเลือกตั้งปี 62

เทพไทต้องย้ายเขตจากอำเภอทุ่งใหญ่ มาเขตอำเภอชะอวด และอำเภอจุฬาภรณ์ เพราะ ส.ส.อภิชาติ การิกาญจน์ เลิกเล่นการเมือง แต่วงในว่าได้รับข้อแลกเปลี่ยนจากเทพไท ไปจำนวนหนึ่ง และการย้ายเขตครั้งนี้ มีเสียงประเมินว่าถ้าเทพไทลงเขตเดิม มีโอกาสแพ้ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐสูง เลยต้องย้ายเขตไปที่ฐานคะแนนพรรคระชาธิปัตย์แข็งโป๊ก ถึงจะช่วยได้ อย่างอำเภอชะอวด แต่ก็เจอคู่แข็งที่ไม่ธรรมดาอย่าง นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ คนอำเภอจุฬาภรณ์ แต่ดวงเทพไทยังดีเพราะเขตอำเภอจุฬาภรณ์ พรรคภูมิใจไทย ไปคว้า ร้อยโทสนั่น พิบูลย์ อดีต ส.จ.ที่ไม่เคยแพ้ใครมาได้เสียก่อน ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทย ได้ที่ 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้ที่ 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ที่ 3 ในเขตอำเภอจุฬาภรณ์

ทำให้พรรคพลังประชารัฐโดนพรรคภูมิใจไทยตัดคะแนนไปเยอะ ส่งผลดีกับนายเทพไททันที

ผลการเลือกตั้งปี 62 นายเทพไท ชนะนายอาญาสิทธิ์ไป เกือบ 5,000 คะแนน

ส่วนผลการเลือกตั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กวาดไป 5 ที่นั่ง ส่วนพรรคพลังประชารัฐ กวาดไป 3 ที่นั่ง ซึ่งไม่เคยมีพรรคไหนเขย่าบัลลังก์พรรคเก่าแก่ได้แรงขนาดนี้

...เทพไท คือ หอกข้างแครกลุงตู่

หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2557 พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และเลือก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

เทพไทเป็น ‘ฝ่ายค้านในรัฐบาล’ ตลอดเวลา 2 ปี ที่เป็น ส.ส. เลยฝากรอยแค้นให้สาวกที่เชียร์ลุงตู่ และคนในพรรคพลังประชารัฐคอยเอาคืน

ถึงเวลาเหมาะสมเทพไท ที่เทพไทยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีส่วนร่วมในการทุจริตการเลือกตั้งนายกอบจ. ที่น้องชาย คือ นายมาโนชย์ เสนพงศ์ ชนะการเลือกตั้งในอดีต เคราะห์ซ้ำกรรมซัดทั้งตระกูลเลือกตั้งซ่อม

อย่างไรเสีย คงไม่เคยมีใครคิดว่าฝ่ายรัฐบาลมาแข่งกันเองอย่างดุเดือด เอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ถึงขนาดลุงป้อม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต้องลงมาพื้นที่กระโดดขึ้นเวทีเองเลย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็เสียพื้นที่ไม่ได้ ยกทัพหลวงมาหมด บิ๊กเนมมาครบครันทีเดียว

ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ทำให้พรรคพลังประชารัฐยึดเมืองคอนได้ 4 ที่นั่ง เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ตามนโยบายคนละครึ่งของลุงตู่ แต่คนหนาว ๆ ร้อนคือ ‘พรรคสีฟ้า’ นี่แหละว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ความศรัทธาต่อลุงตู่จะส่งผลต่อการล้มของโดมิโน่ ของพรรคเก่าแก่หรือไม่ คงประมาทไม่ได้เสียแล้ว

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สร้างรอยปริในรัฐบาลหรือไม่ หรือว่าเพราะชื่อเทพไทเท่านั้น ที่สาวกลุงตู่ยอมไม่ได้ ส่วนคนอื่นยอมได้ เพราะการเลือกตั้งซ่อมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดชุมพร และสงขลา ทางพรรคพลังประชารัฐ ‘ไม่น่าส่งสู้’ เพราะชื่อ สส.ลูกหมี ‘ชุมพล จุลใส’ และ อดีตรัฐมนตรี ‘ถาวร เสนเนียม’ ใคร ๆ ก็รู้มา 2 คนนี้ นับถือนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากไม่น้อยกว่าไปกว่านับถือประธาน ชวน หลีกภัย เลย

เทพไท เสนพงศ์ โดมิโน่

ชาตินิยมจีน : ความรักชาติในแบบจีน ๆ เป็นอย่างไร ?

“ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ผ่านยุคป่วยไข้ ไม่นานผ่านไป ทยานไกลสู่อนาคต”

‘ชาตินิยม’ (nationalism) หรืออุดมการณ์รักชาติที่ทำหน้าที่สร้างชาติในรูปแบบมโนทัศน์ รวมถึงแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มมนุษย์ที่เป็นคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นการรักชาติ ภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของชาติ การนำเสนอสิ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะและการชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคุณค่าและพื้นฐานของความเป็นชาตินิยม

หากว่ากันตามทฤษฎีข้างต้นนี้ ประเทศจีนนับว่าครบเครื่องครับ เพราะนับตั้งแต่จีนปฏิรูปเปิดประเทศในปี ค.ศ.1978 จนถึงปัจจุบัน ประเทศจีนได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังหลุดพ้นจากกับดักความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างค่ายทุนนิยมและสังคมนิยม

เพราะสำหรับ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำจีนรุ่นถัดจาก ‘ประธานเหมา’ แล้ว ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอให้จับหนูได้ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี’ กล่าวคือ สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือชาติ และมันไม่สำคัญว่าจีนจะมีรูปแบบการปกครองแบบไหน (ทุนนิยมหรือสังคมนิยม) ขอแค่เป็นระบบการปกครองที่ทำให้จีนพัฒนาไปข้างหน้าก็ถือว่าเป็นระบบการปกครองที่ดี

หรือกล่าวง่าย ๆ ได้อีกว่า ทำยังไงก็ได้ให้ชาติจีนแข็งแกร่งโดยไม่เกี่ยงเรื่องวิธีการ เพื่อตอบสนองแนวคิดชาตินิยมที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจชาวจีน กลายเป็นรากฐานความคิดชาตินิยมแบบจีน ๆ ในปัจจุบัน

สำหรับผม แนวคิดชาตินิยมจีนมีพื้นฐานและขั้นตอนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนครับ

1.) ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีต

2.) ความอับอายที่เคยถูกชาวต่างชาติกดขี่

3.) ความต้องการก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจบนเวทีโลกในอนาคต

ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีต

จีนเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์และอารยะธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างเนิ่นนานหลายพันปี บรรพบุรุษหลายร้อยช่วงอายุคน ผ่านการปกครองระบบจักรพรรดิและฮ่องเต้มาทั้งหมดสิบราชวงศ์ มีปรมาจารย์นักคิดนักปราชญ์ชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็นขงจื๊อ เล่าจื๊อ เมิ่งจื๊อ หรือแม้กระทั่งซุนวู ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางอารยะธรรมในอดีตเป็นสิ่งที่คนจีนภาคภูมิใจน่าดู ก็ดูอย่างชื่อประเทศจีนสิครับ ‘中国 - จงกว๋อ’ แปลตรงตัวได้ว่า ‘ดินแดนที่อยู่ศูนย์กลาง’ คนจีนสมัยก่อนเขาเชื่อจริง ๆ ครับว่าประเทศจีนคือศูนย์กลางของจักรวาล

ความอับอายที่เคยตกต่ำ รวมถึงเคยถูกชาวต่างชาติกดขี่ในอดีต

ถึงแม้จะมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถือได้ว่าเป็น ‘ยุคป่วยไข้’ เริ่มตั้งแต่การเข้าสู่ยุคถดถอยของราชวงศ์ชิง การถูกชาวตะวันตกเข้ามา ‘มอมฝิ่น’ จนเกิดเป็น ‘สงครามฝิ่น’ ที่จีนพ่ายแพ้จนต้องเสียเกาะฮ่องกงไปเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เป็นยุคที่เสื่อมโทรม เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนอยู่อย่างอดอยาก จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยโดย ‘ก๊กมินตั๋ง’ หรือพรรคประชาธิปไตย ซึ่งก็ต้องมาขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์ เกิดสงครามกลางเมือง มีการรบพุ่งกันระหว่างคนจีนกันเองอยู่หลายศึกหลายสนามรบ หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ช่วงสงครามโลก จีนที่กำลังแย่อยู่แล้วก็ยิ่งเข้าขั้นโคม่า เมื่อถูกญี่ปุ่นเข้ารุกราน เกิดเหตุการณ์ ‘สังหารหมู่ที่นานกิง’ หรืออีกชื่อที่เรียกว่า ‘การข่มขืนนานกิง’

เมื่อฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศแพ้สงคราม กองทัพญี่ปุ่นจึงจำต้องถอนทัพกลับประเทศไป ส่วนประเทศจีนก็ยังต้องผ่านการปฏิวัติซ้ำอีกหนึ่งหนโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งก็ยังไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มิหนำซ้ำยังเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นอีก......

นี่แหละครับ ความขมขื่นของจีนที่เกิดจากการทะเลาะกันเองก็ดี ถูกต่างชาติเข้ามาเอาเปรียบก็ดี มันทำให้ชาวจีนในปัจจุบันจะไม่ค่อยไว้ใจชาวต่างชาติ (ไม่รวมไทย) โดยเฉพาะชาวตะวันตก เพราะมองว่าพวกเขาจ้องจะเข้ามาเอาเปรียบคนจีน ต้องระวังไว้

ความต้องการก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจบนเวทีโลกในอนาคต

จริง ๆ มันก็ย้อนแย้งอยู่นะครับ ภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีตและอับอายที่เคยถูกกดขี่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งสองข้อข้างต้นที่กล่าวมานั้นทำให้เกิดเป็นข้อที่สาม คือเมื่อผ่านช่วงที่ตกต่ำมาได้ ก็อยากกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เป้าหมายของจีนวันนี้ชัดเจนมากครับ จีนต้องการแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และมีความเป็นไปได้ว่าความต้องการนั้นจะกลายเป็นจริง

เมื่อไม่นานมานี้ ‘สีจิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดแห่งแดนมังกรเพิ่งประกาศชัยชนะที่มีต่อความยากจน หลังจากคนจีนร่วม 100 ล้านชีวิตพ้นขีดความยากจนขั้นร้ายแรงในช่วง 7 ปีที่มีการวางนโยบายเพื่อต่อสู้กับความยากจนตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 และล่าสุดก็เพิ่งมีประกาศโครงการใหม่ที่เรียกว่า 'Made in China 2025' จากที่เคยเป็นโรงงานของโลกสู่การเป็น ‘ศูนย์กลางการผลิตสินค้านวัตกรรมของโลก’ ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของจีนคือการก้าวเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งบนโลกยุคใหม่ภายในปี ค.ศ. 2049 ซึ่งจะเป็นเวลารอบ 100 ปีพอดีหลังจากการประกาศตั้งสาธารณะรัฐ

เห็นได้ชัดครับ ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่คนจีนรุ่นก่อนได้ผ่าน เพิ่มเติมด้วยวิธการประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อโดยภาครัฐ ทำให้คนจีนในปัจจุบันยังคงผูกพันกับคำว่า ‘ชาติ’ และพร้อมจะฉะกับใครก็ตามที่มาแหยมกับจีน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้กระทั่งเหล่าพันธมิตรชานมไข่มุกเอง ก็ล้วนเคยถูกชาวเน็ตจีนด่ากราดกันมาแล้วทั้งนั้น

ชาตินิยมแบบจีนนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่ทั้งชัดเจนและซับซ้อนในเวลาเดียวกัน การจะเข้าใจวิธีคิดแบบจีน ๆ ให้แตกฉานได้นั้นต้องย้อนมองอดีต ศึกษาปัจจุบัน และฝันในอนาคต

แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ คือ แนวคิดชาตินิยมที่หลายคนว่าเป็นแนวคิดที่ล้าหลัง แต่ในตอนนี้มันกำลังพาจีนก้าวไปข้างหน้าใช่หรือไม่?

รู้จัก Jose Alberto ‘Pepe’ Mujica Cordano ประธานาธิบดีที่ ‘จนที่สุดในโลก’

José ‘Pepe’ Mujica (โฮเซ่ อัลเบอร์โต้ เปเป้ มูฮีก้า คอร์ดาโน) เป็นอดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย (The Oriental Republic of Uruguay) หรือที่เราท่านรู้จักกันในชื่อ ‘อุรุกวัย’ ประเทศเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาใต้ มีพรมแดนติดกับอาร์เจนตินาทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ และบราซิลทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแม่น้ำ Río de la Plata (แม่น้ำเงิน: Silver River) อยู่ทางทิศใต้ และมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

อุรุกวัยมีประชากรประมาณ 3.51 ล้านคน ซึ่ง 1.8 ล้านคนอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘กรุงมอนเตวิเดโอ’ ด้วยพื้นที่ทั้งประเทศประมาณ 176,000 ตารางกิโลเมตร (68,000 ตารางไมล์)

อุรุกวัยเป็นผู้ส่งออก ขนสัตว์, ข้าว, ถั่วเหลือง, เนื้อวัวแช่แข็ง, มอลต์ และนมที่สำคัญระดับโลก ส่วนพลังงานไฟฟ้าในประเทศเกือบ 95% มาจากพลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนใหญ่ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำและพลังลม

อุรุกวัยเป็นประเทศที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปอเมริกาใต้ รองจากซูรินาม แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุด เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดประเทศหนึ่งในลาตินอเมริกา และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นอันดับ 6 ของโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศส่งออกเนื้อรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก จำนวนประชากรปัจจุบันประมาณ 3.5ล้านคน GDP ต่อคน $24,516 (ราว 754,357.32 บาท) อันดับที่ 59 ของโลก

นอกจากนี้ อุรุกวัยยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางสังคมมากที่สุดในละตินอเมริกา โดยได้รับการจัดอันดับสูงในมาตรการด้านสิทธิส่วนบุคคล ความอดทน และปัญหาการในการรวมกลุ่ม รวมถึงการยอมรับ LGBT ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก (ดัชนีการเดินทาง LGBT ในปี พ.ศ. 2563) ประชาคมนักเศรษฐศาสตร์ให้ฉายาอุรุกวัยว่า ‘ประเทศแห่งปี’ ในปี พ.ศ. 2556 จากนโยบายการผลิต การขาย และการบริโภคกัญชาอย่างถูกกฎหมาย การแต่งงานเพศเดียวกัน และการทำแท้งก็เป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย

รู้จักอุรุกวัย กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้มารู้จักกันคนที่เราจะพูดถึงกันอย่าง José Mujica บ้าง เขาเกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2478) เป็นชาวนา และนักการเมืองที่เกษียณแล้ว โดยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 40 ของอุรุกวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึง 2558 (ค.ศ. 2010 ถึงปี 2015) เป็นอดีตสมาชิกขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปีในช่วงเผด็จการทหารระหว่างทศวรรษ 1970 และ 1980 เป็นสมาชิกของกลุ่มแนวร่วมฝ่ายซ้าย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงปศุสัตว์ การเกษตร และการประมง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึง 2551 และเป็นวุฒิสมาชิกในเวลาต่อมา ในฐานะผู้สมัครของพรรค Broad Front เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2552 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ขณะที่เป็นสมาชิกของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros Mujica ถูกจับกุมถึง 4 ครั้ง และหลบหนีจากเรือนจำได้หลายครั้ง ขณะถูกคุมขัง Mujica มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพจิต หลังจากการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยหลายปีต่อมา Mu-jica และสมาชิกของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros จำนวนมากได้เข้าร่วมองค์กรฝ่ายซ้ายอื่นๆ เป็น ขบวนการพลเมืองมีส่วนร่วม (Movement of Popular Participation : MPP) เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีพรรคที่ Mujica สังกัดคือ พรรค Broad Front ร่วมอยู่กับ MPP ด้วย

ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2537 Mujica ได้คะแนนเป็นอันดับสอง และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2542 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากส่วนหนึ่งด้วยความสามารถของ Mujica และ MPP ยังคงได้รับความนิยม จนคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในปี พ.ศ. 2547 ได้กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ในการเลือกตั้งในปีนั้น Mujica ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสภาอีกครั้งและ MPP ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 300,000 เสียง จึงมีพลังทางการเมืองในอันดับต้น ๆ เป็นแนวร่วมและเป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังชัยชนะของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก Tabaré Vázquez

วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2548 ประธานาธิบดี Tabaré Vázquez ได้แต่งตั้ง Mujica เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ปศุสัตว์ การเกษตร และการประมง (พื้นหลังอาชีพของ Mujica อยู่ในภาคเกษตรกรรม) เมื่อมาเป็นรัฐมนตรี Mujica จึงได้ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา เขาดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งมีการปรับคณะรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2551 และ Mujica ก็กลับไปนั่งในวุฒิสภาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น Mujica ก็ได้รับเลือกเป็นตัวแทน MPP ในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งครั้งต่อมา และMujica ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2552

ปกติจะเป็นเรื่องที่บ่นกันทั่วไปว่า วิถีชีวิตของนักการเมืองได้ถูกลบออกไปจากเขตเลือกตั้งของพวกเขา แต่ไม่ใช่ในอุรุกวัย ซึ่งประธานาธิบดี Mujica ผู้อาศัยอยู่ในบ้านไร่ ซักผ้านอกบ้าน และใช้น้ำจากบ่อ สนามหญ้าที่รกครึ้มไปด้วยวัชพืช มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย และ Manuela สุนัขสามขาของประธานาธิบดี Mujica คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งอุรุกวัย ประธานาธิบดี José Mujica ซึ่งมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากผู้นำระดับโลกคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

ประธานาธิบดี Mujica เลี่ยงที่จะพักในบ้านหรูหรา (ทำเนียบประธานาธิบดี) ที่ทางการอุรุกวัยจัดสำหรับผู้นำประเทศ โดยเลือกที่จะอยู่ที่บ้านไร่ของภรรยาซึ่งอยู่ริมถนนลูกรังนอกเมืองหลวง กรุงมอนเตวิเดโอ ด้วยวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ และการที่ประธานาธิบดี Mujica บริจาคเงินประมาณ 90% ของเงินเดือนต่อเดือนของเขา ซึ่งคิดเป็นเงินราว 12,000 ดอลลาร์ (360,000 บาท) ให้กับองค์กรการกุศล จึงทำให้ประธานาธิบดี Mujica ถูกระบุว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก

จากคำบรรยายของสื่อว่า ประธานาธิบดี Mujica อาศัยอยู่ในบ้านไร่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ “ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาเกือบตลอดชีวิต” ประธานาธิบดี Mujicaกล่าวขณะนั่งบนเก้าอี้เก่า ๆ ในสวน โดยใช้เบาะรองนั่งที่ Manuela สุนัขสามขาโปรดปราน “ผมอยู่ได้ด้วยดีกับสิ่งที่ผมมี” การบริจาคเพื่อการกุศลของประธานาธิบดี Mujica แก่คนยากจนและผู้ประกอบการรายย่อย หมายความว่า เงินเดือนที่เหลือของเขานั้นใกล้เคียงกับรายได้เฉลี่ยของชาวอุรุกวัยที่ 775 ดอลลาร์ (23,250 บาท) ต่อเดือน

ในปี พ.ศ. 2553 การประกาศบัญชีทรัพย์สินประจำปีของประธานาธิบดี Mujica ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับนักการเมืองในอุรุกวัย คือ 1,800 ดอลลาร์ (54,000 บาท) ซึ่งเป็นมูลค่าของรถยนต์ Volkswagen Beetle ปี พ.ศ. 2530 ของเขา ในปีนี้เองเขาได้เพิ่มทรัพย์สินของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถแทรกเตอร์ และบ้าน มูลค่า 215,000 ดอลลาร์ (6,450,000 บาท) นั่นเป็นเพียงประมาณสองในสามของบัญชีทรัพย์สินที่ประกาศของรองประธานาธิบดี Danilo Astori และหนึ่งในสามของตัวเลขที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Tabare Vasquez ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่ประธานาธิบดี Mujica ดำรงตำแหน่งสืบต่อมา

โดย ประธานาธิบดี Mujica กล่าวว่า หลายปีที่ถูกจองจำช่วยเรื่องมุมมองในชีวิตของเขา “ผมถูกเรียกว่า 'ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุด' แต่ผมไม่รู้สึกยากจน คนจนคือคนที่ทำงานเพื่อพยายามรักษาวิถีชีวิตที่มีราคาแพง และต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ” ประธานาธิบดี Mujica กล่าว “นี่เป็นเรื่องของอิสรภาพ หากคุณไม่มีทรัพย์สินมากมาย คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดชีวิตเยี่ยงทาสเพื่อรักษาชีวิตที่หรูหราหรือเพิ่มพูนทรัพย์สินให้มากขึ้นและมากขึ้น ดังนั้นคุณจึงมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น” ประธานาธิบดี Mujica กล่าวเสริม

“ผมอาจดูเหมือนชายชราที่แปลกประหลาด...แต่นี่เป็นทางเลือกที่ไม่ไม่มีค่าใช้จ่าย” อดีตผู้นำอุรุกวัยได้กล่าวถึงการประชุมสุดยอด Rio + 20 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 ว่า “เราคุยกันตลอดบ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้มวลชนหลุดพ้นจากความยากจน แต่เรากำลังคิดอะไรอยู่ เราต้องการรูปแบบการพัฒนาและการบริโภคของประเทศที่ร่ำรวยหรือ ผมขอถามคุณตอนนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ถ้าชาวอินเดียจะมีรถยนต์ต่อครัวเรือนในสัดส่วนที่เท่ากันหรือมากกว่าชาวเยอรมัน? “โลกใบนี้มีทรัพยากรเพียงพอต่อการที่ประชากรเจ็ดหรือแปดพันล้านจะมีการบริโภคและมีของเสียในระดับเดียวกับที่เห็นในสังคมที่ร่ำรวยในปัจจุบันหรือไม่ มันคือระดับการบริโภคที่มากเกินไปจนทำร้ายโลกของเรา” ประธานาธิบดี Mujica กล่าวโทษต่อผู้นำของโลกส่วนใหญ่ว่ามี “ความหมกมุ่นอย่างมืดบอดเพื่อให้มีความเจริญเติบโตด้วยการบริโภคราวกับว่า หากทำตรงกันข้ามจะหมายถึงจุดจบของโลก”

แต่แม้จะมีช่องว่างของความแตกต่างขนาดใหญ่ระหว่างประธานาธิบดี Mujica ผู้เป็นมังสวิรัติกับผู้นำคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองที่ต้องเผชิญทั้งในยามรุ่งโรจน์และในยามที่ตกต่ำ “หลายคนเห็นอกเห็นใจประธานาธิบดี Mu-jica ด้วยเพราะวิถีชีวิตของเขา แต่สิ่งนี้ไม่ได้หยุดประธานาธิบดี Mujica จากการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่” อิกนาซิ โอซัวนาบาร์ นักสำรวจความคิดเห็นชาวอุรุกวัยกล่าว

ฝ่ายค้านอุรุกวัยกล่าวว่า ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาของประเทศไม่ได้ส่งผลให้บริการสาธารณะด้านสุขภาพและการศึกษาดีขึ้น และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การเลือกตั้งของประธานาธิบดี Mujicaในปี พ.ศ. 2552 ที่คะแนนนิยมของเขาลดลงต่ำกว่า 50% ในปี พ.ศ. 2555 ประธานาธิบดี Mujica ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน อันเนื่องจากความขัดแย้งกันสองครั้ง โดยรัฐสภาของอุรุกวัยได้ผ่านร่างกฎหมายที่ทำให้การทำแท้งถูกต้องตามกฎหมายสำหรับการตั้งครรภ์นานถึง 12 สัปดาห์ ซึ่งแตกต่างจากฉบับก่อนซึ่งเขาเสนอ และประธานาธิบดี Mujica เองก็ไม่ได้ใช้สิทธิยับยั้ง

ประธานาธิบดี Mujica ยังอภิปรายสนับสนุนเกี่ยวกับการบริโภคกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในร่างกฎหมายที่จะทำให้รัฐมีการผูกขาดการค้ากัญชา “การบริโภคกัญชาไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลที่สุด การค้ายาเสพติดต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง” เขากล่าว

อดีตประธานาธิบดีอุรุกวัย José Mujica ได้ปฏิเสธเงินบำนาญ เมื่อเข้าสู่การเกษียณอายุโดยสมัครใจในวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ชายวัย 83 ปีที่เข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในปี พ.ศ. 2558 ก่อนสิ้นสุดวาระในปี พ.ศ. 2563 และได้เลือกที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนด อันเนื่องจากความเหนื่อยล้า แม้ว่าวาระของอดีตประธานาธิบดี Mu-jica จะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2563

อดีตประธานาธิบดี Mujicaได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดของโลก อันเนื่องจากวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งทำมาก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ระหว่างดำรงตำแหน่งอดีตประธานาธิบดี Mujica บริจาคเงิน 90% จากรายได้ 12,000 ดอลลาร์ต่อเดือน และปฏิเสธที่จะอาศัยอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี โดยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านไร่ของเขาและภรรยาต่อไป ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเขาคือ รถยนต์เต่า Volkswagen สีฟ้า

ซึ่งเขาได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อรถคันนี้ด้วยเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2557 โดยกล่าวว่า ยังต้องใช้รถเพื่อรับส่งสุนัขสามขาตัวโปรด อดีตประธานาธิบดี Mujica สมรสกับ Lucia Topolansky รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอุรุกวัยในปี พ.ศ. 2548 ภารกิจในตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดี Mujica ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การลดระดับความยากจน ซึงอดีตประธานาธิบดี Mujica สามารถลดลงได้จากอัตรา 40% เป็น 13%

‘พายุฤดูร้อน’ วาตภัยที่มาพร้อมกับความชื่นฉ่ำ พร้อมต่อลมหายใจให้กับเกษตรกร

ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อนเต็มตัว โดยในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้ประเทศไทยสิ้นสุดฤดูหนาว และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในวัน 27 กุมภาพันธ์ 2564 และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงที่สุด สิ่งที่มักจะคุ้นและได้ยินบ่อย ๆ ที่มาคู่กับฤดูร้อน ก็คือ ‘พายุฤดูร้อน’ ครับ

แน่นอนว่าพายุฤดูร้อน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเป็นพายุที่เกิดในฤดูร้อน โดยในวันนี้ผมเลยอยากพามาทำความรู้จักพายุนี้กันครับ

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันก่อนว่าประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น พายุที่เกิดในประเทศไทยก็จะได้แก่ พายุที่เกิดในช่วงฤดูมรสุมหน้าฝน โดยแบ่งตามความเร็วของลมที่หมุนรอบจุดศูนย์กลางของพายุดังนี้...

พายุดีเปรสชั่น (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางน้อยกว่า 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

พายุโซนร้อน (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 63 - 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

พายุไต้ฝุ่น (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางมากกว่า 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

และ พายุที่เกิดในฤดูร้อน คือ ‘พายุฤดูร้อน’ ซึ่งความเร็วลมจะขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอุณหภูมิของมวลอากาศร้อนและเย็นที่มาปะทะกัน

สำหรับลักษณะการเกิดของพายุฤดูร้อนนั้น จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีขนาดรัศมีของพายุ หรือกินพื้นที่ไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับพายุในฤดูฝน และมักจะเกิดในช่วงระยะเวลาที่สั้น แต่จะมีความรุนแรงของลมค่อนข้างสูง โดยก่อนเกิด อากาศในบริเวณนั้น จะมีความร้อนหรืออุณหภูมิที่สูง

ส่วนสาเหตุของการเกิดพายุฤดูร้อนนั้น เกิดจากการที่อากาศมีความร้อนสูง หรือที่เราคุ้นเคยเวลากรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ‘ความกดอากาศต่ำ’ (เนื่องจากอากาศมีความเบาบางน้อยทำให้มีแรงกดลงมายังพื้นผิวโลกต่ำ) ในขณะเดียวกันก็มีความชื้นที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้ พัดเอาไอน้ำหรือความชื้นมาจากแถบทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย ในระหว่างที่มีความร้อน หรือความกดอากาศต่ำมาก ๆ แล้วมีความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็น (เนื่องจากอากาศมีความหนาแน่นมากทำให้มีแรงกดลงมายังพื้นผิวโลกสูง) แผ่ลงมาจากแถวประเทศจีน ซึ่งเป็นด้านบนของประเทศไทย เมื่ออากาศเย็นมาปะทะกับอากาศร้อน (ลักษณะพิเศษของอากาศร้อน คือ มีมวลเบากว่าเมื่อเทียบกับอากาศเย็น) ก็จะลอยขึ้นสู่ข้างบน

ในขณะเดียวกันอากาศเย็น ก็วิ่งเข้ามาแทนที่ ทำให้เกิดลมที่รุนแรง ถ้าเรามองภาพไม่ออก ลองนึกถึงตอนที่เกิดไฟไหม้น่ะครับ บางที่จะเห็นว่าก่อนเกิดไฟ ลมจะนิ่งสงบ แต่เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะเห็นว่ามีลมพัดเข้ามาโหมกระหน่ำให้ไฟลุกมากขึ้นทุกที เพราะอากาศที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่เกิดไฟจะร้อน และทำให้ลอยตัวขึ้นสู่ด้านบน ในขณะเดียวที่อากาศเย็นจะวิ่งเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้เกิด ‘ลม’

ส่วนความรุนแรงของลมจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างมวลของอากาศเย็นและอากาศร้อนที่วิ่งเข้ามาปะทะกัน ถ้าแตกต่างกันมาก ลมก็จะรุนแรงมากตามไปด้วย ประกอบกับในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีความชื้นที่พัดเข้ามาจากอ่าวไทย และทะเลจีนใต้ด้วยพอดี พอความชื้นเจออากาศเย็น ก็ทำให้เกิดการกลั่นตัวลงมาเป็นน้ำฝน และเมื่อครบองค์ประกอบเหล่านี้ ก็จะทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่มีความเร็วลมที่แรง แต่ก็จะกินพื้นที่ไม่ค่อยมากเท่าไรนัก โดยส่วนมากจะเกิดในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน

ทั้งนี้ข้อเสียของ พายุฤดูร้อน คือ ความรุนแรงของลม ที่ทำให้เกิดความเสียหายกับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ แล้ว ยังมีข้อดี คือ ‘การพัดพาเอาฝนมาตกในช่วงฤดูแล้ง’ ทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในช่วงหน้าแล้ง มีผลผลิตที่ดี โดยเฉพาะพืชที่ปลูกในหน้านี้มักจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย คือ อ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่น

การเกิดของพายุฤดูร้อนในประเทศไทยจึงเป็นการมาเติมน้ำ และต่อลมหายใจในการปลูกพืชให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะปีไหนที่มีพายุฤดูร้อนเข้ามามาก ผลผลิตของพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ก็มักจะได้ผลดีตามไปด้วย ตรงกันข้ามถ้าปีไหนมีพายุฤดูร้อนเข้ามาน้อย ผลผลิตก็จะลดลงน้อยด้วย

นอกจากนี้การเกิดฝนในช่วงหน้าแล้งก็ยังส่งผลให้ลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้เป็นอย่างมากได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นของดีของประเทศไทยที่มีชัยภูมิตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่มีความเหมาะสม ทำให้เกิดฝนในช่วงฤดูแล้ง อันเนื่องมาจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชในฤดูแล้งได้ด้วยนั่นเอง

รู้จัก Land Bridge ใต้บริบทแห่งการขนส่งสินค้าในอดีต

วีคนี้จึงมาขอมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Land Bridge กันสักหน่อยว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง...

Land Bridge หรือแปลเป็นไทยว่า ‘สะพานแผ่นดิน’ เดิมเป็นคำศัพท์ทางชีวภูมิศาสตร์ หมายถึง พื้นที่ที่เป็น ‘คอคอด’ ซึ่งเชื่อมแผ่นดินขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน และใช้เป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ เช่น พื้นที่ประเทศปานามาที่เชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปอเมริกาใต้

ต่อมาเริ่มมีการใช้คำนี้ในทางคมนาคม คือ เส้นทางทางบก เพื่อใช้เชื่อมโยงระหว่างทะเลหรือมหาสมุทร แทนการใช้การขนส่งทางทะเล

ในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น มักจะใช้กับการขนส่งทางบกในระยะทางที่ไม่ไกล เนื่องจากระบบการขนส่งทางบกยังไม่พัฒนา สภาพเป็นทางเกวียนหรือเส้นทางธรรมชาติเป็นหลัก ส่งผลให้ใช้เวลาเดินทางนานและขนส่งได้น้อย เพราะข้อจำกัดของสภาพถนนและยานพาหนะ ทำให้ต้นทุนการขนส่งทางบก สูงกว่าการขนส่งทางทะเลที่ระยะทางไกลกว่า

เมื่อมีการพัฒนาระบบรถไฟหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งทางบกลดต่ำลง เพราะสามารถขนสินค้าได้ครั้งละจำนวนมากและทำความเร็วได้ดีกว่าเดิม เส้นทาง Land Bridge จึงมีระยะทางยาวขึ้น

ในช่วงปี 1880 มีโครงการแรกที่ถือได้ว่าเป็น Land Bridge สมัยใหม่ที่ใช้การขนส่งระบบราง คือ เส้นทาง Canadian Pacific Railway ที่เชื่อมโยงสองฝั่งของประเทศแคนาดา เนื่องจากช่วงนั้นมีการนำเข้าสินค้าราคาสูง เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ ชา จากเอเชียไปยังยุโรป โดยวิธีเดิมคือการขนส่งทางเรืออ้อมทวีปแอฟริกาหรืออ้อมทวีปอเมริกาใต้

แต่การใช้เส้นทางนี้ ช่วยร่นระยะทางด้วยการขนส่งข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วขึ้นฝั่งทางตะวันตกของแคนาดาและขนส่งสินค้าทางรถไฟ เพื่อไปยังท่าเรือทางตะวันออกของประเทศ แล้วขนส่งสินค้าทางเรือต่อไปยังยุโรป

อย่างไรก็ตามเส้นทางขนส่งสินค้านี้ ได้รับความนิยมอยู่ประมาณ 40 ปี ก็กลับไปใช้การขนส่งทางทะเล เพราะมีการขุดคลองสุเอชและคลองปานามาที่ช่วยลดระยะเวลาในการเดินเรือ แต่เมื่อคลองสุเอชและคลองปานามา มีข้อจำกัดทางการใช้งานและปัญหาทางการเมือง การขนส่งสินค้าทาง Land Bridge ของอเมริกาเหนือ ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

จากตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นได้ว่า การเลือกเส้นทางการขนส่งสินค้ามีปัจจัยประกอบหลายด้าน ทั้งในด้านเทคโนโลยีการขนส่ง ความสามารถของคู่แข่ง หรือรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีระยะเวลาคืนทุนหลายสิบปี จึงควรพิจารณาให้รอบคอบเพราะเหตุการณ์ในอนาคตอาจไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้


ที่มา:

https://transportgeography.org/contents/applications/transcontinental-bridges

https://www.britannica.com/science/land-bridge


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top