Saturday, 19 July 2025
COLUMNIST

‘Danuta Danielsson’ หญิงกับกระเป๋าถือ ตำนานการต่อต้าน ‘Neo-Nazi’ สุดบันลือโลก


สติกเกอร์ซึ่งทำขึ้นโดย Civil Woke ศิลปินล้อเลียนการเมือง ราคาชิ้นละ $4.28

เมื่อหญิงคนหนึ่งก้าวออกจากฝูงชนในเมือง Växjö ของสวีเดน ในวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ (ค.ศ. 1985) แล้วใช้กระเป๋าถือของเธอฟาดเข้าที่ศีรษะของสมาชิก Neo-Nazi ที่โบกธงของพรรค Nordic Reich ซึ่ง Hans Runnesson ช่างภาพ สามารถจับภาพได้ทันที ทำให้ภาพถ่ายดังกล่าวโด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภาพนี้ก็ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในภาพสัญลักษณ์ของการต่อต้านลัทธิ Neo-Nazi

 

ธงของพรรค The Nordic Realm (พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๕๒)

ภาพถ่ายถูกถ่ายระหว่างการชุมนุมวงเล็ก ๆ ของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค The Nordic Realm (ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวา นิยมลัทธิ Neo-Nazi และหมดสภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒) เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งได้รับการอนุมัติของทางการแล้ว ผู้จัดการชุมนุมได้วางแผนที่จะจัดขึ้นหลังจากสิ้นสุดการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะโดยนาย Lars Werner หัวหน้าพรรคซ้าย-คอมมิวนิสต์ ใจกลางเมือง Växjö จนเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างผู้สนับสนุนพรรคซ้าย-คอมมิวนิสต์ กับพวก Neo-Nazi เริ่มต้นขึ้นก่อนเริ่มการชุมนุม




Hans Runnesson ช่างภาพผู้ถ่ายภาพนี้

ภาพถ่ายของ Runnesson ภาพนี้ถูกตีพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ Dagens Nyheter ของสวีเดน และในวันที่ ๑๕ เมษายนโดยหนังสือพิมพ์อังกฤษสองฉบับ คือ The Times และ The Daily Express ยังมีภาพถ่ายภาพอื่น ๆ ที่ถ่ายโดย Runnesson แสดงให้เห็นถึงสมาชิก Neo-Nazi 10 คน ซึ่งถูกไล่ล่า ขว้างปาด้วยไข่ และการเผชิญหน้าอย่างดุเดือดโดยฝูงชน ที่ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมหลายร้อยคนในการชุมนุมพรรคซ้าย-คอมมิวนิสต์ ซึ่งเข้าร่วมโดยชาวเมือง Växjö ในท้องถิ่น หนึ่งในพวก Neo-Nazi ถูกเตะจนหมดสติล้มลงกับพื้น จากนั้นผู้ประท้วงคนหนึ่งก็ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ในที่สุดนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดก็ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำของสถานีรถไฟ ๒-๓ ชั่วโมง จนกระทั่งตำรวจเข้ามาพาพวกเขาออกไป

ภาพนี้ได้รับเลือกให้เป็นภาพแห่งปีของสวีเดน (Årets bild) พ.ศ. ๒๕๒๘ (ค.ศ. 1985) และต่อมาเป็นภาพแห่งศตวรรษโดยนิตยสาร Vi และสมาคมประวัติศาสตร์การถ่ายภาพแห่งสวีเดน ภาพถ่ายถูกจัดพิมพ์โดยแกลเลอรีภาพ Pelle Unger AP สามชุด และ PP สามชุด ในขนาด ๕๘ x ๘๐ เซนติเมตร (๒๓ นิ้ว × ๓๑ นิ้ว) และมีราคาอยู่ระหว่าง ๒,๐๐๐ ถึง ๓,๘๐๐ ยูโร (ราคา ณ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓)

‘LGBTQ+’ ตรวจสุขภาพเฉพาะทางได้ที่ไหนบ้าง มาดูกัน!!

เนื่องจากเดือนมิถุนายนของทุกปีถือเป็น Pride Month สำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ+ ซึ่งปัจจุบันมีการรณรงค์สนับสนุนความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจในตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพนับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคนรวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
การตรวจสุขภาพ คือ การตรวจร่างกายในภาวะที่ร่างกายเป็นปกติดี ไม่มีอาการเจ็บป่วย โดยมีวัตถุประสงค์ในการค้นหาปัจจัยเสี่ยงและภาวะผิดปกติ เพื่อให้ทราบแนวทางป้องกันการเกิดโรคร้ายแรง ในทุกช่วงอายุควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ ซึ่งสามารถเลือกตรวจสุขภาพประจำปีกับโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนก็ได้

>> การตรวจสุขภาพในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
มุ่งเน้นไปที่การตรวจร่างกายทั่วไป (ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง) เพื่อค้นหาความผิดปกติ ประเมิน การเจริญเติบโตตามวัย และเฝ้าระวังด้านพัฒนาการ รวมไปถึงการรับวัคซีนต่าง ๆ ตามกำหนดเวลา เพื่อป้องกันการเกิดโรค



>> การตรวจสุขภาพในกลุ่มวัยทำงาน
สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 - 60 ปี โดยการซักประวัติเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรค โดยเฉพาะในกลุ่มที่ครอบครัวเคยมีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ประกอบกับการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต เพื่อช่วยในการคัดกรองภาวะเสี่ยงของโรค ซึ่งควรตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง


 

- ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจการได้ยินปีละ 1 ครั้ง
- แบบประเมินสภาวะสุขภาพ เช่น ภาวะซึมเศร้า การใช้ยาและสารเสพติด การดื่มแอลกอฮอล์ การติดนิโคตินในผู้สูบบุหรี่ เป็นต้น
- การตรวจตา สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจวัดสายตาและตรวจคัดกรองโรคต้อหิน ภาวะความดันลูกตาสูง และความผิดปกติอื่นๆ โดยทีมจักษุแพทย์ อย่างน้อย 1 ครั้ง
- การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest x-ray) โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หรือมีอาการสงสัยว่าเป็นวัณโรคและมะเร็งปอด
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ช่วยคัดกรองภาวะโลหิตจางหรือความผิดปกติอื่นของเม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือด

‘Lord West’ แห่ง Spithead ส่งคำเตือนถึงกองทัพอังกฤษว่า ‘อ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องประเทศจากผู้รุกรานได้’

 

ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งมักเอ่ยอ้างว่า การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการรักษาอธิปไตยของชาติไม่จำเป็นแล้ว ด้วยสมัยนี้ไม่มีใครรบกันแล้ว แต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนจนกลายเป็นสงคราม ทำให้สังคมต้องกลับมาคิดทบทวนถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อม ทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ สำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ดังที่อดีตผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษได้กล่าวเตือนรัฐบาลอังกฤษในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) ได้กล่าวเตือนว่า กองทัพของสหราชอาณาจักรอ่อนแอเกินกว่าที่จะป้องกันประเทศในกรณีที่เกิดความขัดแย้งที่ต้องมีการใช้กองกำลังติดอาวุธ จากการประเมินของ Lord West แห่ง Spithead ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙ ได้เน้นย้ำถึงการเพิ่มงบประมาณทางทหารที่ไม่เพียงพอ อันเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานาน โดยเขาบอกว่า งบประมาณในปัจจุบันนั้น "น้อยเกินไป"

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙

Lord West กล่าวว่า 'อาจจะ' เกิดสงครามขึ้นได้ในอนาคต แต่กองทัพอังกฤษ 'ขาดอุปกรณ์และกำลังพลในระดับที่จะทำให้ประเทศมีความมั่นคง' เขากล่าวในฐานะสมาชิกสภาขุนนาง (House of Lords) ในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร (UK Parliament) ณ พระราชวัง Westminster ในขณะที่มีการถกเถียงกันในรัฐสภาถึงผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครนหลังจากการบุกของรัสเซีย ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น


Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อดีตร้อยเอกแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งจบจากราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อดีตร้อยเอกแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งจบจากราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst ได้ประกาศว่า กองทัพอังกฤษจะมีการลดกำลังทหารลง ๑๐,๐๐๐ นาย โดยอ้างว่า เทคโนโลยีใหม่มี 'ผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยเพราะกำลังพลเพียงไม่กี่นายก็สามารถควบคุมปฏิบัติการทางทหารได้แล้ว' ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการสั่นคลอนครั้งใหญ่ต่อกองทัพอังกฤษ รัฐมนตรีกลาโหม Wallace ยังกล่าวด้วยว่า กำลังทหารของกองทัพบกอังกฤษโดยรวมจะลดลงเหลือ ๗๒,๕๐๐ นาย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว

Lord West ขณะแถลงในรัฐสภา ด้วยฐานะสมาชิกแห่งสภาขุนนาง (House of Lords)

Lord West แถลงในรัฐสภาว่า “แม้จะมีความตั้งใจในทุกรูปแบบ แต่งบประมาณในการป้องกันประเทศก็ยังขาดแคลนซึ่งเป็นมาหลายปีแล้ว และเมื่อมองต่อไปยังอนาคต การขาดแคลนงบประมาณก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยสมมติฐานที่ว่า ‘เป็นการประหยัดที่มีประสิทธิภาพ’ ซึ่งเป็นเรื่องที่โกหกหลอกลวง เพราะการประหยัดที่มีประสิทธิภาพไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และไม่มีจริง การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการป้องกันประเทศอย่างชัดเจนเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับรัฐบาลในสังคมของเราที่อบอุ่นและมั่นคง แต่เหตุผลที่เราสามารถอยู่ในสังคมที่อบอุ่นและมั่นคงได้ ก็เพราะว่าเราใช้จ่ายงบประมาณในการป้องกันประเทศ” 

“คำกล่าวที่ว่า สงครามไม่ได้แพ้ชนะกันในสนามรบ แต่แพ้ชนะกันด้วยการสร้างขีดความสามารถทางการทหารไว้ล่วงหน้า นั้นเป็นความจริง โดยเฉพาะเมื่อศัตรูสังเกตเห็น ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมไม่ให้เกิดสงคราม ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณ”


“พวกเราหลายคนได้เคยเตือนถึงการขาดแคลนงบประมาณที่เรื้อรังต่อเนื่องมายาวนาน แต่เราได้รับการบอกตอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ‘เราคิดผิด’ ซึ่งความจริงก็คือกองกำลังติดอาวุธของเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะป้องกันประเทศจากสงครามได้...และหากมีสงคราม เกรงว่า สักวันพวกเขาอาจจะขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลในระดับที่จะให้ประเทศของเราปลอดภัย และกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศในปัจจุบันของเรามีขนาดเล็กเกินไป พวกเขาขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้เพียงพอสำหรับอัตราการใช้ในสงครามที่จะสูงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การลดขนาดของกองทัพเป็น ‘ขั้นตอนที่เร็วเกินไป’ ” Lord West กล่าวในรัฐสภา

จิบชายามบ่าย ปัง ๆ สไตล์ผู้ดีอังกฤษ บนโรงแรมห้าดาวสุดหรูใจกลางกรุงเทพ

สายจิบชามาทางนี้! วันนี้บอสจะพาไปจิบชายามบ่ายแบบหรูหราปัง ๆ บนโรงแรมห้าดาวอย่าง Siam Kempinski Hotel Bangkok กับ Afternoon Tea ที่ หนุมานบาร์ (Hanumanbar) Afternoon Tea ที่ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ เป็นอีกหนึ่งบาร์ชายามบ่ายที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ บวกกับได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มชาแบบผู้ดีอังกฤษทั้งทางด้านรสชาติ และบรรยากาศรอบๆที่สบาย ๆ บวกกับเสียงดนตรี รู้สึกเหมือนนั่งจิบชาอยู่ที่สวนดอกไม้ สำหรับใครที่เป็นสายชอบดื่มชากับทานขนม แนะนำที่นี่ให้เป็นหนึ่งในชุดน้ำชายามบ่าย และตอนนี้เป็นช่วง Special กับSummery Dream Afternoon Tea – Limited Edition Tea

เปิดทุกวัน : 2PM - 5AM (สำหรับ Summery Dream Afternoon Tea ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2565)
คะแนนสำหรับที่นี่
ราคา 8.5/10  
บรรยากาศ 9/10 
การบริการ 8.5/10

บรรยากาศที่นั่งหน้าบาร์ที่หันหน้าเข้าหาโถงของโรงแรม

หนุมานบาร์ (ขึ้นมาจากที่จอดรถจะอยู่ด้านซ้ายมือ)

โรงแรมตกแต่งด้วยดอกไม้โทนชมพู ม่วง

ตู้เค้กด้านหน้าบาร์ แต่ละอันน่ากินมาก เห็นแล้วอยากสั่งทุกอันเลย

ฟังดนตรีไป จิบชาไป

เมนูชา และ Afternoon tea ของเราวันนี้

เราสั่งชาเป็นอารมณ์ Mixed Fruit รสชาติหอมเบอร์รี่มาก

เปิดเที่ยวบินประวัติศาสตร์ พาเด็กไทยกลับไปศึกษาต่อจีน ภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตลอดช่วง 2 ปี

นับเป็นอีกความสำเร็จของกลุ่มเด็กไทย ภายใต้การร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ, เอกชน, สมาคมนักเรียนไทย-จีน รวมถึงบรรดานักเรียนและผู้ปกครอง ที่รวมพลัง #พาเด็กไทยกลับจีน ตลอด 2 ปีหลังร่วมต่อสู้กันอย่างมีความหวัง เพื่อให้เด็กทุกคนได้กลับไปศึกษา ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้ง

เพราะอย่างที่ทราบดีว่าปัจจุบันมีนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาต่อที่ประเทศจีน ประสบปัญหายังกลับไปเรียนไม่ได้มีจำนวนมาก ซึ่งความยากลำบากที่นักเรียน/ นักศึกษากลุ่มนี้ต้องประสบ ก็มีตั้งแต่ ทุนรัฐบาลที่หลายคนกำลังจะถูกยกเลิกไป จนถึงถูกบังคับให้ลาออก, หลายคนต้องเสียค่าเช่าที่พักฟรีๆ เป็นปีเพราะขนของกลับไม่ได้, ค่าเทอมที่ต้องจ่ายเต็มแต่คุณภาพการเรียนออนไลน์ที่ไม่ช่วยอะไร, การฝึกงานหรือการทำตัวจบที่ค้างคาไปต่อไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งถือว่าหนักหนามาก และกระทบต่อแผนการชีวิตและครอบครัว

นายสรวง สิทธิสมาน นายกสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้เปิดเผยพร้อมขอบคุณทุกการช่วยเหลือนี้ว่า ตามที่กลุ่มร้องขอเปิดวีซ่านักเรียน (จีน) ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการส่วนใหญ่ในนามสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากท่านในด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษาไทยให้สามารถกลับไปศึกษาต่อ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนมาตั้งแต่กลางปี 2563 นั้น

.
บัดนี้ด้วยความช่วยเหลือจากหลายฝ่าย ทำให้ความพยายามเรียกร้องเปิดวีซ่านักเรียนจีนของนักศึกษาไทยตลอด 2 ปี นั้นประสบความสำเร็จ จนเกิดเป็นเที่ยวบินแรกของนักศึกษาไทยในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 ที่ผ่านมา อันนำไปสู่การทยอยอนุมัติรายชื่อเดินทางกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนของนักเรียน/นักศึกษาไทยในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันเที่ยวบินที่สองกำลังดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนศกนี้ และเริ่มเข้าสู่การดำเนินการเที่ยวบินที่สามในลำดับถัดไป
.
ในนามของสมาคมนักเรียนไทย-จีน ร่วมกับกลุ่มร้องขอเปิดวีซ่านักเรียน (จีน) จึงขอขอบคุณท่านและผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานของท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนนำไปสู่ความสำเร็จในการเรียกร้องเปิดวีซ่านักเรียนจีนของนักศึกษาไทย ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
.
สำหรับความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านความอนุเคราะห์จากบุคคล รวมถึงองค์กรอีกหลายภาคส่วน เพื่อผลักดันให้เกิดเที่ยวบินแรกของโลกและเที่ยวบินถัดๆ ไป ในการพานักเรียน/นักศึกษาไทยกลับไปยังประเทศจีน เพื่อทำการศึกษาต่อ ได้แก่...

จับตา!! ‘Doomsday Clock’ เมื่อนาฬิกาวันสิ้นโลก เดินมาถึงจุด ‘100 วินาที’ ก่อนเที่ยงคืนแล้ว!!

นาฬิกาเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้วัดและกำหนดสิ่งต่างต่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาในยุคเริ่มแรกตั้งแต่ นาฬิกาแดด นาฬิกาทราย นาฬิกาไขลาน นาฬิกาออโตเมติก จนกระทั่งนาฬิกาไขดิจิตอล ไปจนถึงนาฬิกาชีวภาพในวิชาชีววิทยา ฯลฯ 

จากหลักการทำงานของนาฬิกาดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อจัดทำนาฬิกาสำหรับทำหน้าที่พยากรณ์จุดจบของโลกขึ้นมา 

Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) โดยสมาชิกคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงในคณะผู้จัดทำหนังสือจดหมายเหตุของนักวิทยาศาสตร์ปรมาณู (Bulletin of the Atomic Scientists) ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการด้านต่าง ๆ ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล ๑๘ คนร่วมอยู่ด้วย 

Doomsday Clock ไม่ได้เป็นนาฬิกาที่เป็นตัวเรือน แต่เป็นเพียงแผ่นหน้าปัดนาฬิกาที่ถูกจัดทำขึ้น มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์ โดยเปรียบการนับถอยหลังจากเกิดมหันตภัยต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น สงครามนิวเคลียร์ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งนาฬิกาถูกปรับให้เข้าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็เชื่อว่าโลกของเราก็ยิ่งเข้าใกล้การเกิดภัยพิบัติมากขึ้นเท่านั้น

ประวัติของ Doomsday Clock นาฬิกาที่แสนจะแปลกประหลาดและไม่เป็นมงคลเรือนนี้ เริ่มขึ้นภายหลังการสิ้นสุดของมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยนั้นประชาชนพลโลกทั่วไปยังไม่มีความรู้ถึงภัยร้ายแรงจากอาวุธนิวเคลียร์ รู้อย่างมากแค่ว่า อาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธที่มีอานุภาพรุนแรงจนสามารถบีบให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้สำเร็จ กลุ่มคนที่เล็งเห็นและตื่นตัวถึงภัยคุกคามนี้เป็นพวกแรก ๆ ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่ก็คือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่ประดิษฐ์ระเบิดปรมาณูขึ้นมานั่นเอง

Eugene Rabinowitch ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Bulletin of the Atomic Scientists

จากความกังวลเรื่องนี้เองทำให้ Eugene Rabinowitch นักชีวะ-ฟิสิกส์ กับ Hyman Goldsmith นักฟิสิกส์ ชาวอเมริกัน จึงได้ร่วมกันก่อตั้งนิตยสารชื่อ Bulletin of the Atomic Scientists ขึ้นมา แปลเป็นภาษาไทยว่า จดหมายเหตุจากนักวิทยาศาสตร์ปรมาณู ซึ่งเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) โดยมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากมายในยุคนั้นให้การสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Morton Grodzins, Hans Bethe, Anatoli Blagonravov, Max Born, Harrison Brown, Stuart Chase, Brock Chisholm, E.U. Condon, Albert Einstein, E.K. Fedorov, Bernard T. Feld, James Franck, Ralph E. Lapp, Richard S. Leghorn, J. Robert Oppenheimer, Lord Boyd Orr, Michael Polanyi, Louis Ridenour, Bertrand Russell, Nikolay Semyonov, Leó Szilárd, Edward Teller, A.V. Topchiev, Harold C. Urey, Paul Weiss, James L. Tuck ฯลฯ

Hyman Goldsmith ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Bulletin of the Atomic Scientists

จุดประสงค์ของนิตยสารก็คือ เป็นแหล่งความรู้สำหรับผู้ที่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์ และ ให้ความรู้แก่ประชาชนชาวอเมริกันในเรื่องของอันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) จึงได้เพิ่ม Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) เข้าไป อันเป็นการเริ่มต้นการเดินของนาฬิกาเรือนนี้ วิธีการอ่านค่าเวลาจากนาฬิกาวันสิ้นโลกนั้นไม่ยากเลย โดยส่วนประกอบและลักษณะรูปลักษณ์ของจะไม่ต่างจากนาฬิกาทั่วไป ประกอบด้วย เข็มยาว เข็มสั้น จุดบอกเวลา ฯลฯ แต่จุดกำหนดเวลาบนหน้าปัดจะมีเพียงเลข ๙ ไปจนถึงเลข ๑๒ คือ มีแต่ส่วนบนซ้ายของหน้าปัทม์นาฬิกา ซึ่งเมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึงจะหมายถึงว่า โลกได้เข้าถึงขีดสุดแห่งความหายนะแล้ว และเป็นการเข้าสู่วันสิ้นโลก แต่เมื่อ ภยันตราย ความรุนแรง และเหตุวิกฤต ลดลงเมื่อใด เข็มเวลาก็จะยิ่งออกห่างจากเวลาเที่ยงคืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เวลา 23:55 น. จะวิกฤตน้อยกว่าเวลา 23:58 น. 

การบ่งบอกว่า โลกเข้าใกล้จุดหายนะที่เป็นการสิ้นสุดของโลกมากน้อยขนาดไหน จะใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกเป็นตัวแปร ตัวกำหนด เช่น สงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ภัยคุกคามของระเบิดนิวเคลียร์ สภาวะโลกร้อน ฯลฯ เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ถูกแขวนบนกำแพงในสำนักงานของจดหมายเหตุฯ ภายในมหาวิทยาลัยชิคาโก และกลายเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ของภัยคุกคามสงครามนิวเคลียร์ที่ชาติต่าง ๆ ต่างพากันสะสมไปจนทั่วโลก ทว่า หลัง พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการนำเอาผลสะท้อนอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงพัฒนาการใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้เกิดภัยต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรงจนไม่อาจกู้คืนหรือแก้ไขได้

RDS-1 ระเบิดปรมาณูลูกแรกของสหภาพโซเวียต

เวลา 23:53 น. หรือ ๗ นาทีก่อนเที่ยงคืน ถูกตั้งให้เป็นเวลาตอนที่ Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) เริ่มเดินเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947)  โดยสมัยนั้นเป็นช่วงที่โลกเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาได้ไม่นาน และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์ พร้อมกับการก่อตัวขึ้นของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตหรือที่รู้จักกันในชื่อของ “สงครามเย็น (Cold war)” สองปีต่อมา นาฬิกาถูกปรับให้เป็นเวลา 23:57 น. โดยเกิดจากการที่สหภาพโซเวียตทดลอง RDS-1 ระเบิดปรมาณูลูกแรกเป็นผลสำเร็จ จึงนับเป็นประเทศที่สองของโลกที่ครอบครองอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ ภายหลังสหรัฐอเมริกาเพียง 4 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย 

การทดลองระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่าตัว

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) นาฬิกาถูกปรับให้เหลือเวลา ๒ นาทีก่อนเที่ยงคืน อันเป็นผลมาจากสหรัฐฯ กับโซเวียตตัดสินใจทดลองระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่าตัว หลังจากที่นาฬิกาถูกปรับให้ใกล้เที่ยงคืนไปหลายครั้ง ในที่สุดเวลาก็ได้ถูกเลื่อนให้ออกห่างจากเวลาเที่ยงคืนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) สาเหตุจากท่าทีประนีประนอมของทั้งสองขั้วอำนาจต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เช่น วิกฤตสุเอซ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) และมีความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายผ่านการประชุมต่าง ๆ 

วิกฤตสุเอซ

ประวัติการปรับเวลาของ Doomsday Clock ตั้งแต่ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) จนถึง พ.ศ. ๒๕๖๐ (ค.ศ. 2017)   

สามปีให้หลังต่อมา เวลาของ Doomsday Clock ถูกปรับเป็น 23:48 น. หรือ ๑๒ นาทีก่อนเที่ยงคืน อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์บนพื้นดิน แต่ยังคงอนุญาตมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ที่ใต้ดินอยู่ สนธิสัญญานี้แสดงให้เห็นว่า มีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายที่จะลดอัตราการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ลง และร่วมกันปกป้องสภาพอากาศที่เสียหายจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์

‘Secret Service’ ผู้พิทักษ์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา องครักษ์ประจำทำเนียบขาว

The United States Secret Service (USSS or Secret Service) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางภายใต้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (The Department of Homeland Security) ซึ่งมีภารกิจในการสอบสวนทางอาญาและปกป้องผู้นำของสหรัฐฯ และครอบครัว ตลอดจนประมุขแห่งรัฐหรือผู้นำรัฐบาลที่มาเยือนสหรัฐฯ 

ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๖ Secret Service เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง (The Department of the Treasury) สืบเนื่องจากหน่วยงานก่อตั้งเพื่อต่อสู้กับการปลอมแปลงเงินสหรัฐฯ ที่แพร่หลายในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๔๐๘ (ค.ศ. 1865))

ธงประจำหน่วย The United States Secret Service

The United States Secret Service จัดตั้งตามความเห็นชอบของรัฐสภาแห่งสหรัฐฯ เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านความมั่นคงแห่งชาติที่แตกต่างกันสองภารกิจได้แก่ 

(๑) การปกป้องผู้นำของประเทศ 
และ (๒) การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา 

ในระยะแรก ๆ มีหน้าที่สอบสวนกรณีเกี่ยวกับเงินปลอม หรืออาชญากรรมอื่น ๆ จากรายงานการหมุนเวียนของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสมัยนั้น ปรากฏว่า ปริมาณเงินที่หมุนเวียนหนึ่งในสามเป็นเงินปลอม 

Abraham Lincoln ประธานาธิบดีในขณะนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นเพื่อศึกษาและให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา The United States Secret Service จึงถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อปราบปรามเงินดอลลาร์ปลอม 

โดย William P. Wood หัวหน้าหน่วยคนแรก ได้ทำการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งต่อ Hugh McCulloch รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เข้ารับตำแหน่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในฐานะ "Secret Service Division" ของกระทรวงการคลัง โดยมีภารกิจหลักในการปราบปรามการปลอมแปลงเงินดอลลาร์ปลอม

แต่ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกลอบสังหารขณะอยู่ในตำแหน่งไปแล้ว ๓ คน คือ  Abraham Lincoln (๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๘ (ค.ศ. 1865)) , James A. Garfield (๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881)) และ William McKinley (๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901)) และคนที่ ๔ คือ John F. Kennedy (๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. 1963))

หลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดี William McKinley ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ รัฐสภาแห่งสหรัฐฯ จึงได้มอบภารกิจในการปกป้องประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ให้กับ The United States Secret Service รับผิดชอบจนทุกวันนี้

เจ้าหน้าที่พิเศษของ The United States Secret Service กับ The Beast รถประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ปัจจุบันภารกิจของ The United States Secret Service ประกอบด้วย 
(๑) ภารกิจในการคุ้มกันอารักขา Secret Service ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี ของสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดี ว่าที่รองประธานาธิบดี ที่ได้รับเลือกของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนครอบครัวใกล้ชิดของพวกเขา อดีตประธานาธิบดี คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนสำคัญและคู่สมรส และการเยี่ยมเยือนของประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลต่างประเทศ 

ตามธรรมเนียมแล้ว ยังให้การคุ้มครองแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ ตามคำสั่งของประธานาธิบดี (โดยปกติคือ หัวหน้าเสนาธิการประจำประธานาธิบดี และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น) ตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ต้องไม่ปฏิเสธการคุ้มกันนี้  

นอกจากนี้ Secret Service ยังต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทางกายภาพสำหรับทำเนียบขาว อาคารกระทรวงการคลังที่อยู่ใกล้เคียง บ้านพักรองประธานาธิบดี บ้านพักส่วนตัวหลักของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และอดีตประธานาธิบดี รวมถึงเจ้าหน้าที่การทูตต่างประเทศทั้งหมดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีภารกิจสนับสนุนการคุ้มกันอารักขา อาทิ การปฏิบัติการเพื่อประสานงานกำลังคนและการขนส่งกับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐและท้องถิ่น ความก้าวหน้าในการป้องกันเพื่อดำเนินการประเมินสถานที่สำหรับผู้ได้รับการคุ้มกันอารักขา Secret Service เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการวางแผน การประสานงาน และการดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับกิจกรรมที่กำหนดให้เป็นเหตุการณ์ความมั่นคงพิเศษแห่งชาติ (NSSE) ตามภารกิจของหน่วยในการป้องกันเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดขึ้น หน่วยงานอาศัยการทำงานล่วงหน้าอย่างพิถีพิถันและการประเมินภัยคุกคามที่พัฒนาโดยแผนกข่าวกรอง เพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ซึ่งได้รับการคุ้มกันอารักขา

(๒) ภารกิจสืบสวนสอบสวน Secret Service ยังมีภารกิจในการปกป้องระบบการชำระเงินและการเงินของสหรัฐอเมริกาจากอาชญากรรมทางการเงินและทางไซเบอร์ที่หลากหลาย การตรวจสอบทางการเงินรวมถึงการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ การฉ้อโกงธนาคารและสถาบันการเงิน การฉ้อโกงทางไปรษณีย์ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ การดำเนินการด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย และการสมคบคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสืบสวนทางไซเบอร์รวมถึงอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต การบุกรุกเครือข่าย การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การฉ้อโกงอุปกรณ์การเข้าถึง การฉ้อโกงบัตรเครดิต และอาชญากรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา 

Secret Service เป็นสมาชิกของกองกำลังเฉพาะกิจก่อการร้ายร่วมของ FBI (JTTF) ซึ่งสืบสวนและต่อสู้กับการก่อการร้ายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ Secret Service ยังสืบสวนหาเด็กที่หายตัวไปและถูกทารุณ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ National Center for Missing & Exploited Children (NCMEC)

ความรับผิดชอบเบื้องต้นตามภารกิจสืบสวนของ Secret Service คือ การสืบสวนการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา หน่วยงานดังกล่าวต่อมาจึงกลายเป็นหน่วยข่าวกรองในประเทศแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา 

ภารกิจเดิมของหน่วยงานหลายอย่างถูกถ่ายโอนไปยังหน่วยงานที่จัดตั้งในภายหลังต่อมา เช่น สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI), สำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA), สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA), สำนักงาน แอลกอฮอล์, ยาสูบ, อาวุธปืน และวัตถุระเบิด (ATF) และหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกรมสรรพากร (IRS-CI)


(๓) ภารกิจอื่น ๆ Secret Service รวมความรับผิดชอบทั้งสองเป็นสองวัตถุประสงค์ที่ไม่ซ้ำกันภารกิจหลักสองประการในการปกป้องและการสืบสวนประสานกับภารกิจอื่น โดยให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่เจ้าหน้าที่พิเศษในระหว่างการทำงาน ทักษะที่พัฒนาขึ้นในระหว่างการสืบสวนซึ่งยังใช้ในหน้าที่ปกป้องเจ้าหน้าที่พิเศษแต่ไม่จำกัดเพียงแต่ 
- ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักงานภาคสนามและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในแต่ละท้องถิ่นระหว่างการสืบสวนสอบสวน ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขาและประสานงานเพื่อการคุ้มกันอารักขา
- ทักษะในการปฏิบัติการทางยุทธวิธี (เช่น การสอดส่อง การจับกุม และตรวจค้น) และทักษะการเขียนของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (เช่น คำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร หลังรายงานการดำเนินการ และแผนปฏิบัติการ) ถูกนำไปใช้กับทั้งหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและภารกิจการคุ้มกันอารักขา
- ความชำนาญในการวิเคราะห์เทคนิคการเขียนด้วยลายมือ หรือลายเซ็น และการปลอมแปลง จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และภัยคุกคามจากบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสงสัย เพื่อใช้ในการตรวจสอบสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา
- ความเชี่ยวชาญในการสืบสวนอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และการเงิน ถูกนำมาใช้ในการสืบสวนสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา และภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นกับผู้นำของประเทศ

งานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผู้สมัครในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษ ผ่านการคัดเลือกของ Secret Service น้อยกว่า 1% จากจำนวนผู้สมัคร ๑๕,๖๐๐ คน 

ผู้สมัครเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีใบขับขี่ มีสุขภาพและสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยม สายตาผิดปกติไม่เกิน 20/100 และจะต้องมีระหว่างอายุ ๒๑-๓๗ ในขณะนั้น เว้นแต่ทหารผ่านศึกที่มีสิทธิ์ยื่นสมัครเมื่ออายุเกิน ๓๗ ปี ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติที่ได้รับการตรวจสอบ TS/SCI (ข้อมูลที่มีความลับสุดยอด / ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน) และได้รับการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด รวมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก การคัดกรองสารเสพติด และการวินิจฉัยทางการแพทย์

พา Staycation วิวปัง รูปสวย คาเฟ่เริ่ด ครบจบในที่เดียว

ใครเบื่อทำงานที่บ้านบ้าง! วันนี้จะพาไป #Staycation แบบงานก็ได้แถมรูปก็มี 

กับโรงแรมที่ส่องกล้องไปทางไหนก็ได้รูป ที่ Kene Hotel Bangkok

Kene Hotel Bangkok อยู่ที่ซอย เจริญนคร 35 เป็นโรงแรมที่ตกแต่งแบบสมมาตร โค้งมน สไตล์มินิมอล คลีน  สมชื่อ ด้วยความเป็นโทนข๊าวขาว บวกกับสีฟ้าของสระว่ายน้ำที่เป็นมุม Signature ของที่นี่ พอเจอกับแสงแดดแล้วบอกได้เลยว่ามุมไหนก็อาร์ตไปหมด แถมยังติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานแบบเลิศๆ ให้ไม่น่าเบื่อแถมยังมีรูปมาลงอีก ไม่ต้องห่วงเรื่องของมุมทำงานเลย เพราะภายในห้องจัดสองมุมสำหรับทำงานชิลๆ ไว้ให้เรียบร้อย หรือสามารถนั่งที่ไหนก็ได้ ทั้งริมสระ คาเฟ่ ที่สำคัญราคาที่นี่สุดประหยัด ทำคอนเทนต์กันได้แบบปังๆ สระว่ายน้ำ อาหารเช้า คาเฟ่ ครบ จบในที่เดียว

คะแนนสำหรับที่นี่
ราคา 8/10 
บรรยากาศ 9/10 
การบริการ 7/10 (โรงแรมเพิ่งเปิดใหม่พนักงานที่นี่ค่อนข้างน้อย)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองห้องพักที่
+66 (02) 437 2168
LINE @Kenehotelbangkok หรือคลิก bit.ly/KeneHotelBKK
[email protected]

 

มุมไฮไลต์ของโรงแรมที่มีสระว่ายน้ำตรงกลาง ทุกห้องจะหันหน้าเข้าหาสระหมดเลย

การตกแต่งแนวโค้ง ๆ ของโรงแรม ภายใต้ดีไซน์ Arch โค้งมน

การตกแต่งแนวโค้งของโรงแรม


ภายในห้องพักจะตกแต่งเป็นสีขาวตัดกับสีน้ำตาล อันนี้เป็นห้องขนาดกลาง


อีกมุมที่นั่งทำงานได้ หรือใครจะเอามาไว้แต่งหน้าก็ได้ เพราะแสงของห้องนี้ดีเลย แต่งหน้าสบาย

เครื่องใช้ที่โรงแรมมีไว้ให้

โรงแรมมีโคมไฟให้ เผื่อใครอยากได้ความสว่างในการทำงานเพิ่มก็จัดไป

สายคาเฟ่ ฮอปปิ้ง ก็ต้องมา นอกจากโรงแรมแล้วที่นี่มี คาเฟ่ Sarin อยู่หลังโรงแรม บริเวณท่าเรือด้วย

ด้านหลังโรงแรมเป็นท่าน้ำ (แต่ไม่มีเรือให้ขึ้น) มองวิว Asiatique ไปเพลิน ๆ

ด้านหลังของโรงแรม


ที่นี่มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้น 4 เป็นห้องอาหารที่เราจะมากินข้าวเช้ากันที่นี่

Road trip UTAH

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยห้าสิบรัฐ พื้นที่แต่ละรัฐกว้างพอ ๆ หรืออาจจะกว้างกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ 

ดังนั้น ความหลากหลายทางภูมิประเทศและภูมิอากาศจึงมากตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ชายทะเลทั้งฝั่งแอตแลนติกและแปซิฟิก ทะเลทราย เทือกเขาสูงทอดตัวยาว ภูเขาหิมะ ทุ่งหญ้า ป่าหลากประเภท มีบริเวณอากาศร้อนชื้นไปจนถึงหนาวจัดสุดขั้วก็มี สถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมายจึงกระจายทั่วประเทศ นักเดินทางต่างจึงมีทางเลือกเยอะมากในการปักหมุดหมายตามความชอบความต้องการ รวมถึงปริมาณเวลาว่างที่มี

  
ช่วงก่อนหน้านี้สามสี่เดือน ผมเดินทางในอเมริกาด้วยจักรยาน ปั่นท่องเที่ยวเลาะไปตามชายฝั่งทะเลแปซิฟิกในรัฐแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และรัฐวอชิงตัน อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ สลับสับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาเป็นการขับรถเที่ยวดูบ้าง พอดีรู้จักกับเพื่อนสองคนซึ่งปกติอยู่ไทย แต่กลับมาเที่ยวที่นี่ จึงเป็นเรื่องประจวบเหมาะ ชักชวนกันทำโร้ดทริป 

‘เน้ท’ เป็นคนอเมริกัน บ้านอยู่ที่โคโลราโด (และที่เชียงใหม่) ส่วน ‘เยา’ ผู้เป็นภรรยานั้นคือสาวไทย นัดแนะกันว่าจะพบกันที่บ้านพวกเขาบนเทือกเขาร็อกกี้ในรัฐโคโลราโด แล้วจะขับรถไปเที่ยวรัฐยูทาห์ซึ่งอยู่ติดกัน (พื้นที่ทางตอนกลางของสหรัฐ) 

มนต์เสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ผ่านภูมิประเทศแห้งแล้งกึ่งทะเลทรายจึงเริ่มต้นขึ้น จุดหมายปลายทางคือ อุทยานแห่งชาติอันเลื่องชื่อ อย่างอุทยานแห่งชาติ Arches National Park นั่นเอง 

จะว่าไป ส่วนตัว ผมไม่ได้รู้จักพื้นที่แถบนี้ดีเท่าไหร่นัก อารมณ์จับพลัดจับผลูได้มาเที่ยวเพราะมีเพื่อนเป็นคนแถวนี้มากกว่า ข้อดีก็คือไม่ต้องวางแผนการกินการนอน ไม่ต้องค้นหาว่าจะไปแวะเที่ยวที่ไหนบ้างระหว่างทาง สบายไปแปดอย่างสิบอย่างเพราะมีเพื่อนเป็นมัคคุเทศก์นำทางนั่นเอง


ทริปสบาย ๆ แบบไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก เห็นอะไรสวยก็จอดแวะดูแวะถ่ายรูป คนขับง่วงก็หลบริมทางงีบ คุยสัพเพเหระอะไรกันไปขณะอยู่ในรถ โดยมีวิวสวยสองข้างทางสร้างความรื่นรมย์ ยิ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้พวกต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันประชันขันแข่งสีสันสดใส สร้างความตะลึงพรึงเพริดแก่คนพบเห็น

ข้อดีของอเมริกาอย่างหนึ่ง คือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจัดสรรลานพักแรมกระจายอยู่ทั่วไปให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งพวกที่ขับรถบ้าน รถกระบะหรือเก๋ง นักบิดมอเตอร์ไซค์ นักปั่นจักรยาน รวมถึงคนแบกเป้ทั้งหลายด้วย นับเป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง พวกเราจึงมักอาศัยพักแรมตามลานกางเต็นท์ประเภทนี้ ไม่ก็หาพื้นที่หลบมุมกางเต็นท์ด้วยบ้างเช่นกัน 

แวะเที่ยวไปเรื่อย ทำให้กว่าจะถึงจุดหมายก็ปาเข้าไปสองวัน เมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ Arches National Park คือเมืองโมอับ เป็นเมืองเล็ก แต่ความสะดวกสบายครบครันตามแบบฉบับเมืองที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งร้านค้าร้านอาหาร (มีแม้กระทั่งร้านอาหารไทย) ร้านขายของที่ระลึก โรงแรมหลายระดับ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ก็มีด้วย พวกเราไม่ได้เลือกพักโรมแรม ส่วนหนึ่งเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และไหน ๆ ก็แบกเต็นท์ เครื่องนอน เตาไฟ สำรับอาหารสดอาหารแห้งกันมาเกือบเต็มคันรถ ไฉนจึงไม่หาที่พักแรมสวยๆ ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติโดยรอบ ซึ่งดีกว่านอนในห้องหับกว่ากันเป็นไหนๆ จริงไหมครับ

ครบรอบ 85 ปี ‘Golden Gate Bridge’ สะพานแขวนสีส้มแห่งนคร San Francisco

วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ทำพิธีกดปุ่มทางไกลเปิดใช้สะพาน Gate Bridge ในนคร San Francisco อย่างเป็นทางการจากกรุง Washington D.C. โดยสะพาน Golden Gate ถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยเคยครองสถิติสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกมาก่อน (ปัจจุบันสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก คือ สะพาน Akashi-Kaikyo อยู่ที่ญี่ปุ่น) โดยมีระยะทาง 2.7 กิโลเมตร สูง 223.5 เมตร 

สะพาน Golden Gate ทอดข้ามอ่าว San Francisco บริเวณช่องแคบ Golden Gate ทางตอนเหนือของนคร San Francisco กับ เทศมณฑล Marin มลรัฐ California ในตอนก่อนสะพานจะถูกสร้างขึ้น เส้นทางสั้น ๆ ที่ใช้งานได้จริงเพียงเส้นทางเดียวระหว่างนคร San Francisco กับ เทศมณฑล Marin (ในปัจจุบัน) คือ โดยสารเรือ Ferry ข้ามอ่าว San Francisco โดยบริษัท Sausalito Land and Ferry ซึ่งบริษัทนี้เปิดตัวในปี พ.ศ. 2410 ในที่สุดก็กลายเป็นบริษัท Golden Gate Ferry ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัทรถไฟสายแปซิฟิกใต้ เรือ Ferry ข้ามฟากของบริษัทรถไฟสายแปซิฟิกใต้ทำกำไรมหาศาลและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ โดย เรือ Ferry ที่ข้ามฟากระหว่างท่าเรือ Hyde Street Pier ในนคร San Francisco กับท่าเรือ Sausalito Ferry Terminal ในเทศมณฑล Marin ใช้เวลาราว 20 นาที และราคาค่าบริการอยู่ที่คันละ  1.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ในสมัยนั้น) 

ท่าเรือ Sausalito Ferry Terminal ในเทศมณฑล Marin ก่อนที่จะมีสะพาน Golden Gate

ด้วยเหตุนคร San Francisco เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงไม่มีการเชื่อมโยงถาวรกับชุมชนรอบอ่าว และต้องใช้บริการโดยสารเรือ ferry ข้ามฟากเป็นหลัก จึงทำให้อัตราการเจริญเติบโตของเมืองต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการเจริญเติบโตของเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ 

แต่ในยุคนั้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างให้ความเห็นว่า เทคโนโลยีขณะนั้นคงไม่สามารถสร้างสะพานข้ามช่องแคบยาว 6,700 ฟุต (2,000 เมตร) ได้ เพราะมีอ่าว San Francisco มีกระแสน้ำที่หมุนวนอย่างแรง ความลึกของน้ำบริเวณใจกลางช่องแคบอยู่ที่ 372 ฟุต (113 ม.) และลมพัดแรงจัดมากอยู่บ่อย ๆ ครั้ง จึงเป็นเหตุให้ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า ลมที่พัดแรงจัด อีกทั้งหมอกลงหนักจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการก่อสร้างและการใช้งานสะพาน 

แม้ว่าแนวคิดของเรื่องสะพานทอดข้ามช่องแคบ Golden Gate จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในที่สุดข้อเสนอก็ถูกตีพิมพ์ใน San Francisco Bulletin ปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) โดยบทความของ James Wilkins วิศวกรของนคร San Francisco ซึ่งได้ทำการประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างไว้ที่ 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.5 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) แล้วก็ยังไม่สามารถทำได้ในขณะนั้น 

แต่ Joseph Strauss ซึ่งเป็นวิศวกรและกวี ผู้มีความทะยานอยาก ซึ่งเคยทำวิทยานิพนธ์เรื่องการออกแบบสะพานรถไฟยาว 55 ไมล์ (89 กม.) ข้ามช่องแคบ Bering และในขณะนั้น Strauss ได้สร้างสะพานแขวนเสร็จสมบูรณ์แล้วราว 400 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสะพานในสหรัฐฯ และไม่มีอะไรที่เขาจะสนใจมากไปกว่าโครงการสร้างสะพานใหม่เพื่อข้ามช่องแคบ Golden Gate ภาพร่างสะพานเริ่มต้นของ Strauss ประกอบด้วยคานแขนขนาดใหญ่ในแต่ละด้านของช่องแคบ ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยส่วนกันสะเทือนกลาง โดย Strauss สัญญาไว้ว่า จะสามารถสร้างได้ด้วยงบประมาณ 17 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับ 423 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน)


Joseph Strauss

หลังจากนั้นด้วยมติในสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ California อนุมัติให้มีการสร้างสะพานและทางหลวงด้วยงบประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 530 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) เพราะมีความมั่นใจว่า Strauss จะมีการปรับเปลี่ยนแปลงรูปแบบ และยอมรับข้อมูลต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญโครงการที่ปรึกษาหลาย ๆ คนว่า การสร้างสะพานแขวนถือเป็นแนวทางที่น่าจะประสบความสำเร็จและสามารถใช้งานจริงได้มากที่สุด การก่อสร้างต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษเพราะโครงการก่อสร้างสะพานนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้าน รวมถึงการฟ้องร้องดำเนินคดีจากผู้ที่คัดค้านและเสียผลประโยชน์มากมาย 

อีกทั้งกระทรวงสงครามของสหรัฐฯ เองก็เกรงว่า สะพานนี้จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการสัญจรทางเรือ กองทัพเรือสหรัฐฯ กลัวว่า การชนสะพานของเรือหรือการก่อวินาศกรรมอาจเป็นปิดกั้นทางเข้าท่าเรือหลักแห่งใดแห่งหนึ่ง ส่วนสหภาพแรงงานเรียกร้องให้มีการรับประกันว่า คนงานในท้องถิ่นจะได้เข้าทำงานในการก่อสร้างโครงการนี้

นอกจากนั้น บริษัทรถไฟสายแปซิฟิกใต้ หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในมลรัฐ California คัดค้านการสร้างสะพานนี้เพราะจะเป็นการแข่งขันกับธุรกิจเรือ Ferry ข้ามฟาก และได้ยื่นฟ้องคัดค้านโครงการนี้ ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรการใช้บริการเรือข้ามฟาก


 Leon Moisseiff วิศวกรผู้ออกแบบและสร้างสะพาน Manhattan ในมหานคร New York

ในที่สุด Strauss ก็ได้เป็นทั้งหัวหน้าวิศวกรที่รับผิดชอบการออกแบบโดยรวมและการก่อสร้างสะพาน แต่เนื่องจากเขามีความเข้าใจหรือประสบการณ์น้อยในการออกแบบระบบกันสะเทือนด้วยสายเคเบิล ความรับผิดชอบในด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงตกอยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ 

ข้อเสนอจากการออกแบบเบื้องต้นของ Strauss (ช่วงเสาเข็มคู่สองช่วงที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบกันสะเทือนส่วนกลาง) ไม่เป็นที่ยอมรับอันเนื่องมาจากมุมมองที่สามารถมองเห็นนั้นดูไม่สวยสง่า ทำให้การออกแบบช่วงล่างที่สวยงามขั้นสุดท้ายเกิดขึ้นโดย Leon Moisseiff วิศวกรผู้ออกแบบและสร้างสะพาน Manhattan ในมหานคร New York 
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top