Sunday, 5 May 2024
THE STATES TIMES TEAM

พังงา - ด่วน... ผู้ว่าพังงาสั่งยกเลิกการจัดงานประเพณีปล่อยเต่า หลังพบผู้ป่วยโควิดเพิ่มอีก 4 ราย

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 13 เมษายน 2564 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงา นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพังงา เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ หลังจากได้รับรายงานผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นอีก 4 ราย ซึ่งผู้ป่วย 3 ราย เป็นผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยกลุ่มเดิมที่ได้รับเชื้อจากทหารเรือที่เดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต ส่วนอีก1 รายเป็นนักศึกษาที่เดินทางกลับมาจากจังหวัดเชียงใหม่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันของจังหวัดเชียงใหม่

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาได้สั่งยกเลิกงานประเพณีปล่อยเต่า ครั้งที่ 52 ประจำปี 2564 บริเวณชายหาดท้ายเหมือง ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 12-21 เมษายน 2564 ซึ่งเพิ่งมีพิธีเปิดเมื่อค่ำวานนี้(12 เมษายน) โดยให้มีกิจกรรมได้อีก 1 คืนภายใต้มาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19อย่างเข้มข้น และให้ยกเลิกในวันที่ 14 เมษายนเป็นต้นไป ซึ่งทางจังหวัดพังงาต้องขออภัยพ่อค้าแม่ค้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปในทางที่เสี่ยงในการแพร่ระบาด ทั้งนี้ทางจังหวัดพังงาเตรียมออกประกาศมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่มีการระบาด28 จังหวัด เมื่อเดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดพังงาจะต้องมีการรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมทำแบบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มข้น และให้เจ้าของสถานที่พักเป็นผู้สอบสวนรายงานต่อเจ้าหน้าที่ ให้ยกเลิกการจัดกิจกรรมที่มีการชุมชนของประชาชน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับการสวมหน้ากากเมื่อออกจากบ้าน และอาจจะมีการประกาศล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงเป็นบางจุดด้วย


ภาพ/ข่าว  อโนทัย งานดี

ขอนแก่น - "บิ๊กตู่" ส่งกระเช้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บเหตุไฟไหม้รถทัวร์ที่ขอนแก่น ขณะที่ผู้ว่าฯ สั่งทุกหน่วยงานช่วยเหลือเต็มที่ พร้อมเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินประกันช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสรายละ 1.1ล้านบาท

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 เม.ย.2564 ที่ รพ.สิรินทร ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น นำกระเช้าจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมและมอบให้กับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถทัวร์โดยสารสายอุดรธานี-กรุงเทพฯ เหตุเกิดในพื้นที่ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บอีก 12 ราย ซึ่งผู้บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิรินทร 3 ราย ถูกไฟไหม้ที่แขน ใบหน้า และใบหู อาการโดยรวมอยู่ในขั้นปลอดภัยเฝ้าระวังแผลติดเชื้อ พร้อมทั้งพูดคุยและให้กำลังใจกับผู้บาดเจ็บและครอบครัวด้วย พร้อมทั้งยืนยันให้การช่วยเหลือทุกครอบครัวตามสิทธิเต็มที่

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเมื่อทราบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กำชับลงมายังพื้นที่ให้มีการตรวจสอบช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตรวมทั้งครอบครัวและผู้บาดเจ็บทุกราย ซึ่งทาง คปภ.และบริษัทประกันภัยรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมร่วมกันและสรุปค่าเยียวยาให้กับผู้บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตรายละ 1.1 ล้านบาทตามสิทธิที่จะได้รับจากประกันภัยและพรบ.รถ โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะนี้ทราบชื่อผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย คือ น.ส.สุกัญญา เกดหอม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 14 ต.เมืองเพียง อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ส่วนที่เหลืออีก 4 รายยังไม่ทราบชื่อ อายุ และที่อยู่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจอัตลักษณ์บุคคล ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ส่วนผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 12 ราย ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิรินทร ส่วนหนึ่ง และทีโรงพยาบาลขอนแก่นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในทางคดีขณะนี้ทราบว่าได้มีการแจ้งข้อกับพนักงานขับรถแล้ว และทราบรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมดหมดแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นใคร โดยจะต้องคัดแยกรายชื่อผู้บาดเจ็บและผู้ที่รอดจากเหตุการณ์ทั้ง ก็จะเหลือรายชื่อของผู้เสียชีวิต เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ในภาพรวมทั้งหมด

ขณะที นาย ปัญจพล ภาคสังข์ อายุ19 ปี ชาว อ.เสาไห้ จ.สระบุรี 1 ในผู้รอดชีวิตและได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า กลับมาหาแม่ที่ จ.อุดรธานี และได้ซื้อตั๋วกลับเพื่อไปลง จ.สระบุรี โดยขึ้นรถเที่ยว 3 ทุ่ม ที่ บขส.อุดรธานี ระหว่างทางก็นอนมากับรถ ก่อนรถจะแวะเติมแก๊สที่ จ.ขอนแก่น พร้อมกับพักรถ 20 นาที ก่อนจะขับออกมาเพื่อเดินทางต่อกระทั่งได้ยินเสียงระเบิดขึ้น 1 ครั้งก็ทราบว่ารถน่าจะยางเกิดระเบิด แล้วก็เห็นไฟลุกขึ้นบริเวณด้านหลังและเห็นจนรีบลงจากรถ ตนเองจึงรีบลงมาจากชั้นสองและวิ่งออกไปได้ทัน ซึ่งในช่วงที่วิ่งลงมาชั้น 1 นั้นทุกคนต่างเบียดเสียดกันบางคนล้มบ้าง และมีเสียงระเบิดดังขึ้นอีก 1 ครั้ง

"พอมาถึงชั้นหนึ่งก็ได้กลิ่นแก๊สลอยเข้าคอจนเกือบจะหมดสติ พูดไม่ออกและพยายามพุ่งออกไปข้างหน้าจนถึงทางออก ๆได้สำเร็จและวิ่งเข้าไปในป่าแล้วก็ได้ยินเสียงระเบิดขึ้นอีกครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลและแจ้งแม่ให้ทราบและแม่ก็เดินทางมาหาที่โรงพยาบาล

พ.ต.อ.ถนอมศักดิ์ โสภา ผกก.สภ.บ้านแฮด กล่าวว่า ขณะนี้ พนักงานสอบสวน ได้นำตัวนายพัศดี คำคอน อายุ 48 ปี พนักงานขับรถทัวร์โดยสารกันเกิดเหตุ มาสอบปาก โดยทราบว่าขณะที่เพลิงลุกไหม้ นายพัศดีได้ใช้ถังดับเพลิงฉีดพ่นใส่ไฟที่ลุกไหม้ พร้อมกับให้ผู้โดยสารลงจากรถ ส่วนการตรวจร่างกายหาสารเสพติด โดยผลออกมาไม่พบสารเสพติดและปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ได้แจ้งข้อกล่าวหา “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” และจากรายงานพนักงานสอบสวนระบุว่ารถทัวร์คันดังกล่าว ได้เติมเชื้อเพลิงประเภทก๊าซ NGV โดยก่อนเกิดเหตุได้แวะเติมที่สถานีบริการในพื้นที่ ต.สำราญ อ.เมืองขอนแก่น ก่อนจะขับมาได้ประมาณ 30 กิโลเมตร แล้วเกิดเหตุสลดขึ้น จากนี้จะให้ขนส่งจังหวัดขอนแก่น ตรวจสอบว่า รถทัวร์คันนี้ได้มีการขอจดทะเบียนติดตั้งก๊าซ NGV ถูกต้องตามกฎกระทรวงคมนาคมหรือไม่

พร้อมกันนี้ผู้สื่อข่าวยังได้เดินทางไปที่ห้องเก็บศพ รพ.ศรีนครินทร์ ซึ่งยังไม่มีญาติของผู้เสียชีวิตมาติดต่อรับศพหรือแสดงตัวเป็นญาติแต่อย่างใด ซึ่งตามขั้นตอนหากมีญาติผู้เสียชีวิตมาติดต่อรับศพก็จะทำการตรวจดีเอ็นเอของญาติและผู้เสียชีวิตเพื่อส่งมอบศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิดต่อไป

 

กาฬสินธุ์ – สั่งปิดสถานบันเทิง พบหัวหน้าการ์ดผับดังปทุมธานี กลับบ้านติดโควิดเพิ่ม

ประชาชนชาวกาฬสินธุ์กลุ่มเสี่ยงนับพันคน แห่เข้าตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 หลังพบเป็นกลุ่มเสี่ยงสัมผัสช่างแต่งหน้าติดเชื้อโควิด-19 ร่วมงานวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์รวมคน 4 ภาค เที่ยวตะวันแดง เดินซื้อของตลาดสด และกลุ่มเสี่ยงร่วมคอนเสิร์ตซองดูฮี พบนักดนตรีติดเชื้อโควิด-19 ในผับดังตากอากาศ ขณะที่ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์เรียกประชุมด่วนติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด หลังพบชายวัย 33 ปี หัวหน้าการ์ด Brothere pub จ.ปทุมธานี เดินทางกลับบ้านอำเภอยางตลาดติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย พร้อมประกาศสั่งปิดสถานบันเทิง 14 วัน และคุมเข้มงานรวมคนจำนวนมาก 

เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 13 เมษายน 2564 ที่บริเวณศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วย นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผอ.โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมกันลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานเชิงรุกในการตรวจเชื้อผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งเป็นชายอาชีพช่างแต่งหน้าวัย 26 ปี มาจาก จ.นครราชสีมา แล้วมาร่วมงานมหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “เบิกฟ้าบัณฑิตพัฒนศิลป์ สู่แผ่นดินถิ่นอีสาน” ในระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2564 ซึ่งวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์เป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งไทม์ไลน์พบไปเที่ยวผับตะวันแดงกาฬสินธุ์ เดินซื้อของตลาดสดทุ่งนาทอง โดยได้สัมผัสกับประชาชนคนกาฬสินธุ์ส่วนหนึ่งที่ตลาดสดทุ่งนาทอง สถานบันเทิงตะวันแดง และวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์

โดยมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ มารอการตรวจหาเชื้อตั้งแต่เช้า ซึ่งมีทีม แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่ทำการปกครอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ร่วมปฏิบัติภารกิจ คาดว่ากรณีดังกล่าวจะมีผู้มาตรวจตลอดทั้งวันประมาณ 600 คน

ส่วนกรณีงานคอนเสิร์ตซองดูฮี ของผับตากอากาศ อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ ที่พบนักดนตรีชาว จ.ขอนแก่น มาร่วมงานแล้วกลับไปตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 นั้น จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่ามีกลุ่มเสี่ยงที่เข้าร่วมคอนเสิร์ตครั้งนี้กระจายใน 8 อำเภอ ประกอบด้วย อ.นามน อ.สมเด็จ อ.ห้วยผึ้ง อ.เขาวง อ.ร่องคำ อ.ฆ้องชัย อ.หนองกุงศรี และ อ.กมลาไสย เบื้องต้นคาดว่ามีจำนวนกว่า 400 คน โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจคัดกรองเชิงรุกพบมีกลุ่มเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วย ซึ่งพบมีอาการไข้ และน้ำมูกเข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรคจำนวน 20 ราย กลุ่มเสี่ยงสูง 34 ราย กลุ่มเสี่ยงต่ำ 82 ราย ซึ่งทั้งหมดยังรอผลตรวจ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามและตรวจสอบ

จากนั้นเวลา 11.00 น.วันที่ 13 เมษายน 2564 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและวางมาตรการป้องกัน โดยมีนายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะเป็นเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์  กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19)  ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงล่าสุดวันที่ 13 เมษายน 2564 พบผู้ติดเชื้อรวม 3 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นหญิงวัย 35 ปี ได้เข้ารักษาตัวหายดีกลับบ้านแล้ว ส่วนผู้ติดเชื้อช่วงเดือนเมษายน 2564 หรือการระบาดระลอก 3 จ.กาฬสินธุ์ มีผู้ป่วยยืนยัน 2 ราย โดยคนแรกเป็นหญิง อายุ 28 ปี อาศัยอยู่ ต.หลักเมือง อ.กมลาไสย ผลตรวจยืนยันเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 และผู้ป่วยรายที่ 2 ซึ่งเป็นรายล่าสุด เป็นชายอายุ 33 ปี ทำงานเป็นหัวหน้าการ์ดในสถานบันเทิง Brothere pub จ.ปทุมธานี ได้เดินทางกลับบ้านใน ต.คลองขาม อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งยืนยันผลตรวจ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564  จากโรงพยาบาลการุญเวช จ.ปทุมธานีพบติดเชื้อ โดยทั้ง 2 ราย ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ นอกจากนี้ยังมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากผู้ป่วยทั้ง 2 ราย และกลุ่มเสี่ยงสูงกลุ่มอื่นๆเบื้องต้น 3 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลยืนยัน

นายทรงพล กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อวันนี้ จึงได้มีคำสั่ง จ.กาฬสินธุ์ ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19  ได้แก่ สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ำ สถานประกอบกิจการ อาบ อบ นวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ 13 -26 เมษายน 2564 หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และกำชับแต่ละอำเภอเข้มงวดในการจัดงานรวมคนจำนวนมาก พร้อมทั้งขอให้ประชาชนใน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT โดยการเว้นระยะห่าง ใส่แมส ล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ร่วมมือใช้แอปฯไทยชนะ พร้อมกับหลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนแออัด เพื่อปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล

กระบี่ - จนท.กองป้องกันอบจ.กระบี่ เร่งพ่นยาฆ่าเชื้อ ท่าเรือโดยสารไปเกาะพีพี และสถานนีขนส่งกระบี่

หลังพบนักท่องเที่ยวใช้บริการจำนวนมาก ช่วงสงกรานต์ ขณะทีมสอบสวนโรค นำเด็กนักเรียนโรงเรียนดัง ที่มีความเสี่ยงสูง จำนวนกว่า 60 ราย ไปตรวจหาเชื้อพร้อมกักตัว 14 วัน   หลังพบครูสอนภาษาชาวต่างชาติ ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ เป็นรายที่ 5  

วันที่  13 เม.ย. 64 เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ. โควิค-19. กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.กระบี่ พ่นย่าฆ่าเชื้อ ที่บริเวณท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยว ปากคลองจิหลาด  อบจ.กระบี่  ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ รวมทั้งบนเรือโดยสาร หลังมีนักท่องเที่ยวใช้บริการเดินทางไปยังเกาะพีพี รวมไปถึงสถานีขนส่งจังหวัดกระบี่จำนวนมาก ในช่วงวันสงกรานต์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19  

ส่วนที่โรงเรียนอนุบาลกระบี่ อ.เมืองกระบี่ ทางจนท.ได้ทำการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อตามจุดต่าง ๆ ภายในบริเวณโรงเรียน และภายในห้องเรียน โรงอาหาร ทำความสะอาดโต๊ะ เก้าอี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ หลังพบครูสอนภาษา เพศหญิงวัย 27 ปี สัญชาติบราซิล ที่สอนอยู่ในโรงเรียนติดเฃื้อไวรัสระลอกใหม่ เป็นรายที่ 5 ของจังหวัดกระบี่  นอกจากนี้ทางทีมสอบสวนโรค สนง.สาธารณสุข จ.กระบี่  ได้นำเด็กนักเรียนที่สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวนกว่า 60 คน ไปตรวจหาเชื้อและกักตัวเป็นเวลา 14 วัน 

สำหรับสานการการณ์สถานการณ์สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ระลอกใหม่ ในจังหวัดกระบี่  ตั้งแต่วันที่ 1-12 เม.ย. 64 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด -19  จำนวน 5 ราย ในอำเภอเมืองกระบี่ 4 ราย อ.เหนือคลอง 1 ราย อยู่ระหว่างรอผลตรวจอีก 30 ราย


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

เชียงราย - จัดทำบุญตักบาตร วันสงกรานต์ สวมหน้ากากป้องกันโควิด-19

วันที่ 13 เมษายน 2564 นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ทำบุญตักบาตร พระภิกษุสงฆ์สามเณรจำนวน 99 รูป "ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง จ.ศ. 1383" ที่ทางเทศบาลนครเชียงรายจัดขึ้น บริเวณแยกสุริวงค์ ถนนธนาลัย โดยมี นายภูวิศ วรรณพฤษ์ ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นายอิทธิพล สุนทรสีมะ รองปลัดเทศบาลนครเชียงราย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่เทศบาลนครเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเชียงราย รวมทั้ง ชาวเชียงราย ร่วมกับทำบุญตักบาตร เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ไทย วันสงกรานต์ โดยมีพระสงฆ์ นำโดย พระรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นำพระสงฆ์ ออกรับบิณฑบาตร โดย เริ่มตั้งแต่แยกสุริวงค์ จนถึง แยกศาล  ถนนธนาลัย รวมระยะทาง 1 กิโลเมตร

การร่วมทำบุญตักบาตร ทางเจ้าหน้าที่สาธารสุขเทศบาลนครเชียงราย ได้มีการตรวจคัดกรองผู้เข้าร่วมทำบุญ และ เน้นย้ำทุกคนต้องสวมใส่หน้ากาก เพื่อป้องกันโควิด-19  อย่างไรก็ตาม ปีนี้มีชาวพุทธ มาร่วมทำบุญตักบาตรน้อยกว่าทุกปี และมีการเว้นระยะห่าง สวมใส่หน้ากากเพื่อป้องกันโควิด-19 ทุกคน ทั้งนี้สาเหตุที่มีผู้ออกมาทำบุญน้อย มาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น 

จากการสอบผู้ที่มาทำบุญใส่บาตรต่างจิตอธิฐานของให้สถานการณ์โควิด19 ลดลงโดยเร็ว เพื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ  ขณะที่สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด19 จังหวัดเชียงราย พบผู้ป่วยสะสม ตั้งแต่วันที่ 6-12 เมษายน 2564 รวมทั้งสิ้น 59 ราย โดยทั้งหมดเป็นกลุ่มที่มาจากพื้นที่เสี่ยง


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงราย - สกัดแก๊งค้ายาช่วงสงกรานต์ ยึดยาบ้าเกือบ 6 หมื่นเม็ด ยาเค อีก 56 กิโลกรัม

ที่ สภ.แม่สาย พ.ต.อ.พิพัฒน์ นาระเดช ผกก.สภ.แม่สาย จ.เชียงราย พร้อมด้ย พ.ต.ท.คมกฤช ไชยสาร รอง ผกก.ป.สภ.แม่สาย พ.ต.ท.อนุพันธ์ กันถารัตน์ รอง ผกก.สืบสวน สภ.แม่สาย พ.ต.ท.พีรพจน์ ธุระกิจ  สว.สส.สภ.แม่สาย พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่พริก  จ.ลำปาง ได้ร่วมกับจับกุมตัว นายตาน ทุน อ่อง อายุ 37 ปี ชาวสัญชาติพม่า  พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 2 ถุงๆ ละ 127 เม็ด และ 140 เม็ดตามลำดับรวมทั้งหมดจำนวน 267 เม็ด ในข้อหา "มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย และข้อหาเสพยาเสพติดฯ

โดยการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมาเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่พริก ได้จับกุม น.ส.จิราพร บุญรอด อายุ 34  ปี ชาว ต.หนองกุ่ม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี น.ส.ชญาภา อินทร์น้อย  อายุ 38  ปี ชาว ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี นายณัฐกาญจน์  จันทะสน  อายุ 24  ปี ชาว ต.แก่งเสี้ยน อ.เมืองกาญจนบุรี  จ.กาญจนบุรี และ น.ส.วีรยา  วัลลา  อายุ 36  ปี ชาว ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 59,400 เม็ด และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) จำนวน 56 กิโลกรัม

จากการสอบปากคำทั้ง 4 คน ให้การซัดทอดว่าได้รับยาบ้ามาจากนางตาน ทุน อ่อง  ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย  ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่พริก จึงประสานตำรวจ จ.เชียงราย เข้าตรวจค้นห้องพักของนายตาน ทุน อ่อง  ในพื้นที่หมู่บ้านป่าเหมือด หมู่ 8 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย โดยใช้อำนาจเจ้าพนักงาน ปปส. นำโดย พ.ต.ต.สุชาติ หอมนาน สวป.สภ.แม่พริก  เมื่อไปถึง พบตัวนายตาน ทุน อ่อง และเมื่อตรวจดูในภายในห้อง พบยาบ้าจำนวน 267 เม็ด เมื่อสอบถามก็รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและยังรับว่าได้เสพยาบ้าอีกด้วยเจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปตรวจหาสารเสพติดที่โรงพยาบาลแม่สายและควบคุมตัาพร้อมของกลางดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยกลุ่มขบวนการดังกล่าวได้อาศัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่มีนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางเป็นจำนวนมาก แฝงตัวมากับนักท่องเที่ยวโดยได้อำพรางยาบ้า ซุกซ่อนไว้ในยางอะไหล่ท้ายรถ ก่อนจะเดินทาง จาก อ.แม่สาย เพื่อมุ่งหน้าสู่ตอนในของประเทศ แต่ก็มาถูกจับกุมดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลติดตามเครือข่ายของผู้กระทำผิดตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว ณัฐวัตร ลาพิงค์

 

สงขลา - ชาวสงขลาออกมาทำบุญตักบาตร เนื่องในวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยคึกคัก ท่ามกลางการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19

ประชาชนจะสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตนเองเมื่อออกจากบ้าน รวมทั้งพระสงฆ์ที่เดินรับบิณฑบาตจากประชาชนก็สวมหน้ากากอนามัยทุกรูปเช่นเดียวกัน

วันนี้  13 เม.ย.64  ซึ่งเป็นวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทย ท่ามกลางการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ย่านการค้าวชิรา ถนนทะเลหลวง อ.เมือง จ.สงขลา มีพุทธศาสนิกชนชาวสงขลาเดินทางมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์บริเวณนี้กันอย่างคึกคัก โดยทุกคนจะสวมหน้ากากอนามัยเนื่องจากเป็นช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ และวันนี้เป็นวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทย ชาวสงขลาจะออกมาทำบุญตักบาตรเป็นประจำทุกปี ทำให้บริเวณนี้คึกคักพระสงฆ์ออกมาเดินรับบิณฑบาตรจากประชาชนตามปรกติ ซึ่งถือเป็นกิจของสงฆ์และพระทุกรูปจะสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตนเองเช่นเดียวกัน

ในช่วงนี้ประชาชนที่มาทำบุญตักบาตรมากกว่าปรกติ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่จะเดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์มาอยู่กับครอบครัว เพราะมีวันหยุดยาวหลายวัน มีพระสงฆ์และสามเณรหลายรูปจากวัดโคกเปรี้ยว ต.เกาะยอ อ.เมืองสงขลา มาบิณฑบาตที่บริเวณนี้ด้วย เพื่อนำอาหารที่บิณฑบาตกลับไปฉันในมื้อเช้าและเก็บไว้ฉันเพลในมื้อเพลอีก 1 มื้อ เนื่องจากในวัดมีพระสงฆ์และสามเณรในวัดเกือบ100 รูป

วันนี้ ชาวสงขลาออกมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เนื่องในวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทย ท่ามกลางการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้คงอยู่สืบไป โดยนำอาหารหวานคาว  ข้าวสารอาหารแห้งมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

นครพนม - เจอรายที่ 3 สาวติด 'โควิด-19' หลังจากเดินทางกลับจาก กทม.

วันที่ 12 เม.ย.54 ทีมตระหนักรับรู้สถานการณ์โควิด สำนักงานสาธารณสุข จ.นครพนม เปิดเผยว่า พบหญิง อายุ 30 ปี อาชีพแม่บ้าน อ.เมือง จ.นครพนม ติดโควิดเป็นรายที่ 3 หลังมีความเสี่ยงเดินทางกลับจาก กทม.เปิดไทม์ไลน์ดังนี้

วันที่ 1 เม.ย. ไปทานอาหารที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว

วันที่ 2-4 เม.ย. เข้าอบรมที่พหลโยธินเพลส มีผู้เข้าร่วมอบรมประมาณ 50 คน เวลา 19.00 น. ทานอาหารร่วมพับเพื่อน 4 คนที่ร้านอาหารทะเล เวลา 21.00 น. ไปทานข้าวกับเพื่อนที่ร้านย่านรามอินทรา กับเพื่อน 3 คน

วันที่ 5 เม.ย. ไปสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งใน กทม. ไปทานข้าวกับเพื่อน 3 คน ที่ร้านอาหารย่านรามอินทรา

วันที่ 6 เม.ย. ไปทานอาหารที่ห้านเซ็นทรัลลาดพร้าว ต่อด้วยไปงานวันเกิดที่สนามกอล์ฟใน กทม. มีผู้ร่วมงานราว 30-40 คน

วันที่ 7 เม.ย. อยู่บ้านที่ กทม. เริ่มมีอาการระคายคอ

วันที่ 8 เม.ย. เวลา 13.00-18.00 น. ไปซื้อของที่แพลตตินั่ม เดินทางกลับนครพนมด้วยรถยนต์ส่วนตัว ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ผู้ร่วมเดินทาง 3 คน พักรถที่ปั๊มน้ำมัน จ.นครราชสีมา และ จ.กาฬสินธุ์

วันที่ 9 เม.ย. เวลา 08.00 น. เดินทางถึงบ้านพักที่นครพนม เริ่มมีอาการปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว เดินทางมาขอรับการตรวจ Rapid ที่ รพ.นครพนม แต่คิวเต็ม จึงเดินทางกลับบ้านพัก

วันที่ 10 เม.ย. พักอยู่บ้าน

วันที่ 11 เม.ย. เวลา 09.00 น. ไปขอรับการตรวจที่ รพ.ปลาปาก แต่ไม่ได้ตรวจเนื่องจากคิวยาว จึงเดินทางไปขอรับการตรวจ ณ จุดคัดกรองเกณ์ทหาร อ.ปลาปาก ก่อนกลับบ้าน

วันที่ 12 เม.ย. พักอยู่ที่บ้าน ทราบผลการตรวจว่าพบเชื้อโควิด สสจ.แจ้ง 1669 รับเข้ารับการรักษาที่ รพ.นครพนม

ด้าน เฟซบุ๊ก ไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าฯ นครพนม โพสต์ระบุว่า “รายที่ 3 แล้วนครพนม พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายนี้เป็นคนอำเภอเมืองนครพนม ไปกรุงเทพฯมากับครอบครัว โดยรถยนต์ส่วนตัวรถคันเดียวกัน ทีมสาธารณสุข จ.นครพนม ลงไปสอบสวนโรค กักตัวผู้เสี่ยงสูงจำนวน 6 ราย ไว้ตรวจหาเชื้อและสังเกตอาการต่อไป” น่าเป็นห่วงครับ คนที่มาจากพื้นที่เสี่ยงครับ ญาติพี่น้องใครช่วยกันตักเตือนให้กักตัว จนกว่าจะได้รับการตรวจหาเชื้อ ถ้าไม่ฟังแจ้งนายอำเภอท้องที่ได้เลยนะครับ

 


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

ขอนแก่น - ไฟไหม้รถทัวร์โดยสารสายบึงกาฬ- กรุงเทพฯ ผู้โดยสารดับคาที่ 5 ราย เจ็บสาหัส 12 ราย เหตุเกิดจากยางรถระเบิดและเกิดประกายไฟติดห้องเครื่องด้านหลังก่อนลุกลามทั่วทั้งคัน

เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 13 เม.ย.2564 เจ้าหน้าที่กู้ภัย รพ.สิรินธร อ.บ้านแฮด จ.ขอแนก่น ได้รับแจ้งจากศุนย์วิทยุ 1669 ว่าเกิดเหตุ  รถทัวร์โดยสารปรับอากาศชั้น 1 สายอุดรธานี-กรุงเทพฯ  เกิดไฟไหม้ที่บริเวณเครื่องยนต์ด้านหลังก่อนที่จะลุกลามไหม้ทั้งคัน หลังรับแจ้งจึงประสานงานร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านแฮด ,ปภ.เขต 6 พร้อมระดมทีมแพทย์ฉุกเฉินจากพื้นที่ใกล้เคียงเข้าตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุถนนถนนมิตรภาพ  บ้านหนองขาม ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด ขอนแก่น เจ้าหน้าพบรถทัวร์โดยสาร 2 ชั้นของบริษัท 407 พัฒนาทัวร์ จำกัด สายอุดรธานี -กรุเทพฯ หมายเลขทะเบียน 22-34 หมายเลขทะเบียน 10-7387 อุดรธานี    

เกิดเพลิงไหม้อยู่ริมถนน ขณะที่ผู้โดยสารต่างพากันหนีตายออกจากรถกันจ้าละหวั่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชม. จึงสามารถคบคุมเพลิงได้ ตรวจเบื้องต้นพบมีผู้เสียชีวิตภายในรถรวมทั้งหมด 5  ราย และมีได้รับบาดเจ็บจำนวน 12 รายเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงต้องเร่งนำตัวส่ง รพ.สิรินธร และ รพ.ขอนแก่น เป็นการเร่งด่วน ส่วนอีก 16 รายปลอดภัย

จากการสอบถามผู้โดยสารที่รอดชีวิต ทราบว่า รถทัวร์โดยสารคันดังกล่าวออกจากสถานีข่นสง จ.บึงกาฬ เพื่อนำผู้โดยสารกว่า 30 คนเดินทางเข้า กรุงเทพฯ โดยแวะรับผู้โดยสารจาก จ.อุดรธานี และ ขอนแก่น และกำลังจะเดินทางไปที่กรุงเทพฯ  โดยเมื่อวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุได้เกิดยางรถแตกเสียงดังสั่นก่อนที่จะเกิดประกายไฟลุกลามติดห้องเครื่องจากนั้นได้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วผู้โดยสารทั้งหมดจึงวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่สามารถสกัดและควบคุมเพลิงไว้ได้  รถพบร่างผู้เสียชีวิตรวม 5 ราย เป็นผู้ใหญ่ 3 ราย เด็กอีก 2 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ  ขณะที่คนขับรถทัวร์คันดังกล่าวซึ่งได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวเข้าทำการรักษา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะมีการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ฤาถึงคราวที่จีนจะหนุน CRPH?

ข่าวดังรับสงกรานต์ของวันที่ 12 เมษายน คงหนีไม่พ้นเรื่องที่จีนยกหูติดต่อรัฐบาล CRPH เพื่อตกลงเจรจาผลประโยชน์ของจีนในเมียนมา  แต่ก่อนจะมาถึงข่าวนี้หลายคนคงได้ทราบแล้วว่า รัฐบาลเงา CRPH นั้นจะเรียกได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงและการปล่อยข่าวต่างๆออกมา  ซึ่งหนึ่งในข่าวเหล่านั้นคือข่าวที่ว่าจีนเป็นผู้ให้การสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพเมียนมา

และเรื่องราวก็ลุกลามใหญ่โตจนไปถึงเรื่องของการเผาโรงงานและธุรกิจของชาวจีนในเมียนมาหลายแห่งรวมถึงธุรกิจตามนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ทางจีนห่วงที่สุดก็น่าจะเป็นท่อก๊าซในเมียนมาที่ต่อตรงจากเมืองเจาท์ผิ่วไปยังชายแดนจีน  โดยมีระยะทางยาวมากกว่า 2,500 กิโลเมตร ซึ่งลงทุนโดย บริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (China National Petroleum Corp : CNPC) และนั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทางจีนมองว่าได้ไม่คุ้มเสียหากไม่หาทางป้องกัน  

เพราะจีนน่าจะรู้ดีที่สุดว่างานนี้ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังและการที่จีนยกหูถึงรัฐบาล CRPH ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าจีนเลือกหนทางแบบพ่อค้าดีกว่าหนทางแบบมาเฟียคือดีลกับทุกค่าย  ใครแพ้ ใครชนะ  จีนก็ไม่มีวันแพ้   แต่ถ้างานนี้รัฐบาล CRPH ยอมซูเอี๋ยกับทางรัฐบาลจีน อาจจะถึงคราวกลืนน้ำลายตัวเอง  และนี่อาจจะเป็นจุดที่ทาง CRPH ต้องเลือกก็เป็นได้  เพราะทุกวันนี้แม้ชาติตะวันตกจะให้การรับรู้ว่ามีรัฐบาลพลัดถิ่นของ CRPH แต่ก็ไม่มีประเทศไหนได้ให้การรับรองรัฐบาล CRPH แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ตาม  นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจต่อสหรัฐอเมริกาที่มีต่อเมียนมาในยามวิกฤตและถ้าหากรัฐบาลจีนยอมรับรองรัฐบาลพลัดถิ่น CRPH แล้วละก็ งานนี้กลุ่มผู้ประท้วงผู้รักประชาธิปไตยคงได้หันตัวแบบ 365 องศากันเลยทีเดียว หรือไม่ก็อาจจะเกิดกระแสตีกลับก็เป็นได้ เพราะจากคนที่เคยเกลียดจีนเข้าไส้  ต้องหันมาจูบปากกันอย่างดูดดื่มซึ่งเชื่อได้ว่าถ้าออกรูปนี้จริงเอย่าว่าดูไม่จืดแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามถามว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแผนดึงเมียนมากลับมาเป็นมหามิตรของจีนอีกครั้งได้หรือไม่ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเป็นไปได้   งานนี้คงต้องขึ้นกับรัฐบาล CRPH แล้วละว่าหากมีการต่อสายตรงถึงกันจริงจะยังชังกันอยู่หรือยอมกลืนน้ำลายตัวเองเสียเครดิตกับมวลชนนิดหน่อยแต่ได้ประเทศใหญ่และมีศักยภาพอย่างจีนมาเป็นมิตรเช่นเดิม   สุดท้ายรัฐบาล CRPH อาจจะต้องประเมินว่าหากกลับไปจูบปากกับจีนคนเมียนมาปัจจุบันที่เป็นมวลชนของ CRPH จะรับได้ไหมหรือรัฐบาล CRPH จะแก้ลำอย่างไร แล้วคนเมียนมาจะเชื่อไหม  หรือสุดท้ายคนเมียนมาจะตื่นรู้ว่าสุดท้ายพวกเขาก็คือเบี้ยของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่เมื่อสมยอมตกลงกันได้  อะไรที่ผ่านมาก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

ที่มา: AYA IRRAWADEE


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top