Monday, 20 May 2024
POLITICS TEAM

ศาลอาญาไม่ให้ประกัน ‘เพนกวิน’ หลังแม่หอบเงินล้านบาทขอปล่อยตัว ชี้ผู้ร้องเคยยื่นหลายครั้งแล้ว รวมทั้งศาลอุทธรณ์ก็ไม่อนุญาต เนื่องจากเกรงจะไปก่อเหตุร้าย และไม่ได้กระทบต่อการศึกษาอย่างชัดเจน

ความคืบหน้ากรณีนางสุรีรัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน เดินทางมายื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวนายพริษฐ์ ที่ไม่ได้รับการประกันตัว 2 คดี สำนวนแรกเป็นหมายเลขดำที่ อ.286/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์เป็นจำเลยเพียงคนเดียว กรณีชุมนุมม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14 - 15 พ.ย. 2563 บริเวณแยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน สำนวนที่ 2 หมายเลขดำที่ อ.287/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์กับพวกเป็นจำเลย กรณีชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจ เมื่อวันที่ 19 - 20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก, ขอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างเหตุผลว่านายพริษฐ์ หรือเพนกวิน กำลังจะใกล้สอบแล้วนั้น

ล่าสุด ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งว่า คดีนี้ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ร้องอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า เกรงว่าจำเลยจะไปก่อเหตุร้ายอีก หลังจากนั้นผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยชั่วคราวอีกหลายครั้ง

ทั้งนี้ศาลเห็นว่าการที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและได้ให้เหตุผลไว้แล้ว โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการยุติว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลชั้นต้นนั้นถูกต้องแม้กฎหมายจะอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ แต่การยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ ซึ่งจะมีผลให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้นั้น ต้องปรากฏว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์แห่งคดีได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าในเหตุลักษณะคดี เช่น มีการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วปรากฏพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 อนุสอง หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวกับจำเลยอันแสดงว่าจำเลยนั้นจะไม่หลบหนีหรือไม่สามารถไปก่อเหตุร้ายอื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ศาลไม่จำต้องระบุเหตุผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ใหม่ เพราะเท่ากับจะเป็นการคัดลอกข้อความที่ศาลนี้และศาลอุทธรณ์ได้เคยมีคำสั่งไว้แล้ว ยิ่งเมื่อศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง หากศาลจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่มีเหตุ ย่อมเป็นการวินิจฉัยคดีตามอำเภอใจไม่เป็นแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 อาจเจ็บป่วยเพราะมีโรคประจำตัวนั้น ขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยจริงจนถึงขนาดไม่สามารถรักษาพยาบาลภายในเรือนจำได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 เป็นนักศึกษานั้นมีเพียงเหตุผลให้คาดคะเนได้ว่าจะไม่สะดวกในการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่าจะกระทบต่อการเรียนของจำเลยที่ 1 อย่างชัดเจนร้ายแรงอย่างไร

ส่วนการดูแลครอบครัวและการประกอบอาชีพของจำเลยอื่นก็เป็นเหตุความขัดข้องทั่วไปของบุคคลซึ่งต้องคดียังไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมว่าจำเลยทั้งหมดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจนถึงขนาดที่จะมีผลเพราะให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง


ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000021155

นายกรัฐมนตรี สั่งกลาโหม เคลียร์ไอโอ กองทัพ หลังโดนเฟซบุ๊กไล่ปิดบัญชี เชื่อเชื่อมโยงประเด็นทางการเมือง

หลังจากวานนี้ (3 มี.ค.) เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์ปิดบัญชีผู้ใช้งานจำนวน 185 บัญชี รวมถึงกลุ่มต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับไอโอซึ่งดำเนินการโดยกองทัพไทย โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานอ้างคำกล่าวของหัวหน้าฝ่ายนโยบายความมั่นคงด้านไซเบอร์ของเฟซบุ๊กที่ระบุว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่เราดำเนินการกับสิ่งที่เชื่อมโยงกับกองทัพไทย เฟซบุ๊กพบเห็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างปฏิบัติการนี้กับ กอ.รมน." และยังระบุด้วยว่าเครือข่ายดังกล่าวใช้เงินราว 350 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อโฆษณาบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม

บัญชีที่ถูกระงับเนื่องจาก "มีพฤติกรรมการใช้งานคล้ายบัญชีปลอม" แบ่งออกเป็น บัญชีส่วนตัว 77 บัญชี, 72 เพจ, และ 18 กลุ่ม รวมถึงอีก 18 บัญชีบนอินสตาแกรม

เฟซบุ๊กกล่าวว่า บัญชีเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับกองทัพและมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้งานในภาคใต้ของไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งยาวนานกว่า 10 ปี ระหว่างกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกับรัฐไทย

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึง กรณีเฟซบุ๊กปิดบัญชีและกลุ่มในเฟซบุ๊กที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ในประเทศไทยที่เป็นของกองทัพ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เฟซบุ๊กปิดบัญชีในไทยที่เกี่ยวโยงกับรัฐบาล ว่า...

“เรื่องนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมไปติดตามแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่มีการพูดในสภาผู้แทนราษฎร จึงให้ไปติดตามดูว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งหลายอย่างก็เป็นประเด็นทางการเมืองไปด้วย” นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ถามไปด้วยว่า “เฟซบุ๊กลักษณะเช่นนี้มีหลายทางด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว ย้ำว่า ได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมไปติดตามดู และทำให้เกิดความชัดเจนโดยเคลียร์ให้ชัดเจน”


ที่มา: https://www.posttoday.com/politic/news/647006

https://www.bbc.com/thai/56275989

“อนุสรณ์” ชี้ ถ้ารัฐบาลไม่เร่งแก้รัฐธรรมนูญ ระวังจะอยู่ไม่ได้ ลั่นประชาชนให้โอกาสและรอรัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้า "พล.อ.ประยุทธ์" เบี้ยวครั้งนี้ อาจไม่มีโอกาสได้อยู่แก้ไขรัฐธรรมนูญอีกเลย

วันนี้ (4 มีนาคม 2564) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางคนออกมาประกาศจุดยืนไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ช่วงกลางเดือนมีนาคม หลังจากพ้นระยะเวลา 15 วัน ว่า อาจเป็นการออกมาโยนหินถามทางและส่งสัญญาณถึง ส.ว.ในเครือข่ายสืบทอดอำนาจระบอบประยุทธ์ ต้องการแสดงให้พวกเดียวกันเห็นว่าการที่มี ส.ว.ออกมาประกาศไม่ยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถประกาศได้ ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เพื่อดึงดูดให้ ส.ว.คนอื่นๆกล้าออกมาประกาศ แลกกับการได้รับตำแหน่งเป็นการปูนบำเหน็จต่อไปเรื่อย ๆไม่จบไม่สิ้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า "ความจริงคนพวกนี้อยู่ในตำแหน่งทางการการเมืองโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งมาสิบกว่าปี ฉายาสภาปรสิต ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย คนกลุ่มนี้อาศัยห้อยโหนระบอบสืบทอดอำนาจ รอทำหน้าที่หลักคือโหวตเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมถูกคว่ำในกลางเดือนมีนาคม ทั้งอาจเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือการลงมติของ ส.ว. 250 คน จะทำให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านระบอบประยุทธ์ครั้งใหญ่ทั่วประเทศ

เพราะประชาชนหมดความอดทน รู้สึกเหมือนถูกหักหลังผิดหวังซ้ำซาก ทั้งที่รัฐบาลแถลงนโยบายให้เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนข้อที่ 12 แต่ไม่จริงใจและบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา รวมทั้งอาจประเมินว่าแรงกดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนอกสภาเบาลง ซึ่งเป็นการประเมินผิดพลาดและดูเบาประชาชน"

“ใครทำอะไรไว้ ย่อมได้รับผลกรรมที่ก่อ ประชาชนให้โอกาสและรอรัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ เบี้ยวครั้งนี้ อาจไม่มีโอกาสได้อยู่แก้ไขรัฐธรรมนูญอีกเลย” นายอนุสรณ์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ พ้อปมวัคซีนโควิด บางคนไม่ชมแล้วยังแช่ง ลั่นทำทุกอย่างตามขั้นตอน ไม่เคยต้องการผลประโยขน์จากใคร คาดหวัง หลังฉีดวัคซีนจะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดลดลง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 มี.ค. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO Conference โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดการประชุม ว่า

ปกติก็ไม่ค่อยได้เจอกันได้บ่อยนัก ถือว่าพวกเราหัวอกเดียวกัน แม้นายกรัฐมนตรีจะอยู่ตรงนี้ก็ตามแต่ก็เคยเป็นข้าราชการมาก่อน จึงรู้ดีถึงปัญหาและข้อขัดข้อง ที่เราดำเนินการโดยเฉพาะการบริหารราชการแนวใหม่ เพราะรัฐบาลต้องขับเคลื่อนหลายอย่างด้วยกัน

ดังนั้นจึงถือว่าวันนี้มาพบและพูดกับคนในครอบครัว ว่าจะทำอย่างไรให้ครอบครัวใหญ่ของเราคือประเทศไทย มีความอยู่ดี กินดี ก้าวหน้าแก้ปัญหาอุปสรรคข้างหน้าในสิ่งใหม่ ๆ เพื่อเป็นอนาคตของพวกเราทุกคน ทั้งนี้ ทุกคนทราบดีถึงสถานการณ์ต่างๆอยู่แล้วทั้งนอกและในประเทศ และครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของปี

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอพูดถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ขอบคุณส่วนราชการทุกแห่งที่ร่วมมืออย่างเต็มที่ในการรับมือการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และมีผลสำเร็จตามลำดับจนสามารถควบคุมได้ สถิติผู้ติดเชื้อลดลง ซึ่งเป็นการดีที่จะทำให้เศรษฐกิจต่างๆดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่จะมาถึงได้มอบหมายให้ทาง ศบค.พิจารณาเพิ่มเติมแล้ว ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวได้ในทางที่จะทำให้เกิดผลดีต่อประชาชนโดยตรง ส่วนเรื่องของวัคซีนวันนี้มีข่าวจากหลายทางด้วยกัน ทั้งดีและไม่ดี ชมและไม่ชม หรือมีทั้งส่วนที่ไม่ชมแล้วแช่ง ดังนั้น เราต้องร่วมมือกันสร้างความเข้าใจ ว่ารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

“ผมเองไม่ได้ต้องการผลประโยชน์จากใครทั้งสิ้น วันนี้สิ่งที่ทำก็ทำตามขั้นตอนและแนวทางการพิจารณาของบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข ซึ่งไทยมีชื่อเสียงในระดับต้นๆของโลก ดังนั้นจึงต้องฟังเขา ไม่เพียงเฉพาะแต่ข้าราชการในปัจจุบัน แต่ยังต้องรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ อดีตแพทย์ อดีตอธิบดี ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ นำหลักการมาพิจารณาให้เกิดความเหมาะสม เกิดความปลอดภัย

และหลังจากที่เราเริ่มฉีดวัคซีนแล้วรู้สึกว่าสังคมดีขึ้น มีความหวังที่จะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดลดลง แต่ยังคงไม่หมดสิ้นไปจากโลกเพราะขณะที่ไทยมีสถิติลดลง แต่ต่างประเทศก็ยังเพิ่มขึ้น ก็ต้องมาดูที่สาเหตุซึ่งแม้จะมีวัคซีนแต่ก็ฉีดไม่ได้เพราะประชาชนไม่สมัครใจ ในหลายประเทศซึ่งมีวัคซีนพร้อม แต่มีประชาชนมากกว่าร้อยละ 50 ไม่สมัครใจที่จะฉีดนั่นก็คือสิ่งที่เป็นประเด็น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

‘ศรีสุวรรณ’ ชี้! ‘แอมมี่ เดอะ บอททอมบลูส์’ ทำผิดกฎหมายหลายกระทง โทษขั้นต่ำคุก 23 ปี สูงสุดประหารชีวิต ฝากถึงม็อบ 3 นิ้วใช้กรณีนี้เป็นตัวอย่าง อย่าปากกล้าขาสั่น เมื่อกล้าทำผิดก็ต้องกล้าที่จะรับโทษทัณฑ์

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า กรณีศาลอาญา อนุมัติออกหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ “แอมมี่ เดอะ บอททอมบลูส์” นักร้องชื่อดังและแนวร่วมกลุ่มราษฎร ในข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว “แอมมี่” ได้ ใกล้โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอยุธยา ล่าสุด เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความสารภาพว่าเป็นผู้วางเพลิงจริง

การกระทำของแอมมี่ถือว่าเป็นกรรมหนัก เข้าข่ายความผิดหลายข้อหา หลายฐานความผิดด้วยกัน เช่น ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 112 “การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” มีอัตราโทษจำคุก 3 ปีถึง 15 ปี ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 218 “การวางเพลิงเผาทรัพย์” มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 360 “การทำลายทรัพย์สาธารณะ” มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 365 “การบุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน” มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การนำภาพที่ก่อเหตุมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวก็ยังเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขเพิ่มเติม 2560 ม.14(3) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้วยนั่นเอง รวมๆอัตราโทษทั้งหมดทุกกระทงแล้วก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 23 ปี สูงสุดก็ประหารชีวิต

จึงเป็นเรื่องปกติที่ศาลจะไม่ให้ประกันตัวแอมมี่ เนื่องจากมีอัตราโทษค่อนข้างสูง และมีพฤติการณ์ที่อาจหลบหนีได้ ส่วนพวกลิ่วล้อทั้งหลาย ไม่ต้องฟูมฟายเอากรณีดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับกรณีอื่นๆ เพื่อหาเรื่องตำหนิกระบวนการยุติธรรม ว่าทำไมศาลจึงไม่ให้ประกันตัวออกมาสู้คดีเหมือนกรณีอื่น ๆ เพราะกรณีมันต่างกัน อัตราโทษมันสูง ใครจะกล้าเสี่ยงให้ปล่อยออกมาได้ พวกสามนิ้ว พวกอีแอบทั้งหลาย จงใช้กรณีเยี่ยงนี้เป็นบทเรียนว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย เมื่อทำผิดแล้วต้องเข้าคุกทุกราย อย่าปากกล้าขาสั่น เมื่อกล้าทำผิดก็ต้องกล้าที่จะรับโทษทัณฑ์

ดร.อานนท์ เผยเหตุบรรยายเป็นภาษาไทย ทั้งที่ใช้อังกฤษคล่อง บนเวทีดีเบต FCCT เพราะไม่แม่นศัพท์ทางกฎหมาย พร้อมชื่นชมล่ามคนรุ่นใหม่ว่าแปลได้ชัดเจน

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นักวิชาการจากนิด้า โพสต์ข้อความผ่านเพซบุ๊กส่วนตัว กล่าวถึงกรณีมีคนสงสัย เหตุใดไม่บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ บนเวทีดีเบต ‘มาตรา 112’ ที่จัดโดย สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) โดยระบุว่า

ผมพูดภาษาอังกฤษได้คล่องนะครับ คล่องระดับเคยเป็น adjunct assistant professor สอนนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านบริหารธุรกิจในสหรัฐอเมริกา

แต่ก็ยอมรับว่าให้ไปบรรยายประเด็นทางกฎหมายด้วยภาษาอังกฤษนั้น จะไม่คล่อง เพราะผมไม่ได้เรียนกฎหมายเป็นภาษาอังกฤษเลย ผมเรียนกฎหมายเมื่อเรียนในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือเมื่อเรียนปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์และนิด้าก็เรียนเป็นภาษาไทยล้วน ๆ ส่วนตอนไปเรียนปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกาก็เรียนจิตวิทยาและสถิติ ไม่ได้เรียนกฎหมายแต่อย่างใด ยอมรับว่าตัวเองไม่มีวงศัพท์นิติศาสตร์ภาษาอังกฤษเลย จึงไม่มั่นใจว่าจะบรรยายประเด็นทางกฎหมายเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร ไม่น่าจะทำได้ fluent มากนัก

แต่ถ้าเอาจริงผมไปนั่งอ่านพจนานุกรมศัพท์นิติศาสตร์ อังกฤษ-ไทย สักเล่ม ผมก็คิดว่าผมพอจะบรรยายประเด็นทางกฎหมายได้ แต่เนื่องจากไม่มีเวลาเตรียมตัว ประกอบกับคุณหมอวรงค์ ก็แจ้งว่าต้องการให้คนฟังหลักที่เป็นคนไทยได้เข้าใจได้โดยง่าย

การสร้าง mental lexicon ศัพท์นิติศาสตร์ภาษาอังกฤษ เลยเป็นอันพับไปก่อน ไว้จะไปหามาศึกษาครับ เมื่อบนเวทีตกลงกันว่าต้องการให้คนไทยได้ฟัง เลยพูดภาษาไทยกัน

ใจจริงก็อยากพูดอังกฤษ เราอาจจะพูดช้าเพราะต้องนึกศัพท์กฎหมายภาษาอังกฤษ แต่ก็น่าจะทำให้เราพูดได้เร็ว โดยไม่ต้องมีล่าม แต่คนไทยจะต้องมาฟังภาษาอังกฤษที่มีศัพท์กฎหมายยากๆ ด้วย (ที่ผมเองคงต้องศึกษาอีกมากเช่นกันก่อนพูด)

เมื่อวานนี้ที่ สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ผมประทับใจน้องล่ามสด Spontaneous Interpreter มากครับ ได้นามบัตรน้องมาชื่อ อิทธิณัฐ สีบุญเรือง มีความสามารถในการเป็นล่ามสุดในเรื่องที่ยากแสนยาก ใช้ศัพท์เฉพาะทางกฎหมายมากมาย แปลสดเก็บได้ครบทั้งราบรื่นมาก น้องตั้งใจทำงานล่ามสดนี้อย่างดีที่สุด ไม่เคยประทับใจล่ามสดที่เก่งเท่านี้ที่ไหนมาก่อนเลยครับ

ลงเวทีมา รู้สึกประทับใจมาก ต้องมาขอบคุณและชมน้องว่าเก่งจริงๆ น้องเป็นหนุ่มสูง ขาวตี๋ หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกดีมาก สำหรับหญิงไทยทั้งหลาย จงปล่อยวางเถิด น้องแนะนำให้ผมรู้จักภรรยาด้วยครับ เป็นสาวสวย สมกันมากๆ ผมยังชมน้องกับภรรยาน้องว่าเก่งมาก ภรรยาน้องบอกว่าเขาตั้งใจทำอาชีพนี้มากและเขาก็เก่งจริงๆ ประทับใจการทำหน้าที่ล่ามสดของน้องอิทธิณัฐมากครับ

ลงเวทีมาท่านทูตสองสามประเทศมาคุยกับผม บอกว่าทำไมผมไม่พูดอังกฤษเลย เพราะผมก็พูดอังกฤษคล่องปรื๋อ ผมก็เรียนไปด้วยเหตุผลข้างต้นว่าไม่รู้ศัพท์นิติศาสตร์ภาษาอังกฤษมากพอ แต่น้องล่ามสดคนนี้คือที่สุด สุดยอดความสามารถที่สุด ประทับใจครับ

ส่วนคู่ดีเบตนั้นแถไปแถมา วนไปวนมา พูดความจริงครึ่งเดียว หรือไม่พูดความจริง หรือสร้างทฤษฎีกฎหมายและรัฐศาสตร์มั่วๆ เยอะแยะจนผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่มี legal reasoning เอาเสียเลย น่าแปลกใจมาก ที่สำคัญคือไม่มีหลักวิญญูชนกับหลักสุจริตในฐานะนักกฎหมายเอาเสียเลยในสายตาผม

ปล ขอแถมประวัติน้องล่ามสด ที่แสนจะประทับใจในความสามารถครับ เพิ่งรู้ว่าน้องร้องโอเปร่าด้วยครับ มิน่าเสียงถึงได้เพราะด้วย

อิทธิณัฐ สีบุญเรือง

อิทธิณัฐ มีความสนใจในการร้องเพลงคลาสสิค ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ที่ประเทศเยอรมัน หลังจากกลับประเทศไทย เขาได้เริ่มเรียนการร้องเพลงอย่างจริงจัง กับนักร้องโอเปร่าชาวไทย Sophie Tanapura เมื่ออิทธิณัฐ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาเยอรมัน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากใจรักในเพลงคลาสสิค เขาตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านการร้องเพลงคลาสสิค ที่ the Peabody Conservatory of Johns Hopkins University ภายใต้การเรียนการสอนของ John Shirley-Quirk นักร้องโอเปร่าชาวอังกฤษเสียง Bass-Baritone อิทธิณัฐได้รับทุนการศึกษาจากทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิคในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สนับสนุนการศึกษาดนตรีคลาสสิคและการแสดงดนตรีคลาสสิคของเขา

หลังจากจบการศึกษาจาก Peabody Conservatory อิทธิณัฐก็เข้ารับการฝึกฝนเพิ่มเติม ที่ สถาบัน Franz-Schubert เมือง Baden bei Wien ประเทศออสเตรีย เป็นสถาบันที่เน้นการสอนร้องเพลงโอเปร่าในแบบเยอรมันโดยเฉพาะ ซึ่งเขาได้รับการสอนจากนักร้องโอเปร่าระดับสากลหลายท่าน อาทิเช่น Elly Ameling, Julius Drake, Robert Holl, Rudolf Jansen, Helmut Deutsch, Andreas Schmidt และอีกมากมาย

ผลงานในประเทศไทย เขาร่วมแสดงกับ Metropolitan Opera of Bangkok ในบท ท่านเคาท์ Almaviva จากเรื่อง Le nozze di Figaro, Dr. Blind, Fank จาก Die Fledermaus, Kiilian, Ottokar จาก Der Freischütz สำหรับผลงานในต่างประเทศ อิทธิณัฐ ร่วมทัวร์แสดงคอนเสิร์ตในประเทศอินเดีย ซึ่งสนับสนุนโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อโปรโมทการแสดงดนตรีคลาสสิคจากศิลปินชาวเอเชีย ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา อิทธิณัฐ ได้ร่วมเป็นสมาชิกคณะร้องเพลงประสานเสียง Wittenberg Choir and Baltimore Choral Arts จัดการแสดงโดย Peabody Opera Studio ซึ่งกำหนดการแสดงของเขาในปีนี้ รวมถึงเรื่อง Die Winterreise ของ Franz Schubert อีกด้วย

ปัจจุบัน อิทธิณัฐ อาศัยอยู่ในกรุงเทพ และเรียนร้องเพลงกับคุณสเตฟาน ซานเชส ผู้บริหารของแกรนด์ โอเปร่า ไทยแลนด์ (มีพันธมิตรแจ้งมาว่าคุณสเตฟานเสียชีวิตแล้ว ข้อมูลนี้จากเว็บไม่อัพเดท) อีกทั้ง เขายังร่วมแสดงคอนเสิร์ตมากมาย กับทางบริษัทฯ เช่น Mozart, Schubert, Strauss ณ Goethe Institute ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรีย ประจำประเทศไทย, "Music of Love and Devotion" คอนเสิร์ตฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ Royal Cliff Hotels Group, พัทยา เป็นต้น

 

กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยัน ไทยไม่แพ้คดีเปิดปม 'คิงส์เกต' ฮุบ 'เหมืองทองอครา' หวังโกยกำไรแบบไม่แคร์

แม้จะมีภาคสังคมและขั้วตรงข้ามรัฐบาล หยิบยกกรณี ‘เหมือนทองอครา’ ที่มี บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด บริษัทสัญชาติออสเตรเลีย เป็นคู่พิพาทกับทางรัฐบาลไทย โดยยืนยันความว่า ‘ประเทศไทยแพ้แน่นอน’

แต่สุดท้ายดูเหมือนว่า ‘ประเทศไทยจะไม่แพ้แน่นอน’ ในข้อพิพาทนี้ เหตุการณ์การฟ้องร้องโดยมี คิงส์เกต เป็นผู้เริ่มนั้น มีค่าเสียหายที่ต้องการได้รับจากรัฐบาลไทยมหาศาล โดยต้องการให้ทางรัฐบาลไทยชดเชยวงเงินกว่า 2 หมื่นล้าน หลังรัฐบาลสั่งยุติการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้การสั่งยุติกิจการของคิงส์เกตในเหมืองทองอครา มาจากการที่รัฐบาลไทยใช้อำนาจ ม.44 สั่งระงับการดำเนินธุรกิจของคิงส์เกต หลังจากตรวจพบความไร้มาตรฐานในการดำเนินงาน ทำลายสิ่งแวดล้อม กระทบคุณภาพชีวิตคนไทยในพื้นที่ข้างเคียงอย่างหนัก

และนั่นก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทย ไม่สามารถยอมได้ แน่นอนว่าในมุมของขั้วตรงข้ามรัฐบาลพยายามจะทำให้เห็นว่า การตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ผิดพลาด และไม่มีโอกาสชนะ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเรื่องนี้ก็พลิกจากคำว่า ‘แพ้’ มาสู่คำว่า ‘ไม่แพ้’ เมื่อ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ทางรัฐบาลไทยวางใจให้เข้ามาจัดการปัญหาดังกล่าว

การลงมาเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ดูเหมือนจะไปได้สวย ชั้นเชิงของการเป็นนักธุรกิจเดิม เพิ่มเติมกับเกมการเมืองที่สั่งสมมานาน ทำให้มหากาพย์เหมืองทองอคราที่กำลังถูกมองว่า ‘ไทยแพ้ชัวร์’ เกิดพลิก และกล้าพูดออกมาได้เต็มปากจาก ‘สุริยะ’ ว่า “ถ้าแพ้แล้วเขาจะมาขอเจรจาหรือ”

นั่นก็เพราะการลงมารวบรวมหลักฐานในการประกอบธุรกิจที่ไร้มาตรฐานของคิงส์เกต ถูก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ งัดออกมาแบบทุกท่วงท่า และในความเป็นจริง อาจจะมีเบื้องลึกที่เป็นไม้เด็ดยิ่งกว่า จนทำให้คิงส์เกตต้องหยุดเงียบ รวมไปถึงฝ่ายขั้วตรงข้ามรัฐบาล ที่เงียบหายไปกับฝุ่ง PM2.5 นี่คืออีกกรณีศึกษาของการพิทักษ์ศักดิ์ศรีไทย ที่คนไทยควรต้องรู้

.

‘แอมมี่ THE BOTTOM BLUES’ ยอมรับ ก่อเหตุเผา หน้าเรือนจำคลองเปรมจริง ลั่นขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว พร้อมยอมรับ เป็นความคิดที่โง่เขลาและทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย

จากกรณีที่ศาลอาญา รัชดา ได้อนุมัติหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ THE BOTTOM BLUES ในข้อหา วางเพลิงเผาทรัพย์ จากกรณีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ก่อนจะจับกุมตัวได้ที่ห้องเช่า ใน จ.พระนครศรีอยุธยา และได้คุมตัวมารักษาอาการบาดเจ็บที่ รพ.ตำรวจ

ล่าสุด แอมมี่ ได้โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก The Bottom Blues ระบุว่า การกระทำในครั้งนี้ เป็นฝีมือของผมและผมขอรับผิดชอบไว้ แต่เพียงผู้เดียว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเคลื่อนไหว หรือการเรียกร้องใด ๆ

เหตุผลของผมนั้นเข้าใจง่ายมาก เล่าไปถึงตอนผมโดนจับไปวันที่ 13 ตุลา ปีที่แล้ว เพนกวิ้นคือคนแรกที่โทรหาผมบนรถห้องขังและประกาศรวมพลมวลชนทันที แต่กลับกันในครั้งนี้กวิ้น และพี่น้องของผมต้องติดอยู่ในคุกนานกว่า 20 วันแล้ว แต่ผมไม่สามารถที่จะช่วยเหลือพวกเค้าได้เลย ผมรู้สึกละอายและผิดหวังในตัวเอง การกระทำในครั้งนี้

ผมยอมรับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลาและทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย

หวังว่าจะได้พบกันใหม่

ขอให้ทุกคนสู้ต่อไป III

แอมมี่ THE BOTTOM BLUES

‘บิ๊กตู่’ ขอหารือหน่วยงานเกี่ยวข้องว่าจะปลดล็อคมาตรการคุมโควิด-19 ให้ทำกิจกรรมใดบ้าง หากสถานการณ์ดี เล็งเปิดเที่ยวสงกรานต์ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในเรื่องการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ช่วงวันสงกรานต์ว่า ตนคาดหวังว่าจะมีโอกาสในเรื่องของการเดินทาง ซึ่งวันนี้จะเห็นว่าเราไม่ได้มีการปิดกั้นอะไรในการเดินทาง โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมา มีการเดินทางไปในพื้นที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก มีการจองที่พักเยอะ ค่อนข้างแน่น การจราจรก็ติดขัด เนื่องจากทุกคนช่วยกันระมัดระวังตัวเอง ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ทุกคนเรียนรู้ว่าจะอยู่กับโควิด-19 อย่างไรจนกว่าจะผ่านพ้นไป

และวันนี้ยินดีที่มีการฉีดวัคซีนไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มีปัญหาอยู่บ้าง แต่ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการให้เกิดความเป็นธรรมและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหน้างาน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ดูแลด่านตรวจจุดสกัด อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) คนเหล่านี้มีความเสี่ยงติดโรคสูง ต้องเจอคนจำนวนมากในการดูแล

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากิจกรรมสงกรานต์ได้หารือแล้วหรือยังว่าสามารถดำเนินกิจกรรมอะไรได้บ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กำลังหารือกันอยู่ เดือนนี้เพิ่งมีนาคม ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดด้วย ถ้าเปิดหมดแล้วเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำกันอย่างไร แก้ไขกันอย่างไร ขอให้บอกมาด้วยแล้วกัน วันนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาว่าจะทำอะไรได้บ้าง จะปลดล็อกบางอย่างหรือปลดล็อกทั้งหมด ถ้าระบาดขึ้นมาก็โทษกลับมาที่รัฐบาลอีก ขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายนัก เพราะต้องรับผิดชอบคนทั้งประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะที่วัคซีนมีเป็นล็อตๆมา เดี๋ยวจะปรับเพิ่มให้ วันนี้ดูแลไปถึงจังหวัดที่มีการท่องเที่ยวด้วยจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่จะเอาเป็นเอาตายกันในล็อตแรกนี้ มันยังมีล็อต 2 - 3 - 4 - 5 และอาจจะอีกหลาย ๆ ล็อต ถ้าเอกชนสามารถเข้ากติกา การตรวจสอบคัดกรองประสิทธิภาพวัคซีนขององค์การอาหารและยา (อย.) ได้ เปิดกว้างทั้งหมด วันนี้เป็นการใช้ในสถานการณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อทุกอย่างสามารถควบคุมได้ในวาระแรก ต่อไปก็ไม่ใช่ฉุกเฉิน จะใช้ในสถานการณ์ปกติได้ เหมือนไข้หวัดใหญ่ นี่คือการพัฒนาขั้นตอน ถ้าทุกอย่างสามารถควบคุมได้ไม่ไปแพร่เชื้อกับคนอื่น จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาต่อไปว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป

“วันนี้ในเรื่องวัคซีนกำลังประสานกัน สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว บางประเทศมีดำริว่าถ้าฉีดแล้วมีใบประกอบพาสปอร์ตไปได้หรือไม่ในการเดินทาง ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่จะรับซึ่งกันและกัน ตนได้ให้ประสานหารือผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็สามารถเดินทางไปได้ถ้าเขารับพาสปอร์ตวัคซีน วันนี้โลกอยู่ในวัคซีน

และเป็นที่น่ายินดีที่ผ่านมาหลายวันตนได้เฝ้าติดตามยังไม่มีใครมีผลกระทบจากการฉีดวัคซีน อาจจะมีบ้างเจ็บแขน ปวดศีรษะ เป็นไข้ เหมือนกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลายคนก็เป็นไข้เหมือนกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมาและวันนี้ ซึ่งต้องบริหารต่อไป ต้องขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนด้วย”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top