Wednesday, 22 January 2025
POLITICS TEAM

โปรดเกล้าฯ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” หลังต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้แพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ความว่า

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 เหรียญจักรพรรดิมาลา เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1 และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 ซึ่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับพระราชทาน

เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในคดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (2) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 และนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นผู้ถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศที่เกี่ยวข้องแล้ว

‘แรมโบ้’ ซัด เพื่อไทยและกลุ่มแคร์ ‘ซาดิสม์’ สนับสนุนม็อบใช้ความรุนแรง ยืนยัน เหตุตำรวจสลายการชุมนุมตามหลักสากล ย้อนถาม “เพื่อไทย - กลุ่มแคร์” เข้าข้างม็อบฝ่ายเดียว แล้วตำรวจไม่ใช่คนหรือ เหตุใดจึงออกมาประณาม

2 มีนาคม 2564 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาประณามสลายชุมนุมที่รุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีสิทธิทำเกินกว่าเหตุ และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนท่าทีพิจารณาใช้มาตรการจัดการกับการเคลื่อนไหวของประชาชนตามมาตรฐานสากล โดยยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นนายกฯ และตำรวจได้ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นไปตามหลักสากล และตนเองยังมองว่าก่อนที่พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มแคร์จะออกมาประณามการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่นั้น ก็ควรมองถึงต้นตอก่อนว่าเกิดจากใคร ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ออกมาชุมนุม หรือชุมนุมให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

และการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการชุมนุมที่ผ่านมา ตำรวจได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าตำรวจถูกทำร้ายด้วยก้อนหิน ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง ปลายธงฟาดตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บ ถึง 90 นาย และยังมีตำรวจเสียชีวิต

“ที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาพูด ออกมาประณามการกระทำของตำรวจฝ่ายเดียว คิดว่าตำรวจไม่ใช่คนเหมือนกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงคิดแต่เข้าข้างกลุ่มผู้ชุมนุมเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร

ทั้งนี้ หากตนเองและคนอื่น ๆ จะขอประณามการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้หรือไม่ เป็นถึงผู้ใหญ่ เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ และเป็นผู้แทนของประชาชน เหตุใดถึงคิดแค่นี้ หรือว่าที่ออกมาปกป้องกลุ่มผู้ชุมนุม เพียงเพราะอยากเกาะกลุ่มผู้ชุมนุมหวังล้มรัฐบาล เพื่อพรรคของตัวเองจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล

ซึ่งหากคิดแค่นี้ ตนเองก็มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยคงได้เป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต และเป็นเรื่องที่น่ากลัวหากพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะสนับสนุนการใช้ความรุนแรงของกลุ่มผู้ชุมนุม”

"พฤติกรรมความเลวร้ายความชั่วร้ายของกลุ่มชุมนุม พรรคเพื่อไทยและกลุ่มแคร์ กลับมองไม่เห็น ตาบอดมืดมิดได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนผีบังตา เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกระทำอย่างรุนแรงบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ ประชาชนคนไทยยอมไม่ได้เด็ดขาด พรรคการเมืองหรือคนกลุ่มไหนที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือเผาทำลายทรัพย์สินราชการเสียหายจะได้จารึกชื่อพรรคการเมืองนั้น ๆ ให้ประชาชนได้สาปแช่งลงโทษลงทัณฑ์ในการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอย่างแน่นอน และจะได้บันทึกไว้ว่าพรรคเพื่อไทย สนับสนุนการใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง"

“ธนาธร” แอ่วเหนือ นำทีมคณะก้าวหน้า สู้ศึกเลือกตั้งเทศบาล! จัดทัพผู้สมัครหารือแนวหาเสียง - นโยบาย ย้ำหลักเดินเข้าหาประชาชน ไม่ซื้อเสียง ไม่ใช้หัวคะแนน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พบและพูดคุยร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศมนตรี ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่, เทศบาลตำบลสันกำแพง, เทศบาลตำบลไชยสถาน จ.เชียงใหม่, เทศบาลตำบลเหมืองจี้, เทศบาลตำบลบ้านแป้น ตำบลป่าสัก จ.ลำพูน

โดยได้กล่าวถึงความสำคัญของการเมืองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ โดยย้ำว่า คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครเพื่อที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการเมืองท้องถิ่นให้ดีขึ้น และอยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในวันที่ 28 มีนาคมที่จะถึงนี้ เพราะการเมืองท้องถิ่นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด

นายธนาธร กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อทุกคนเข้ามาร่วมทำงานการเมืองกับคณะก้าวหน้าแล้ว ต้องยึดมั่นในหลักการทำการเมืองแบบใหม่ คือไม่ทุจริต ไม่ซื้อสิทธิซื้อเสียงเด็ดขาด หากใครมาร่วมงานกับคณะก้าวหน้าเพื่อหวังจะรวย ตนบอกได้เลยว่าคิดผิดแล้ว นอกจากนี้ ต้องมีจุดยืนทางการเมือง อย่างน้อยในด้านประชาธิปไตยและต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. คัดค้านรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งหากท่านเข้ามาร่วมงานกับคณะก้าวหน้า แต่ชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล คสช. หรือมองว่ารัฐธรรมนูญ 2560 นี้ไม่เป็นปัญหา นั่นแปลว่าเราต้องมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างกันอยู่

ทั้งนี้ จากสถิติที่ได้รับมาจากข้อมูลในการเลือกตั้งระดับ อบจ.รอบก่อน คะแนนดิบที่ได้มาก็ชี้ให้เห็นว่าความนิยมของเราไม่ได้ถดถอยลง และมีพื้นที่ที่ชัดเจนขึ้น ฐานข้อมูลบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นว่าตรงไหนที่เราได้รับความนิยม ส่วนที่เหลือ เป็นเรื่องของการรณรงค์อย่างแข็งขันของผู้สมัครแต่ละท่าน

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราเลือกที่จะทำการเมืองแบบใหม่ ไม่ซื้อเสียง ไม่ใช้หัวคะแนน สิ่งเดียวที่เราต้องทำอย่างแข็งขันที่สุด ก็คือการเดินเข้าหาประชาชนอย่างมีคุณภาพ และมีความเข้าใจต่อปัญหา ทำให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความตั้งมั่นจริงใจของเรา ที่จะแก้ปัญหาของพวกเขาอย่างเข้าใจแท้จริง

“พูดง่าย ๆ เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนให้มากที่สุด มากกว่าแค่ไปแจกใบปลิวและแนะนำตัวเองเฉยๆ อยางน้อยเราต้องตอบเขาได้ว่า ปัญหารอบบ้านของเขาเกิดขึ้นที่ไหน สะพานตรงไหนที่ขาดชำรุด คลองตรงไหนที่อุดตัน บ่อขยะตรงไหนที่มีปัญหา งบประมาณเทศบาลมีปีละเท่าไหร่ จะใช้แก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า การเดินแบบนี้ไม่ได้รับประกันว่าเราจะชนะ

แต่ถ้าไม่เดินก็มีแต่เปิดประตูแพ้เท่านั้น สิ่งเดียวที่เราสามารถใช้สู้ได้ คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจของเรา และนั่นจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เมื่อเราเดินเข้าหาประชาชนเท่านั้น” นายธนาธรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากพบและพูดคุยร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศมนตรีในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว นายธนาธรยังได้เข้าพื้นที่ดูแนวทางการพัฒนาเมืองตามนโยบายของผู้สมัครคณะก้าวหน้า ทั้งที่สวนบวกหาด อ.เมืองเชียงใหม่ และที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังแนวนโยบายจากผู้สมัครในสถานที่จริงด้วย

ให้มันจบที่คุก !! บทเรียนราคาแพงของการต่อสู้ในระบอบการเมืองไทย 'สุริยะใส กตะศิลา' | Contributor EP.9

เมื่อการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีอุดมการณ์เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป . แต่เป็นเรื่องของผู้มีอุดมการณ์ที่หว่านเมล็ดพันธุ์พืชไว้หวังผล จนเกิดขึ้นมวลชนใหม่ ที่กำลังก่อสงครามทางความคิดระหว่างวัย ได้แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เด็กยุคใหม่จะไม่มีวันฟังผู้ใหญ่ ที่มีเพียงถ้อยวลีแห่งการบีบบังคับ ออกคำสั่ง และหยามเหยียดความเป็นเด็ก . ผู้ใหญ่ยุคเก๋าจะไม่มีวันตอบรับเสียงสนอง เพียงแค่คำคึกคะนองอวดอ้างเสรีภาพแห่งประชาธิปไตย โดยไม่สนขนบเดิมที่เคยยึดกันมา

เส้นบรรจบตรงกลางที่ไม่มีวันพบเจอกัน เกิดจากเหตุใด?

THE STATES TIMES ชวนไปหาคำตอบกับ ‘บุคคล’ ที่เคยจ่ายบทเรียกร้องราคาแพง ภายใต้การต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งจบลงที่ ‘คุก’ และเมื่อพ้นคุก ก็ได้ทิ้งไมค์การเมือง หันมาจับไมค์ทางการศึกษาในรั้วสถาบัน เพื่อนำประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตมาช่วยเชื่อมความเห็นต่างระหว่างวัยในสังคมที่หาจุดร่วม ‘เคลียร์ๆ’ ไม่เจอ...

สุริยะใส กตะศิลา อดีตแกนนำและผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ภายใต้บทบาทใหม่ คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย(สปท.) มหาวิทยาลัยรังสิต 

.

.

พิมรี่พายติดไฟ LED โซลาร์เซลล์ บนถนนให้ชุมชนในคลองเตย "ความมืดมิดใจกลางเมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

วันที่ 1 มีนาคม 2564 พิมรี่พายแม่ค้าออนไลน์ และยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่วิดีโอที่เธอได้ไปร่วมช่วยเหลือในชุมชนคลองเตย ในวิดีโอที่ชื่อว่า "ความมืดมิดใจกลางเหมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

โดยวิดีโอเริ่มต้นที่พิมรี่พายได้เดินไปรอบๆในชุมชนที่แออัด และผู้คนทำกิจกรรมต่าง ๆ ในความมืด เธอได้นั่งพูดคุยกับเด็กๆถึงความฝัน และเด็กหญิงคนหนึ่งพูดว่า "หนูจบม.6 มาหลายปีแล้ว หางานยากมาก แม่ไม่ได้ทำงานแล้ว แม่อายุเยอะแล้ว ไม่อยากให้แม่ทำงาน พี่พิมเป็นไอดอลหนู โตขึ้นอยากทำให้ได้แบบพี่พิม ถ้าหนูมีตัง ตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้"

พิมรี่พายพูดกับเด็ก ๆ ว่า "โอกาสของชุมชน เดี๋ยวพี่พิมจัดให้ แต่โอกาสของชีวิต เอ็งต้องเดินไปหาเอง สู้ ๆ นะ"

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปนั่งกับคุณยาย ที่ใช้ชีวิตในชุมชนคลองเตย และขายขนมครกเพื่อเลี้ยงหลาน ยายเผยว่า ไม่มีแสงไฟ ทำให้ตกหลุมตกบ่ออยู่บ้าง "ความมืดอะกลัวอยู่ แต่อาศัยว่าเราชิน อย่างยายไม่มีตังหรอกลูก หามื้อกินมื้อเลี้ยงหลาน ไฟนี่อาศัยเพื่อนบ้านต่อให้ อยู่มาหกสิบปีแล้วลูก หน้าบ้านยังไม่มีไฟ"

พิมรี่พายตอบว่า "โอเคค่ะ เดี๋ยวยายมีไฟค่ะ ซึ่งทำให้คุณยายดีใจและร้องไห้ออกมา พิมรี่พาย "สู้นะคะ" คุณยาย "สู้"

"ใจกลางเมือง พระรามสี่ สุขุมวิท หนูไปทำไฟตั้งไกล ปล่อยให้กลางเมืองมืดขนาดนี้ไม่ได้หรอก ที่นี่คือคลองเตย มืดสนิท อยู่กันยังไง พรุ่งนี้ติดไฟให้หมดเลย เอาให้สว่างเลยนะ กี่ดวงก็ติด เท่าไหร่ก็ติด พรุ่งนี้เป็นต้นไป คนทั้งประเทศจะต้องได้เห็นคลองเตย ติดให้สว่างไปถึงใจเลยพี่" พิมรี่พายเผย

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปซื้อ ไฟติดถนน LED โซลาร์เซลล์ 500 วัตต์ 100 กว่าดวง และถัดมาเธอได้นำไฟเหล่านั้นไปติดตั้งรอบๆ ถนนในชุมชน และสนามฟุตบอล "เด็กๆ มีไฟใช้แน่"

เมื่อตกมืด ชุมชนได้เปิดไฟที่เพิ่งติดตั้งนี้ ที่ได้ส่องสว่างไปทั่ว "กูบอกแล้ว คลองเตยต้องสว่าง" พิมรี่พายพูด

และช่วงสุดท้ายเป็นภาพของไฟฟ้าสว่างไปทั่วชุมชนคลองเตย

"ที่นี่คลองเตย เห็นคลองเตยหรือยัง" พิมรี่พายพูดในตอนท้าย

.


ที่มา: https://www.naewna.com/likesara/555992

‘เบญจา ก้าวไกล’ ชี้ ประชาชนชุมนุมเพราะคาใจ ทำไม ‘บ้านประยุทธ์’ ไปอยู่ในเขตพระราชฐาน แนะควรใช้เหตุผลอย่าใช้กำลังตอบโต้ ย้ำ เป็นนายกฯ ต้องรักษาพระเกียรติ อย่าดึง ‘สถาบัน’ เป็นเกราะเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง ย้ำไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด

เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการเข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขอยืนยันว่า การชุมนุมเมื่อวานนี้ (28 ก.พ.64) เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพปกติตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำได้ เพราะเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อตั้งคำถามถึงกรณีบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นการรับประโยชน์อื่นใดที่ผิดกฎหมาย ปปช. และบังคับใช้กับนักการเมืองทุกคน แต่ทำไมจึงยกเว้นสำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้

นอกจากนี้ พวกเขายังมีคำถามถึงค่าน้ำค่าไฟที่มาจากภาษีประชาชน และยังมีคำถามว่าเหตุใดบ้านของนายกรัฐมนตรีจึงสามารถไปตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานได้ สมควรย้ายออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีคำถามใด สิ่งที่คนเป็นนายกฯ ควรทำคือการให้คำตอบด้วยเหตุผลไม่ใช่ การล้อมรั้วลวดหนามและส่งกองกำลังมาสลาย ซึ่งในเรื่องนี้ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงที่ครบถ้วนจากนายกรัฐมนตรีเลย

เบญจา ยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่การชุมนุมของประชาชนซึ่งเป็นการแสดงออกตามปกติกลับจบลงด้วยการใช้กำลังสลายการชุมนุม ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด และเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องยินยอมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนทุกฝ่ายสามารถแสดงออกและสามารถพูดคุยในประเด็นต่างๆรวมถึงประเด็นที่อ่อนไหวได้อย่างสันติ

อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ขอเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติและมีเหตุผล ปฏิบัติโดยยึดหลักการควบคุมการชุมนุมสากลอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มจากมาตราเบาไปหาหนัก ไม่ใช่การกระทำแบบเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ซึ่งปรากฏชัดว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วนการควบคุมสถานการณ์ ไม่ว่าการเข้าไปลากคนเจ็บมาจากหน่วยพยาบาลซึ่งไม่มีใครทำกันแม้กระทั่งในยามสงคราม การใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ รวมถึงการเข้าไปทำร้ายไล่ล่าผู้ชุมนุมอย่างป่าเถื่อนเสมือนเป็นอริราชศัตรู

ทั้งนี้ ปฏิบัติการหลายอย่างยังดำเนินไปอย่างไร้มนุษยธรรม ในส่วนตัวจึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้ตระหนักถึงต้นเหตุของปัญหา ซึ่งก็คือตัวท่านเองให้รับผิดชอบต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ ตนและพรรคก้าวไกลจะมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่างๆเพื่อดำเนินการไปตามช่องทางต่างๆต่อไป

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกตารางนิ้วของกองทัพมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงควรจะมีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบได้ แต่ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่ผู้ชุมนุม แม้กระทั่ง ส.ส.เองก็ยังทำหน้าที่นี้ได้ด้วยความลำบากหรือแทบไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกองทัพได้เลย จึงถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องตอบตัวเองให้ชัดว่าจะปล่อยให้กองทัพกลายเป็นแดนสนธยาแบบนี้ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพื้นที่กองทัพให้กลายเป็นเขตพระราชฐาน จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกยกเป็นเกราะกำบังให้แก่เรื่องที่ลี้ลับดำมืดจนยากจะตรวจสอบมากขึ้นไปอีก การกระทำเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนแย่ลง ทั้งนี้ การรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมด้วยแล้วจึงยิ่งไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ต่อสถาบันฯ”

เข้าโค้งสุดท้าย ! กรณ์ จาติกวณิช นำทีมพรรคกล้า เบอร์ 1 หาเสียงเลือกซ่อมเมืองคอน ชี้ไม่ใช่แค่เดินขอคะแนนเสียง แต่ต้องหาโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่ ปั้นท่องเที่ยวชุมชน เติมเงินในกระเป๋าชาวบ้าน ชู "วังหอน - ชะอวด" เพชรเม็ดงามที่ถูกเก็บซ่อน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ส.ส.นครศรีธรรมราชเขต 3 ว่า จริงๆ แล้วสำหรับพรรคกล้า ไม่ใช่แค่การหาเสียงอย่างเดียว เพราะคำว่า "หาเสียง" หมายถึงการขอคะแนนชาวบ้านให้มากที่สุด เพื่อทำให้ชนะการเลือกตั้ง

แต่เท่านั้นไม่พอ ในระหว่างที่มีโอกาสลุยทุกชุมชน ตนได้ย้ำกับผู้สมัครของพรรคกล้าคือ สราวุฒิ ปิง สุวรรณรัตน์ เสมอว่า ต้องหาโอกาสให้ชาวบ้านไปในตัว ต้องการให้ทุกคนได้กินดีอยู่ดี และมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกๆ กิจกรรมการหาเสียงจึงจะต้องเน้นไปที่ประเด็นเหล่านี้เป็นที่ตั้ง การลงพื้นที่ในนครศรีฯ เขต 3 ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่านอกจากมีปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายจุดด้วยกันแล้ว ยังมีของดีที่ถูกซ่อนอยู่อีกมาก เปรียบเหมือนเพชรรอการเจียระไนให้โลกได้เห็น

“วันก่อนนี้ผมได้มีโอกาสไปหาเสียงที่ชุมชนบ้านวังหอน อำเภอชะอวด สองจุดสำคัญคือ ท่าน้ำลุงดม และ ล่องแพบ้านวังหอน ผมตะลึงกับความใสของน้ำ และความเงียบสงบของธรรมชาติ ความคิดแวบแรกของผมคือ ผมมาที่นครศรีฯ ก็หลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีสถานที่ดีๆ แห่งนี้อยู่" นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า บอกว่า ได้คุยกับเจ้าของทั้งสองแห่ง พวกเขาอยากให้สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นที่รู้จัก ถ้าได้มีการโปรโมทดีๆ สักหน่อย ไปได้อีกไกลมาก เพราะนอกจากที่เที่ยวที่สวยงามแล้ว ยังมีที่พักที่ให้ค้างคืนได้ พักผ่อนอยู่ที่นี่สักคืนหรือสองคืน จะทำให้ชีวิตได้ชาร์จแบตเพื่อกลับไปทำงานได้อย่างสดชื่น จึงขออาสาเป็น Influencer เพื่อช่วยโปรมทให้ทุกคนได้รู้ว่า พื้นที่ นครศรีฯ อ.ชะอวด มีเพชรเม็ดงามที่ถูกซ่อนอยู่ พร้อมทั้งย้ำว่า

"7 มีนาคม เข้าคูหา กาเบอร์ 1 เพราะเมืองคอนต้องกล้าเปลี่ยน"

‘บิ๊กตู่’ แจงเจ้าหน้าที่จำเป็นใช้มาตรการตามมาตรฐานสากล หลังม็อบใช้ความรุนแรงก่อน วอนสื่อนึกถึงบ้านเมืองนำเสนอข่าวสองทาง ลั่นไม่ว่าประชาธิปไตยแบบไหนก็ต้องมีกฎหมาย ยันไม่ละเมิดผู้ชุมนุม แต่ถ้าใครละเมิดกฎหมายต้องดำเนินการ

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่ม REDEM ที่บริเวณหน้าบ้านพักวานนี้( 28 ก.พ.) มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นว่า สื่อก็เห็นแล้วว่าเป็นความรุนแรง ดังนั้นต้องเสนอข่าวทั้งสองทางไม่ใช่บางสื่อเสนอข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเพียงข้างเดียว แต่ภาพอีกฝ่ายกลับไม่นำมาออกเลย แบบนี้ตนว่าบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ จึงขอร้องสื่อทุกสื่อด้วย ซึ่งตนก็ได้ติดตามอยู่

"ผมก็ติดตามอยู่ว่าทำไมออกข่าวข้างเดียวว่าตำรวจใช้ความรุนแรง ท่านไม่ดูก่อนหน้าที่จะเกิดการชุมนุมมีความรุนแรงเกิดขึ้น แรกๆก็โอเคเป็นไปตามปกติของเขา ท่านก็รู้อยู่แล้วเขาพูดจาอะไรก็เป็นเรื่องที่เขาทำถูกทำผิดก็ไปว่ากันมาตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้มีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นและมีการรุกเข้ามาในพื้นที่ของตำรวจ รุกเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่หวงห้าม และมีการใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาก็จำเป็นต้องใช้มาตรการตามมาตรฐานสากลออกไป ซึ่งถ้าเราไม่ทำแบบนี้มันจะอยู่กันยังไงประเทศชาติบ้านเมือง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า "ทั้งนี้ขอให้ทุกคนรวมทั้งสื่อต่าง ๆ ยึดถือบ้านเมืองเป็นหลัก ซึ่งตนจะไปบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ขอร้องว่าทำอย่างไรให้บ้านเมืองของเรามีความสงบและเคารพกฎหมาย เป็นไปตามกฎหมายของบ้านเมืองแค่นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบใดก็ตามต้องมีกฎหมายเพียงแค่นั้น ขณะเดียวกันก็มีการปฏิบัติดูแลคุ้มครองสิทธิในการสู้คดีอะไรต่าง ๆ โดยยืนยันว่าไม่ได้ละเมิดอะไรผู้ชุมนุม

แต่หากผู้ชุมนุมละเมิดกฎหมายก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ ดังนั้นขอให้เห็นใจต้องให้พี่ตำรวจบ้างที่ทำงานหนัก อดทนและยังได้รับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนทำให้บาดเจ็บเสียหาย ซึ่งการทำลายข้าวของและทรัพย์สินราชการทำได้หรือไม่ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบก็ว่ากันไปซึ่งการชุมนุมสงบหรือไม่สงบกฎหมายจะเป็นตัวตัดสินอยู่แล้ว"

“บิ๊กป้อม” เสียใจตำรวจควบคุมฝูงชน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ม็อบ REDEM ยันยังไม่ถึงขั้นให้ทหารเข้ามามีส่วนร่วมยังให้เป็นหน้าที่ของ ตร.จัดการ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มมวลชม REDEM ที่เกิดความวุ่นวายถึงขั้นการจราจร ว่า ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับ ร.ต.อ.วิวัฒน์ สินเสริฐ สังกัด สน.ธรรมศาลา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิต ซึ่งต้องเสียใจกับทางครอบครัวด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาก็ตั้งใจทำงาน แต่เกิดอุบัติเหตุจนทำให้สูญเสียชีวิตและมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บถึง 16 คน

ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์เจ้าหน้าที่ถึงขั้นต้องใช้กระสุนยางเข้าดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการชี้แจงแล้ว ซึ่งก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอน

เมื่อถามว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นปัญหาอยู่ที่ว่าไม่ปรากฏแกนนำ รองนายกฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า “แล้วผมจะทำอย่างไรได้ ก็เขาว่าเขาไม่มีแกนนำ”

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีมาตรการเด็ดขาดหรือสลายการชุมนุมหากมีบุคคลใดสร้างเงื่อนไขสถานการณ์ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาว่ามาตรการต่าง ๆ ตามขั้นตอน แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะให้ทหารเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top