Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

ผบช.ตชด.บินด่วน เยี่ยม ตชด.บาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. บนถนนสาย 42 นราธิวาส-ปัตตานี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี 

(28 ก.ย.67) พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เดินทางมายังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเยี่ยมและติดตามอาการของ ตชด. 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. บนถนนสาย 42 นราธิวาส-ปัตตานี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางกลับที่ตั้ง จ.ชุมพร หลังจากเสร็จภารกิจในพื้นที่ จ.นราธิวาส ปัจจุบัน ตชด. ทั้ง 4 นาย มีอาการปลอดภัย แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

1.จ.ส.ต.ขจรพล เพชรกูลง รู้สึกตัวดี ได้รับบาดเจ็บ บริเวณหัวเข่าซ้าย มีแผลฉีกขาดจากสะเก็ดระเบิด แพทย์ให้การพยาบาล และรอผลX-rays
2.ส.ต.ท.ศุภวิชญ์ ป้องแก้ว รู้สึกตัวดี ศีรษะบริเวณด้านขวาแตก เบื้องต้นแพทย์ได้ทำการเย็บแผลแล้ว และสังเกตอาการต่อ
3.จ.ส.ต.ดำเนินยุทธ สง่าปู รู้สึกตัวดี เเขนขวาได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีแผลฉีกขาดบริเวณแขนขวา แพทย์ให้การรักษาพยาบาลและรอผล X-rays 
4. ส.ต.ท.นพคุณ นำศิลป์ (พลขับ) ซึ่งส่งต่อจากโรงพยาบาลปัตตานี มารักษาต่อที่ รพ.มอ.เมื่อช่วงเช้า มีอาการสาหัสและแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง ปัจจุบันรอเข้ารับรักษาในห้อง ICU และการผ่าตัด

ผบช.ตชด.กล่าวว่า การปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีสถานการณ์ต้องมีความพร้อมและมีสติอยู่เสมอ ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็ได้นำความห่วงใยจาก ผบ.ตร. มาถ่ายทอดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสียขวัญ ทั้งนี้ได้นำเงินสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตลอดจนเงินบำรุงขวัญของตนเองมามอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา และญาติ เป็นจำนวนกว่า 200,000 บาท

'วิทยุการบินฯ' โชว์วิสัยทัศน์องค์กรใหม่ มุ่งสู่การเป็น 'Aviation Hub' ของภูมิภาค

วิทยุการบินฯ ประชุมกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงาน ปี 2568 พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งเน้น 'การเป็นองค์กรที่ให้บริการการเดินอากาศด้วยคุณภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค' ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยให้ความสำคัญด้านการพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการบินในอนาคต

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวในการสัมมนาฝ่ายจัดการประจำปี 2567 ว่า “บวท. ได้ปรับวิสัยทัศน์การดำเนินงานขององค์กร “เป็นองค์กรที่ให้บริการการเดินอากาศด้วยคุณภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค” 

เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค โดย บวท. ให้ความสำคัญด้านสร้างบุคลากรด้านการบินให้กับประเทศ โดยจะยกระดับความสามารถและคุณภาพของบุคลากรให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาบุคลากรด้านการบิน (NGAP - Digital transformation) ตามแนวทางของ ICAO เพื่อให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ 

นอกจากนี้ยังได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานของปี 2568 เน้นการพัฒนาคน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป

ข่าวดี MOU สกสค.-ธอส.จัดใหญ่ ปรับลดดอกเบี้ยพัฒนาคุณภาพชีวิตครู จากร้อยละ 6-7 บาท/ปี เหลือ 1.71 บาท/ปี

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดแชมเปญใหญ่ โครงการสวัสดิการเพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากอัตราร้อยละ  6-7 บาทต่อปี เหลือเพียง 1.71 บาทต่อปี

ที่ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ในการร่วมกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหาร หรือวางแผนทางการเงินและการออม 

เพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อ เพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.กระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา และผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้หารือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จนมีความเห็นและแนวทางร่วมกันในการจัดสวัสดิการการออม สวัสดิการผู้เกษียณอายุ และแก้ไขปัญหาหนี้สินด้วยการลดดอกเบี้ยสูงจากอัตราร้อยละ  6 - 7  บาทต่อปี เหลือ 1.71 บาทต่อปี เพื่อให้ครูมีเงินได้รายเดือนเหลือมากขึ้น จนมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้มีสวัสดิการ รวมทั้งมีบริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินต่างๆ ทั้งด้านการออมและสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งผลให้สามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครูและนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า สกสค. และ ธอส. ร่วมมือกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหารหรือวางแผนทางการเงิน และการออมเพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาทางการเงินและกฎหมายแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 

ซึ่งมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอื่น และมีความประสงค์ปรับโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร และความร่วมมือในการการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อเพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย

1)โครงการโรงเรียนการเงิน เงินฝากประจำสะสมทรัพย์ 24 เดือน เพื่อส่งเสริมการออมอย่างยั่งยืน สม่ำเสมอ ในวงเงินตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 25,000 บาทต่อเดือน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.7% ต่อปี เมื่อฝากครบ 24 เดือนติดต่อกันจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1% ตั้งแต่ต้น, 

2) โครงการสวัสดิการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา Refinance In เพื่อลดค่าครองชีพจากอัตราดอกเบี้ยสูง 6 – 7 % เหลือ 1.71 % โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินอื่นมา Refinance ปรับโครงสร้างหนี้กับ ธอส. ซึ่งจะทำให้มีรายได้ต่อเดือนคงเหลือเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และ 3) โครงการสวัสดิการเกษียณสุขสำราญ Reverse Mortgage ให้ผู้เกษียณได้มีรายได้เพิ่มเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยให้ผู้เกษียณแล้วอายุระหว่าง 60 – 75 ปี ที่มีบ้านปลอดภาระจำนอง ได้เข้าโครงการกู้เงินในอัตราครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท รับเงินกู้เป็นรายเดือนโดยไม่ชำระดอกเบี้ยได้ถึงอายุ 85 ปี”

ด้าน ดร. พีระพันธ์  เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการข้างต้นจะเป็นการลดภาระและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Line OA : สกสค. 'ศูนย์ปรึกษาทางการเงิน' ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรงศึกษาธิการมีนโยบาย 'เรียนดี มีความสุข' เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถพัฒนาการศึกษาของชาติให้บรรลุเป้าหมาย  การจัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ดังนั้นการลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่าง สกสค. กับ ธอส. จัดใหญ่ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.71 บาทต่อปี จึงถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตครู และบุคลากรให้ดีขึ้น ที่จะเป็นการหนุนเสริมให้การพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอน และการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น

ย้ายทหาร 67 จับตา ผบ.ทบ. 'บิ๊กปู' ถอดรหัสเปลี่ยนยกแผง ผบ.พล.ทัพ 1

ได้วิเคราะห์แบบแผ่วผ่าน...เกี่ยวกับการแต่งโยกย้ายนายทหารไว้ช่วง 'ต้นเดือน-กลางเดือน ก.ย.'

ดังนั้น เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แล้วเมื่อ 20 ก.ย.2567 จำนวน 808 นาย ก็ขอขีดเส้นใต้หมายเหตุเอาไว้พอเป็นสังเขป เพื่อการติดตามสถานการณ์...ดังต่อไปนี้...

>> เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารในช่วงเปลี่ยนผ่าน เป็นรอยต่อระหว่าง รมว.กลาโหมพลเรือนสองคน คือ สุทิน คลังแสง และ ภูมิธรรม เวชยชัย...เอาเข้าจริงบัญชีโยกย้ายจบตั้งแต่มติกรรมการ 7 เสือกลาโหม ที่ 'บิ๊กทิน' ลงนามเชิงธุรการไว้ตั้งแต่ 3 ก.ย.วันสุดท้ายของการเป็นรัฐมนตรี...

ส่วน 'บิ๊กอ้วน' หรือ 'สหายใหญ่' นั้น เพียงแค่ตรวจทบทวน เคลียร์คัทบางประเด็นเกี่ยวกับข่าวลือ ว่าที่กรณี ผบ.ทร.คนใหม่เท่านั้น...สรุปความว่างานนี้โดยภาพรวมฝ่ายการเมืองคือ รมว. และ รมช.กลาโหม...ไม่ได้รุกล้ำโผหรือข้อเสนอของแต่ละเหล่าทัพที่ต่อสู้ฟาดฟันกันมาแต่ประการใด...

>> ส่องกล้องบัญชีรายชื่อแต่ละจุดของกลาโหมยุคใหม่ตั้งแต่ 1 ต.ค.2567 เป็นต้นไป  

- สำนักงานปลัดกลาโหม - พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ 'บิ๊กหนุ่ย' (ตท.24) นายทหารคอแดง เคยเต็งผบ.ทบ.ถูกโยกข้ามห้วยเป็น รองปลัดกลาโหม รอขึ้นปลัดกลาโหม ปีหน้า (2568) ต่อจากเพื่อนรัก พล.อ.สนิทชนก สังขจันทร์

- กองบัญชาการกองทัพไทย - พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ 'บิ๊กหยอย' (ตท.24) นายทหารคอเขียว เคยเต็งผบ.ทบ.เช่นกัน ถูกโยกไปเป็น รองผบ.ทหารสูงสุด รอขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดปีหน้าสืบต่อจากเพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

- กองทัพบก - พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ 'บิ๊กปู' (ตท.26) จาก เสธ.ทบ.ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ตามข้อเสนออันแข็งแรงแข็งขันของ 'บิ๊กต่อ' พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ที่กล่าวกันว่างานนี้ 'บิ๊กต่อ' น้องเลิฟของ 'ลุงตู่' และ 'บิ๊กแดง' ใจเกินร้อยในการฝ่าเบียดแรงเสียดทานแรงต้านทั้งในและนอกกองทัพ...แต่ถึงที่สุดเดิมพันของ 'บิ๊กต่อ' ก็คงอยู่ที่ความเป็นทหารอาชีพ (หรือไม่) ของ 'บิ๊กปู' ซึ่งครบเครื่องทั้งบู๊-บุ๋น และที่สำคัญจะเกษียณเดือน ก.ย.2570 โน่น!!

- กองทัพเรือ แม้จะมีคลื่นใต้น้ำต่อต้านรุนแรง แถมมีใบปลิว บัตรสนเทห์สารพัด...แต่ก็ไม่อาจหยุด 'บิ๊กดัน' อย่าง 'บิ๊กดุง' พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม  (ตท.23) ผบ.ทร.ที่กำลังเกษียณ ที่ยืนกรานเสนอ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ 'บิ๊กแมว' (ตท.23) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.ขึ้นเป็น ผบ.ทร.คนใหม่ได้...การผงาดของ 'บิ๊กแมว' ที่จบนักเรียนนายเรือเมอร์วิค เยอรมนี และไม่ได้อยู่ในไลน์ 5 ฉลามเสือ...ทำให้ต้องเด้งดึ๋งหนึ่งในตัวเต็งสำคัญที่พลาดหวังมาก่อนอย่าง พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข (ตท.25) รองผบ.ทร.ไปเกษียณในตำแหน่งรองผบ.ทหารสูงสุด...

- กองทัพอากาศ ผบ.ทอ.คนปัจจุบัน (พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล-บิ๊กไก่) ยังอยู่ในตำแหน่งจนถึง ก.ย.2568  

>> ขีดเส้นใต้หมายเหตุส่งท้าย...หากจะโฟกัสไปที่กองกำลังสำคัญที่เป็นหัวใจสำคัญในการดูแลความมั่นคงที่อาจโยงใยกับการเมือง การรัฐประหาร ก็ต้องส่งกล้องไปที่กองทัพภาคที่ 1 ที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 26 จังหวัดภาคกลาง คุมกองพลสำคัญ มีการจัดทัพปรับแถวใหม่ ทั้งแม่ทัพและผบ.พล.ใน 4 กองพลสำคัญ ดังนี้...

- มทภ.1 พล.ท.อมฤต บุญสุยา 'บิ๊กใหญ่' ( ตท.27) เกษียณ 2571 ตำแหน่งเดิม มทน.1(แม่ทัพน้อย)
- มทน.1 พล.ท.วรยศ เหลืองสุวรรณ 'บิ๊กไก่' (ตท.28) เดิม รองมทภ.1
- ผบ.พล.1 รอ.พล.ต.กิตติ ประพิตรไพศาล (ตท.31) เดิมรอง ผบ.พล.2 รอ.
- ผบ.พล.2 รอ. พล.ต.เบญจพล เตชาติวงศ์ ณ อยุธยา (ตท.32) เดิม รองผบ.พล.2 รอ.
- ผบ.พล.9 พล.ต.อัษฏาวุธ ปันยารชุน เดิมรอง ผบ.พล.9    
-ผบ.พล.11 พล.ต.ยุทธนา มีเจริญ (ตท.30) เดิม รองผบ.พล.11

อันที่จริง 4 รองผบ.พล.ที่ขึ้นเป็น ผบ.พล.ขณะนี้ ยังมีชั้นยศ พ.อ.พิเศษ เท่านั้น แต่ขออนุญาตเพิ่มยศตามตำแหน่งใหม่...

จับตามองบทบาทพวกเขาดี ๆ หากมีความผิดปกติของเหตุบ้านการเมือง !!

'หวังอี้' เดือด!! ซัดสหรัฐฯ ต่อหน้า 'บลิงเคน' ถึงท่าทีที่มีต่อจีน ชี้!! ด้านหนึ่งทำตัวกดดันจีน อีกด้านกลับมาขอความร่วมมือ

(28 ก.ย.67) TNN World รายงานว่า เมื่อวานนี้ (27) นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ ควรหยุดตี 2 หน้ากับจีน ระหว่างการหารือ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่ UNGA ที่นครนิวยอร์ก

หวัง กล่าวต่อบลิงเคนว่า "ขอให้สหรัฐฯ หยุดตี 2 หน้ากับจีน คือ ด้านหนึ่งพยายามควบคุม ปิดล้อมและกดดันจีน แต่อีกด้านหนึ่งกลับพูดคุยและขอความร่วมมือกับจีนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

แทนที่จะทำเช่นนั้น หวัง กล่าวว่า "สหรัฐฯ ควรกำหนดนโยบายเกี่ยวกับจีน และจัดการสัมพันธ์ทวิภาคี 2 ประเทศ จากการมีความเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับจีนอย่างมีเหตุมีผล และหาหนทางที่ถูกต้องในการสัมพันธ์กับจีน"

ในประเด็นไต้หวัน หวัง กล่าวว่า "หากสหรัฐฯ หวังจะเห็นสันติภาพและเสถียรภาพระหว่าง 2 ฟากฝั่งของช่องแคบไต้หวันอย่างแท้จริงแล้ว สหรัฐฯ ควรยึดถือในหลักการจีนเดียว ปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมจีน-สหรัฐฯ 3 ฉบับ หยุดติดอาวุธไต้หวัน คัดค้านการเป็นอิสระของไต้หวันอย่างเปิดเผย และสนับสนุนการรวมชาติอย่างสันติของจีนกับไต้หวัน"

นอกจากนั้น หวัง เผยอีกว่า จีนคัดค้านสหรัฐฯ ที่ปราบปรามทางการค้าและเทคโนโลยี จีนไม่มีวันยอมรับการชี้นิ้วกล่าวโทษด้วยการพร่ำสอนเรื่องสิทธิมนุษยชน และสหรัฐฯ ควรแทรกแซงกิจการภายในของจีนให้น้อยลงภายใต้ข้ออ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน

เมื่อพูดเกี่ยวกับทะเลจีนใต้ หวัง กล่าวว่า จีนยังคงยึดมั่นแก้ไขความแตกต่างในประเด็นนี้ ผ่านการพูดคุยและหารือกับประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น สหรัฐฯ ไม่ควรกระพือปัญหาในทะเลจีนใต้ หรือบ่อนทำลายความพยายามของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ในการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่นี้

เมื่อพูดเกี่ยวกับยูเครน หวัง ยืนยันว่า จุดยืนจีนนั้นเปิดเผย คือจีนยึดมั่นในการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพ และจีนได้ใช้พยายามจะที่ช่วยให้ปัญหายูเครนยุติลงอย่างสันติ สหรัฐฯ ควรหยุดให้ร้าย หรือทำให้จีนเป็นแพะรับบาป หรือออกมาตรการคว่ำบาตรจีนตามอำเภอใจในประเด็นนี้ รวมถึงให้หยุดใช้ประเด็นนี้ สร้างความรู้สึกต่อต้าน และยุยงให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างค่ายด้วย

'นิคอสรพิษวิทยา' โต้!! PETA ควรมองความจริง ปมให้เอา 'หมูเด้ง' ไปปล่อยป่า ถาม!! นี่ใช่องค์กรเดียวกับที่ประณามไทย 'ทรมานลิง-เก็บมะพร้าว' หรือไม่?

(28 ก.ย.67) จากกรณี องค์กรพิทักษ์สัตว์ หรือ PETA ได้ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยหมูเด้ง ฮิปโปแคระ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ที่กำลังฮอตสุดขีดในหลากหลายวงการเวลานี้ กลับเข้าป่า โดยให้เหตุผลว่า การเอาหมูเด้งมาไว้ในสวนสัตว์เป็นการทรมานสัตว์ นั้น ด้าน นายนิรุทธิ์ ชมงาม หรือ 'นิคอสรพิษวิทยา' หัวหน้าผู้ก่อตั้งกลุ่มอสรพิษวิทยา และผู้เชี่ยวชาญการจับงูและสัตว์เลื้อยคลาน ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "มันเยอะไปไหม?" พร้อมทั้งกล่าวต่ออีกว่า...

จากข่าวองค์กรแห่งหนึ่ง ที่บอยคอต 'สวนสัตว์เขาเขียว' ในกรณีของหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ ว่าใช้สัตว์เพื่อผลประโยชน์และแสวงหาผลกำไร ลั่น!! ฮิปโปต้องอยู่ในป่าเท่านั้น

มีเพื่อนมาถามว่าในมุมมองของกลุ่มคนที่อนุรักษ์เขาคิดกันยังไง? ตอบได้แค่ว่า “อย่าสุดโต่งและอย่าเยอะ”

บางครั้งคนเราก็อินกันมากเกินไปจนตกขอบ เพราะอยู่แต่ในมุมของตัวเอง ในเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้ดูบริบทแวดล้อมอะไรเลย

มันต้องอยู่ในป่า มันต้องอยู่ในธรรมชาติ จนไม่ได้คิดว่า ฮิปโปแคระที่เกิดในที่เลี้ยง พ่อแม่มันก็อยู่ในที่เลี้ยง แล้วรณรงค์ให้มันไปอยู่ป่า มันจะรอดไหม? แล้วมันได้จะอะไรขึ้นมา ซึ่งบางทีก็ไม่เข้าใจว่าเขามองแบบตีรวมเลยหรือเปล่า ว่าเพราะญาติโก โหติกามันถูกจับมาจากธรรมชาติ เชื่อมโยงไปสู่กระบวนการค้าสัตว์ป่า ผ่านมา รุ่น3 รุ่น4 มันเลยต้องถูกตีรวมทั้งหมด ต้องถูกประณามทั้งหมด

มันต้องแยกแยะให้ได้ สัตว์ในธรรมชาติก็ไม่ควรถูกนำมาเลี้ยงโดยไม่จำเป็น แต่สัตว์ที่มันถูกเพาะเลี้ยงมามันก็เป็นอีกประเด็น แต่ก็ควรได้รับสวัสดิภาพที่ดีในที่เลี้ยง บางทีการมองอะไรแค่ด้านเดียวมันก็ไม่ถูกต้อง

ต้องไม่ลืมว่าพันธุกรรมสัตว์หลายๆ ชนิดก็ถูกปกป้องในที่เลี้ยงนี่แหละ เรามีการปล่อยสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์กลับสู่ธรรมชาติ เช่น นกกระเรียน อีแร้ง ละมั่ง วัวแดง และสัตว์อีกหลายๆ ชนิดได้ ก็เพราะการถูกรักษาไว้ในที่เลี้ยงนี่แหละ (แต่ต้องทำตามกระบวนการศึกษาที่ถูกต้องนะครับ ไม่ใช่อยากปล่อยก็เอาไปปล่อย)

ไฟมีอันตราย แต่ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มันยังไง

บางทีการคิดการมองแค่มุมเดียวจนสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากนั้นยังทำให้ค่านิยมต่อคนที่ทำงานอนุรักษ์ด้วยความเป็นจริง ต้องถูกมองลบไปด้วย ว่า คนอนุรักษ์ต้องเป็นแบบนี้มองโลกแค่มุมเดียว

“ขอประณามกลับไป หัดกลับไปมองความจริง และคิดอะไรให้เหมือนชาวบ้านเขาบ้าง”

ปล.เกือบลืม องค์กรเดียวกับที่ประณามเราเรื่อง ประเทศไทยทรมานลิง ใช้ลิงเก็บมะพร้าวส่งออก

'ปิยบุตร' ชี้!! แก้รัฐธรรมนูญยืดเยื้อ จบไม่ทันเลือกตั้งปี 70 แนะ!! เลือกทำประชามติ 2 ครั้ง-แก้รายมาตรา ไม่แตะหมวด 1-2

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ 'เมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าออกไปอีก รัฐบาลรัฐสภาควรทำอย่างไร?' ระบุว่า...

รัฐบาลวางแนวทางไว้ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีขึ้นได้ ต้องผ่านการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง โดยรัฐบาลเห็นว่า การออกเสียงประชามติในครั้งแรก จะเกิดได้ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เสียก่อน เพื่อเปลี่ยนจากเกณฑ์ 'ผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ + ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ' หรือ Double Majority ให้เป็น 'ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ' ร่างพ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.บ.ประชามตินี้ ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ในการพิจารณาของวุฒิสภา 

ปรากฏมีข่าวว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา มีมติให้กลับไปเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น ตามเดิม หากไปจนจบวาระสามในชั้นวุฒิสภา ยังเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า วุฒิสภามีมติแก้ไขจากร่างที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา ต้องทอดเวลาออกไปอีก หากสภาใดสภาหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมสองสภาทำกันมา ร่างนั้นก็จะถูกยับยั้งไว้ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะนำกลับมาลงมติยืนยันได้ 

เมื่อดูกระบวนการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติแล้ว จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีการออกเสียงประชามติรอบแรกในต้นปี 2568 อย่างน้อยๆ ต้องเสียเวลาเพิ่มอีก 8-10 เดือน กว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) มาทำร่างใหม่ แล้วทำประชามติ ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก อย่างน้อย 2 ปี ดังนั้นโรดแมปที่แกนนำรัฐบาล พูดกันว่าเลือกตั้งปี 70 จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ให้ใช้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว

นายปิยบุตร ระบุอีกว่า ด้วยสถานการณ์ที่มีคนพยายามใช้กลไกถ่วงเวลาการแก้รัฐธรรมนูญเช่นนี้ ผมเห็นว่า รัฐบาลและรัฐสภามีทางเลือก 2 ทาง ทางเลือกแรก ลดการออกเสียงประชามติเหลือ 2 ครั้ง กล่าวคือ เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เข้ารัฐสภาเลย (ถ้ารีบเสนอวันนี้เลย สามารถพิจารณาวาระแรกทันในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะสิ้นสุดสิ้นเดือนตุลาคม) เมื่อผ่านรัฐสภาก็ไปออกเสียงประชามติ เมื่อผ่าน มีส.ส.ร.ทำร่างใหม่เสร็จ ก็นำมาออกเสียงประชามติ ทางเลือกนี้ประหยัดเวลาไปอีก 8-10 เดือน และทำประชามติเพียงสองครั้ง ประหยัดงบประมาณไปได้มาก ประธานรัฐสภาไม่ต้องกังวล ต้องกล้าบรรจุเรื่องเข้ารัฐสภา เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าการทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง...

ทางเลือกที่สอง เสนอแก้รัฐธรรมนูญ 2560 รายมาตรา ตั้งแต่หมวด 3 จนถึงหมวดสุดท้าย ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 279 ในเมื่อรัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว สามารถดำเนินการตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสีย ปัญหาหรือข้อกังวลต่างๆก็ตกไป การแก้ไข ตั้งแต่ มาตรา 25 ถึง มาตรา 279 ไม่ใช่การทำใหม่ทั้งฉบับอยู่แล้ว ย่อมไม่ติดกับดักประชามติ ที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ข้อกังวลเรื่องจะมาแก้ไข หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ ก็ไม่มี เพราะคือการเริ่มแก้ตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป และกระบวนการนี้ ทั้งหมดจบได้ด้วยประชามติครั้งเดียวตอนท้าย หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ทางเลือกนี้ แก้ทั้งกับดัก และยังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ มีแต่ทางเลือกสองทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เรามีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้ทันในปี 2570”

'พล.ต.ท.ประจวบฯ' ชื่นชมสองตำรวจ สภ.เมืองราชบุรี บุกชาร์จตัวช่วยเหลือหญิงสาวคิดสั้นหวังกระโดนสะพานข้ามแม่น้ำจบชีวิต ปฏิบัติหน้าที่สมความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรหน่วยต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้อำนวยความสะดวกและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง ตามมาตรฐานสุภาพบุรุษจราจร สำหรับตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ชื่นชมของประชาชนในวงกว้างจนเป็นที่ประจักษ์ ขอให้ผู้บังคับบัญชาชื่นชมให้กำลังใจ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ตำรวจนายอื่น และเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีต่อไป

วันนี้ (28 กันยายน 2567) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.ท.ประจวบ ฯ ได้ชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองราชบุรี 2 ราย ได้แก่ ร.ต.ต.วิเชียร มณีวิหค รอง สว.(จร.) สภ.เมืองราชบุรี และ ร.ต.ต.สุพจน์ อุดมสุข รอง สว.(ป.) สภ.เมืองราชบุรี ที่รีบเดินทางไปช่วยเหลือหญิงสาวคิดสั้น หวังจบชีวิตหนีปัญหา บริเวณสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ อ.เมือง จ.ราชบุรี ได้สำเร็จและปลอดภัย

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.30 น. ศูนย์วิทยุ 191 ได้รับแจ้งเหตุจากพลเมืองดีว่า พบหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่บนขอบสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลอง เกรงว่าจะกระโดดน้ำหวังฆ่าตัวตาย จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หลังรับแจ้งเหตุ ร.ต.ต.วิเชียร มณีวิหค รอง สว.(จร.) สภ.เมือง และ ร.ต.ต.สุพจน์ อุดมสุข รอง สว.(ป) สภ.เมืองราชบุรี  จึงรีบเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิปฐมบรมราชานุสรณ์ ราชบุรี และเจ้าหน้าที่มูลนิธิประชานุกูล ราชบุรี ที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ของหญิงสาวดังกล่าวจอดอยู่บริเวณทางขึ้นสะพาน และพบหญิงสาวนั่งอยู่บนขอบสะพานรถไฟ อยู่ในอาการร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายจึงใช้ยุทธวิธีการเจรจาเกลี้ยกล่อมพูดจาหว่านล้อม ให้หญิงสาวคนดังกล่าวสงบสติอารมณ์ และเข้าชาร์จตัวช่วยเหลือได้สำเร็จ นำตัวมาอยู่ในที่ปลอดภัย พร้อมพูดปลอบใจจนหญิงสาวกลับมามีสติ และยอมให้ทางเจ้าหน้าที่นำตัวไปโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพาหญิงสาวกลับไปส่งที่บ้านใน อ.จอมบึง 

จากการสอบถามทราบว่าหญิงสาวคนดังกล่าว กล่าวว่า ตนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและมีโรคประจำตัวหลายโรค ซึ่งที่ผ่านมาทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษาตัวแต่ก็ยังไม่พอ จนต้องทำให้ครอบครัวช่วยหาเงินมารักษา ทำให้คิดมากว่าเป็นภาระของครอบครัว จึงตัดสินใจจบชีวิตตนเอง ซึ่งระหว่างกำลังจะโดดลงแม่น้ำ ได้โทรศัพท์ไปสั่งลาญาติ แต่ทางตำรวจมาช่วยเหลือไว้ได้ทัน

พล.ต.ท.ประจวบ ฯ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องขอขอบคุณและชื่นชม ร.ต.ต.วิเชียรฯ และ ร.ต.ต.สุพจน์ฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองราชบุรี ที่ได้รับแจ้งเหตุดังกล่าวแล้วออกไปให้การช่วยเหลือด้วยความรวดเร็ว ตลอดจนเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ และพลเมืองดีทุกคนที่ไม่นิ่งดูดายในการรีบให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหา ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วของตำรวจในเหตุการณ์ดังกล่าวจนสามารถช่วยเหลือประชาชนได้สำเร็จ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนสมความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ 

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุ สามารถแจ้ง ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทางช่องทาง
- โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ. ทั่วประเทศ 
- โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจร ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 
- โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ 
- โทร. 1599 สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทร.โดย สอ.รฝ. ระดมพลเร่งฟื้นฟูบ้านพักอาศัย ในพื้นที่แม่สาย เชียงราย

(เมื่อวานนี้ 28 ก.ย. 67) ชุดฟื้นฟู หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) กองทัพเรือ ร่วมกับหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เริ่มดำเนินการตามแผนฟื้นฟูบ้านพักอาศัย ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตามที่ได้รับแจ้งจากหัวหน้าชุมชน ที่ได้ลงสำรวจและรับแบ่งมอบงาน จากอำเภอและกรมการทหารช่าง โดยแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่  ได้แก่ พื้นที่เหมืองแดงใต้ จำนวน 4 หลัง และพื้นที่ชุมชนปิยะพร จำนวน 6 หลัง
ซึ่งในแต่ละพื้นที่ได้ดำเนินการฟื้นฟูและนำโคลนที่อุดตัน บริเวณท่อระบายและพื้นที่บ้านเรือนของประชาชนออก โดยในบางพื้นที่ได้ดำเนินการเสร็จแล้ว 100 % โดย ชุดฟื้นฟูหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จะดำเนินการ เร่งฟื้นฟู ตามพื้นที่ต่าง ๆ ในเขต อำเภอเมืองแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับมอบหมาย ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

นครราชสีมา - กองทัพภาคที่ 2 จัดพิธี รับ–ส่งหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 67) เวลา 10.30 น. ณ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2 และพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (ท่านใหม่) ร่วมกระทำพิธีรับ – ส่งหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 โดยได้กระทำพิธีสักการะพระศรีสัมพุทธโมลี พระพุทธวิชัยเสนีย์นาถ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อนุสาวรีย์วีรไทย พระบรมรูป ร.5 พระบรมราชานุสาวรีย์  หลังจากนั้นจึงลงนามเอกสารรับ – ส่งหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 ณ ห้องประชุมกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2  ก่อนจะเดินทางมายังบริเวณพิธีรับ – ส่งหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 ณ ลานหน้าสโมสรร่วมเริงไชย โดยขึ้นแท่นรับการเคารพ  พันเอก กิติพงศ์ พ่วงอยู่ ผู้อำนวยการกองกำลังพล ได้อ่านประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวมอบหน้าที่และการบังคับบัญชา และได้ส่งมอบธงประจำกองทัพภาคที่ 2 พร้อมทั้งเอกสารรับ - ส่งหน้าที่ แก่แม่ทัพภาคที่ 2 (ท่านใหม่) จากนั้น จึงกล่าวรับมอบหน้าที่และการบังคับบัญชา เสร็จแล้วทั้ง 2 ท่าน จึงขึ้นแท่นรับการเคารพจากกองผสมหมู่ธงสวนสนาม ซึ่งจัดจาก หมู่ธงประจำหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 2 จำนวน 83 หมู่ธง

สำหรับ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 37 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 77 เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ค่ายพระยอดเมืองขวาง จ.นครพนม ,ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22, เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 3, ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 ค่ายกฤษณ์สีวะรา จ.สกลนคร, ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3, รองแม่ทัพภาคที่ 2, แม่ทัพน้อยที่ 2 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 2 ลำดับที่ 44 
สำหรับท่านแม่ทัพบุญสิน หรือแม่ทัพกุ้ง ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ดำรงตำแหน่งโดยเฉพาะตำแหน่งคุมกำลังรบสำคัญๆตลอดการรับราชการ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับ โดยการนำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายทั้งในส่วนของกองทัพบกและในส่วนของรัฐบาล  รวมถึงส่วนราชการ และภาคเอกชน ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน การปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มขีดความสามารถ ส่งผลให้มีผลการปฏิบัติงานสำเร็จมากมาย จนเป็นที่ประจักษ์  โดยที่สำคัญท่านได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหน่วย พัฒนากำลังพล ดูแล ใส่ใจ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา กำลังพลในทุกระดับจนถึงพลทหารน้องเล็กคนสุดท้องกองทัพบก เสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้กำลังพล ส่งผลให้บรรลุทุกๆภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ  จนเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชาระดับสูงในทุกระดับ และเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของพี่น้องประชาชน คนรากหญ้าชาวอีสาน ซึ่งท่านใช้ภาษาอีสานสื่อสารกับพี่น้องประชาชนในการลงพื้นที่ทุกครั้ง จึงสามารถเข้าใจบริบทของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานได้อย่างดี ตลอดการทำงานที่ผ่านมาจนมาถึงปัจจุบัน  

#ศูนย์ข่าวมุกดาหาร
#กองทัพภาคที่2
#กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี

เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259777


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top