Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

‘DE-BDI’ โชว์ความพร้อมแพลตฟอร์ม Health Link เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ‘โรงพยาบาล - คลินิก - ร้านยา’ มากกว่า 1,500 แห่ง รองรับการเดินหน้าโครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เตรียมเพิ่มระบบ ‘ส่งต่อผู้ป่วย–การเบิกจ่าย’ ยกระดับบริการประชาชน

(27 ก.ย.67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม น.ส. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งร่วมให้เกียรติเยี่ยมชมบูทของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ภายในงานเปิดตัว 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร โดยมี รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ และนายแพทย์ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President ให้การต้อนรับ และนำเสนอโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) เพื่อแสดงผลการดำเนินงานในส่วนการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของหน่วยบริการภายใต้ความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ล่าสุดได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม. มากกว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ และหน่วยนวัตกรรม ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า  กระทรวงดีอี ได้มอบนโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่กำลังส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ที่มีภารกิจหลักในการดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ (Health Information Exchange: Health Link) เพื่อยกระดับการบริการสาธารณสุขและสนับสนุนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า  

ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลและกระทรวงดีอีที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างไร้รอยต่อ ปัจจุบัน Health Link ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้กับหน่วยบริการสาธารณสุขได้แล้วกว่า 1,500 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ประกอบไปด้วยโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร ศูนย์บริการสาธารณสุข และคลินิกบริการสุขภาพ อาทิ คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ คลินิกเวชกรรม คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ คลินิกทันตกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล สามารถเข้ารับบริการจากหน่วยบริการใกล้บ้านได้อย่างสะดวก รวดเร็ว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีมีความตั้งใจที่จะขยายการเชื่อมโยงไปยังหน่วยบริการในท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เพิ่มความรวดเร็วในการรักษา ลดความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่ายยา และช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วยได้ทันท่วงที ยกระดับระบบสาธารณสุขไทยได้อย่างยั่งยืน จากความสำเร็จของโครงการ Health Link ในวันนี้ กระทรวงดีอีพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของ BDI และภาคีเครือข่าย พร้อมผลักดันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่ รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สำหรับโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ หรือ ระบบ Health Link เป็นความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ กทม. ในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของทุกหน่วยบริการด้านสุขภาพเพื่อรองรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเป็นประโยชน์ และเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านสุขภาพสู่ภาคประชาชน โดยได้นำร่องเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม.

ทั้งนี้การดำเนินงานไม่ใช่การรวมศูนย์ข้อมูล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงภายใต้มาตรฐานกลาง โดยหน่วยบริการสาธารณสุขสามารถเปิดดูประวัติการรักษาที่ได้รับการยินยอมจากผู้เข้ารับการรักษาได้ผ่านระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) และระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ HIE Web portal ผ่านระบบ Health Link

สำหรับงานเปิดตัว 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร นอกจาก BDI จะร่วมแสดงผลการดำเนินงานและแสดงแดชบอร์ด (Dashboard) การจัดทำฐานข้อมูลการตรวจสุขภาพอย่างเต็มระบบแล้ว ยังได้สาธิตความพร้อมของระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยบริการเพื่อรองรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมรายงานภาพรวมการเชื่อมโยงข้อมูล และนำเสนอแผนการดำเนินงานโครงการ Health Link ต่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยขยายการเชื่อมต่อหน่วยบริการใน กทม. ให้ครอบคลุมทั้งสำหรับหน่วยบริการในปัจจุบันและหน่วยบริการที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ในอนาคต , การคืนประวัติการรักษาให้กับประชาชน ผ่านการเชื่อมต่อ API ข้อมูลสุขภาพจาก Health Link ไปยังแอปพลิเคชัน PHR (Personal Health Record – ระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล) ของหน่วยงานต่าง ๆ

ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตัวเองได้อย่างง่ายดาย , ระบบการรับส่งต่อผู้ป่วย (Refer) เพื่อขยายการเชื่อมข้อมูลสุขภาพให้รองรับการส่งต่อผู้ป่วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อการรักษาและประวัติการรักษา นำร่องในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุข และโรงพยาบาลในสำนักการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบเบิกจ่าย ด้วยการพัฒนา AI ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของการเบิกจ่าย รวมถึงการเชื่อมข้อมูลจากระบบ Health Link เข้ากับระบบตรวจสอบของ สปสช. เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบ ส่งผลให้กับหน่วยบริการสามารถเบิกจ่าย (Claim) ได้เร็วขึ้น

“เรามีความพร้อมในการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Health Link เพื่อรองรับการให้บริการในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่กรุงเทพฯ และเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับการบริการด้านสุขภาพของคนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและพลังของ Big Data ที่สามารถนำมาขยายการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวย้ำ 

กตป. สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ ม.สงขลานครินทร์ (ม.อ.) จัดการประชุมระดมคลังสมอง  (Think tank) 

(27 ก.ย.67) ณ โรงแรม ทีเค. พาเลช & คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมี นางสาวอารีวรรณ จตุทอง กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานเปิดการประชุม ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพันธกิจสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินการจัดประชุมคณะที่ปรึกษาโครงการ โครงการจ้างที่ปรึกษาติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปี 2567 

ดำเนินการตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) มีอำนาจหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการและบริหารงานของ กสทช. สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. เป็นประจำทุกปี โดยในปี 2567 กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดนโยบายที่สำคัญด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล 2 เรื่อง 1) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะภายหลังการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท แอดวานช์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) และบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (3BB) เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และ 2) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการสนับสนุน ส่งเสริม และคุ้มครองผู้บริโภคของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 

เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) โครงการจ้างที่ปรึกษาติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญ ในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปี 2567 มีระยะเวลาดำเนินงานทั้งสิ้น 210 วัน โดยมีแผนการดำเนินงาน เริ่มด้วยการเตรียมการ และการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ 1) การรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ศึกษาโดยวิธีการทางเอกสาร จำนวน 2 เรื่อง และ 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อประกอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน 2 เรื่อง ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ 1) วางแผนเพื่อสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ตามหลักวิชาการและระเบียบวิธีวิจัยอย่างเหมาะสม 2) การจัดประชุมระดมคลังสมอง (Think Tank) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารหรือผู้แทน หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา 3) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) 

กลุ่มตัวอย่าง ใน 2 เรื่องที่ศึกษา 4) การจัดการประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group) เพื่อการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล 5) การจัดประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Interview Group) ทั้ง 2 เรื่องที่ศึกษา 6) จัดการประชุมเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (Public hearing) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 4 ครั้ง ณ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี และ 7) การจัดทำแบบสอบถาม (Questionnaire) ตามระเบียบวิธีวิจัย โดยการออกแบบเครื่องมือ และสำรวจข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในทุกภูมิภาค และจบด้วยการวิเคราะห์และสรุปผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล หลังจากนั้นจะมีการจัดทำสรุปผลการศึกษาเพื่อเผยแพร่ (Pocket Book) รวมถึงจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นผลการศึกษา จำนวน 2 เรื่อง และจัดแถลงข่าวต่อไป

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 : ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา แต่อยากได้บุญ

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา แต่อยากได้บุญ’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

💛คำถาม: ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา แต่สวดมนต์อยู่บ้านถือว่าทำบุญไหม แล้วจะได้บุญเท่าคนอื่น ๆ หรือไม่?

🔔พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): อยากให้ย้อนกลับไปดู ‘บุญกิริยาวัตถุ 10’ การทำบุญตักบาตร ก็เป็น 1 ใน 10 เช่นเดียวกับการสวดมนต์ ทำสมาธิ การรักษาศีล

เมื่อถามว่าจะได้บุญเท่าคนอื่น ๆ หรือไม่นั้น มองง่าย ๆ คือ จาก 10 ข้อ เราทำแค่ 2 ข้อ ก็แปลว่าเราสู้คนอื่น ๆ ที่ทำไป 8 ข้อไม่ได้ เป็นตรรกะง่าย ๆ หากทำเท่าคนอื่น ๆ ก็ได้เท่าเขา 

โดยทั่วไปที่พบเห็นคือ ญาติโยมมักจะทำแบบไม่ต่อเนื่อง สวดมนต์ไม่ต่อเนื่อง นั่งสมาธิไม่ต่อเนื่อง แต่อยากได้บุญต่อเนื่อง อยากได้ความดีต่อเนื่อง ก็ขอให้ปรับพฤติกรรมใหม่ อย่าไปลังเล อย่าไปสงสัย ทำอะไรได้ก็ทำเลย

💛คำถาม: แล้วแค่สวดมนต์อยู่บ้านได้บุญไหม?

🔔พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ใน ‘บุญกิริยาวัตถุ 10’ มีข้อที่กล่าวถึงการรักษาศีล ก็ไม่ต้องใช้เงิน ฟังธรรมก็ไม่ต้องใช้เงิน ฟังยูทูบ ฟังรายการธรรมะ มีโทรศัพท์ แต่เราไม่มีเงินก็ฟังได้ การแผ่ส่วนบุญให้เพื่อน ทำความเห็นให้ตรง ขวนขวาย ช่วยเหลือกิจการงาน ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ลองกลับไปดู ‘บุญกิริยาวัตถุ 10’ ได้เลย

ส่วนที่บอกว่าไม่มีเวลา ไม่จริง หลวงพ่อเชื่อว่ามีเวลาแน่นอน เราต้องมาจัดสรรปันเวลา แค่ 10 หรือ 20 ก็ได้แล้ว แค่ต้องจัดสรรเวลาให้ดี 

ส่วนเรื่องเงินทำบุญ ถ้ามีเงิน แต่มีน้อย ก็ใช้วิธีทำบุญด้วยการใช้เงินให้ลดลง อย่าให้ตัวเองลำบาก แล้วไปมุ่งสวดมนต์ให้มาก ๆ ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็เป็นบุญในทุกวัน ทั้งต่อผู้ใหญ่ ผู้น้อย ต่อผู้ร่วมงาน แล้วก็ยินดีในบุญคนอื่น

หากเราสร้างบุญด้วยเหตุที่ถูกต้อง เดี๋ยวก็จะมีเงิน มีปัจจัยเข้ามาสนองเราเอง

'ซุปเปอร์บอน' สับศอกน็อก 'โจ ณัฐวุฒิ' ยกแรก ประกาศ!! ขอนัดล้างตา 'ตะวันฉาย' ต่อไป

(28 ก.ย.67) จากการแข่งขันมวยไทย รายการ ONE ลุมพินี 81 ที่เวทีมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 27 ก.ย.67 คู่เอกนำรายการ ซึ่งเป็นการพบกันของ 'ซุปเปอร์บอน' ซุปเปอร์บอนเทรนนิงแคมป์ แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) กับ 'โจ ณัฐวุฒิ' นักสู้มาดอินดี้วัย 35 ปี จากโคราช โดยทั้งคู่ดวลกัน ภายใต้กติกามวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต

สำหรับ 'ซุปเปอร์บอน' ชกใน ONE มาแล้ว 7 ไฟต์ มีผลงานคว้าชัยได้มากถึง 5 ครั้ง โดยล่าสุดเพิ่งเอาชนะคะแนน มารัต กริกอเรียน จอมบู๊ วัย 35 ปี จากอาร์เมเนีย ในศึกใหญ่แรกของปี ONE ลุมพินี 58 เมื่อ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ขึ้นนั่งบัลลังก์แชมป์โลกเฉพาะกาล ของกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ได้สำเร็จ ซึ่งผู้ชนะไฟต์นี้

ปรากฎว่า แค่เพียง 30 วินาที ซุปเปอร์บอน ฟันศอกซ้ายใส่ โจ จนได้เลือด ก่อนจะสับศอกขวา ส่งโจ หล่นไปกอง แม้ โจ จะพยายามลุกขึ้นมาตั้งสติ แต่ผู้ตัดสินเห็นท่าไม่ดี ให้ ซุปเปอร์บอน ชนะน็อกตั้งแต่ยกที่ 1 ด้วยเวลารวม 1.43 นาที พร้อมทั้งได้รับโบนัส 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 1.6 แสนบาท 

ทั้งนี้ หลังจากผลการชกเสร็จสิ้น ซุปเปอร์บอน ได้ประกาศขอล้างตากับ ตะวันฉาย พีเค แสนชัยมวยไทยยิม ต่อไป

ไล่ออก!! 'สาวพม่าปากแจ๋ว' ด่ากราดคนไทยเจ้าของประเทศ ด้านบริษัทผู้จ้างไม่รอช้า พิจารณาลงโทษทางวินัยขั้นสูงสุด

(28 ก.ย.67) จากกรณี สาวพม่าปากแจ๋ว อัดคลิปลงโซเชียลสั่งสอนคนไทย โดยระบุว่า "แค่คนไทย แค่สลิ่มส่วนน้อยราว 2-3% เท่านั้น ที่ออกมาต่อต้าน (กลุ่มแรงงานพม่าผิดกฎหมาย) ไม่ต้องออกมาต่อต้าน ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครให้ค่าคุณหรอก เป็นนายกฯ ให้ได้ก่อน ค่อยมาไล่"

ล่าสุด ทางบริษัทที่จ้างงานสาวพม่าคนดังกล่าว ก็รอช้า ได้ออกประกาศแจ้ง โดยมีข้อความดังนี้...

"เรียน  ท่านลูกค้าผู้มีอุปการะคุณ

สืบเนื่องจากกรณีร้องเรียนถึงพนักงานของบริษัท มาสเตอร์ เวท จำกัด มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และได้มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook, TikTok) 

จากการสอบสวนและหลักฐานต่าง ๆ ที่ปรากฏ พบว่าพนักงานได้กระทำผิดจริง ในการนี้ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทให้พิจารณาลงโทษทางวินัยตามกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานขั้นสูงสุดแก่พนักงานผู้นั้น โดยให้สิ้นสุดสภาพการเป็นพนักงานนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ขออภัยต่อการกระทำที่เกิดขึ้น และขอให้คำมั่นว่า จะดูแลพฤติกรรมของพนักงานทุกคน เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก"

ภายหลังจากถูกไล่ออก สาวพม่าปากแจ๋วได้รีบออกคลิปมาขอโทษ กล่าวสำนึกผิดในสิ่งที่ทำ และขอโอกาสจากสังคม/คนไทยอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดยอดฮิต "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" โดยมีชาวเน็ตไทยลงมติเอกฉันท์ "ไม่ให้อภัยและคนต่างชาติที่กล้าต่อว่าคนในชาติที่ให้โอกาสทั้งงานและชีวิตเช่นนี้ ควรถูกส่งกลับประเทศของตนไปทันที"

เปิดแผนแม่บท พัฒนาเมืองใหม่ 'ห้วยใหญ่' สู่เมืองหลวงของ EEC รองรับผู้อาศัย 300,000 คน ตำแหน่งงาน 200,000 ตำแหน่ง

(28 ก.ย.67) เพจ 'โครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความในประเด็น เปิดแผนแม่บท พัฒนาเมืองใหม่ห้วยใหญ่ เมืองหลวง EEC (EECiti) เตรียมรับศูนย์กลางการเงิน และการแพทย์แม่นยำ รองรับผู้อาศัยกว่า 300,000 คน ตำแหน่งงานกว่า 200,000 ตำแหน่ง พร้อมรถไฟฟ้าเชื่อมโยง รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน โดยมีเนื้อหา ระบุว่า...

วันนี้เอารายละเอียดแผนการพัฒนาเมืองใหม่ห้วยใหญ่ ซึ่งถูกวางไว้เป็นศูนย์กลางด้านการเงิน และการแพทย์แม่นยำ ของภูมิภาค CLMVT เพื่อสร้างโอกาส และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทย ให้สูงขึ้นในระดับโลก!!!

จริง ๆ ผมเคยเอารายละเอียดเบื้องต้น มาสรุปให้ฟังแล้วรอบนึง แต่รอบนี้ทาง EEC ได้เอาผลการศึกษา และผังการใช้พื้นที่ของเมืองใหม่ออกมาให้ดูกันอย่างละเอียด

ล่าสุด กันยายน นี้ ทาง EEC เริ่มทำการขอพื้นที่คืน (เป็นพื้นที่ สปก. สามารถขอมาใช้ได้โดยชดเชยให้กับผู้ใช้พื้นที่เดิม) ในระยะแรก 5,795 ไร่ และจะทยอย ชดเชยพื้นที่ควบคู่การพัฒนาโครงการ จนครบ 14,619 ไร่ ในปี 2568!!!
—————————
จากแผนการพัฒนาเมืองในรายละเอียดล่าสุด มีการเตรียมจัดตั้ง บริษัท พัฒนาเมือง จำกัด ในลักษณะ EEC Holding เพื่อร่วมบริหารจัดการและพัฒนา EEC Capital City ซึ่งดึงเอาผู้อาศัยเดิม เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบ ผู้ถือหุ้น เพื่อได้รับผลประโยชน์ของการพัฒนาพื้นที่ในระยะยาว

แผนงานของโครงการ มีรายละเอียด คือ...

- ปลายปี 2568 การก่อสร้างโครงข่ายถนนทั้งภายนอก และเชื่อมต่อภายในโครงการ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เอกชนเข้าลงทุนพัฒนาพื้นที่ธุรกิจเป้าหมายในโครงการจะเกิดขึ้นในช่วง
- ปี 2569 สามารถเริ่มเข้าปรับพื้นที่ก่อสร้าง 
- ปี 2572 สามารถเปิดดำเนินการในช่วงแรก

คู่ขนานกันในพื้นที่นี้ มีการพัฒนา ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก ของการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจจะก่อสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ ขนาด 80,000 ที่นั่งในพื้นที่เมืองใหม่ด้วย

แล้วนอกจากนั้น ได้มีการวางแผนเส้นทางรถไฟฟ้าเชื่อมโยง ระหว่าง สนามบินอู่ตะเภา - เมืองใหม่ - พัทยา ไว้แล้วด้วย!!!
—————————
มาดูรายละเอียดโครงการ EECiti กันก่อนครับ

- ตั้งเป้าให้เป็น 'ศูนย์กลางธุรกิจ และการเงินระดับภูมิภาค เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 ของโลก ในปี 2580' ซึ่งจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต โดยธรรมชาติ มนุษย์ และเทคโนโลยีอยู่ร่วมกัน มุ่งสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BGC Economy) พื้นที่นวัตกรรม และคุณภาพชีวิตระดับสากลของประเทศไทย

- สถานที่ตั้งโครงการ อยู่ในพื้นที่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ริมทางหลวงสาย 331 

- วางพื้นที่ถนนเชื่อมโยงมอเตอร์เวย์ สาย 7 บริเวณ ด่านห้วยใหญ่ 

- โดยพื้นที่ทั้งหมด 15,000 ไร่ ซึ่งในระยะแรกใช้พื้นที่ 5,795 ไร่ โดยใช้พื้นที่ สปก. โดยมีการจ่ายค่าทดแทนให้กับประชาชนในพื้นที่

ระยะทางจากจุดศูนย์กลาง สู่พื้นที่สำคัญ...
- 15 กิโลเมตร จากสนามบินอู่ตะเภา
- 10 กิโลเมตร จากพัทยา
- 160 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ

>> แบ่งการจัดการพื้นที่ สีเขียว 30% และพื้นที่พัฒนา 70% 

การจัดวางโซนพื้นที่พัฒนาเมือง ได้แก่...
- ศูนย์สำนักงานภูมิภาค และศูนย์ราชการ EEC
- ศูนย์กลางการเงิน EEC
- ศูนย์การแพทย์แม่นยำ และการแพทย์อนาคต
- ศูนย์การศึกษา วิจัยและพัฒนา นานาชาติ
- ศูนย์ธุรกิจอนาคต
- ที่พักอาศัยสำหรับคนทุกกลุ่ม

การจัดการน้ำ และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การผลิตน้ำประปา การจัดเก็บน้ำฝน และบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

การใช้พลังงานให้คุ้มค่ามากที่สุด และเป็นเมือง Carbon Net Zero ซึ่งใช้เทคโนโลยีด้านการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีในการลดพลังงาน เช่น การทำความเย็นเป็นพื้นที่ (Cooling District)

การเดินทางภายในพื้นที่ จะมีการวางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมด้วยการไม่ใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เช่น...
- รถไฟเชื่อมโยง รถไฟความเร็วสูง
- รถไฟฟ้ารางเบาในเขตพื้นที่เมืองชั้นใน
- รถเมล์ไฟฟ้า
- เรือโดยสารภายในพื้นที่โครงการ
—————————
โครงการสามารถรองรับจำนวนประชากรในพื้นที่ 300,000 คน ในทุกกลุ่มประชากร แบ่งเป็น...
- พื้นที่อยู่อาศัยรายได้เริ่มต้น-ปานกลาง 70%
- พื้นที่อยู่อาศัยรายได้สูง 30%

สร้างตำแหน่งงานในพื้นที่ 200,000 ตำแหน่ง

แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง 6 ด้าน ได้แก่...
1. ออกแบบเพื่อการเจริญเติบโตของเมือง อย่างยั่งยืน
2. สร้าง Platform ข้อมูลเมืองอัจฉริยะ
3. สร้างระบบเทคโนโลยีความน่าอยู่อัจฉริยะ 7 ด้าน
4. สร้างสภาพแวดล้อมรองรับ เศรษฐกิจนวัตกรรม
5. สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน
6. สร้างธรรมาภิบาลสากล และการร่วมมือนานาชาติ

มูลค่าการลงทุน รวม 1.34 ล้านล้านบาท!!! โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ...
- ภาครัฐ 2.8% (ประมาณ 38,000 ล้านบาท)
- โครงการร่วมทุน (ppp) 9.7% (ประมาณ 133,000 ล้านบาท)
- เอกชนลงทุน 87.5% (ประมาณ 1,200,000 ล้านบาท)
—————————
หวังว่า รัฐบาลปัจจุบัน จะช่วยกันผลักดัน เพื่อใช้ประโยชน์ของโครงการ และพื้นที่ EEC ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับเร่งรัด รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบินไปด้วยนะครับ!!!!

พรรคเพื่อไทย
Ing Shinawatra

'สรวงศ์' เล็งดึง 'คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน' กระตุ้น ศก.โลว์ซีซั่นปีหน้า ลั่น!! นโยบายของรัฐบาลใดที่ทำไว้แล้วดี เอากลับมาใช้แน่นอน

เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.67) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวปี 68 ว่า ขณะนี้กำลังไล่รื้อแผนในช่วงโลซีซันในปีหน้า โดยจะฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพราะแอปพลิเคชันเองก็ยังอยู่ และจากตัวเลขการเดินทางเข้ามาก็ค่อนข้างมาก ซึ่งชัดเจนว่าช่วยได้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค

ขณะที่การกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 67 นายสรวงศ์ ยอมรับว่า ขณะนี้มีเหตุการณ์อุทกภัยทำให้สายการบินยกเลิกเที่ยวบินมากพอสมควร แต่เชื่อไตรมาสสุดท้ายของปีนี้การจองจะยังเหมือนเดิมยังไม่มีการยกเลิกเข้ามา เป็นเครื่องยืนยันได้ว่านักท่องเที่ยวยังมองว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายอยู่ และตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้จะได้ตามเป้าหมายหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า จะพยายามให้เต็มที่ โดยจะอัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวและนักลงทุน พร้อมกับหวังว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบอุทกภัยเกิดขึ้นอีก และยืนยันว่าจะพยายามอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมยอมรับว่าตัวเลขด้านรายได้การท่องเที่ยวยังขาดอีก 8 แสนล้านบาท เป็นเรื่องที่เหนื่อย แต่จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ในส่วนของประเทศญี่ปุ่น จีน และอินเดีย พบว่านักท่องเที่ยวอินเดียใช้จ่ายเยอะพอสมควร จึงอาจจะมีการเพิ่มไฟลต์บินตรงให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุย ขณะที่จีนก็อาจจะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการไปเปิดเชิญชวนยังมณฑลต่าง ๆในประเทศจีน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนที่มีคุณภาพให้กลับมามากขึ้น

ส่วนช่วงโกลเด้นวีคของประเทศจีนคือวันที่ 1 ตุลาคม จะมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างไร? นายสรวงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ดูจากตัวเลขไฟลต์บินที่มาจากจีนยังเยอะเหมือนเดิม และหากดูจากจำนวนก็ไม่น่าห่วง แต่เรามุ่งจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น พร้อมยืนยันว่าไม่ห่วงเรื่องจำนวนแล้ว แต่การใช้จ่ายต่อหัวต้องกระตุ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้จีนมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทำให้การใช้จ่ายน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อถามว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในไทยจะมีการนำโครงการนำคนละครึ่งกลับมาด้วยหรือไม่? นายสรวงศ์ กล่าวว่า พยายามอยู่ เพราะนโยบายไหนที่เป็นของรัฐบาลใดก็ตามที่ทำไว้แล้วดี เราเอากลับมาใช้แน่นอน แต่ต้องปัดฝุ่นให้ดีว่าตรงไหนเป็นข้อเสียก็เรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโลว์ซีซั่นอาจจะออกราวเดือนมีนาคมหรือเมษายน และใช้ในช่วงหน้าฝน

ขณะที่แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้า นายสรวงศ์ กล่าวว่า จะมีการจัดอีเวนต์กระตุ้นการท่องเที่ยว แต่จะต้องมีหลายส่วนที่เข้าไปเสริม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามา และเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ ซึ่งจะเป็นแผนที่ค่อย ๆ ประกาศออกมา ขณะที่นายกฯเองจะมีแผนภาพใหญ่ของประเทศในปีหน้า และในส่วนของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาจะทำตามแนวนโยบาย

ทั้งนี้ จะมีการประเมินผลกระทบจากอุทกภัย และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เท่าที่ตรวจสอบตอนนี้ถึงปลายปีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่กระทบ แต่จะกระทบในส่วนของการใช้จ่ายรายหัวของนักท่องเที่ยว แต่จะไม่กระทบเรื่องของจำนวน และเราต้องมีมาตรการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวด้วย อาทิ การคืนภาษีให้ สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมยืนยันว่าเป้าของรายได้ยังอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท ขณะที่การประชุมบอร์ดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก ยังไม่มีการเรียกประชุม

'มิ้นต์ ชาลิดา' โพสต์!! 'น้องชาย' ถูกฝรั่งเตะเสยคาง หวั่น!! เรื่องเงียบ คู่กรณีเตรียมบินกลับประเทศ

(28 ก.ย.67) นักแสดงสาวชื่อดัง 'มิ้นต์' ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง ได้โพสต์ข้อความผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว '@mint_chalida' ระบุข้อความว่า...

"เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับน้องชายแท้ ๆ ของมิ้นต์ เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลาประมาณตี 2 ทางพนักงานของร้านได้โทรมาขอความช่วยเหลือจากน้องชายของมิ้นต์ว่า มีชาวต่างชาติเข้ามาบุกรุกและทำร้ายร่างกายพนักงาน...

"น้องชายมิ้นต์เลยรีบขับรถไปที่ร้าน เพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา แต่ชาวต่างชาติผู้ก่อเหตุกลับมาทำร้ายร่างกายน้องชายของมิ้นต์ ด้วยการเตะเข้าที่หน้า ครอบครัวมิ้นต์ต้องการให้ผู้ก่อเหตุมารับผิดชอบในสิ่งที่เค้าทำ ใครพอจะมีความรู้ทางด้านกฎหมายหรือทราบว่าเราต้องแจ้งหน่วยงานไหน ให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด ก่อนที่เค้าจะออกนอกประเทศในวันที่ 3 ตุลาคม 2024 นี้ *ตอนนี้ทางครอบครัวได้เข้าแจ้งความกับทางสถานีตำรวจห้วยขวางแล้ว" โดยที่ 'มิ้นต์ ชาลิดา' ได้โพสต์ภาพจากกล้องวงจรปิดเหตุการณ์ที่น้องชายของเธอโดนทำร้ายอีกด้วย

'CAAT' เผย!! มีการแจ้งความดำเนินคดีหญิงชาวโปแลนด์แล้ว หลังข่มขู่ มีระเบิดบนอากาศยานขณะทำการบิน จนผู้อื่นตกใจ

(28 ก.ย.67) จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าสายการบินไทยเวียตเจ็ทไม่ได้มีการดำเนินคดีกับผู้โดยสารชาวโปแลนด์ที่ก่อเหตุขู่วางระเบิดเที่ยวบิน VZ961 เส้นทางดานัง- สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567  ซึ่งการขู่วางระเบิดในสนามบิน หรือในอากาศยาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 22

ล่าสุด สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุแล้ว โดยผู้ควบคุมอากาศยานหรือนักบินในเที่ยวบินนั้นเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี จึงไม่ใช่สายการบิน ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นผู้แจ้งความ ตามที่ปรากฏในข่าว และทางตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ในข้อหาแจ้งข้อความหรือส่งข่าวสารซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ และการนั้นเป็นเหตุหรือน่าจะเป็นเหตุให้ผู้ที่อยู่ในท่าอากาศยานหรือผู้ที่อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินตื่นตกใจ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างการบิน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับคำพูดต้องห้ามที่ไม่ควรพูดทั้งในสนามบินและบนเครื่องบิน เช่น...

- ระเบิด Bomb
- อาวุธและวัตถุอันตราย ปืน Gun or Fire Arm
- การก่อการร้าย Terrorist
- โรคระบาดร้ายแรง

CAAT จึงขอแนะนำว่า ไม่ควรพูดคำต้องห้ามเหล่านี้ แม้จะเป็นการพูดเล่นกับเพื่อน หรือพูดเล่นกับเจ้าหน้าที่ เพราะอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความไม่สบายใจ ตื่นตระหนก หรือเกิดความเข้าใจผิดจนอาจจะนำมาสู่ความวุ่นวาย และผู้พูดอาจถูกดำเนินการตามกฎหมายได้

'เผ่าภูมิ' เผย ปชช. กดเงิน 10,000 ตู้ ATM ธ.ก.ส. พุ่ง 18.8 เท่าตัว ออมสินยอดกดเงินรวมพุ่ง 3.7 เท่าตัว ชี้กลุ่มนี้มีเท่าไหร่ใช้หมด กระตุ้น ศก. ทันที

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 25 ก.ย. มีการถอนเงิน ยอดเงิน 10,000 บาท จากตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. เพิ่มขึ้น 18.8 เท่าตัว เทียบกับวันที่ 24 ก.ย. 

ยอดถอนเงินตู้ ATM ธนาคารออมสิน วันที่ 25 ก.ย. มีจำนวนรายการถอนเงินพุ่ง 1.76 เท่าตัว จำนวนเงินเพิ่มขึ้น 2.84 เท่าตัว วันที่ 26 ก.ย. มีจำนวนรายการถอนเงินเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จำนวนเงินเพิ่มขึ้น 3.72 เท่าตัว เทียบกับวันที่ 24 ก.ย.

ตัวเลขเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้หนึ่งว่าประชาชนกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องใช้เงินสูง มีเงินไม่พอใช้ มีเท่าไหร่ต้องถอนมาใช้เกือบหมด เป็นกลุ่มที่มี MPC สูง ซึ่งนั่นหมายถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันทีและมีประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top