Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 ชูแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ หนุน ‘พลังงานไทย’ มั่นคง-ยั่งยืน

(26 ก.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน คณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (The 42nd ASEAN Ministers on Energy Meeting and Associated Meetings: The 42nd AMEM) ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว 

โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมทั้งหมด 3 ฉบับซึ่งระบุผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของอาเซียนได้แก่ ถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 ถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านพลังงาน (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ 21 และถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ฉบับที่ 5

ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์เพื่อแสดงถึงแนวทางการพัฒนาพลังงานของไทยซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานในอาเซียน โดยเน้นย้ำแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ เพื่อปฏิรูประบบพลังงาน การผลักดันการสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ควบคู่กับการลดการใช้ถ่านหิน รวมทั้งกล่าวสนับสนุนให้อาเซียนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนในภูมิภาค

ที่ประชุมได้รายงานถึงทิศทางอนาคตพลังงานของอาเซียน ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 โดยภาคอุตสาหกรรมและคมนาคมมีแนวโน้มใช้พลังงานมากที่สุด ในขณะที่ ภาคครัวเรือนจะเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม สู่การใช้ LPG และไฟฟ้าในการประกอบอาหารมากขึ้นในปี พ.ศ. 2050 

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงความก้าวหน้าใน 7 สาขาพลังงานของอาเซียน ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การจัดการถ่านหินและคาร์บอนประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน นโยบายและแผนพลังงาน และพลังงานนิวเคลียร์เพื่อประชาชน และเครือข่ายความร่วมมือด้านการกำกับกิจการพลังงานโดยที่ประเทศไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคในการดำเนินงานทางด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานซึ่งได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำหน้าที่เป็นประธานสาขาประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการสำคัญที่รายงานในปี 2567 คือการผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานของอาเซียน ได้ร้อยละ 24.5

นอกจากนี้ ไทยได้มีการหารือทวิภาคีกับ สปป.ลาว และมาเลเซีย ถึงแนวทางการกระชับความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และได้ร่วมแสดงความยินดีกับคณะผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่เข้ารับรางวัล ASEAN Energy Awards ประจำปี 2567 ซึ่งในปีนี้ไทยเป็นผู้ได้รับรางวัลมากที่สุด ด้านการอนุรักษ์พลังงาน 9 รางวัล ด้านพลังงานหมุนเวียน 10 รางวัล และได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นด้านการบริหารจัดการพลังงานอีก 5 รางวัลอีกด้วย

'สคบ.' ลั่น!! เอาผิดถึงที่สุด ร้านทองออนไลน์ 'หลอกลวงประชาชน' ด้าน 'ผู้ค้าออนไลน์-อาหารเสริม' งานเข้าด้วย!! จ่อถูกขยายผล

(26 ก.ย. 67) กลุ่มผู้เสียหายกรณีซื้อทองออนไลน์ แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ เข้าพบขอความเป็นธรรมกับ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)  

ด้าน น.ส.จิราพร กล่าวว่า สคบ.มีหน้าที่ กำกับดูแลเรื่องสินค้าและบริการ กรณีของการซื้อทอง ที่พบว่านำทองไปขายที่อื่นแล้วไม่ได้ราคา และมีผู้มาร้องเรียน ว่าได้รับความเสียหายจำนวนมาก ทาง สคบ. จึงตั้งคณะทำงาน และลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านทอง ตรวจฉลากและเก็บตัวอย่างทองไปตรวจ โดยส่งไปที่สถาบันอัญมณี ว่าเป็นไปตามโฆษณาว่าเป็นทอง 99.99% หรือไม่ และจะทราบผลภายใน 3 วันนี้ หากทราบผลแล้วไม่ตรงตามที่โฆษณา ก็จะมีความผิด ขอให้ผู้เสียหายทุกคนมั่นใจว่า เราตรวจสอบเข้มข้น หากพบผิดไม่ละเว้น โดย สคบ. ทำงานร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดูแลเรื่องการเยียวยาหรือคืนทอง และบังคับใช้กฎหมายให้รัดกุม ยืนยันว่า สคบ.ทำงานเต็มที่ และพร้อมดูแลทุกคน และเปิดพื้นที่รับฟังผู้เสียหายและ ประเด็นอื่นที่เกิดในโลกออนไลน์   

น.ส.จิราพร กล่าวว่า นอกจากนั้นจะตรวจสอบการขายสินค้าชนิดอื่นของแม่ค้าคนดังกล่าวด้วย เพราะ สคบ. ต้องดูเรื่องฉลากและการโฆษณา ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และอาจจะไม่ใช่ดูแค่รายนี้ ต้องดูรายอื่นที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขอให้ประชาชนที่เดือดร้อนมาร้องต่อ สคบ.ได้ และทาง สคบ. ได้เชิญเจ้าของร้านมาให้ข้อมูลในวันที่ 27 กันยายนนี้ รอการตอบรับกลับมา และในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เสียหายมาให้ข้อมูลอีกครั้ง และสั่งการไปแล้วว่าให้เรื่องนี้จบโดยเร็วที่สุด  

"ไม่ต้องกลัว เพราะเรามีทั้ง ปคบ. ตำรวจ ยินดีที่จะดูแลคุ้มครองประชาชน หากพบว่ามีความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และถึงที่สุด" น.ส.จิราพร กล่าว 

ด้านตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย กล่าวว่า อยากให้ สคบ. ช่วยเข้ามากำกับดูแลการขายของออนไลน์ ทั้งเรื่องของการกำหนดราคา และน้ำหนักของทอง เนื่องจากคนที่ไปซื้อต้องการเก็บไว้เพื่อขายในอนาคต แต่กลับนำไปขายไม่ได้ รวมถึงให้ดูแลเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องการออมทอง และการสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาชนเชื่อถือ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีทำให้ประชาชนหลงเชื่อ เพราะผู้ซื้อบางคนก็อาจจะไม่ทันกับเทคโนโลยี ในระหว่างที่มีการขายออนไลน์ และขอฝากถึงประชาชนให้ป้องกันสิทธิ์ของตัวเอง ออกมาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง เพื่อให้คนที่ทำความผิดหรือเอาเปรียบผู้บริโภค ควรต้องคืนสิทธิ์ให้กับประชาชน

🔍ชวนส่อง คาดการณ์ 10 ประเทศ ที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050

เศรษฐกิจแข็งแกร่ง!! คาดการณ์ 10 ประเทศ ที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050 ‘ประเทศจีน’ นำโด่ง ติดอันดับ 1 ส่วน ‘อินเดีย’ ตามมาในอันดับ 2 และ ‘สหรัฐอเมริกา’ ติดอันดับ 3 ส่วนประเทศจะอยู่ในอันดับใดบ้างมาดูกัน!!

'ทูตจีน' แจง TEMU กำลังจดทะเบียนจัดตั้งในไทยอย่างเป็นทางการ วอนเชื่อมั่น!! จีนไม่นิ่งเฉย เพื่อความร่วมมือการค้า 'ไทย-จีน' เชิงบวก

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย และคณะ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาแนวทางการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ไทย-จีน

โดยได้มีการหารือถึงความกังวลในเรื่องของสินค้าจีน ที่ทะลักเข้ามาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งทางจีนรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยหารือกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรปล่อยไว้ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่าไม่อยากให้รู้สึกว่าจีนเป็นผู้ร้าย และหลังการอภิปราย ตนได้ติดต่อกับทางสถานทูตจีน

ตนได้ติดต่อกับทางสถานทูตจีน ซึ่งจีนรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยกัน เพื่อหาทางออก และหาทางขยายความร่วมมือทางการค้า และการลงทุนระหว่างกันให้ได้เพิ่มขึ้น เพราะไทย และจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด และจะต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์จีนเองก็คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะยิ่งโตมากขึ้น ไทยจึงต้องร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ของสองประเทศ

“ไม่อยากให้รู้สึกว่าจีนเป็นผู้ร้าย ซึ่งไทย และจีน มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ถ้าเรามีช่องทางที่ดีเขายินดีให้ความร่วมมือ อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และกับทุกประเทศที่เข้ามา เราจะมีมาตรฐานในการตรวจสอบสินค้า ทั้ง มอก. / อย. ซึ่งจะใช้บังคับกับทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะจีน ทางจีนยินดีทำตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลสุขภาพความปลอดภัยของประชาชนคนไทย” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ยังขอให้ทางจีนนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดการขาดดุล ซึ่งในรายละเอียดการนำเข้าสินค้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนที่เราเอาไปผลิต และขายต่อ เป็นสัดส่วนหลายแสนล้าน ซึ่งเราอยากเห็นการลงทุนจากจีนใน EEC มากขึ้น ขณะนี้ทางจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดแซงญี่ปุ่น และได้เชิญชวนให้มาลงทุนในไทย โดยเฉพาะสินค้าประเภท เซมิคอนดักเตอร์ และ PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) มากขึ้น จะเกิดการจ้างงานอีกเป็นจำนวนมาก ช่วยยกระดับรายได้คนไทย

รวมทั้งขอให้จีนเปิดช่องทางให้สินค้าไทยเข้าสู่แพลตฟอร์ม e-Commerce จีนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีการจัดงาน International Live Commerce Expo 2024 ‘มหกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซนานาชาติ 2567’ ที่นำอินฟลูฯ จีน มาไลฟ์ขายสินค้าไทย ที่สามย่านมิตรทาวน์ 25 - 29 ก.ย.67 นี้ เมื่อวานวันเดียวขายได้ถึง 320 ล้านบาท คาดว่าจะทะลุ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงการค้าของโลก และไทยก็จะเพิ่มปริมาณอินฟลูฯ ในการขายสินค้ามากขึ้น เพื่อขายสินค้าไปจีน และได้หารือเรื่องการลงทุน และการท่องเที่ยวที่ผ่านมา 7-8 เดือนแรกปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยแล้วถึง 5 ล้านคน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีปริมาณถึง 8 ล้านคน เป็นรายได้หลักของไทย

นอกจากนี้ได้ขอให้ทางจีนช่วยรับซื้อสินค้าเกษตรจากไทย เพราะประชากรจีนเยอะสามารถรองรับสินค้าเกษตรจากไทยได้มาก ซึ่งทางจีนยินดี อยากให้ทางจีนช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลในไทยรองรับเทคโนโลยีด้วย และช่วยส่งเสริมนโยบายของรัฐเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เช่น ภาพยนตร์ ล่าสุดเรื่อง หลานม่า ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทย และจีน

นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กล่าวว่า อยากให้ประชาชนชาวไทยมองเห็นได้ว่าความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทย จะนำมาซึ่งโอกาสการพัฒนาให้กับคนไทย ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้น ซึ่งจีนยินดีที่จะแบ่งปันโอกาสการพัฒนา และผลประโยชน์ให้กับคนไทย ยินดีให้ไทยใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ไปจำหน่ายสินค้าไทย

เรื่องการค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทย ทางจีนกับไทยเราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พยายามหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม หามาตรการมาควบคุมจัดการ ไม่อยากให้ไปเหมารวมความร่วมมือการค้าการลงทุนในเชิงลบ ทำลายผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ และขอชื่นชมรัฐบาลไทย และกระทรวงพาณิชย์ที่มีท่าทีถูกต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหา คำนึงภาพรวมการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน

ส่วนแพลตฟอร์มออนไลน์ TEMU นั้น ขณะนี้ บริษัท TEMU ได้รับทราบกฎระเบียบ และข้อร้องต่าง ๆ ทาง TEMU กำลังประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝ่ายไทย และกำลังจัดตั้งบริษัท และลงทะเบียนอย่างเป็นทางการที่ไทย ยินดีให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความเข้มงวดในการตรวจสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมให้ถูกต้องตามมาตรฐาน และกฎหมายของไทย

‘กกพ.’ เร่งเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รองรับการลงทุน-พัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 67) ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2566 (ครั้งที่ 165) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 กำหนดให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบสอง จำนวน 3,668.50 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยประเภทเชื้อเพลิง ดังนี้

(1) พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 2,632 เมกะวัตต์ (แบ่งโควตาให้ผู้ที่ไม่ได้รับเลือกในรอบแรก จำนวน 1,580 เมกะวัตต์ จะเหลือสำหรับเปิดเชิญชวนรับซื้อทั่วไป จำนวน 1,052 เมกะวัตต์) 

(2) พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์ (แบ่งโควตาให้ผู้ที่ไม่ได้รับเลือกในรอบแรก จำนวน 600 เมกะวัตต์ จะเหลือสำหรับเปิดเชิญชวนรับซื้อทั่วไป จำนวน 400 เมกะวัตต์) 

(3) ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) จำนวน 6.50 เมกะวัตต์ และ 

(4) ขยะอุตสาหกรรม จำนวน 30 เมกะวัตต์ 

ซึ่งปัจจุบัน กกพ. ได้ออกระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 - 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากกลุ่มรายชื่อเดิมที่เป็นผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าประเภทพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่ผ่านความพร้อมทางด้านเทคนิคและได้รับการประเมินคะแนนแล้ว แต่ไม่ได้รับคัดเลือก จำนวน 198 ราย ซึ่งเป็นผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ (Pass/Fail Basis) และได้รับการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพ (Scoring) แต่เนื่องจากการจัดหาครบตามเป้าหมายแล้วจึงไม่ได้รับการคัดเลือกในรอบที่ผ่านมา 

ในขั้นตอนต่อไป กกพ. อยู่ระหว่างพิจารณาเตรียมออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed - in Tariff (FiT) ปี 2565 - 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 ภายในเดือนกันยายนนี้ โดยให้สิทธิ์กับกลุ่มรายชื่อเดิม จำนวน 198 ราย มายื่นแบบการแสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมการคัดเลือก 

ทั้งนี้ กกพ. จะพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากผลการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพ (Scoring) ที่ได้จัดทำไว้ โดยไม่ต้องปรับปรุงแก้ไข คำเสนอขายไฟฟ้า ปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานลม และไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่งคาดว่าสำนักงาน กกพ. จะประกาศผลคัดเลือกได้ภายในสิ้นปี 2567 

ที่ผ่านมา กกพ. ได้ติดตามสถานะโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 - 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 ได้แก่ (1) ก๊าซชีวภาพ 
(น้ำเสีย/ของเสีย) (2) ลม (3) พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน และ 
(4) พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่งเป็นไปตามมติ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 (ครั้งที่ 158) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 รวมทั้งสิ้นจำนวน 4,852.26 เมกะวัตต์ และโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 - 2573 สำหรับขยะอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามมติ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 4/2565 (ครั้งที่ 159) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 รวมทั้งสิ้นจำนวน 100 เมกะวัตต์ หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เกิดกรณีฟ้องร้องทางกฎหมายส่งผลให้ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกโครงการฯ ประเภทเชื้อเพลิงพลังงานลม จำนวน 22 ราย ส่งผลให้การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมออกไป มีผลต่อกระบวนการรับรองไฟฟ้าสีเขียวตามแนวทาง Utility Green Tariff (UGT) ของ กกพ. ที่ต้องอาศัยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในโครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวด้วย

“ภายหลังจากที่เกิดข้อพิพาททางปกครอง และศาลปกครองได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกโครงการฯ ประเภทเชื้อเพลิงพลังงานลม ทำให้ กกพ. จะต้องชะลอโครงการเพื่อรอความชัดเจนจากผลของการอุทธรณ์คำสั่งทุเลาการบังคับดังกล่าว ซึ่งในระยะเวลาต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยกคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ทุเลาการบังคับตามประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกโครงการฯ ดังกล่าวแล้ว และล่าสุดบริษัท วินด์ กาฬสินธุ์ 2 จำกัด ได้ยื่นขอถอนฟ้องคดี โดยศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว ส่งผลให้ในปัจจุบันกระบวนการรับซื้อไฟฟ้าในรอบใหม่ที่ได้ล่าช้าไปจากกำหนดเดิมสามารถเดินหน้าต่อไปได้” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบหลักการการปรับเลื่อนกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) สำหรับโครงการฯ ประเภทเชื้อเพลิงพลังลมที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครอง และมอบหมายให้ กกพ. พิจารณาปรับกรอบระยะเวลาการเข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และปรับเลื่อน SCOD ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละโครงการได้ตามสมควร ซึ่งต้องไม่ให้เกินกรอบภายในปี 2573 โดยให้ผู้ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 22 ราย แจ้งความประสงค์การขอปรับเลื่อน SCOD เสนอให้ กกพ. พิจารณาก่อนลงนามสัญญาต่อไป

“ด้วยการเร่งเดินหน้าการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว จะช่วยให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดหาพลังงานสะอาดเพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emission)” ดร.พูลพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

🔍ส่อง 15 เมืองศูนย์กลางทางการเงินของโลก

เมื่อไม่นานมานี้ ‘Global Financial Centres Index’ รายงานการจัดลำดับ 15 เมืองศูนย์กลางทางการเงินของโลก โดยใช้เกณฑ์การจัดลำดับที่ประกอบไปด้วย 5 เกณฑ์ ได้แก่ เกณฑ์สิ่งแวดล้อมในการประกอบธุรกิจ, เกณฑ์ทุนมนุษย์, เกณฑ์โครงสร้างพื้นฐานของเมือง, เกณฑ์การพัฒนาของภาคการเงินในเมือง และ เกณฑ์ชื่อเสียงและการตัดสินใจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกลำดับ 1 ได้แก่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ลำดับ 2 ลอนดอน อังกฤษ ลำดับ 3 สิงคโปร์ ส่วน กรุงเทพฯ ประเทศไทย ติดลำดับที่ 83 ของโลก

‘พลังงาน’ เล็งเสนอ กพช. ต่ออายุ ‘โครงการรับซื้อไฟฟ้าฯ’ อีก 2 ปี พร้อมปรับราคารับซื้อ จูงใจโรงงาน-อาคารธุรกิจขายไฟฟ้าเข้าระบบมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 67) แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่ากรณีมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนหลังคา แบบติดตั้งบนพื้นดิน และแบบทุ่นลอยน้ำ ด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้า 1 บาทต่อหน่วย สำหรับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ โดยมีกำหนดระยะเวลารับซื้อ ไม่เกิน 2 ปี (เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค. 2568 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2569)

โดยระบุเหตุผลมาจากเมื่อปี 2565 เกิดปัญหาวิกฤติราคาพลังงาน เนื่องจากผลกระทบของสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ประกอบกับเป็นช่วงที่แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณยังผลิตก๊าซฯ เข้าระบบไม่เต็มที่ตามสัญญา ทำให้ไทยได้รับผลกระทบด้านเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าทั้งด้านราคาและปริมาณ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในช่วงนั้นเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่เหลือใช้ของผู้ประกอบการ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า และลดปัญหาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ช่วงนั้นมีราคาแพงมาก

จากนั้นคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศโครงการ “รับซื้อไฟฟ้าระยะสั้นเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน ทั้งจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีสัญญาและไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้า” ในปี 2565 ต่อมา กพช. ได้ขยายเวลาโครงการดังกล่าวต่อไปอีก ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 2567 นี้

โดยที่ผ่านมาผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้า ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 64 เมกะวัตต์ ตามข้อกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าดังนี้ เชื้อเพลิงชีวมวล ก๊าซชีวภาพและขยะ ที่ราคา 2.20 บาทต่อหน่วย และโรงไฟฟ้าที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ได้แก่ ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา แบบติดตั้งบนพื้นดิน แบบทุ่นลอยน้ำ และพลังงานลม กำหนดอัตรารับซื้อไว้ที่ 0.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่มนี้จะไม่เกินกว่าอัตรารับซื้อไฟฟ้าในสัญญาเดิม โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จะเป็นแบบไม่บังคับปริมาณซื้อขายไฟฟ้า (Non-Firm)

อย่างไรก็ตามล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมานี้ กบง.ได้เห็นชอบตามที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เสนอต่ออายุโครงการดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568- 31 ธ.ค. 2569 โดยเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าโซลาร์เซลล์จาก 50 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 1 บาทต่อหน่วย เพื่อจูงใจผู้ประกอบการโรงงาน และอาคารธุรกิจให้ร่วมขายไฟฟ้าเข้าระบบมากขึ้น

ทั้งนี้เนื่องจากทางกระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้อยู่ในช่วงของวิกฤตพลังงาน แต่โครงการดังกล่าวถือว่ามีประโยชน์ เนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าไม่แพง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ และลดการนำเข้า LNG ลงได้ประมาณ 1 ลำเรือ หรือประมาณ 60,000 ตัน 

นอกจากนี้ยังได้สอบถามความเห็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนก็พบว่า ยังมีความสนใจขายไฟฟ้าส่วนเกินดังกล่าวให้ภาครัฐเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่า 2 ปีจากนี้ น่าจะรับซื้อได้ประมาณเกือบ 100 เมกะวัตต์  

โดยการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าโซลาร์เซลล์จำเป็นต้องเสนอ กบง. ในครั้งนี้ก่อน จากนั้นจะนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาอนุมัติขยายโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนส่วนเกินที่เหลือจากการใช้งานในทุกประเภทเชื้อเพลิง ไปอีก 2 ปี ซึ่งไฟฟ้าส่วนที่ไม่ใช่โซลาร์เซลล์จะยังคงใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าเดิม ส่วนไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์จะปรับเพิ่มการรับซื้อเป็น 1 บาทต่อหน่วย โดยจะไม่มีการกำหนดปริมาณรับซื้อโดยรวมไว้

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ทาง กกพ. จะต้องไปออกระเบียบหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว และออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งคาดว่าการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนดังกล่าว จะเปิดรับซื้อพร้อมกันทุกประเภทในวันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป

'สายลับยุโรป' แฉ!! 'รัสเซีย' ซุ่มพัฒนาโดรนโจมตีระยะไกลในจีน 'ชาติตะวันตก' เต้น!! กดดันจีนยุติการสนับสนุนรัสเซียทุกมิติ

สำนักข่าว Reuters อ้างอิงแหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรองยุโรป เปิดเผยว่า รัสเซียกำลังใช้โรงงานจีนผลิตโดรนโจมตีระยะไกลรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับใช้ในสงครามยูเครน

โดย IEMZ Kupol บริษัทย่อยของ Almaz-Antey ผู้ผลิตอาวุธของรัฐบาลรัสเซียได้พัฒนา และ ทดสอบโดรนโจมตีรุ่นใหม่ล่าสุด Garpiya-3 (G-3) ที่ออกแบบ และ ผลิตในจีน อ้างอิงจากรายงานความคืบหน้าของโครงการจาก Kupol บริษัทผู้ผลิตถึงกระทรวงกลาโหมรัสเซียตั้งแต่ต้นปี 2024 ที่ผ่านมา

ข้อมูลเบื้องต้นในเอกสารของ Kupol ระบุว่า G-3 สามารถบินได้ไกลราว ๆ 2,000 กิโลเมตร สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 50 กิโลกรัม ซึ่งตัวอย่างโดรน G-3 จำนวน 2 ลำ และ โดรนโจมตีรุ่นอื่น ๆ อีก 7 ลำ ที่ผลิตจากโรงงานแห่งหนึ่งในจีนได้ถูกจัดส่งมายังเมืองอีเจฟสค์ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ IEMZ Kupol เพื่อ ทดสอบการบินในรัสเซียเรียบร้อยแล้ว พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากจีน แต่ไม่มีหลักฐานระบุได้ว่า "ผู้เชี่ยวชาญจากจีน" คนนั้นคือใคร 

นอกจากนี้ยังมีเอกสารอีกฉบับ ซึ่งเป็นใบแจ้งหนี้ที่ส่งไปยัง Kupol ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา จากซัปพลายเออร์จีน ที่ระบุให้ชำระหนี้เป็นเงินหยวน แต่ไม่ได้ลงวันที่จัดส่ง หรือแม้แต่ชื่อของบริษัทซัพพลายเออร์ แต่ก็ถือเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกว่ามีการจัดส่งยานไร้คนขับทั้งระบบจากจีนไปยังรัสเซีย 

เมื่อมีการสอบถามไปทางรัสเซีย ทั้ง Kupol หรือ บริษัทแม่อย่าง Almaz-Antey และกระทรวงกลาโหมรัสเซียต่างปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในข่าวที่ออกมา ส่วนกระทรวงการต่างประเทศจีนปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาโดรนรัสเซียในประเทศจีน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลปักกิ่งมีมาตรการควบคุมในการส่งออกโดรนหรือยานพาหนะไร้คนขับออกนอกประเทศอย่างเข้มงวด

ฟาเบียน ฮินซ์ นักวิจัยจากสถาบันการศึกษาเชิงกลยุทธ์ระหว่างประเทศแห่งลอนดอน ชี้ให้ตรวจสอบการส่งมอบยานพาหนะไร้คนขับจากจีนไปยังรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา เพื่อยืนยันข้อมูลชิ้นสำคัญจากหน่วยข่าวกรองนี้ ซึ่งจากเอกสารที่เปิดเผยได้ระบุ มีการส่งชิ้นส่วนอาวุธจากจีนไปรัสเซียจริง เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง หรือเป็นส่วนประกอบที่นำมาใช้ในระบบอาวุธ แต่ยังเห็นการส่งมอบระบบอาวุธทั้งชิ้นไปยังรัสเซีย แต่นั่นคือข้อมูลในเอกสารที่เปิดเผยได้เท่านั้น

ด้านสภาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว ก็แสดงความวิตกต่อรายงานจากสำนักข่าว Reuters ในประเด็นที่มีบริษัทจีนให้ความช่วยเหลือรัสเซียในโครงการพัฒนาอาวุธร้ายแรง แม้จะรู้ว่าเป็นชาติที่ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกา 

ถึงตอนนี้รัฐบาลจีนอาจจะยังไม่ตระหนักว่ามีธุรกรรมที่เชื่อมโยงระหว่างบริษัทจีนและรัสเซีย แต่รัฐบาลวอชิงตันย้ำว่า จีนมีหน้าที่รับผิดชอบว่าจะไม่มีบริษัทใด ๆ ของจีนให้ความช่วยเหลือ หรือเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธที่จะถูกส่งไปใช้ในกองทัพรัสเซีย 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษก็ออกมาเรียกร้องเช่นกัน ให้จีนยุติการสนับสนุนทั้งด้านการทูต และ วัตถุดิบที่จะนำไปใช้ในสงครามของรัสเซีย และหากข้อมูลโครงการพัฒนาโดรนของรัสเซียในจีนเป็นความจริง เท่ากับว่าบริษัทจีนกำลังสนับสนุนการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งขัดแย้งกับคำประกาศของรัฐบาลจีนก่อนหน้านี้ว่าจะไม่จัดหาอาวุธให้กับคู่ขัดแย้งในสงครามยูเครน

ทว่ากระทรวงการต่างประเทศจีนยังคงยืนกรานปฏิเสธความเกี่ยวข้องระหว่างบริษัทจีน และ กองทัพรัสเซีย โดยเน้นย้ำว่าจีนยังคงวางตัวเป็น กลางในสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน 

แต่ทั้งนี้ 'จีน - รัสเซีย' ไม่ได้มีข้อจำกัดทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งบริษัท Kupol ในรัสเซียนั้นผลิตโดรนรุ่น Garpiya-A1 ที่เป็นโดรนโจมตีระยะไกลโดยใช้ชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตในจีน แต่ด้วยภาวะสงครามคุกรุ่นระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ทำให้ทั้ง 2 ชาติต่างแข่งขันในการผลิตโดรนทหารที่เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงในสงครามครั้งนี้

เดวิด อัลไบรท์ อดีตผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติ ที่เฝ้าดูความร่วมมือของ จีน-รัสเซีย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทผู้ผลิตอาวุธรัสเซียจะใช้โรงงานในจีนเป็นฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก และ ยังสามารถเข้าถึงชิป และ เทคโนโลยีอาวุธขั้นสูงจากจีนได้

และจากรายงานของ Kupol กล่าวว่า G-3 เป็นโดรนรุ่นอัปเกรดของ Garpiya-A1 ได้รับการออกแบบใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญชาวจีน และในอีก 8 เดือนข้างหน้า อาจมีการสร้างยานไร้คนขับอีกรุ่นที่ชื่อว่า REM-1 ที่มีน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 400 กิโลกรัม ที่จะมีระบบใกล้เคียงกับ โดรน Reaper ของกองทัพสหรัฐฯ 

ในขณะเดียวกัน สื่อรัสเซียเปิดเผยชื่อบริษัทจีน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาโดรนรัสเซียชื่อว่า  Redlepus TSK Vector Industrial ที่มีสำนักงานในเมืองเซินเจิ้น และยังมีเอกสารแสดงรายละเอียดการสร้างศูนย์วิจัยและผลิตโดรนรัสเซีย-จีนในเขตเศรษฐกิจพิเศษคัชการ์ ในมณฑลซินเจียงของจีน ที่จะสามารถผลิตโดรนได้ 800 ลำต่อปี แต่เอกสารลับไม่ได้บอกว่าศูนย์ที่คัชการ์จะเปิดได้เมื่อใด

อย่างไรก็ดี Redlepus TSK Vector ของจีนได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว หรือแม้แต่สำนักข่าว Reuters ก็ไม่สามารถยืนยันที่มาของข้อมูลนี้ที่อ้างอิงโดยสื่อรัสเซียเช่นกัน

ผู้ประกอบการไนท์บาซาร์ครวญ น้ำท่วมทำเจ็บหนัก เซ็ง!! หน่วยงานรู้ว่าจะท่วมแต่ไม่เห็นช่วยป้องกัน

(27 ก.ย. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 26 ก.ย. หลายพื้นที่ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงถูกน้ำท่วมเนื่องจากน้ำในแม่น้ำปิงล้นตลิ่ง แม้ว่าระดับน้ำในแม่น้ำปิงจะเริ่มค่อย ๆ ลดลงแล้ว หลังจากที่ขึ้นสูงสุด 4.93 เมตร เมื่อเวลา 02.00 น. โดยที่ย่านไนท์บาซาร์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการค้าสำคัญ ที่ถูกน้ำไหลเข้าท่วมตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้นั้น ในวันนี้น้ำยังคงท่วมสูง 50-80 เซนติเมตร ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้าและร้านอาหาร รวมทั้งโรงแรมที่พักกว่า 200 ราย ที่ส่วนใหญ่ต่างจำเป็นต้องปิดร้านและหยุดให้บริการชั่วคราว

ทั้งนี้ผู้ประกอบการหลายราย สะท้อนปัญหาว่า แม้จะมีการแจ้งเตือน แต่การช่วยเหลือสนับสนุนต่าง ๆ จากหน่วยงานรัฐยังไม่ดีพอ โดยตั้งข้อสังเกตว่าในเมื่อคาดการณ์ว่าน้ำจะไหลเข้าท่วมย่านไนท์บาซาร์ แต่ทำไมถึงไม่ได้มีการเตรียมการป้องกันใด ๆ อย่างเช่นนำกระสอบทรายมาช่วยสนับสนุนเพื่อให้วางกั้นป้องกันไว้ล่วงหน้า เพราะน้ำท่วมในครั้งนี้แต่ละร้านต่างต้องดูแลตัวเองและต้องไปรับกระสอบทรายที่มีการตั้งจุดเตรียมไว้ห่างไกล โดยหลังจากน้ำลดแล้วอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย เพราะไม่เพียงต้องขาดรายได้จากการปิดร้าน แต่ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมฟื้นฟูร้านอีกด้วย

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในจุดต่าง ๆ นั้น ยังคงขยายวงกว้างไหลเข้าท่วมในจุดลุ่มต่ำรัศมีกว่า 1 กิโลเมตรจากแนวริมตลิ่งแม่น้ำปิง โดยที่บริเวณสถานีรถไฟเชียงใหม่ถูกน้ำท่วมเช่นกัน แต่ยังคงให้บริการผู้โดยสารด้วยการจัดรถบัสรับจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปส่งขึ้นรถไฟที่สถานีลำปาง เนื่องจากทางรถไฟช่วงระหว่างลำพูน-ลำปาง ถูกน้ำป่าซัดขาดเมื่อหลายวันก่อนจนต้องปิดเส้นทางช่วงดังกล่าวชั่วคราว ซึ่งหากผู้โดยสารรายใดที่ซื้อตั๋วไว้แล้วและต้องการยกเลิก ทางการรถไฟจะคืนเงินให้เต็มจำนวน

ด้านนายอัฏฐวิชย์ นาควัชระ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 กล่าวว่า หาก วันนี้ (27 ก.ย. 67) ไม่มีฝนตกลงมาเพิ่ม จะสามารถระบายมวลน้ำที่เอ่อท่วมในบางพื้นที่ของตัวเมืองเชียงใหม่ กลับลงไปในแม่น้ำปิงได้แล้ว เพราะมวลน้ำก้อนใหญ่ได้ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ไปแล้ว ส่วนมวลน้ำที่ล้นอาคารระบายน้ำล้นฉุกเฉินของเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ซึ่งขณะนี้ล้นออกไปแล้วประมาณ 30 เซนติเมตร จะไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำปิงอย่างแน่นอน เนื่องจากระดับน้ำจากต้นน้ำในอำเภอแม่แตงและอำเภอเชียงดาวลดลงไปมากแล้ว

'ศปช.' ยัน!! ไม่มีพายุใหญ่ถล่มไทย ทำน้ำท่วมหนักซ้ำปี 54 เผย!! หลายพื้นที่ของไทย เตรียมเข้าปลายฝนต้นหนาวแล้ว

(27 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) กล่าวว่า ตามที่มีข่าวลือผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า อีก 5 วันจะเกิดพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ที่รุนแรงกว่า ‘ยางิ’ และจะเคลื่อนตัวเข้าเวียดนาม ผ่านลาว เข้าไทย และจะส่งผลให้กรุงเทพฯ จะเจอน้ำท่วมหนักกว่าปี 54 ถึงสองเท่านั้น

ศปช. ได้ตรวจสอบข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา และส่วนราชการอื่น ๆ ใน ศปช.แล้ว ยืนยันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีพายุขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย มีเพียงพายุโซนร้อน ชื่อ ‘ซีมารอน’ (CIMARON) ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นและอ่อนกำลังลง ไม่มาถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน โดยฝนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงนี้เกิดจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุม จะมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะแรก ๆ จากนั้นจะลดลงและเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวในประเทศไทย

ส่วนกรณีการแก้ไขปัญหาและเยียวยาพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยนั้น นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้รวดเร็ว ลดขั้นตอน โดยได้รับรายงานจากกระทรวงมหาดไทยว่า จะสามารถจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย และ จ.ลำปาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบภัยลำดับต้น ๆ ได้ในช่วงสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนก่อน ซึ่งหากมีความเสียหายอื่น ๆ ก็จะเร่งรัดจ่ายเงินช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ เช่น กรณีบ้านพังเสียหายทั้งหลัง จะได้รับเงินช่วยเหลือ 230,000 บาทต่อหลัง และในกรณีเสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือ 50,000 บาท

“ที่ประชุม ศปช.ได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความช่วยเหลือที่รวดเร็วเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด” นายจิรายุ ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top