Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

🔍ส่องประเทศที่มาเหล่า ‘แอปพลิเคชัน’ ชื่อดัง

เคยสงสัยหรือไม่ว่า ‘แอปพลิเคชัน’ ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันนั้น มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด หากเป็น Facebook / Youtube หรือ Instagram เราก็รู้อยู่แล้วว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ TikTok แอปฯ ดูวิดีโอสั้นชื่อดังนั้นก็มาจากประเทศจีน แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีแอปฯ อีกมากมายที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไหน แต่ก็ยังโหลดและใช้กันอย่างคุ้นเคย

วันนี้ THE STATES TIMES จะพาทุกท่านไปส่องประเทศต้นกำเนิดของเหล่าแอปฯ ชื่อดัง จะมีแอปฯ ไหนบ้าง ไปดูกัน!!

เปิดเวที ชำแหละ แก้ไข พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551

(25 ก.ย. 67) กมธ.ภาคสังคม ค้านตัวแทนธุรกิจแอลกอฮอล์เป็นกรรมการนโยบาย ถ้าให้โฆษณาได้ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ดันเพิ่มรับผิดทางแพ่งขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ย้ำมุ่งเศรษฐกิจและท่องเที่ยว ได้ไม่คุ้มเสีย  ทำลายนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ท้ายสุดระบบสาธารณสุขไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป ด้านบอร์ด สสส.เผย ทีดีอาร์ไอชี้ชัดรายได้เพิ่มจากภาษี 150,000 ล้านไม่คุ้มกับต้นทุนทางสังคมที่เสียไป 170,000 ล้านบาท  

เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 25 กันยายน 2567 ณ ห้องบุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมยอรัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สมาคมการ์ตูนไทย เครือข่ายการ์ตูนไทยสร้างสรรค์สังคม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมเสวนาหัวข้อ "ชำแหละแก้ไข พ.ร.บ.แอลกอฮอล์...ก้าวหน้าหรือล้าหลัง" โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์( ครปอ.)  นายธีรภัทร์  คหะวงศ์  ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง ผู้ดำเนินรายการ The Leader Insight FM 96 เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ประธานเปิดการประชุมกล่าวถึง ความชุกของการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยที่สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจทุก 3 ปีว่า ข้อมูลล่าสุดในปี 2564 พบว่าประชากรวัย 15 ปีขึ้นไปจำนวน 15.96 ล้านคนหรือร้อยละ 28.0 เป็นนักดื่ม โดยเพศชายดื่มมากสุดจำนวน 12.77 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ46.46 และพบว่าวัยทำงานตอนต้นอายุ 25-44 ปีคิดเป็นร้อยละ 36.53 เป็นนักดื่มประจำ ส่วนนักดื่มหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปีมีจำนวน 1,381,449 คน คิดเป็นร้อยละ 5.95 เมื่อเปรียบเทียบกับวัยอื่นแล้วแม้จะน้อยกว่าแต่ถ้าเราไม่ป้องกันหรือทำให้ลดจำนวนลงนักดื่มหน้าใหม่เหล่านี้จะกลายเป็นนักดื่มประจำและดื่มหนักต่อไปในอนาคต

บอร์ดสสส.กล่าวต่อว่าการผลักดันของพรรคการเมืองในการเสนอแก้ไขร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551ที่จะกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในเดือนตุลาคม 2567 นี้ จะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของคนทำงานรณรงค์ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ทั้งป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และลดนักดื่มหน้าเก่าที่เป็นนักดื่มหนัก ตัวเลขจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือ TDRI ระบุว่าปี 2565 ธุรกิจแอลกอฮอล์สร้างรายได้จำนวน 600,000 ล้านบาท ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากแอลกอฮอล์มากถึง 150,000 ล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็สร้างต้นทุนทางสังคมทั้งเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุ อาชญากรรมถึง 170,000 ล้านบาท กลายเป็นว่าจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่างบประมาณที่นำแก้ปัญหาผลกระทบถึง 20,000 ล้านบาท  ดังนั้นการแก้กฎหมายเปิดช่องให้ขายและดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้นจึงเป็นความเสี่ยงของคนทำงานรณรงค์แน่นอน จึงหวังว่านักวาดการ์ตูนที่มาร่วมงานวันนี้เมื่อรับรู้ข้อมูลแล้วจะช่วยกันสื่อสารสู่สังคมเพื่อป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และลดนักดื่มหน้าเก่าไปพร้อมกัน

นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. กล่าวว่า ร่างกฎหมายที่รับหลักการมี 5 ร่าง รวมทั้งร่างที่ตนกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 92,978 คน เป็นผู้เสนอ สาระสำคัญคือจะแก้ไขให้เหลือคณะกรรมการระดับชาติเพียงชุดเดียว มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีความพยายามเพิ่มฝ่ายธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นกรรมการด้วย ส่วนคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดจะมีทั้งในกทม. และระดับจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีการเพิ่มสัดส่วนผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาเด็กและเยาวชนในจังหวัด มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจในบางเรื่องไปที่คณะกรรมการจังหวัด ส่วนเรื่องการควบคุมนั้น มาตรา 29 ห้ามขายให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และคนเมาที่ครองสติไม่ได้ โดยเพิ่มการตรวจบัตร เพิ่มการรับผิดทางแพ่งหากขายให้คนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและผู้นั้นไปก่อเหตุให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย มาตรา 30 อาจพิจารณาให้ขายผ่านเครื่องขายอัตโนมัติที่สามารถยืนยันตัวผู้ซื้อได้ และมาตรา 31 การควบคุมสถานที่ดื่มส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ

ส่วนประเด็นการควบคุมการโฆษณานั้นนายธีรภัทร์ กล่าวว่า ตามมาตรา 32 ห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เว้นแต่เป็นการกระทำโดยผู้ผลิตผู้นำเข้าหรือผู้ขาย เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด โดยอย่างน้อยต้องคำนึงถึงข้อพิจารณาดังต่อไปนี้ หนึ่ง การให้ข้อมูลข่าวสารความรู้หรือประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคุณภาพ ปริมาณ มาตรฐาน ส่วนประกอบหรือแหล่งกำเนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยไม่มีลักษณะการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สอง เป้าหมายต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี สาม ใช้ช่องทางการสื่อสารที่แพร่หลายหรือประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้โดยสะดวก สี่ ไม่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณอันเป็นเท็จ เกินความจริง หรือทำให้เข้าใจผิดในสรรพคุณของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ ห้า กำหนดให้มีข้อความคำเตือน

ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์( ครปอ.)กล่าวว่าก่อนที่ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2551 ประเด็นแอลกอฮอล์ไม่มีการควบคุมธุรกิจการโฆษณาได้เต็มที่  ไม่มีพื้นที่ห้ามขาย เกิดอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับสูงมาก จุดเปลี่ยนคือ ในปี 2548 มีความพยายามนำเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์เกิดกระแสต่อต้าน รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจึงให้กระทรวงสาธารณสุขยกร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมาแต่ก็เกิดการรัฐประหาร จากนั้นเครือข่ายภาคประชาชนจึงร่วมกันผลักดันกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติจนมีผลบังคับใช้ แต่ด้วยผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาทของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นทุนผูกขาดรายใหญ่เพียง 2 รายมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับฝ่ายการเมืองและชนชั้นนำ 16 ปีของกฎหมายฉบับนี้จึงต้องต่อสู้กับผลประโยชน์ กลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยล การบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มข้น  ทำให้อัตราการดื่มเฉลี่ยของประชากรไทยลดลงเพียง 2 % ส่วนประชากรในกลุ่มวัยรุ่นคือกลุ่มเดียวที่ยังเป็นปัญหา อัตราการดื่มทรงตัว ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อคนต่อปียังอยู่ที่ 7 ลิตร หากไม่มีกฎหมายควบคุมเชื่อว่าจะพุ่งสูงถึง 10 ลิตรต่อคนต่อปี
ผู้ประสานงานครปอ.กล่าวต่อว่าสิ่งที่น่ากังวลมากๆคือมุมมองทางนโยบายของภาครัฐ  ที่เชื่อว่าการให้ ค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เสรีมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับภาครัฐมากขึ้น นำมาซึ่งนโยบายการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง รวมไปถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ที่มีเป้าหมายเพื่อลดทอนการควบคุมลง สวนทางกับงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศซึ่งชี้ชัดว่ารายได้ทุก 1 บาทที่เราได้มาจากแอลกอฮอล์ ประเทศจะสูญเสียไปถึง 2-2.5 บาท ในทุกมิติ ดังนั้นความสมดุลในมิติสุขภาพกับเศรษฐกิจจึงทดแทนกันไม่ได้เลยเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย และที่สำคัญปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งด้านสุขภาพและสังคม จะทำลายนโยบายด้านสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกทีของรัฐบาลและในท้ายที่สุดระบบสาธารณสุขไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป.

'YUZU GROUP' เปิดเกมรุกธุรกิจร้านอาหาร ผุดแบรนด์ใหม่ 'Duri Buri' ชูทุเรียนสู่ซอฟต์พาวเวอร์เมืองไทย

'YUZU GROUP' ผู้นำเชนร้านอาหารระดับพรีเมียมชื่อดังของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด 'Taste The New Boundary…ทุกมื้อของคุณ คือโอกาสสร้างสรรค์ของเรา' ส่องภาพรวมธุรกิจร้านอาหารเติบโต 4-5 % แตะ 3 แสนล้านบาท หลังเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยวฟื้น กางแผนลุยขยายสาขา Yuzu Suki กับ Yuzu Ramen เพิ่มอีก 2 สาขา คาดสิ้นปีมีแบรนด์ร้านอาหารรวม 33 สาขาทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 18% แตะ 640 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัว แบรนด์น้องใหม่ 'Duri Buri' เชิดชูคุณค่าทุเรียนให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์เมืองไทย เจาะกลุ่มคนจีน ด้วยแนวคิด 'Everything Durain' ประเดิมเปิดสาขาแรก Siam Square One รับช่วง Golden Week วันหยุดยาวคนจีน

นายปรมินทร์ เปรื่องเมธางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ส้มพาสุข จำกัด หรือ YUZU GROUP (ยูซุ กรุ๊ป) ผู้นำเชนร้านอาหารระดับพรีเมียมชื่อดังของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด 'Taste The New Boundary…ทุกมื้อของคุณ คือโอกาสสร้างสรรค์ของเรา' เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมร้านอาหารและเครื่องดื่ม ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่ามีแนวโน้มเติบโต อยู่ที่ 4-5% ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 2.75 - 3 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว 2) ผู้ประกอบการขยายสาขาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาปกติ 3) ความนิยมในแบรนด์และช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคได้ในหลากหลายพื้นที่

ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมานิยมบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งมีปัจจัยเร่งจากการขยายตัวของความเป็นเมืองและโซเชียลมีเดียผ่านอินเตอร์เน็ตที่มีบทบาทต่อผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ การแนะนำร้านอาหารใหม่ๆ การแชร์ประสบการณ์การรับประทานอาหารในร้าน การโปรโมทร้านอาหารผ่านโฆษณาออนไลน์ การสร้างการติดตามจากลูกค้าโดยแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจของอาหาร และการให้สิทธิพิเศษต่างๆ ของร้านอาหาร ด้วยอิทธิพลทางการตลาดนี้ส่งผลทำให้ YUZU GROUP ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว 

ส่วนแผนธุรกิจของ YUZU GROUP ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าเร่งขยายสาขาเพิ่ม โดยวางแผนเปิดสาขาใหม่แบรนด์ Yuzu Suki กับ Yuzu Ramen เพิ่มอีก 2 สาขา เพื่อขยายฐานลูกค้าโซนราชพฤกษ์ พร้อมทั้งมองหาทำเลในย่านศูนย์กลางธุรกิจ CBD เพิ่ม คาดว่าใช้เงินลงทุนสาขาละ 20 ล้านบาท คาดสิ้นปี 2567 จะมีจำนวนสาขาของทุกแบรนด์ร้านอาหารในเครือ YUZU GROUP รวมทั้งสิ้น 33 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโมเดลธุรกิจเปิด Mass Brand อาหารญี่ปุ่น โดยหากได้ข้อสรุปจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งภายหลัง พร้อมทั้งเตรียมขยายทีมงาน ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานราว 500 ท่าน และวางแผนสำหรับการลงทุนเกี่ยวกับการฝึกอบรมบุคลากรระดับปฏิบัติการให้มีการสื่อสารจากข้างหลังและข้างหน้าให้ดีที่สุด โดยในอนาคตตั้งเป้าให้บริษัทเปิดเป็นโรงเรียนให้ความรู้ด้านอาหารและบริการตามมาตรฐานของ YUZU GROUP

สำหรับผลประกอบการปี 2567 ของ YUZU GROUP บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 18% อยู่ที่ 640 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ทำไว้ 541 ล้านบาท โดยปัจจุบัน YUZU GROUP มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 12 แบรนด์ ได้แก่ 1) Yuzu Omakase 2) Yuzu Suki 3) Yuzu Sushi 4) Yuzu Ramen 5) Yuzu Honey 6) Thai Thai 7) Kogoro Katsu 8) Chicken Club Thailand 9) Korata โค-ร-ต 10) เนื้อนาบุญ Nuer Na Boon 11) Yuzu Yakiniku 

และล่าสุดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 12) 'Duri Buri' ภายใต้แนวคิด Everything Durian โดยนำเอา 'ทุเรียน' ซึ่งเป็นผลไม้เปลือกหนามเนื้อสีเหลืองทองอร่าม พร้อมด้วยรสชาติหวาน มัน นุ่มละมุนลิ้น และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บางคนว่ามีกลิ่นแรง บางคนว่าหอม จนได้รับฉายาราชาผลไม้ เอาใจคนรักทุเรียน ด้วยเมนูทุเรียนมากมาย อาทิ ไอศกรีมหลากรส Milkshake และทุเรียนสดๆ จากสวน รวมถึงของที่ระลึก อาทิ หมอน เสื้อ กางเกง กระบอกน้ำ เป็นต้น 

โดยบริษัทต้องการชูจุดเด่นให้ทุเรียนเป็นเอกลักษณ์แห่งซอฟต์พาวเวอร์ไทย เจาะตลาดคนจีน ซึ่งในปีนี้เริ่มตรงกับวันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นช่วง Golden Week วันหยุดยาวของจีน คาดว่าจะทำให้คนจีนทยอยเข้ามาท่องเที่ยว กิน ดื่มในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก โดยร้าน Duri Buri ประเดิมเปิดสาขาแรก ณ Siam Square One ชั้น 1 

“ในมุมมองของผมทุเรียนต้องร่วมสมัย โดยมุ่งหวังคนต่างชาติเวลานึกถึงทุเรียน ให้นึกถึง Duri Buri อยากให้เป็นชื่อแรกที่คิดขึ้นมาเวลาอยากกินทุเรียน อยากลองทุเรียน หรือผลิตภัณฑ์จากทุเรียน เปิดใจลอง Duri Buri อยากให้ทุเรียน Durian Scene in Thailand มากกว่า สร้างภาพลักษณ์ใหม่ แต่ไม่ใช่รสชาติใหม่ รสชาติก็รสชาติเดิม แต่สร้างภาพจำใหม่ สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับทุเรียนให้กับคนทั้งโลกได้รู้ ว่าความจริงตัวทุเรียน ไม่ได้มีแค่เนื้อทุเรียน แต่สามารถนำไปทำทุกอย่างได้ อาทิ เบเกอรี ไอศกรีม ฯลฯ อร่อยหมด ดีหมดเลย” นายปรมินทร์กล่าว 

สำหรับแนวทางการตลาดในปีนี้ บริษัทจะเน้นการสื่อสารให้แบรนด์ YUZU GROUP เป็นที่เชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ผ่านการทำการตลาดแบบ Influencer Marketing คือ การทำการตลาดโดยใช้ผู้ที่มีอิทธิพล เพื่อชักจูง หรือสร้างความต้องการให้กับผู้บริโภค โดยผ่านการเขียนรีวิวร้านอาหาร การทำคลิปวิดีโอบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube และ Tiktok ก็มีบทบาทในวงการธุรกิจร้านอาหารมานาน และแทบจะกลายเป็นสื่อกระแสหลักที่ทำให้ร้านอาหารต่างเลือกมาทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่าการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ซึ่งจากสิ่งที่กล่าวมานี้ ทำให้ผู้ประกอบการต่างหันมาเลือกใช้ Influencer เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านอาหาร เพิ่มยอดขาย และเป็นที่รู้จักได้มากขึ้น  

ปัจจุบัน ธุรกิจร้านอาหารมีการเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะร้านอาหารทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ต่างแข่งขันด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันออกไป จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดคิด และความท้าทายต่างๆ ในสมรภูมิอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น การสร้างความแตกต่างด้วยแพ็กเกจ หรือสิทธิพิเศษ จัดดีลพิเศษ ที่คุ้มค่า คุ้มราคา ก็สามารถครองใจลูกค้าได้ทั้งลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่ เช่น การมอบประสบการณ์พิเศษในการรับประทานอาหาร หรือเมนูพิเศษในช่วงเทศกาล ที่รู้สึกคุ้มค่าคุ้มราคากับงบประมาณที่จ่ายไป ก็ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจในการใช้บริการได้เช่นเดียวกัน ซึ่งแบรนด์ร้านอาหารในเครือ YUZU GROUP มีราคาอาหารและเครื่องดื่มอยู่ระหว่าง 139 - 50,000 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.yuzugroup2018.com และ https://linktr.ee/yuzugroup2018 หรือ โทร. 083-851-3028

สว.สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะฯ ทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์

เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.67) ที่ผ่านมาที่อาคารรัฐสภาฯ นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา ,รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภาฯ ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ แก่นายโกสินธุ์ จินาอ่อน ( บก.เบียร์ ) ผู้ผลิตรายการ โฟกัสผู้นำรายการเปิดฟ้าช่อง5 บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ สยามโฟกัสไทม์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ๔ เหล่าทัพ 

โดยในวันนี้โกสินธ์ จินาอ่อน(บก.เบียร์)เข้าเยี่ยมคารวะแสดงความยินดีกับท่าน สว.สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม ที่ได้รับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภา พร้อมคณะที่ปรึกษาฯ สว. ร่วมเป็นสักขีพยานฯ ในการนี้ สว.สรชาติ (กล่าวว่า) รู้สึกดีใจที่ได้ทีมงานที่มีพร้อมที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน และขอให้ทำงานสุดความสามารถโดยขอมอบหมายให้ทำหน้าที่ ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ ในด้านนโยบายและกิจกรรม ในทุกๆ ด้าน กับส่วนที่เกี่ยวข้อง ของวุฒิสภาและทางกรรมาธิการฯ ยังความปลื้มปิติแก่นายโกสินธุ์เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับมอบหมายให้ปฎิบัติหน้าที่และภารกิจนี้

‘พิพัฒน์’ ระดมทีมช่างฝีมือแรงงาน ทั่วภาคเหนือ ซ่อมฟรี! ระบบใช้ไฟฟ้าในบ้าน มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยบรรเทาผู้ประสบอุทกภัยเชียงราย

เมื่อวันที่ (25 ก.ย. 67) เวลา 10.30น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และนางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงราย เจ้าหน้าที่เครือข่ายแรงงาน ได้มีโอกาสลงพื้นที่ หมู่3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ในชุมชนทวีรัตน์นี้ มีประมาณ 720 ครัวเรือน ที่ผ่านมาประสบอุทกภัยน้ำท่วมสูงกว่า 2เมตร ซ้ำร้ายกว่านั้นยังมีดินโคลนจำนวนมากไหลเข้าสู่บ้านเรือน และยังคงตกค้าง เมื่อสถานการณ์น้ำลดลงแล้ว ทำให้ ระบบไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ รถจักรยานยนต์ ฯลฯ ยังคงได้รับความเสียหาย กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่ยังคงต้องประกอบอาชีพ ดูแลครอบครัว ให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งในวันนี้ ผมได้นำทีมช่างฝีมือของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ภาคเหนือในจังหวัดลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ บูรณาการร่วมกับเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่เชียงราย วางแผนการช่วยเหลือในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งเบื้องต้นได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภคแก่ประชาชน พร้อมทั้งซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า และให้ความรู้เบื้องต้นสำหรับการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องทุกคน ซึ่งตั้งเป็นศูนย์แจ้งรับซ่อมฟื้นฟูจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 5 แห่ง ตลอดเดือนตุลาคม2567 ในจังหวัดเชียงราย

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานส่งมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่มกว่า 90,000 ขวด ข้าวสาร อาหารแห้ง เวชภัณฑ์ บรรจุถุงยังชีพ นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว ทั้งภาคเหนือ และ ภาคอีสาน  ซึ่งยังคงเป็นกำลังใจ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งสิ่งของและความรู้ในการซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้น ประชาชนที่ประสงค์ขอความช่วยเหลือซ่อมแซมอุปกรณ์   ขอให้แจ้งหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในจังหวัด ได้ทันที 

ด้านของนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงรายจัดตั้งจุดบริการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในแต่ละอำเภอ เพื่อให้บริการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถสอบถามจุดบริการเพิ่มเติมได้ที่  053152043

'สมัชชาคนพิการแห่งชาติ' จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ภายใต้แนวทาง "ร่วมกันสร้างพลังกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ"

เมื่อวันที่ (23 ก.ย.67) ณ ห้องประชุมเรสซิเดนซ์ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ได้มีพิธีเปิดงานสมัชชาคนพิการแห่งชาติและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ภายใต้แนวทาง "ร่วมกันสร้างพลังกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ" โดยมี นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมบริหารสมาคมฯ เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ และมีการแสดงพิธีเปิด

- ชุดแสดง 'เภรีมีชัย' โดยวงดนตรีอรุณจันทรา สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม(ไทย)
- ชุดแสดง 'แตร๊ดตรึง' และ 'การแสดงละครหุ่นยนต์ โรงงานมหาภัย มหาสนุก' โดยสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย
- กิจกรรมรำลึกนายมณเฑียร บุญตัน อดีตนายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย โดยสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และรับฟังบทเพลง 'แสงเทียนนำทาง' โดยศูนย์พัฒนาดนตรีคนตาบอด

กิจกรรมการอภิปรายแลกเปลี่ยน "การร่วมกันเสริมพลังกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ" และรับฟังความเห็น 

กิจกรรมเสวนาเรื่อง 'ผลการดำเนินงานของสภาคนพิการทุกประเภทประจำจังหวัด' โดยผู้แทนสภาคนพิการทุกประเภทประจำจังหวัด 77 จังหวัด 

สำหรับในวันที่ 24 กันยายน  2567 ณ ห้องประชุมเรสซิเดนซ์ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ  สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยได้จัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 โดยได้มีการเลือกตั้งนายกและคณะกรรมการบริหาร รวมถึงกรรมการอำนวยการของสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย มีการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี 

ทั้งนี้ นายวิทยุต บุนนาค นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และมีกรรมการบริหาร ซึ่งมาจากองค์การคนพิการทุกสมาคม จำนวน 30 คน โดยได้ผ่านการรับรองจากประธานสภาคนพิการจังหวัดในงานสมัชชาคนพิการแห่งชาติในครั้งนี้ด้วย

เปิดสุนทรพจน์เอกอัครราชทูต 'หาน จื้อเฉียง' ในงานเลี้ยงฉลองครบ 75 ปี วันชาติจีน แม้สถานการณ์โลกแปรผัน แต่ 'จีน-ไทย' มั่นคงสัมพันธ์ระดับสูงอย่างใกล้ชิด

(26 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่คำปาฐกถาในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง เมื่อวันที่ 24 ก.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้...

เรียน ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาของประเทศไทยที่เคารพ ท่านสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ และเพื่อนทั้งหลาย วันนี้ พวกเราได้มาชุมนุมกันเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนอื่น ในนามของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ข้าพเจ้าขอต้อนรับทุกท่านและขอขอบคุณจากใจจริงที่ทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ ต้องขอขอบพระคุณ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่สละเวลามาร่วมงาน

ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และบนเส้นทางสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน จีนได้รับเอกราชของชาติ ประชาธิปไตยโดยประชาชน และความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ในปัจจุบัน บนพื้นฐานของการเข้าสู่สังคมอยู่ดีมีสุขอย่างรอบด้าน ประชาชนจีน 1.4 พันล้านคนกำลังเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ในการสร้างความทันสมัยแบบจีนในสังคมนิยมอย่างครอบคลุม และบรรลุการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน เมื่อมองไปยังอนาคต จีนจะปฏิบัติตามแนวคิดการพัฒนาใหม่โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เสนอ ยึดมั่นในแนวทางที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อตอบสนองความปรารถนาที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวจีน ยึดมั่นในการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงและส่งเสริมนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างจริงจัง เพื่อช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งอยู่บนฐานของกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ ยึดมั่นในการพัฒนาแบบเปิดกว้าง สร้างระบบเศรษฐกิจแบบเปิดกว้างระดับสูงใหม่ และแบ่งปันโอกาสและผลสำเร็จในการพัฒนากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อไม่นานมานี้ การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 ได้มีมติสำคัญและการจัดเตรียมอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับการปฏิรูปเชิงลึกยิ่งขึ้น และการส่งเสริมการปรับปรุงความทันสมัยในแบบของจีนเพิ่มมากขึ้น โดยได้เสนอมาตรการปฏิรูปกว่า 300 รายการ ซึ่งชี้ชัดว่าจะดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงภายในปี พ.ศ. 2572 โดยเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนของจีนในการปฏิรูปและพัฒนาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นที่จับตามองของทั่วโลก อนาคตอันกว้างไกลของความทันแบบจีนเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลแก่ประชาชนชาวจีนเป็นอย่างมาก

ขณะที่จีนมุ่งเน้นพัฒนาตนเองนั้น จีนยังคงมีส่วนสนับสนุนที่สำคัญเชิงบวกต่อความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพของโลก จีนเป็นคู่ค้าหลักของกว่า 140 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก ประเทศจีนมีส่วนผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกถึง 30% มานานกว่าสิบปีติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่สมชื่อ เมื่อเผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ในโลก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เสนอข้อริเริ่มการพัฒนาระดับโลก ข้อริเริ่มความมั่นคงระดับโลก และข้อริเริ่มอารยธรรมระดับโลกตามลำดับ เพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงธรรมาภิบาลระดับโลก การรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลก และการแก้ปัญหาสำคัญของมนุษย์ด้วยภูมิปัญญาและวิธีการของจีน

ท่านสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ และเพื่อนทั้งหลาย

จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมโยงกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นญาติที่ดีด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สองประเทศได้รักษาการประสานงานระดับสูงอย่างใกล้ชิด ประชาชนของทั้งสองประเทศช่วยเหลือซึ่งกันและกันและทำให้ความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ประสบความสำเร็จซึ่งจะทำให้ “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” หยั่งรากลึกในใจของประชาชนทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-ไทย เป็นประโยชน์ร่วมกันและส่งผลดีต่อประชาชนทั้งสอง จีนและไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญของกันและกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดจีนได้ดึงดูดการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยมากกว่า 40% ของการส่งออกสินค้าไทย จีนและไทยเป็นหุ้นส่วนการลงทุนที่สำคัญของกันและกัน และการลงทุนของไทยมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจีนมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ จีนเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวต่างชาติหลักของไทย จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะทะลุ 7 ล้านคนสำหรับปีนี้ จะสร้างรายได้จากการบริโภคในการท่องเที่ยวทะลุ 3 แสนล้านบาท ในขณะที่การฟื้นตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมกันระหว่างทั้งสองประเทศดีขึ้น มีการเชื่อมต่อของเส้นทางคมนาคมขนส่ง และการเชื่อมโยงเชิงนโยบาย การอำนวยความสะดวกดีขึ้น เส้นทางแห่งความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและไทยนับวันจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ ผู้นำของทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันจีน-ไทย อันเป็นการเพิ่มเติมเนื้อหาในยุคสมัยใหม่ให้กับคำว่า "จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" ปีหน้าจะครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศและมิตรภาพระหว่างประชาชนทั้งสองจะเข้าสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เรายินดีทำงานร่วมกับเพื่อนจากทุกสาขาอาชีพในประเทศไทยเพื่อเดินตามเส้นทางที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้กำหนดไว้ สนับสนุนซึ่งกันและกันในการพัฒนาอย่างมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ ร่วมกันรักษาการพัฒนาอย่างสันติของภูมิภาคและทั่วโลก ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์จีน-ไทยพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้นอีกก้าวหนึ่ง และนำมาซึ่งความผาสุกให้แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้ประเทศจีนและประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง และมิตรภาพจีน-ไทยสถิตสถาพรตลอดไป

ขอบคุณครับ

เดินหน้าคัดสำมะโนครัว ขจัดกลุ่มต่อต้าน แยกเมียนมา 'น้ำดี-น้ำเสีย' ไทยต้องรับมือ 'พายุไร้สัญชาติ' ให้ดี มีกลุ่มหนุนที่ต้องรีบกำราบ

ดูเหมือนการที่ NGO ฝั่งไทยและบางพรรคที่พยายามหาเรื่องเข้าช่วยชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยแบบโจ่งแจ้ง จะกลายเป็นการเสริมแรงให้แผนของฝั่งกองทัพเมียนมาที่กำลังจะมีการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนหน้า เพื่อคัดแยกคนในชาติตัวจริง ดูจะยิ่งเป็นสิ่งเข้าล็อกยิ่งขึ้น

เพราะมุม เอย่า คาดว่า การทำสำมะโนประชากรครั้งนี้ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกองทัพเมียนมาที่จะแยก 'น้ำดี-น้ำเสีย' แบบจริงจัง พูดง่าย ๆ ก็คือ ฝั่งกองทัพฯ เองก็คงจะถือโอกาสนี้กรองจำนวนผู้ไม่รักชอบในกองทัพเมียนมา และตีตราให้เมียนมาชังทหาร กลายเป็นพวกไร้สัญชาติ จนต้องบีบตนเองให้เผ่นหนีออกนอกประเทศไปเอง

ขยายภาพให้...หลังจากที่กองทัพฯ ทำการสำรวจสำมะโนประชากรเสร็จ จะเกิดภาพแบบไหนขึ้น? ตรงนี้ เอย่า เชื่อว่า ทางการจะเริ่มกำหนดให้ว่า ใครคือ คนเมียนมาที่แท้จริง แล้วมีอยู่เท่าจำนวนที่เขาสำรวจหรือไม่ เพื่อจะเตรียมตัวไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป ส่วนเศษที่เหลือจะไม่นับว่าเป็นชาวเมียนมา และความซวยของคนกลุ่มหลัง ก็คือ พาสปอร์ตของคนเหล่านั้นจะต้องหมดอายุลง โดยที่คนเหล่านี้จะไม่สามารถดำเนินการต่ออายุพาสปอร์ตได้อีกต่อไปด้วย

แน่นอนว่า เรื่องนี้เหมือนพวก NGO พม่าในไทยและ NGO ไทยจะรู้ดี จึงพยายามเปิดทางให้ พายุไร้สัญชาติเหล่านี้เข้ามาในอยู่ระบบของประเทศไทย ซึ่งหากไทยตามเกมไม่ทันแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะค่อย ๆ กลายร่างเป็นประชากรไทยในอนาคตได้ไม่ยาก ผ่านเครื่องมือที่เลื่องลืออย่าง 'ไทยแลนด์คอร์รัปชัน' 

และ ๆ ๆ การคอร์รัปชันนี้ จะเป็นผลดีต่อพรรคการเมืองบางพรรคที่มีแผนการบางอย่างต่อการดึงมวลชนเมียนมาเข้าไทย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ที่เริ่มเบิกเนตรคงจะเริ่มทราบจุดประสงค์กันดี เพราะมีหลักฐานมากมายที่ 'คน-พรรค' นี้ ไปร่วมกิจกรรมกับเหล่าผู้อพยพและชาติพันธุ์อยู่บ่อยหน

อย่างไรก็ดี ก็ไม่ต้องไปกลัวชาวเมียนมาไร้สัญชาติจนเกินเหตุ เพราะไทยจะเอาจริงก็จัดการได้ เพียงแต่เรื่องนี้ เอย่า แค่อยากมาช่วยกระตุกให้ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมืองวันนี้ ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้เท่านั้น ซึ่งพวกท่านสามารถที่จะช่วยป้องกันแก้ไขสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อยู่แล้ว

วิเคราะห์ต่ออีกนิด หากการเลือกตั้งในเมียนมาเกิดขึ้นได้แบบสำเร็จลุล่วง เอย่า เชื่อว่าประเด็นหลาย ๆ อย่างในเมียนมาจะเบาลง แต่กลุ่มชาวเมียนมาไร้สัญชาติที่อยู่นอกประเทศตัวเอง จะทวีความเคลื่อนไหวแบบรุนแรง เพื่อหาทางมอบสัญชาติให้ตัวเอง ซึ่งถ้าไทยเล่นไม้แข็งก็จบเห่ ไอ้ครั้นจะหนีไปยุโรปก็ยาก เพราะขณะนี้ยุโรปต่างก็ออกนโยบายไม่เอาผู้อพยพลี้ภัยถ้วนหน้าแล้ว 

ฉะนั้น จุดนี้คงจะเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ เอย่า แค่อยากมากระตุ้นรัฐบาลและผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไทยให้ช่วยหาทางจัดการกับคนพวกนี้ไว้แต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าปล่อยให้บรรดา NGO และพรรคการเมืองหนึ่งที่พยายามดิ้นรนแบบสุดลิ่ม กรุยทางลากคนไร้สัญชาติเข้ามาล้นแผ่นดินสยาม 

เพราะฐานคนไร้สัญชาติ ที่พร้อมกลายเป็นสัญชาติไทยเหล่านี้ อาจเขย่าอำนาจการเมืองและความมั่นคงของไทยในระยะยาวได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้ด้วย...

ใครได้ ใครเสีย? ค่าเงินบาทแข็ง VS ค่าเงินบาทอ่อน ภายใต้ 'แบงก์ชาติ' ที่ไม่อาจปล่อยเอียงข้างใดข้างหนึ่ง

จากกรณีค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งตัว และมีแนวโน้มที่จะแข็งตัวต่ออย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าจะส่งผลอย่างไรต่อภาพรวมของประเทศไทย และใครที่จะได้ประโยชน์ หรือใครจะได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ หากมองในเชิงของประโยชน์ จะพบว่า...
- ผู้นำเข้า : จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสินค้า เพราะราคาสินค้าจากต่างประเทศถูกลง
- ประชาชน : จะซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศได้ถูกลง
- ผู้ลงทุน : จะนำเข้าสินค้าทุนได้ถูกลง เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ
- ผู้เป็นหนี้กับต่างประเทศ : จะมีภาระหนี้ลดลง เพราะใช้เงินบาทน้อยลงในการชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ

ทีนี้ถ้ามองในเชิงของผลกระทบหรือใครที่จะเสียประโยชน์จากค่าเงินแข็งตัว พบว่า...
- ผู้ส่งออก : จะนำรายได้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
- คนทำงานต่างประเทศ : จะนำรายได้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
- ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว : จะได้รับเงินสกุลต่างประเทศนำรายได้มาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง

ทีนี้ ถ้ามองมุมกลับ หากค่าเงินบาทอ่อนลง สิ่งที่พอจะอธิบายในเบื้องต้นได้ง่ายที่สุด คือ เราก็จะต้องใช้เงินบาทมากขึ้น เพื่อแลกเงินสกุลอื่นในจำนวนเท่าเดิมนั่นเอง

แต่ทั้งนี้ หากมองในเชิงของประโยชน์ จะพบว่า...
- ผู้ส่งออก : จะนำรายได้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น
- คนทำงานต่างประเทศ : จะนำรายได้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น
- ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว : จะได้รับเงินสกุลต่างประเทศ เพื่อนำรายได้มาแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น

ส่วนในแง่ของผลกระทบหรือใครที่จะเสียประโยชน์จากค่าเงินอ่อนตัว พบว่า...
- ผู้นำเข้า : ต้องเพิ่มต้นทุนการนำเข้าสินค้า เพราะราคาสินค้าจากต่างประเทศแพงขึ้น
- ประชาชน : ต้องซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศแพงขึ้น
- ผู้ลงทุน : ต้องนำเข้าสินค้าทุนแพงขึ้น เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ
- ผู้เป็นหนี้กับต่างประเทศ : ต้องมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น เพราะใช้เงินบาทมากขึ้นในการชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ

ดังนั้น หากกล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็ง ก็จะมีทั้งกลุ่มคนที่ได้และเสียเสมอ และแบงก์ชาติเอง ก็ไม่สามารถฝืนกลไกตลาดให้เงินบาทอ่อนค่าหรือแข็งค่าไปข้างใดข้างหนึ่งได้ 

ทว่า แบงก์ชาติก็อาจจะมีการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนจะทำเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนผู้เกี่ยวข้องปรับตัวไม่ทันได้ด้วย เช่น ในกรณีที่เราส่งออกสินค้าได้มากกว่าการนำเข้า รวมถึงมีผู้ลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยมาก ๆ ก็จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามกลไกตลาดที่ควรจะเป็น 

ตรงนี้ >> ไม่มีความจำเป็นที่แบงก์ชาติจะต้องเข้าไปแทรกแซง 

อย่างไรก็ตาม ถ้าการแข็งค่าดังกล่าว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดเล็ก แบงก์ชาติก็อาจเข้าไปแทรกแซงได้บ้างตามสมควร เพื่อซื้อเวลาให้ผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้ปรับตัวได้ทัน เช่น...

ถ้าต้องการให้เงินบาทอ่อนค่า แบงก์ชาติจะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อปล่อยเงินบาทเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยการนำเงินบาท ไปแลกเป็นเงินสกุลต่างประเทศกลับเข้ามาเก็บไว้ หรือแบงก์ชาติออกคำสั่งหรือประกาศนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ ขายเงินสกุลต่างประเทศให้แก่ธนาคารกลาง เพื่อแลกกับเงินบาท ทำให้ธนาคารพาณิชย์ มีเงินบาทในมือมากขึ้น และเมื่อปริมาณเงินบาทไหลอยู่ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะถูกนำมาใช้ควบคู่กันอย่างเหมาะสม เพื่อบริหารจัดการค่าเงินบาท ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ และมีเสถียรภาพ โดยจะต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจ การเงินการคลัง และสถานการณ์โดยรวมในขณะนั้นเป็นตัวกำหนดทิศทาง

'แฟนคลับ' ซูฮก!! 'Eminem' ของแท้!! ยืนหยัดซัด ‘Diddy’ ร่วม 20 ปี หลากข้อคิดผ่านงานเพลง บรรเลงความดาร์กใต้หน้ากากคนดัง

(26 ก.ย. 67) MGROnline Live ออกบทความที่มีเนื้อหาถึง 'พี.ดิดดี' (P. Diddy) หรือ ฌอน ดิดดี คอมบ์ส (Sean Diddy Combs) นักร้องรุ่นใหญ่ที่ถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดฉ้อโกง ค้ามนุษย์ทางเพศ และขนส่งเพื่อจุดประสงค์ในการค้าประเวณี ว่า...

ความยิ่งใหญ่ของ 'Diddy' ทั้งชื่อเสียงและเงินทาง ทำให้ตลอดเวลาต่างมีเซเลบ-คนดังทุกวงการวิ่งเข้าหาทั้งที่ข่าวฉาวของเขาคนนี้ก็ปรากฏออกมาเรื่อย ๆ

เรียกว่าน้อยคนนักที่คิดจะยืนตรงข้ามและไม่มีสัมพันธ์ดี ๆ ร่วมกับเขา หนึ่งในจำนวนที่นับหัวได้เลยก็คงจะเป็น 2 นักร้องดังอย่าง 'ฟิฟตีเซนต์' (50 cent) รวมถึง 'เอ็มมิเน็ม' (Eminem)

โดยเฉพาะในรายหลังนั้นเรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานนาน ซึ่งตอนแรก ๆ หลายคนเชื่อว่าความไม่ลงรอยของทั้งสองมันอาจจะเกิดขึ้นเพราะการเรียกร้องความสนใจในเชิงสร้างภาพในการเป็นอริกันของการเป็นแรปเปอร์ที่จะต้องมีการแต่งเพลงแขวะหรือด่าคนนั้นคนนี้

แต่สุดท้ายด้วยระยะเวลาที่นานกว่า 20 ปีที่เอ็มมิเน็มทำเพลงด่า Diddy มาโดยตลอดก็ยืนยันว่าเจ้าตัวนั้นเกลียดอีกฝ่ายจริง ๆ แน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายมาเจอคดีสุดฉาวโฉ่อยู่ตอนนี้เรื่องทั้งสองก็เลยถูกพูดถึงอีกครั้ง

ทั้งนี้สิ่งที่ เอ็มมิเน็ม ด่าทาง Diddy นั้นมีแฝงเนื้อหาบางช่วงบางตอนอยู่ในหลาย ๆ บทเพลง ไม่ว่าจะเป็น Antichrist ที่เล่าถึงรายละเอียดที่อีกฝ่ายถูกฟ้องข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเหยื่อหลายราย

หรือจะเป็นเพลง killshot ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีการเสียชีวิตของ 'ทูพัค ชาเคอร์' (tupac) ในการถูกลอบยิงนั้นซึ่งก็ว่ากันว่ามาจากการของ Diddy นั่นเอง

ยังมีเพลง Godzilla ที่เล่าถึงความยิ่งใหญ่ความอหังการ์ของ Diddy ที่ใครต่างก็ต้องเข้ามาซูฮกเขาผ่านรายการโชว์ในการคัดเลือกศิลปินเข้าสังกัดที่มีภารกิจโหด ๆ และแปลก ๆ ซึ่งบางอย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการร้องเพลงเลย เช่น ให้คนที่อยากเป็นนักร้องเดินไกลกว่า 6 ไมล์ เพียงเพื่อไปซื้อเค้กมาให้เขากิน

การกระทำของเอ็มมิเน็มต่าง ๆ เหล่านี้แม้จะก่อกระแสได้บ้างแต่ก็ไม่มีผลอะไรกับ Diddy เลย เพราะขนาดคดีใหญ่ ๆ เจ้าตัวก็รอดมาหมดแล้ว ในขณะที่ความรวยความดังของเขายังคงทำให้เขามีคนเข้าหาตลอด

อย่างไรก็ตามหลังจากแรปเปอร์คนดังถูกจับกุม แฟนคลับของเอ็มมิเน็มหลายคนต่างก็ชื่นชมศิลปินที่ตนเองชื่นชอบว่าเป็นของแท้ที่กล้าจะพูดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top