Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

'ชาวต่างชาติ' กร่าง!! บุกยิงปืน-ทุบกระจกร้านอาหาร ใน จ.ภูเก็ต โชคดี!! ไม่มีผู้บาดเจ็บ ตำรวจท้องที่เร่งตรวจสอบ จับตัวคนทำผิด

(29 ก.ย. 67) น.ร.ต.อ.หญิงกัลย์สุดา แก้วก่า รอง สว.(สอบสวน) สภ.เชิงทะเล จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุจากที่รปภ.ของร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในซอย อบต. ต.เชิงทะเล ว่า มีชายชาวต่างชาติ ทำลายกระจกร้านแตก ซึ่งคาดว่า น่าจะใช้อาวุธปืนยิง จนกระจกภายในร้านแตก 

หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบนายกอเฉม ผู้แจ้ง ผู้เห็นเหตุการณ์ ได้ให้การว่า เวลาประมาณ 02.18 น. มีชายชาวต่างชาติขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุ จากนั้นได้ยินเสียงดังคล้ายอาวุธปืน 1 นัด มีกระจกที่ร้านแตก ก่อนผู้ก่อเหตุจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

ต่อมาเวลาประมาณ 02.58 น. ได้มีคนร้ายเป็นชายชาวต่างชาติ อีกบุคคลหนึ่ง เข้ามาทุบกระจกที่ร้านอาหารเเห่งเดิมซ้ำ และหลบหนีไป จึงได้เเจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ 

หลังทราบเรื่องทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดภูเก็ตเข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พร้อมให้ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามตัวคนร้ายต่อไป

ล่าสุดช่วงเช้า ตำรวจสภ.เชิงทะเล พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดภูเก็ต เข้าตรวจสอบและเก็บรายละเอียดบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อติดตามตัวคนก่อเหตุ มาสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายกอเฉม (สงวนนามสกุล)  รปภ.ที่เห็นเหตุการณ์เผยว่าคนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดที่หน้าร้านแล้วใช้ปืนยิงแล้วเข้าไปในร้านแล้วกระจกแตก คนที่ยิงคือคนต่างชาติหลังจากยิงเสร็จ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์หลบหนี

กระทั่งผ่านไปประมาณ 10 นาที ก็มีมอเตอร์ไซค์อีกคัน ขับเข้าไปดูเหตุการณ์ และลงมือทุบกระจกที่แตกอยู่แล้วซ้ำ จากนั้นได้ก่อเหตุทุบกระจกร้านเสริมสวยที่อยู่ใกล้เคียง เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ 4 คน ขับรถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน

นายกอเฉม เปิดเผยเพิ่มเติมว่า รปภ.อีกราย ที่เข้าเวรกลางวัน เล่าให้ตนฟังว่าตอนเย็นมีชาวต่างชาติทะเลาะกันอย่างรุนแรงก่อนจะแยกย้ายกันไป 

ด้านเจ้าของร้านเองก็คาดว่าคนลงมือก่อเหตุจะเป็นกลุ่มเดียวกัน ตนยังอยู่ในอาการตกใจ เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งตนทำงานเป็นรปภ.มาเกือบ 20 ปีแล้ว

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 2)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ได้อธิบายปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย...

>>ผลิตอะไร (What to produce?) ผู้ผลิตต้องเลือกว่าควรใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปผลิตสินค้าหรือบริการใดที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากที่สุด

>>ผลิตอย่างไร (How to produce?) ในการผลิตเราต้องคำนึงถึงต้นทุน วิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

>>ผลิตเพื่อใคร (For whom to produce?) ผู้ผลิตจำเป็นต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายว่าผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อใคร เช่น ผลิตอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้สูง

และตัวแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ หรือ ตัวจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจ คือ 

>>กลไกราคา (Market mechanisms) โดยราคาสินค้าจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ตลาดปรับตัวตามอุปสงค์และอุปทาน เช่น เมื่อราคาสูง ผู้บริโภคซื้อสินค้าน้อยลง

>>อุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) เมื่อความต้องการสินค้า (อุปสงค์) พบกับปริมาณสินค้าที่มีในตลาด (อุปทาน) จะเกิดราคาที่เหมาะสมสำหรับสินค้านั้น เราจะเรียกจุดนั้นว่า ราคาดุลยภาพ และปริมาณดุลยภาพ โดยการเปลี่ยนแปลงราคาและปริมาณดุลยภาพก็เกิดได้จากอีกหลายปัจจัย เช่น อุปสงค์ที่มากขึ้น หรืออุปทานที่น้อยลง

>>>ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน (Elasticity) หมายถึงความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า เช่น ถ้าสินค้าไหนที่ราคาขึ้น เราอาจจะลดการบริโภคสินค้านั้นลงเลย แต่ถ้าเป็นสินค้าที่จำเป็นจะมีอุปสงค์ยืดหยุ่นต่ำ อย่างเช่น ยารักษาโรค ที่ต่อให้ราคาเพิ่งสูงขึ้น เราก็ยังคงบริโภคอยู่ดี

'ธนกร' ฉะ!! 'ปชน.' หมกมุ่นเสนอ 'แก้ไขรัฐธรรมนูญ-ปฏิรูปสถาบัน' ไม่สนใจปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง-ความเดือดร้อนของประชาชน

(29 ก.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่พรรคประชาชนเสนอ 7 แพ็กเกจในการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับควบคู่กับการแก้เป็นรายมาตรา ว่า...

ตนก็สงสัยการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนเหมือนที่หลายฝ่ายสงสัยเช่นกัน ว่า ที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นผู้แทนนั้น เพื่อเข้าสภาไปทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อน แก้ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจของประชาชนจริงหรือไม่ หรือหวังจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพรรคการเมืองของตัวเองเท่านั้นหรือไม่ 

เพราะจากที่ตนดูการเสนอกฎหมาย เสนอแนวทางต่าง ๆ ของพรรคประชาชน หลายเรื่องที่ผ่านมา ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนเรื่องความเป็นอยู่คุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง มุ่งแต่จะแก้ปัญหาการเมือง แก้รัฐธรรมนูญบ้าง จ้องปฏิรูปสถาบัน ปฏิรูปกองทัพบ้าง อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระมีอำนาจมากเกินไป  และอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาจากการรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย ท่องอยู่แค่ไม่กี่คำเท่านี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามของหลายฝ่ายทั้งนักวิชาการและฝ่ายการเมืองก็ตาม ว่า แท้จริงแล้วพรรคประชาชนมีจุดมุ่งหมายการทำงานการเมืองเพื่ออะไรกันแน่  

ทั้งนี้ตน มองว่าอำนาจ 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ควรมีอำนาจติดตามตรวจสอบเพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอำนาจฝ่ายตุลาการ ที่ควรจะต้องคงไว้เพื่อตรวจสอบนักการเมือง ข้าราชการที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม คดโกง ทุจริตคอร์รัปชัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมและถูกต้องแล้วตามรัฐธรรมนูญปราบโกงปี 2560 ที่ร่างป้องกันไว้ จึงขอคัดค้าน หากพรรคประชาชน หรือพรรคใดเสนอให้มีการปรับแก้ไข ลดอำนาจองค์กรอิสระลง เพราะจะทำให้เป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองที่ไม่ดีเข้ามาคดโกงงบประมาณแผ่นดิน เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องตัวเองได้ 

เมื่อถามว่า แต่การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมืองพรรคประชาชนก็ยอม 'พัก' เรื่องนี้ไว้ก่อน  นายธนกร กล่าวว่า พักไว้ ไม่ได้แปลว่าจะล้มเลิกหรือถอดร่างที่เสนอต่อสภาออก แต่อาจเป็นเพราะถูกสังคมต่อว่าอย่างหนักว่า ต้องการแก้กฎหมายเพื่อตัวเอง  ไม่ก็อาจจะกลัวทำผิดกฎหมายเสียเอง เพราะการแก้ประเด็นจริยธรรมนักการเมืองจะถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้พรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศจุดยืนชัดเจนแล้วว่าขอคัดค้านในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องดังกล่าว เพราะต้องการสนับสนุนให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ไม่ลดมาตรฐานจริยธรรมผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้นำบริหารราชการแผ่นดิน 

“สังคมตั้งคำถามว่า พรรคประชาชนมัวทำอะไรกัน วนเวียนคิดแต่จะแก้ปัญหาการเมือง แก้รัฐธรรมนูญ ติดกรอบความคิดเดิม ๆ เรื่องการลบล้างผลพวงรัฐประหารของคสช. อ้างแต่เรื่องประชาธิปไตย โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อน ความยากจน ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติที่พี่น้องประชาชน ประสบอยู่ตอนนี้ แต่ยังก้าวไม่พ้น คสช. ต้องการยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนวางกรอบไว้ให้การพัฒนาประเทศเกิดความยั่งยืน ซึ่งก็ถือว่าดีอยู่แล้ว ดังนั้นการเสนอ 7 แพ็กเกจของพรรคประชาชน มองว่าเป็น 7 แพ็กเกจสุดซอย สุดโต่ง มุ่งทำเพื่อพรรคการเมือง ทำเพื่อตัวเอง ยังไม่ได้นึกถึงประชาชนชาวบ้านที่เดือดร้อนจริง ๆ" นายธนกร กล่าว

'ลิซ่า' เข้าชิงรางวัล ‘ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2024’ คะแนนสูสีตัวแม่ 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ปิดโหวต 30 ก.ย.นี้

(29 ก.ย. 67) เรียกเสียงฮือฮาทั่วโลก หลัง 'Influencer Magazine UK' นิตยสารสัญชาติอังกฤษ เปิดเผยผู้เข้าชิงรางวัล IMA 2024 สาขา 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2024' (Influencer of the Year) ซึ่งรวบรวมผู้ทรงอิทธิพลทั่วทุกมุมโลก ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในรอบปี

ทั้งนี้พบว่า 'ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล' หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลสาวสายเลือดไทย ผู้ที่เคยได้รับตำแหน่ง Beauty Mogul of the Year หรือ ผู้ที่งดงามทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี 2023 มีรายชื่อติดอันดับผู้ทรงอิทธิพลในปีนี้ด้วย...

ตามมาด้วยติด ๆ ด้วยเหล่าตัวแม่ ตัวพ่อ อย่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift), จิมมี โดนัลด์สัน (MrBeast), ไคลีย์ เจนเนอร์ (Kylie Jenner), เซลีนา โกเมซ (Selena Gomez) และ บิลลี่ ไอลิช (Billie Eilish Among)

อย่างไรก็ดี การคัดเลือกในครั้งนี้ มีการเปิดให้โหวต ทั้งจากประชาชนทั่วไป หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการ

โดยมีการเปิดโหวตให้แฟน ๆ ร่วมตัดสินผ่านเว็บไซต์ ได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 23.59 น. นี้

สำหรับกติกา วิธีการโหวตดังนี้
1. กรอกชื่อ-สกุล
2. กรอกอีเมล โดย 1 อีเมล โหวตได้ 1 ครั้งต่อวัน
3.ประเทศที่อยู่ ผ่านเว็บไซต์ https://influencermagazine.uk/influencer-of-the-year-ima-2024/
4.กดโหวต ด้วยการคลิกภาพศิลปินที่ชื่นชอบ

'ซูเปอร์โพล' เผย ปชช.ปลื้มปีติ 'โรงครัว-ถุงยังชีพพระราชทาน' พึงพอใจ 'ทหาร' ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมมากที่สุด

(29 ก.ย. 67) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง บททดสอบ ฝีมือรัฐบาล รับมือภัยน้ำท่วม กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น 1,002 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-28 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา 

พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.4 ความปลื้มปีติต่อโรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม 

รองลงมาคือร้อยละ 87.3 ความพึงพอใจอื่น ๆ ต่อหน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิ องค์กรต่าง ๆ ช่วยเหลือ เช่น อาหาร น้ำ ยารักษาโรค การอพยพ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.7 ความพึงพอใจอื่นๆ บุคคล/ภาคประชาสังคม จิตอาสา ร่วมบริจาคทั้งกำลังเงินและสิ่งของ

ที่น่าสนใจ คือ ความพึงพอใจต่อการทำงานของภาคประชาสังคมรับมือภัยน้ำท่วมในด้านต่าง ๆ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.3 มูลนิธิองค์กรทำดี รองลงมาคือร้อยละ 80.4 อาสาสมัครมูลนิธิหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.8 มูลนิธิต่าง ๆ เช่น สภากาชาดไทย มูลนิธิกระจกเงา เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4 อื่น ๆ ภาคประชาสังคม บุคคล จิตอาสา

ที่น่าพิจารณาคือ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการ กระทรวงต่าง ๆ พบว่า มากที่สุด หรือร้อยละ 71.5 พอใจทหาร รองลงมาคือร้อยละ 67.5 พอใจตำรวจ ร้อยละ 66.2 พอใจระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ร้อยละ 60.3 พอใจกรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และร้อยละ 59.3 พอใจอื่น ๆ กระทรวงต่าง ๆ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

จากรายงานผลสำรวจของซูเปอร์โพล สรุปได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความปลื้มปิติและพึงพอใจในหลายด้านที่มีการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เช่น โรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม , การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี, การเข้าถึงการช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำ และยารักษาโรค รวมถึงการอพยพ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ก็สูง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุข้อเสนอแนะในการเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศ สามารถดำเนินการได้ด้วยหลายแนวทางที่มุ่งเน้นทั้งด้านการจัดการและการสื่อสาร ต่อไปนี้คือรายละเอียดของแต่ละแนวทาง

1.การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ

- พัฒนาและปรับปรุงแผนการจัดการภัยพิบัติ ทบทวนและอัปเดตแผนป้องกันและการตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ

- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ จัดให้มีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความสามารถในการจัดการภัยพิบัติและการช่วยเหลือที่มีประสิทธิผล

- การจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการสำรองอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถจัดส่งไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

2.การสื่อสารและการให้ข้อมูลที่ชัดเจน

- การประชาสัมพันธ์แผนการรับมือภัยพิบัติ ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับแผนการรับมือภัยพิบัติกับประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถเตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม

- การสื่อสารในระหว่างเกิดภัยพิบัติ มีการอัปเดตสถานการณ์และการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ใช้ช่องทางสื่อสารหลากหลายและชัดเจน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์

3.การมีส่วนร่วมของชุมชน

- การสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อการรับมือภัยพิบัติ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการรับมือและการฝึกซ้อม เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองและชุมชน

- การจัดตั้งทีมอาสาสมัคร สนับสนุนการจัดตั้งทีมอาสาสมัครภายในชุมชนเพื่อทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมในการรับมือกับภัยพิบัติ

4.การวางแผนและการใช้เทคโนโลยี

- การใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและการเตือนภัย การใช้ระบบ GIS และดาวเทียมเพื่อการตรวจสอบสภาพอากาศและการเตือนภัยล่วงหน้า

- การใช้โดรนและเทคโนโลยีอื่น ๆ ใช้โดรนในการสำรวจพื้นที่เสี่ยงและการประเมินความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ

ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศได้

'ทูตนอกแถว' แจง ACD เป็นกรอบความร่วมมือสำคัญรวมประเทศในเอเชียทั้งหมด มั่นใจไทยแสดงบทบาทเชื่อมโยงประเทศสมาชิก สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงได้

(29 ก.ย. 67) นายรัศม์ ชาลีจันทร์ หรือ ทูตนอกแถว ชี้แจงถึงกรณีที่มีรายการวิเคราะห์ข่าวบางรายการ เผยแพร่ข้อมูลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย: Asia Cooperation Dialogue หรือ ACD SUMMIT ครั้งที่ 3 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคมนี้ คาดเคลื่อนทั้งระดับความสำคัญ และความเป็นมาของ ACD โดยย้ำว่า ACD ถือเป็นกรอบการประชุมแห่งเอเชียกรอบเดียว ที่รวมประเทศสมาชิก 35 ประเทศ และรวมเอาภูมิภาคย่อยต่าง ๆ ของเอเชียทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน

นายรัศม์ ยังมั่นใจว่า การเข้าร่วม ACD จะเป็นโอกาสของไทยในการแสดงบทบาทนำ และสร้างสรรค์ ในฐานะผู้เชื่อมการทำงานกับประเทศสมาชิก เพื่อเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบันที่เหล่าประเทศในเอเชียกำลังประสบอยู่ ซึ่งจะรวมถึงการหาแนวทางเพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง ทั่วถึง และยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียด้วย

กองทัพเรือ จัดงานพิธีอำลาชีวิตการรับราชการของผู้ครบเกษียณอายุ ประจำปี 2567

(29 ก.ย. 67) พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีอำลาชีวิตการรับราชการของผู้ครบเกษียณอายุราชการประจำปี 2567 และผู้ขอลาออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

สำหรับในปีนี้ มีผู้ครบเกษียณอายุราชการจำนวน 1,284 นาย เป็นชั้นนายพลเรือ 83 นาย นายทหารสัญญาบัตรต่ำกว่าชั้นนายพลเรือ 1,016 นาย นายทหารประทวน 84 นาย ลูกจ้างประจำ 236 นาย และพลอาสาสมัคร 4 นาย ผู้ขอลาออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด จำนวน 139 นาย รวม ทั้งสิ้น 1,423 นาย โดยนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ที่ครบเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ 2567 อาทิ พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย พลเรือเอก โกวิท อินทร์พรหม ประธานที่ปรึกษากองทัพเรือ พลเรือเอก ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ พลเรือเอก อาภากร อยู่คงแก้ว หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา ศรชล. พลเรือเอก สุทิน หลายเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ พลเรือโท สมรภูมิ จันโท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหนังสือประกาศเกียรติคุณพร้อมของที่ระลึกแก่ นายพลเรือและ ตัวแทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ที่ครบเกษียณอายุราชการ และตัวแทนผู้ที่ขอลาออกตามโครงการฯ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ในนามผู้แทนข้าราชการกองทัพเรือ มอบหนังสือประกาศเกียรติคุณพร้อมของที่ระลึกให้แก่ ผู้บัญชาการทหารเรือ

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวสดุดีให้แก่ผู้เกษียณอายุราชการ โดยได้ชื่นชมกำลังพลทุกนาย ที่ได้ทุ่มเทกำลังกายและใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ และมีความเสียสละจวบจนอายุราชการ ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่ายิ่งของ กองทัพเรือ การจัดงานพิธีอำลาชีวิตการรับราชการของผู้ครบเกษียณอายุราชการ กองทัพเรือ ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อตอบแทนคุณงามความดีของผู้ครบ เกษียณอายุราชการ ที่ได้อุทิศกำลังกายกำลังใจ ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังสติปัญญาและความสามารถ อันเป็นผลให้กองทัพเรือ มีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

'อัครเดช' ขอบคุณประชาชน เชื่อมั่น 'พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำจุดยืนปกป้องสถาบัน-เดินหน้า 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ปฏิรูปพลังงานไทย

(29 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึง  'การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567' ซึ่งสำรวจโดยนิด้าโพล ว่า 

ในลำดับแรกต้องขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่เชื่อมั่น และไว้วางใจในการดำเนินงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงทำให้ผลสำรวจทั้งสองส่วนคือ ส่วนของคะแนนนิยมที่มีต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ และคะแนนนิยมต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ คะแนนนิยมทั้งสองส่วนต่างสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับเหตุผลที่ทำให้คะแนนนิยมทั้งสองส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ตนเชื่อมั่นว่ามาจากการที่พรรครวมไทยสร้างชาติมีจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้อง 'ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์' ซึ่งเป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญต่อชาติ รวมถึงการที่ บุคคลต่าง ๆ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหัวหน้าพรรคยังมีนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานเพื่อคืนความเป็นธรรมด้านพลังงานให้ประชาชน และ นโยบาย 'เศรษฐกิจแบ่งปัน' ซึ่งใช้หลักการแบ่งปันจากคนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็กที่ขาดโอกาสในสังคมนับเป็นแนวคิดหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

การมุ่งมั่นตั้งใจทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นทำให้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นผลงานในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะ กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ผลงานในรัฐสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผลงานการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรของพรรค 

และสำหรับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นอกจากคุณสมบัติที่ได้กล่าวถึงในรายงานของนิด้าโพลแล้ว ตนยังเห็นอีกว่าประชาชนสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจทำงานโดยเฉพาะในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน 

สุดท้ายนี้พรรครวมไทยสร้างชาติขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจในจุดยืนและแนวทางการดำเนินการของพรรคที่จะปกป้อง 'ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์' อันเป็นสถาบันหลักของชาติ และจะดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 3)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ได้อธิบายถึงหลักศรษฐศาสตร์ที่ยังแบ่งออกมาได้เป็น 2 แขนง คือ 

>>เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เป็นการศึกษาปัจจัยเศรษฐกิจระดับประเทศ เช่น การเจริญเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน และนโยบายทางการเงิน

>>เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) จะเน้นศึกษาการตัดสินใจของบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กในตลาด เช่น การตั้งราคาสินค้าของร้านค้า

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 4)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ได้อธิบายเรื่องการวัดว่าเศรษฐกิจของเราเติบโตได้ขนาดไหน โดยเราจะวัดจาก...

>>GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product) คือมูลค่าของสินค้าหรือบริการทั้งหมดที่ประเทศหนึ่งผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย รายจ่ายเพื่อการบริโภคของประชาชน รายจ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชน รายจ่ายของรัฐบาล มูลค่าการส่งออกสุทธิ 
เงินเฟ้อ

>>อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) เงินเฟ้อคือสิ่งที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลง ส่งผลให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นและกำลังซื้อของประชาชนลดลงโดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจะทำไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจโดยรวมที่ตั้งไว้ ซึ่งประกอบไปด้วย 

>>นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) รัฐบาลของแต่ละประเทศจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้จ่ายเงินกับโครงการสาธารณะ หรือเก็บภาษีเพื่อลดเงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งนโยบายต่างๆมักจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงซบเซา

>>นโยบายการเงิน (Monetary policy) ธนาคารกลางใช้การปรับอัตราดอกเบี้ยหรือปริมาณเงินในระบบเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ เช่น ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบผ่อนคลายในช่วงเศรษฐกิจซบเซา และตึงตัวในช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไป และยังมีเรื่องเพิ่มเติมที่น่าสนใจ เช่น

>>การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ประเทศต่าง ๆ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น การผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น หรือการผลิตนาฬิกาในสวิตเซอร์แลนด์ การที่แต่ละประเทศมีข้อได้เปรียบทางด้านต้นทุนและเทคโนโลยีทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกัน จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

>>การออมและการลงทุนในเศรษฐกิจ (Savings and Investment in the Economy) การออมเงินและการลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต การออมสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว และยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับอนาคต โดยเฉพาะในสังคมสูงวัยที่การออมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเตรียมตัวรับมือกับการเกษียณ 

>>เสถียรภาพของระบบการเงิน (Financial Stability) ระบบการเงินที่มีเสถียรภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การควบคุมหนี้สินและอัตราเงินเฟ้อจะช่วยลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

>>บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจ (The Role of Government in the Economy) เมื่อเกิดความล้มเหลวของตลาด รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาช่วยจัดการทรัพยากรและควบคุมราคาสินค้าบริการที่จำเป็น เช่น การผลิตสินค้าและบริการสาธารณะ เพื่อให้เศรษฐกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นธรรม

>>การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Resource Management) การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การใช้น้ำและพลังงานอย่างประหยัด เป็นการรักษาทรัพยากรเพื่อคนรุ่นหลัง การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงของการขาดแคลนในอนาคตและส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจได้ 

เพราะเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขและการคำนวณ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน การเข้าใจหลักการเหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านค่ะ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top