Friday, 6 June 2025
TheStatesTimes

17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญกลางกรุงเทพมหานคร คนร้ายวางระเบิดบริเวณ ‘ศาลท้าวมหาพรหม’ คร่าชีวิต 20 ราย

เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.50 น. ของวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ในขณะที่เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างปกติ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว บริเวณรอบศาลท้าวมหาพรหม หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ แรงระเบิดส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 130 คน และมีผู้เสียชีวิต 20 คน เป็นชาวไทย 6 คน และชาวต่างชาติอีก 14 คน

ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้เก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ประกอบด้วย ชิ้นส่วนเป้, ชิ้นส่วนลูกเหล็กกลม และชิ้นส่วนของท่อเหล็ก ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชิ้นสำคัญ นั่นคือ ภาพจากกล้องวงจรปิด ยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชายใส่เสื้อสีเหลือง

วันต่อมา 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ยังมีระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้งบริเวณท่าเรือย่านสาทร ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถแกะรอยเพิ่มเติม จนเข้าทำการจับกุม นายอาเดม คาราดัก และนายเมียไรลี ยูซุฟู ชายชาวอุยกูร์ พร้อมหลักฐาน อาทิ อุปกรณ์ประกอบระเบิด สารเคมีเอทีพี รวมทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ

ในเวลาต่อมา ยังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกกว่า 17 คน ในจำนวนนั้นมีคนไทยร่วมขบวนการด้วยอยู่สองคน โดยการก่อเหตุรุนแรงถูกเชื่อมโยงไปยังเรื่องการก่อการร้ายข้ามชาติ แต่ต่อมามีประเด็นเรื่องความขัดแย้งในธุรกิจค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ปัจจุบัน ผ่านมาแล้วกว่า 9 ปี เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ควรเป็นบทเรียนครั้งสำคัญต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเรื่องการดูแลความปลอดภัย ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนต่อไป

‘บิ๊กป้อม’ ต่อสาย ‘โค้ชเช’ ขอบคุณพาไทยคว้าเหรียญทองเทควันโด พร้อมอวยพรวันเกิด ‘น้องเทนนิส’ ขอให้มีความสุข สมหวังทุกประการ

(8 ส.ค. 67) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ได้ติดต่อทางโทรศัพท์ไปยังนายชัชชัย เช หรือโค้ชเช หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย โดยขอเป็นตัวแทนของคนไทยขอบคุณและแสดงความยินดีกับ เรืออากาศโทพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ หรือน้องเทนนิส โค้ชเช และสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่สามารถคว้าเหรียญทองเทควันโด ประเภทหญิงเดี่ยวรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ให้กับประเทศไทย และยังเป็นการป้องกันแชมป์ได้อีกหนึ่งสมัยด้วย 

โดยพลเอกประวิตร ได้ฝากสุขสันต์วันเกิดน้องเทนนิส และขอให้มีความสุข สมหวังทุกประการ และขอต้อนรับการเดินทางกลับประเทศไทย ด้วยความชื่นชมยินดีและภาคภูมิใจที่ทีมเทควันโดได้สร้างความสุขให้กับประชาชนคนไทย

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2567

กองทัพเรือ กำหนดให้ทัพเรือภาคที่ 1 เป็นหน่วยรับผิดชอบดำเนินการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2567 ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดยในวันพุธ ที่ 7 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 น. พลเรือโท สุระศักดิ์  สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2567 นำกำลังพลจิตอาสาหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบ โดยมีผู้แทนหน่วยและกำลังพลจิตอาสาจาก กองเรือยุทธการ  ทัพเรือภาคที่ 1 หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน  กรมสรรพาวุธทหารเรือ  กรมอู่ทหารเรือ  ฐานทัพเรือสัตหีบ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ  ศูนย์ส่งกำลังบำรุง กรมพลาธิการทหารเรือ สถานีอุทกศาสตร์สัตหีบ กรมอุทกศาสตร์  โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ กองโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ที่ 3 กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ  และ  ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ร่วมในพิธีเปิดกิจกรรม จำนวน 200 คน ณ ห้องภูหลวง ชั้น 3 หอประชุมโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดยในช่วงเช้า เป็นกิจกรรมการบริจาคโลหิต จากจิตอาสาหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบ ร่วมกันบริจาคโลหิต ณ ห้องรับบริจาคโลหิต โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ทั้งนี้ พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ได้ร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ด้วย สำหรับกิจกรรมการบริจาคโลหิตของหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบครั้งนี้ ได้เริ่มการบริจาคโลหิตตั้งแต่ 5 – 9 สิงหาคม 2567 ในช่วงบ่าย เป็นการร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ของหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบ จำนวน 250 คน ณ วัดบางเสร่คงคาราม ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือตรี กรัณย์  กลิ่นบัวแก้ว รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมผู้บังคับบัญชาของทัพเรือภาคที่ 1 และผู้แทนหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย การทำความสะอาดโดยรอบอุโบสถ ตัดหญ้า ตกแต่งกิ่งไม้และต้นไม้ เก็บกวาดขยะโดยรอบวัด และล้างห้องน้ำ

#ทรงพระเจริญ
#ทัพเรือภาคที่1
#จิตอาสาพัฒนา
#เทิดทูนสถาบัน_ยึดมั่นระเบียบวินัย_ประชาชนภูมิใจ_ทะเลไทยมั่นคง
#Fit_for_the_Future 

ขอนแก่น - "ทีมนิติฯ มข." คว้ารางวัลชนะเลิศ และรองชนะเลิศอันดับ1 แข่งขันตอบปัญหากฎหมายเนื่องในวันรพี

ตัวแทนนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มข. คว้ารางวัลชนะเลิศ และรองชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขันตอบปัญหากฎหมายเนื่องในวันรพี วันที่ 7 สิงหาคม วันรำลึกพระบิดาแห่งกฎหมายไทย จัดโดยศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับ ศาลจังหวัดขอนแก่น และศาลแขวงขอนแก่น
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า ในวันรพี ประจำปี 2567 ที่ผ่านมา ตัวแทนนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหากฎหมายเนื่องในวันรพี ประจำปี 2567 โดยมีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในจังหวัดขอนแก่นเข้าร่วมจำนวน 12 ทีม ผลปรากฎว่าตัวแทนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับรางวัลดังนี้
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ 1.นางสาวปวันรัตน์ รัตนวุฒิชัย นักศึกษาชั้นปี 4,และ 2.นายริฎวัน จีนา นักศึกษาชั้นปี4 และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1ได้แก่ 1.นายนันทิพัฒน์ วัดไธสง นักศึกษาชั้นปี4 และ 2.นายปรวรรตน์ พลกุล นักศึกษาชั้นปี3 การแข่งขันในครั้งนี้มี อาจารย์อาภาพรรณ วิเศษ อาจารย์พิทักษ์ ไทยเจริญ และอาจารย์ ดร.สุชาติวัฒน์ ณัฎประเสริฐ เป็นที่ปรึกษา ซึ่งตัวแทนนักศึกษาทั้ง 2 ทีม ได้รับสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหากฎหมายในระดับภูมิภาคต่อไป
ด้านรองศาสตราจารย์วนิดา แสงสารพันธ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แสดงความชื่นชมยินดีกับผู้ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ และขอบคุณศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับ ศาลจังหวัดขอนแก่น และศาลแขวงขอนแก่น ในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ พัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับนักศึกษาสู่การเป็น Smart Lawyers ต่อไปในอนาคต

‘สมาคมซิงไฟจากฮ่องกง’ ขนทัพนักแสดงจัดอุปรากรจีนเยาวชนกวางตุ้ง เดินหน้าเผยแพร่วัฒนธรรม ‘งิ้วกวางตุ้ง’ ครั้งแรกในประเทศไทย

(8 ส.ค. 67) สมาคมส่งเสริมอุปรากรจีนกวางตุ้งซิงไฟ จากฮ่องกง เปิดการแสดงอุปรากรจีนเยาวชนกวางตุ้ง (Sing Fai Bangkok Premiere Cantonese Opera Heritage) ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์งิ้วกวางตุ้งและมุ่งมั่นในการพัฒนานักแสดงรุ่นต่อไป ด้วยการส่งเสริมให้ศิลปินรุ่นเยาว์ที่มีความรักได้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของงิ้วกวางตุ้ง โดยมีเป้าหมายที่จะนำศิลปะอันล้ำค่านี้ไปสู่ในเวทีระดับนานาชาติ ซึ่งที่ผ่านมางิ้วกวางตุ้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติโดยยูเนสโก ในปี 2009 ด้วยคุณค่าทางศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการรักษามานานหลายศตวรรษ โดยการแสดงฯ ในประเทศไทยได้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ในกรุงเทพฯ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงในกรุงเทพมหานคร และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมฟรี โดยมีผู้สนใจจองบัตรเข้าชมเต็มทั้ง 2 วัน รวมเป็นจำนวนกว่า 1,200 คน

สำหรับการแสดงอุปรากรจีนกวางตุ้งในครั้งนี้ ได้นำเสนอในเรื่องที่ได้รับความนิยม อาทิ

1) ม้าเหล็กทวนทอง (Making a Mass Pledge) เมื่อบ้านเมืองโดนคนทรยศทำลาย ขุนนางที่ซื่อสัตย์ถูกฆ่า ประชาชนจึงต้องตามนายทหารที่เกษียณอายุให้มาช่วยเหลือและรวมพลังประชาชนเข้าต่อต้านกับข้าศึก
2) นางฟ้ามอบบุตร (Farewell by the Ash Tree) นางฟ้าคนที่ 7 พบรักกับชายหนุ่มยากจนในโลกมนุษย์ ต่อมาเง็กเซียนฮ่องเต้ทราบเรื่องจึงให้นางกลับสวรรค์ ก่อนไปนางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีได้ทราบใต้ต้นไม้ 
3) หอรักนิรันดร์ (Departure) พระขนิษฐาของเจ้าชายเดินทางกลับบ้านเกิด แม่ทัพต่างแดนที่เป็นคู่รักได้มาส่ง และร้องเพลงรักจากลาซึ่งกันและกัน
4) สิบปีในวังสุย (Princess Le Chang) ตำนานของความรักและการเสียสละ เมื่อบ้านเมืองแพ้สงคราม องค์หญิงจึงต้องปลอมตัวถ่วงเวลาเพื่อให้ราชบุตรเขยได้หลบหนี ทำให้นายทหารนับถือในความกล้าและช่วยหลบหนีออกไป
5) ความฝันในหอโบตั๋น (The Phantom Union) หญิงสาวฝันว่าได้พบบัณฑิตหนุ่มรูปงาม ต่อมาหญิงสาวได้ป่วยตาย บัณฑิตได้พบหญิงสาวปรากฏตัวในความฝัน และบอกให้ชายหนุ่มมาเปิดโลงศพในปีหน้า เพื่อช่วยให้นางได้ฟื้นคืนชีพ
6) เหมยแดงคืนชาติ (Encountering a Beauty When Picking Plum Blossoms) ตำนานความรักผิดตัว บัณฑิตหนุ่มได้พบหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีหน้าตาเหมือนหญิงที่ตนเคยหลงรัก และทำให้เกิดความรักครั้งใหม่ที่ไม่คาดคิด
7) ระบายทุกข์ในโรงเตี๊ยม (Venting the Grievances at the Inn from Revenge at Guang Chang Long)  เรื่องราวการร้องขอความเป็นธรรม พ่อค้าไปเข้าพักในโรงเตี้ยม และถูกผีสาวหลอก ผีได้เล่าเรื่องราวสาเหตุที่ทำให้นางต้องผูกคอตาย จึงรู้สึกเห็นใจและเข้าช่วยเหลือพานางไปฟ้องศาล
8) พบฝันที่ไทหวู (Meeting at Lake Tai in a Dream) คู่รักพบกันในความฝันที่ทะเลสาบไทอันลึกลับ แต่โศกนาฏกรรมยังคอยติดตามการกลับมาพบกันอีกครั้ง

โดยสมาคมซิงไฟ (Sing Fai Cantonese Opera Promotion Association Limited) นั้นเป็นองค์กรศิลปะที่ไม่แสวงหากำไร จดทะเบียนในฮ่องกง ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ. 2008 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนานักแสดงอุปรากรจีนกวางตุ้งรุ่นเยาว์ ให้สืบทอดรูปแบบศิลปะแบบดั้งเดิม ที่ผ่านมาทางสมาคมฯ ได้จัดการเรียนการสอนให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 2-24 ปี ไปแล้ว 6 รุ่น จำนวนกว่า 60 คน และยังได้เข้าร่วมการแข่งขันเพลงและอุปรากรจีนกวางตุ้งหลายครั้ง ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยในปี ค.ศ.2017 ได้ถูกเชิญไปร่วมแข่งขันในงานครบรอบ 20 ปี เขตปกครองฮ่องกง ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเกาลูน, มีส่วนร่วมในกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เพื่อให้ต่างชาติได้รู้จักความงดงามของอุปรากรจีนกวางตุ้ง รวมถึงการไปจัดแสดงที่ประเทศแคนาดา, สหรัฐ และสิงคโปร์ ซึ่งจากผลงานได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทางสมาคมฯ ในการเผยแพร่ความงดงามของงิ้วกวางตุ้งสู่สากล การอุทิศตนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการพัฒนาเยาวชน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามรดกของรูปแบบศิลปะอันงดงามนี้ จะยังคงเจริญรุ่งเรืองสำหรับคนในรุ่นต่อไป

‘จุฬาฯ’ เปิดพิกัดเยี่ยมชม ‘สถาปัตยกรรม-พิพิธภัณฑ์-ดนตรี’ ในรั้วมหาลัย หวังเชิญชวน ‘นักท่องเที่ยวไทย-ต่างประเทศ’ มาสัมผัสเรียนรู้

(8 ส.ค.67) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทำการเรียนการสอนเท่านั้น นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกและอันดับหนึ่งของประเทศแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของสถาปัตยกรรมบนพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยที่ให้ประสบการณ์ที่น่าตราตรึงใจ หรือจะเป็นพื้นที่การแสดงดนตรีที่หลากหลาย ทั้งดนตรีไทย ดนตรีตะวันตก รวมถึงนิทรรศการแสดงงานศิลปะมากมายโดยนิสิตและศิลปินจากนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอนิทรรศการที่หลากหลายสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

ด้าน คุณกรรชิต จิตระทาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ กล่าวถึงสีสันของจุฬาฯ และพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ ที่อยากเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศมาสัมผัส อีกทั้งยังแนะนำประเภทกิจกรรมสำหรับผู้มาเยี่ยมชม ดังนี้

>> อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรม - ตัวอย่างสถานที่ที่น่าสนใจก็จะมี กลุ่มอาคารเทวาลัย แลนด์มาร์กสำคัญที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของจุฬาฯ ที่ทั้งนิสิตและผู้มาเยือนไม่ควรพลาดที่จะมาถ่ายภาพด้วย นอกจากนี้ยังมีหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรือนภะรตราชา ที่ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย

>> หลากหลายพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ทั่วพื้นที่ - ไฮไลต์ที่ขอแนะนำก็คือ พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 11 พิพิธภัณฑ์ของโลก และเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จัดแสดงร่างกายและชิ้นส่วนมนุษย์แบบ 3 มิติ ด้วยเทคนิคพลาสติเนชัน (Plastination) อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในห้องนิทรรศการนี้มีสัตว์ที่โดดเด่นที่สุดคือ ปูเจ้าพ่อหลวง (Potamonbhumibol Naiyanetr) ปูน้ำจืดตัวใหญ่ที่สุดในประเทศไทย       

>> ดนตรีแสนไพเราะจากไทยและนานาชาติ - ที่จุฬาฯ มีการแสดงดนตรีสดให้รับชมรับฟังเป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรีไทย ดนตรีคลาสสิก ดนตรีไทยร่วมสมัย การร้องประสานเสียง ไปจนถึงการแสดงพิเศษของคณะดนตรีจากต่างประเทศ ที่หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ ด้วยระบบแสง สี เสียงระดับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังมีรายการแสดงดนตรีในวาระพิเศษซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ คอนเสิร์ตใหญ่ของ CU Symphony Orchestra จัดขึ้นปีละสองครั้ง ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการแสดงของวงดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งจัดในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี 

หลังจากมาเยี่ยมชมบริเวณพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว เดินต่อเนื่องไปพื้นที่โดยรอบก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารสตรีทฟู้ดแบบไทยได้บริเวณถนนบรรทัดทองตลอดเส้น ที่มีทั้งแกลเลอรี คาเฟ่ ศูนย์การค้าทันสมัย วัดไทยตามแบบมหายานและเถรวาท โบสถ์ และศาลเจ้าจีน เรียกได้ว่า มาย่านเดียวได้สัมผัสครบทุกวัฒนธรรม ทั้งนี้ สามารถอ่านจุฬาฯ น่าเที่ยวฉบับเต็มได้ที่ https://www.chula.ac.th/highlight/170475/ 

ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ‘คุกนรกแอตติกา’ ปี 1971 ในสหรัฐอเมริกา นักโทษนับพันก่อจลาจล เพียงเพราะต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เมื่อ 53 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในเรือนจำแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ประเทศสุดยอดประชาธิปไตยของเหล่าบรรดาที่หลงไหลคลั่งไคล้ในอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงเลยบนโลกใบนี้ แม้แต่ประเทศสหรัฐฯ เองก็ตามที ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เรือนจำแอตติกา (Attica) ในปี 1971

เรือนจำแอตติกาเป็นเรือนจำของมลรัฐในเมืองแอตติกา เทศมณฑลไวโอมิ่ง มลรัฐนิวยอร์ก แอตติกาเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรราว 8,000 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ต้องขังของเรือนจำความมั่นคงสูงแอตติกา และทัณฑสถานความมั่นคงระดับกลางไวโอมิง เจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำและครอบครัว เรือนจำแอตติกาเป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งดำเนินการโดยกรมราชทัณฑ์และการควบคุมของมลรัฐนิวยอร์ก เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษปี 1930 เป็นเรือนำที่มีการติดตั้งระบบแก๊สน้ำตา (ก๊าซ CS : chlorobenzylidine malononitrile) อยู่ในโรงอาหารและพื้นที่อุตสาหกรรม ซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อระงับความขัดแย้งในพื้นที่เหล่านี้ ปัจจุบันเรือนจำแห่งนี้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนมากที่รับโทษหลายประเภท (ตั้งแต่ระยะสั้นจนถึงตลอดชีวิต) โดยมากผู้ต้องขังที่ถูกส่งมาที่เรือนจำแห่งนี้เนื่องจากมีปัญหาทางวินัยในเรือนจำอื่น ๆ โดยเรือนจำแห่งนี้เป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด

เหตุการณ์จลาจลในเรือนจำแอตติกาเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Black Power และ การเคลื่อนไหว New Left ในสหรัฐฯ และการปราบปรามการเคลื่อนไหวเหล่านี้โดยรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐต่าง ๆ ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงผู้ต้องขังที่เป็นอดีตทหารผ่านศึก  ผู้ต้องขังในเรือนจำแอตติกาส่วนหนึ่งเข้าร่วมการจลาจล เพราะพวกเขาต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำแอตติกา ก่อนการจลาจลมีสภาพดังนี้ “นักโทษต้องใช้เวลา 14 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวันในห้องขัง จดหมายของพวกเขาถูกอ่าน สื่อสิ่งพิมพ์ถูกจำกัด ญาติ ๆ ต้องเข้าเยี่ยมผ่านตะแกรงตาข่าย การดูแลรักษาทางการแพทย์ที่เลวร้าย ระบบทัณฑ์บนที่ไม่มีความเท่าเทียม มีการเหยียดเชื้อชาติทุกหนทุกแห่ง การแออัดยัดเยียดทำให้เกิดสภาพที่ย่ำแย่ เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำเพิ่มขึ้นจาก 1,200 คน (ตามการออกแบบ) เป็น 2,243 คน”

นอกจากนี้ เช่นเดียวกับในเรือนจำของอเมริกาหลายแห่ง ความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติยังมีอยู่ในเรือนจำแอตติกาอีกด้วย ในจำนวนประชากรในเรือนจำที่ถูกคุมขัง 54% เป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน 9% เป็นชาวเปอร์โตริโก และ 37% เป็นคนผิวขาว เจ้าหน้าที่คุมขังทั้งหมดเป็นคนผิวขาว (มีเจ้าหน้าที่ควบคุมผิวสีเพียง 1 คน) เจ้าหน้าที่คุมขังมักจะทิ้งจดหมายที่เขียนเป็นภาษาสเปนที่ส่งถึงหรือมาจากนักโทษชาวเปอร์โตริโก และกักขังนักโทษผิวสีให้ทำงานที่มีรายได้ต่ำที่สุด และถูกคุกคามทางเชื้อชาติอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์อีกด้วย โดยผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังส่วนใหญ่มาจากเขตเมือง รวมถึงเขตมหานครนิวยอร์ก ในขณะที่เจ้าหน้าที่คุมขังส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคท้องถิ่น

ในวันที่ 9 กันยายน 1971 ผู้ต้องขัง 1,281 คน จากทั้งหมดประมาณ 2,200 คน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำแอตติกาได้ก่อจลาจลและเข้ายึดเรือนจำ โดยจับเจ้าหน้าที่ 42 นายไว้เป็นตัวประกัน โดยเจ้าหน้าที่นายหนึ่งถูกทุบตีจนเสียชีวิต ในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน ตำรวจของมลรัฐนิวยอร์กได้ยึดเรือนจำคืนได้เกือบทั้งหมด แต่ผู้ต้องขัง 1,281 คน ได้เข้ายึดลานออกกำลังกายที่เรียกว่า D Yard ซึ่งพวกเขาจับเจ้าหน้าที่ 39 นายเป็นตัวประกันเป็นเวลา 4 วัน หลังจากการเจรจาหยุดชะงักลง Nelson Rockefeller ผู้ว่าการมลรัฐนิวยอร์กในขณะนั้น (หลังจากหารือกับประธานาธิบดี Richard M. Nixon แล้ว) ได้สั่งให้ตำรวจมลรัฐนิวยอร์กปฏิบัติการด้วยอาวุธเพื่อยึดเรือนจำคืน

ตอนเช้าขณะที่ฝนตกของวันจันทร์ที่ 13 กันยายน มีการยื่นคำขาดให้ผู้ต้องขัง โดยสั่งให้พวกเขามอบตัว ผู้ต้องขังได้ตอบโต้ด้วยการเอามีดจ่อคอตัวประกันเอาไว้ จนกระทั่งเวลา 9.46 น. เฮลิคอปเตอร์ได้บินผ่านลาน D Yard และเปิดฉากยิงแก๊สน้ำตา ขณะที่ตำรวจมลรัฐและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บุกเข้ามาพร้อมด้วยการยิงกระสุนจริงกว่า 3,000 นัดท่ามกลางหมอกควันแก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ต้องขังเสียชีวิตไป 29 ราย และตัวประกันอีก 10 ราย มีผู้บาดเจ็บอีก 89 ราย ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ถูกยิงจากการเปิดฉากยิงถล่มแบบไม่เลือกหน้าในตอนแรก แต่มีผู้ต้องขังอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งถูกยิงหรือเสียชีวิตหลังจากที่พวกเขายอมมอบตัวแล้ว ภายหลังการบุกจู่โจมจนกลายเป็นการนองเลือด เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องขังได้สังหารตัวประกันที่เสียชีวิตด้วยการเชือดคอ ตัวประกันคนหนึ่งถูกตัดอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม ผลการชันสูตรพลิกศพแสดงให้เห็นว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเท็จ และตัวประกันทั้ง 10 คนล้วนแล้วแต่ถูกตำรวจที่บุกเข้าไปยิงเสียชีวิต ความพยายามปกปิดดังกล่าวทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต่างพากันประณามการบุกจู่โจมครั้งนี้มากขึ้น และกระตุ้นให้รัฐสภาดำเนินการสอบสวน

เหตุการณ์จลาจลที่แอตติกาถือเป็นเหตุการณ์จลาจลในเรือนจำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 43 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 39 รายจากการบุกของฝ่ายรัฐ และผู้ต้องขังอีก 3 รายถูกสังหารโดยนักโทษด้วยกันในช่วงต้นของการจลาจล และเจ้าหน้าที่ 1 รายเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการบาดเจ็บที่ได้รับระหว่างการจลาจลครั้งแรก ในสัปดาห์แรกหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ใช้กำลังปราบปรามนักโทษอย่างรุนแรง โดยบังคับให้พวกเขาด้วยกระบองยาวและให้เปลือยกายคลานบนเศษกระจกแตก นอกจากนี้ ยังมีการทรมานนักโทษอีกหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บ และให้การรักษาทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานแก่นักโทษเหล่านั้น

ในเดือนมกราคม 2000 มลรัฐนิวยอร์กได้ยอมความในคดีความที่ผู้ต้องขังในเรือนจำแอตติกาฟ้องร้องเจ้าหน้าที่เรือนจำและมลรัฐนิวยอร์กในคดีนี้ ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 26 ปี โดยผู้ต้องขังทั้งในอดีตและปัจจุบันต้องทนทุกข์ทรมานจากการบุกเข้าตรวจค้นต่อมาอีกหลายสัปดาห์ โดยพวกเขายอมรับเงิน 8 ล้านดอลลาร์ (12 ล้านดอลลาร์หักค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย) เพื่อยุติคดี เพื่อชดเชยความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นและยุติคดี ในปี 2005 รัฐบาลมลรัฐนิวยอร์กได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่เรือนจำที่รอดชีวิตและครอบครัวของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ถูกสังหารเป็นเงิน 12 ล้านเหรียญ

ผลกระทบต่อระบบเรือนจำของรัฐนิวยอร์ก ส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองต่อการจลาจลในเรือนจำแอตติกา กรมราชทัณฑ์ของมลรัฐนิวยอร์กได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รวมถึง :

-จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมากขึ้น เช่น ห้องอาบน้ำ สบู่ การดูแลทางการแพทย์ และการเยี่ยมครอบครัวมากขึ้น
-แนะนำขั้นตอนการร้องเรียนซึ่งผู้ต้องขังสามารถรายงานการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดนโยบายที่เผยแพร่
-จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานซึ่งผู้ต้องขังเลือกตัวแทนเพื่อพูดแทนพวกเขาในการประชุมกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ
-จัดสรรเงินทุนให้กับ Prisoners Legal Services ซึ่งเป็นเครือข่ายทนายความทั่วทั้งมลรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขัง
-จัดให้มีการเข้าถึงการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
-ให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ผู้ต้องขังมากขึ้น

แม้ว่าจะมีการปรับปรุงสภาพในเรือนจำในช่วงหลายปีหลังจากการลุกฮือทันที แต่ในช่วงยุค ‘การปราบปรามอาชญากรรมอย่างโหดร้าย’ ในทศวรรษ 1980 และ 1990 การปรับปรุงเหล่านี้หลายอย่างกลับถูกพลิกกลับ อาทิ ร่างกฎหมายอาชญากรรมปี 1994 ได้ยกเลิกเงินช่วยเหลือสำหรับนักโทษทั้งหมด ส่งผลให้มีการระงับการให้ทุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยภายในเรือนจำ ส่งผลให้โปรแกรมการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดในเรือนจำสิ้นสุดลงโดยไม่มีทางเลือกด้านการศึกษาอื่นสำหรับผู้ต้องขัง ปัญหาความแออัดยัดเยียดเลวร้ายลง โดยประชากรในเรือนจำของนิวยอร์กเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12,500 คนในช่วงที่เกิดการจลาจลแอตติกาในปี 1971 เป็น 72,600 คนในปี 1999

และในปี 2011 หลังจากชายคนหนึ่งที่ถูกคุมขังในเรือนจำแอตติกาถูกเจ้าหน้าที่คุมขังทุบตีอย่างโหดร้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมลรัฐนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่คุมขังถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่คุมขังรับสารภาพผิดในข้อหาประพฤติมิชอบในปี 2015 เพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุก ในข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ต้องขังทั้งในปัจจุบันและอดีตของเรือนจำแอตติกาได้รายงานว่าเรือนจำแห่งนี้ได้รับชื่อเสียงในฐานะ ‘สถานที่ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กลุ่มเล็ก ๆ ลงโทษผู้ต้องขังอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ต้องรับโทษใด ๆ’ และผู้ต้องขังยังได้เล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่และการปฏิบัติที่รุนแรงของผู้คุม

จะเห็นได้ว่าแม้แต่ระบบยุติธรรมในมลรัฐที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดของสหรัฐฯ เอง ก็ยังมีปัญหาในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย โดยชาวอเมริกัน 91% ระบุว่า กระบวนการยุติธรรมมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จึงสมควรที่จะดำเนินการปรับปรุง แก้ไข จัดการในปัญหาที่เกิดขี้นภายในประเทศของตนเองให้เรียบร้อย ถูกต้อง และเป็นธรรม ก่อนที่จะไปการก้าวก่าย แทรกแซง ในเรื่อง สิทธิมนุษยชน อิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ฯลฯ ของประเทศอื่น ๆ
 

‘GULF’ กำไร Q2/67 สร้างเม็ดเงิน 4,779 ล้านบาท เติบโต!! 34% พร้อมเดินหน้าต่อยอดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล

(8 ส.ค.67) บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือ บริษัทฯ) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 โดยมีรายได้รวม (total revenue) เท่ากับ 32,617 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาส 2/2566 จากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่ลดลงจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติและค่า Ft ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เท่ากับ 4,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จาก 3,556 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 3 ในเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2567 GULF รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ GPD หน่วยที่ 1-3 (กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,987.5 เมกะวัตต์) ซึ่งทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 และโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ HKP หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP ในไตรมาส 2/2567 จำนวน 643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น โดยมี load factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 67% ในไตรมาส 2/2566 เป็น 80% ในไตรมาสนี้ อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2/2566 โรงไฟฟ้า SPP จำนวน 3 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีการหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection)

ในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ในไตรมาส 2/2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul จำนวน 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จาก 148 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 5.2 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2566 เป็น 5.5 เมตร/วินาที ในไตรมาสนี้ อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 37 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 เป็น 51 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ หรือเพิ่มขึ้น 40% จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 833 บาท/ตัน ในไตรมาส 2/2566 เป็น 680 บาท/ตัน ในไตรมาสนี้ แม้ว่าราคาค่า Ft ขายส่งเฉลี่ยจะลดลงก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2567 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยจาก 92% ในไตรมาส 2/2566 เป็น 84% ในไตรมาสนี้ เนื่องจากในเดือนมิถุนายนโรงไฟฟ้ามีการหยุดซ่อมบำรุง (CI-inspection) ตามแผนงาน นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ทั้ง กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง เนื่องจากโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 2 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (C-inspection) ตามแผนงานในไตรมาส 2/2567

ในส่วนของธุรกิจก๊าซนั้น ในไตรมาส 2/2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256% จาก 107 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 412.5 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2566 เป็น 341.5 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นจาก 70.0 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2566 เป็น 81.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2567 นี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269 ล้านบาท หรือ 20% จาก 1,352 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้น จาก ARPU ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนที่ลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2567 จำนวน 10,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับ 8,620 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 2/2567 เท่ากับ 4,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จาก 2,885 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 โดยในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจาก 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 เป็น 37.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 481,852 ล้านบาท หนี้สินรวม 337,974 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 143,877 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 1.85 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.70 เท่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากจำนวนหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ด้าน นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25-30% โดยโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ ยังคงดำเนินไปตามแผน สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามแผนในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธันวาคม 2567 นอกจากนี้ โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะสามารถเข้าลงนามสัญญาได้ไม่ต่ำกว่า 270 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 และดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าไม่ต่ำกว่า 180 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ โดย GULF1 มีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ solar rooftop ให้ได้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ในส่วนของธุรกิจก๊าซ HKH ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้น 49% ได้เริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจำนวน 6 ลำ รวม 400,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 1 อีกทั้งมีแผนจะนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 200,000 ตัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะผลักดันให้รายได้ของกลุ่ม GULF ในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมาย”

โดย นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับโครงการอื่น ๆ ของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังเป็นไปตามแผน โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 และจะเริ่มก่อสร้าง LNG terminal ในช่วงกลางปี 2568 ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเรือในปลายปี 2568 ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนั้น สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2569

ในส่วนของธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (data center) ของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเฟสแรกซึ่งมีขนาด 25 เมกะวัตต์มีแผนเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายศูนย์ข้อมูลดังกล่าวเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ในเฟสที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมเป็น 50 เมกะวัตต์ โดย GSA DC จะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด และได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล (cloud computing) ด้วย เนื่องจากปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่าง ๆ กำลังขับเคลื่อนไปสู่ digital transformation จากการใช้งาน big data, IoT และ AI ซึ่ง workload ของ AI ดังกล่าวต้องใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาลและใช้ระบบ liquid cooling ในการระบายความร้อน โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ GSA DC จะเป็นกลุ่ม hyperscalers enterprise และหน่วยงานรัฐบาล ส่วนธุรกิจ cloud ที่บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ องค์กรที่ต้องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทฯ ได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity

สำหรับเรื่องการควบรวมบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2568”

GULF มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วไทยผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการพลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย โดย GULF ร่วมกับ AIS ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และระบบสื่อสารจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม ตั้งเป้า 30 พื้นที่ในระยะเวลา 5 ปี มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างการเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน

‘Salesforce-Workday’ เปิดตัว ‘AI Employee Service Agent’ เครื่องมือช่วยวิเคราะห์-เสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

เมื่อไม่นานมานี้ Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) ผู้นำด้าน AI CRM อันดับ 1 และ Workday (เวิร์กเดย์) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีบริหารทรัพยากรบุคคลและการเงินสำหรับองค์กร เปิดตัว AI Employee Service Agent ใหม่ ซึ่งเป็น AI ที่ทำหน้าที่เสมือนตัวแทนในการให้บริการแก่พนักงานภายในองค์กร ทำให้งานประจำเป็นอัตโนมัติ ให้บริการเฉพาะบุคคล และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการทำงานของพนักงาน

การรวมเทคโนโลยี Agentforce Platform และ Einstein AI ของ Salesforce เข้ากับแพลตฟอร์ม Workday และ Workday AI จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างและบริหารจัดการบริการผู้ช่วยส่วนตัวนี้ได้หลากหลายรูปแบบ บริการนี้จะทำงานร่วมกับพนักงานและเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน เพื่อสนับสนุนความสำเร็จของพนักงานและลูกค้าในทุกธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลจากระบบ CRM ของ Salesforce และข้อมูลการเงินและทรัพยากรบุคคลของ Workday มาสร้างฐานข้อมูลร่วมที่น่าเชื่อถือ เพื่อสื่อสารกับพนักงานด้วยภาษาธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจง่าย ทำให้กระบวนการต่าง ๆ เช่น การปฐมนิเทศ การเปลี่ยนแปลงสวัสดิการด้านสุขภาพ การพัฒนาอาชีพ และอื่น ๆ ราบรื่นและง่ายดายยิ่งขึ้น 

ในกรณีที่มีปัญหาซับซ้อน ระบบจะส่งต่อปัญหานั้นไปยังพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยจะมีการส่งต่อข้อมูลประวัติและบริบทของปัญหาไปด้วย เพื่อให้พนักงานสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างต่อเนื่อง การทำงานร่วมกันระหว่างระบบ AI และพนักงานในลักษณะนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการ เนื่องจากมีการบูรณาการและใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างเหมาะสม

มาร์ค เบนิออฟฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Salesforce กล่าวว่า “เรารู้ดีว่า AI นั้นเปิดโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับองค์กรธุรกิจ เพราะจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่พนักงาน และนำประสบการณ์ที่น่าประทับใจมามอบให้แก่ลูกค้า นั่นเป็นเหตุผลที่เราตื่นเต้นกับแพลตฟอร์ม Agentforce ใหม่ล่าสุด ซึ่งจะทำให้มนุษย์และ AI สามารถร่วมมือกันขับเคลื่อนความสำเร็จให้แก่ลูกค้าของเราได้ และที่สำคัญเราได้ร่วมมือกับ Workday ในการพัฒนาบริการนี้ร่วมกัน ด้วยพลังของ Generative AI และ Autonomous AI หรือ AI ที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถได้รับคำตอบ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ  แก้ไขปัญหา และดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

คาร์ล เอสเชนบาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Workday กล่าวว่า “องค์ประกอบสำคัญของธุรกิจใด ๆ ก็ตาม คือ พนักงาน ลูกค้า และการเงิน ทั้งสามสิ่งนี้เป็นรากฐานที่ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ การนำ Generative AI ที่ทรงพลังมาผนวกกับแพลตฟอร์มและข้อมูลของ Salesforce และ Workday จะเสริมพลังให้ลูกค้าสามารถสร้างประสบการณ์พนักงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้ามีความพึงพอใจ และก่อให้เกิดมูลค่าธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน” 

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญนี้จะรวมแพลตฟอร์มคลาวด์ชั้นนำสองแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการธุรกิจเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมการทำงานและประสบการณ์ใหม่ให้แก่พนักงาน โดยใช้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยี Generative AI การร่วมมือครั้งนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์ ดังนี้

•AI Employee Service Agent ที่ทำงานบนแพลตฟอร์ม Einstein 1 และ Workday AI: Salesforce และ Workday จะบูรณาการแพลตฟอร์ม Einstein ที่ทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยส่วนตัวกับ Workday AI เพื่อนำพลังของโซลูชัน Generative AI ทั้งสองมารวมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์พนักงานแบบไร้รอยต่อที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มของทั้งสองบริษัท AI Employee Service Agent นี้ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ในการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติกับพนักงาน และประมวลผลจากฐานข้อมูลที่แบ่งปันร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คำตอบที่เกี่ยวข้องและมีลักษณะการสนทนาตามคำถามของพนักงาน บริการผู้ช่วยส่วนตัวนี้จะแนะนำและดำเนินการแทนพนักงานผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นประสบการณ์ของพนักงานเป็นศูนย์กลาง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 

•ฐานข้อมูลที่สามารถเข้าถึงและใช้งานร่วมกันได้จะถูกสร้างขึ้นบน Salesforce Data Cloud และ Workday: Salesforce และ Workday จะมีฐานข้อมูลร่วมกัน โดย Workday จะใช้ประโยชน์จาก Salesforce Zero Copy Partner Network ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและดำเนินการกับข้อมูลด้านการเงิน ทรัพยากรบุคคล และ CRM ผ่านแพลตฟอร์มของทั้งสองบริษัทได้อย่างสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องทำสำเนาข้อมูลหรือสร้างการเชื่อมต่อด้วยตนเอง การแบ่งปันข้อมูลนี้จะดำเนินการอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น 

•การผสานรวมอย่างราบรื่นระหว่างแพลตฟอร์ม Workday และ Slack: Workday จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับ Slack โดยมีอินเทอร์เฟซการสนทนาที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกันกับข้อมูลด้านการเงินและทรัพยากรบุคคลของ Workday ได้อย่างสะดวกมากขึ้น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับงาน เงินเดือน ใบสมัครงาน รายละเอียดพนักงาน และสมุดบันทึกประจำวัน โดยสามารถดำเนินการได้โดยตรงผ่าน Slack ซึ่ง Slack จะบันทึกการสนทนาเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้ไว้ ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหา สรุป และดำเนินการกับข้อมูลใน Workday ได้ตลอดเวลา 

>>ประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับ

การสนับสนุนอย่างรวดเร็วทันทีจาก AI Employee Service Agent ด้วยการสนทนาภาษาธรรมชาติ ไม่ว่าพนักงานจะทำงานบน Salesforce, Slack หรือ Workday บริการผู้ช่วยส่วนตัวนี้จะให้ความช่วยเหลือตามบริบทโดยเข้าใจคำขอของพนักงาน ค้นหาความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลรวมของ Workday และ Salesforce จากนั้นจะดำเนินการแก้ไขปัญหาข้ามแพลตฟอร์มโดยอัตโนมัติ 

•การเริ่มงานอย่างราบรื่น: AI Employee Service Agent จะช่วยประสานงานเอกสารต่าง ๆ จัดสรรทรัพยากร และจัดการฝึกอบรม เพื่อให้พนักงานใหม่สามารถเริ่มปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

•บริการด้านทรัพยากรบุคคลที่พนักงานสามารถดำเนินการได้เอง: ตอบคำถามเกี่ยวกับวันลา สวัสดิการ และนโยบายต่าง ๆ รวมถึงเปิดให้พนักงานสามารถดำเนินการด้วยตนเอง เช่น การปรับแผนประกันสุขภาพ

•การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: จัดทำแผนการเรียนรู้เฉพาะบุคคล ตามบทบาท ทักษะ และความสนใจของพนักงานแต่ละคน ซึ่งสามารถติดตามผ่านระบบ Workday

ซาล คอมพาเนียห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลและสารสนเทศของ Cushman & Wakefield กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทบริการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ชั้นนำระดับโลก เราให้ความสำคัญอย่างมากกับการสนับสนุนและกระตุ้นให้พนักงานของเรามีความผูกพันกับองค์กร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการให้บริการลูกค้า การที่เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานข้ามสองแพลตฟอร์มที่เราใช้งานมากที่สุด คือ Workday และ Salesforce และนำเสนอประสบการณ์พนักงานที่ได้รับการปรับแต่งด้วย AI จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานอย่างสิ้นเชิงสำหรับเรา”

>>ประโยชน์ต่อนายจ้าง

การผสานรวมข้อมูลด้านทรัพยากรบุคคล การเงิน และการดำเนินงานเข้ากับโมเดล AI ขั้นสูงของ Salesforce และ Workday จะช่วยยกระดับศักยภาพของบุคลากรให้สูงกว่าขีดความสามารถของพนักงานแต่ละคน นอกจากนี้ยังเสริมสร้างความรู้ความสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นในการทำงานของทีมงานทั้งองค์กร ดังนี้

•การวางแผนกำลังคนอย่างแม่นยำ: ใช้ข้อมูลจาก Workday เกี่ยวกับจำนวนพนักงานและทักษะของพวกเขา ประกอบกับข้อมูลความต้องการของลูกค้าจาก Salesforce เพื่อวางแผนกำลังคนให้ตรงกับความต้องการได้อย่างแม่นยำ

•การวางแผนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง: นำข้อมูลที่ผสานรวมกันระหว่างข้อมูลพนักงานและข้อมูลลูกค้ามาใช้ในการคาดการณ์ล่วงหน้า การจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ และการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

•การสนับสนุนการขายอย่างชาญฉลาด: ให้คำแนะนำแก่ทีมงานขายในการดำเนินการซื้อขายที่ซับซ้อน โดยวิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมการขายในอดีต และแนะนำการฝึกอบรมเฉพาะด้านที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา

อาร์ ‘เรย์’ หวัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Constellation Research, Inc. กล่าวว่า “การบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจและข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริหารระดับสูงให้ความสนใจในยุคของเทคโนโลยี AI ปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ ประสบความยากลำบากในการหาผู้ให้บริการหรือพันธมิตรที่สามารถให้ความโปร่งใสและการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า พนักงาน และข้อมูลทางการเงินได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม พื้นฐานข้อมูลที่ใช้ร่วมกันระหว่าง Workday และ Salesforce จะช่วยให้พันธมิตรเหล่านี้สามารถนำเสนอความสามารถของ AI ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การทำงานของพนักงานให้มีความเป็นส่วนตัว มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพมากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วย”

‘คาเธ่ย์ กรุ๊ป’ สั่งซื้อเครื่องบิน A330neo จำนวน 30 จากแอร์บัส เพิ่มความสะดวก-ทันสมัยในการเดินทาง พร้อมมุ่งสู่ Net Zero

(8 ส.ค. 67) คาเธ่ย์ กรุ๊ป (Cathay Group) กลุ่มสายการบินประจำชาติของฮ่องกงได้สั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่น เอ330-900 (A330-900) จำนวน 30 ลำจากแอร์บัส การสั่งซื้อดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่สายการบินได้ทำการประเมินภายใต้โครงการปรับปรุงฝูงบินลำตัวกว้างขนาดกลางอย่างถี่ถ้วน

เครื่องบินที่สั่งซื้อใหม่นี้จะช่วยให้ Cathay สามารถปรับปรุงฝูงบินรุ่นก่อนหน้าซึ่งคือรุ่น เอ330-300 (A330-300) ให้มีความทันสมัย และเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของเส้นทางในภูมิภาคที่มีผู้โดยสารหนาแน่น นอกจากนี้ยังสามารถทำการบินไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลขึ้นได้ โดยเครื่องบินลำใหม่ที่ Cathay สั่งซื้อเหล่านี้จะติดตั้งเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ เทรนท์ 7000 (Rolls-Royce Trent 7000) รุ่นล่าสุด เช่นเดียวกับเครื่องบิน เอ330นีโอ (A330neo) ทุกรุ่น

นายโรนัลด์ แลม (Ronald Lam) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Cathay Group กล่าวว่า "ในขณะที่ Cathay กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของกระบวนการฟื้นฟูสายการบิน เรามุ่งมั่นที่จะร่วมพลิกโฉมสายการบินเพื่อเพิ่มความทันสมัยและสร้างการเติบโต ทั้งในด้านขอบเขตของการดำเนินงานและคุณภาพของบริการ เรายินดีที่จะประกาศการสั่งซื้อเครื่องบิน A330neo ที่มีความทันสมัยรุ่นล่าสุดนี้ การลงทุนครั้งใหญ่ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ของเราต่อสถานะการเป็นศูนย์กลางการบินชั้นนำระดับนานาชาติของฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการร่วมสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของฮ่องกงอีกด้วย"

"A330 เป็นเครื่องบินประเภทหนึ่งที่สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค (Cathay Pacifc) ใช้ทำการบินมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว และเครื่องบินใหม่ทั้งหมดนี้จะถูกนำไปปฏิบัติการบินในจุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก แต่สามารถใช้สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศระยะไกลได้เช่นกันหากมีความจำเป็น 

เครื่องบิน A330neo รุ่นใหม่นี้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้นและมอบความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารมากขึ้นประสิทธิภาพและประโยชน์เหล่านี้จะช่วยให้ Cathay Pacific ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นและสนับสนุนเป้าหมายของเราในการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593"

นายคริสเตียน เชอเรอร์ (Christian Scherer) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเครื่องบินพาณิชย์ของแอร์บัส กล่าวว่า "คำสั่งซื้อเครื่องบิน A330neo ล่าสุดของ Cathay ถือเป็นการแสดงความเชื่อมั่นอย่างมากต่อเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Cathay เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเครื่องบิน A330 ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก โดย A330neo ถือเป็นรุ่นที่ทดแทนฝูงบิน A330 ที่มีอยู่เดิมได้อย่างราบรื่น โดยมอบคุณสมบัติทางเทคนิคและการปฏิบัติการที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งยังลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ เครื่องบิน A330neo ใหม่ยังมีห้องโดยสารแบบแอร์สเปช (Airspace) ซึ่งได้รับรางวัลด้านการออกแบบ และสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก ซึ่งรับประกันว่าผู้โดยสารจะได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น"

"A330neo จะเป็นเครื่องบินหลักที่ Cathay ใช้สำหรับเที่ยวบินภายในภูมิภาคที่ต้องการเครื่องบินขนาดใหญ่ แต่ก็มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับเส้นทางระหว่างประเทศที่มีระยะทางไกลได้ โดยการใช้งานเครื่องบิน A330neo ควบคู่กับเครื่องบินตระกูลเอ320 (A320) และฝูงบินเอ350 (A350) จะทำให้ Cathay ได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดจากการใช้เครื่องบินรุ่นล่าสุดของแอร์บัส"

เครื่องบินรุ่น A330-900 สามารถบินได้ไกลถึง 7,200 ไมล์ทะเลหรือ 13,330 กิโลเมตรโดยไม่ต้องหยุดพักเติมน้ำมัน รวมถึงติดตั้งห้องโดยสารของ Airspace ซึ่งได้รับรางวัลด้านการออกแบบและมอบประสบการณ์การบินคุณภาพสูงให้กับผู้โดยสาร เช่นเดียวกับเครื่องบินแอร์บัสลำอื่น ๆ A3330กeo สามารถใช้เชื้อเพลิงผสมที่ประกอบด้วยเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ได้มากถึง 50 % และเรามีเป้าหมายที่จะใช้ซื้อเพลิง SAF ได้ครบ 100% ภายในปี 2573

ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม แอร์บัสได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อเครื่องบิน A330 รวมจำนวน 1,805 ลำจากลูกค้ากว่า 130 รายทั่วโลก จากคำสั่งซื้อเหล่านี้ ปัจจุบันมีเครื่องบิน A330 จำนวน 1,469 ลำ ลำที่ได้ให้บริการบินในเส้นทางบินต่าง ๆ ทั้งระยะไกล ระยะกลาง และระยะสั้นทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top