Friday, 6 June 2025
TheStatesTimes

'คนจีน' ต่างชื่นชม 'กัว ชิง' คว้าเหรียญเงินเทควันโดหญิงโอลิมปิก 2024 ยก!! เป็นสิ่งที่ยากที่สุด หลังต้องดวลเพลงเตะกับคู่แข่งที่แกร่งที่สุดในโลก

(8 ส.ค.67) เพจ 'อ้ายจง' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี 'กัว ชิง' ที่คว้าเหรียญเงินเทควันโดหญิงโอลิมปิก 2024 โดยทำสิ่งที่ยากที่สุดจากการต้องประมือคู่แข่งที่แกร่งที่สุดในโลก อย่าง 'เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ' โดยสื่อจนและโซเชียลจีนไม่มีการจั่วหัวว่า 'ชวดเหรียญทองอย่างน่าผิดหวัง' หรือ 'ชาวจีนต่างผิดหวัง' แต่มองว่านี่เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของนักเทควันโดหญิงวัย 24 ปี และเป็นอีกสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ในวงการเทควันโดของจีน ว่า...

การคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันเทควันโดหญิงรุ่น 49 กิโลกรัม โอลิมปิกปารีส 2024 ของ กัว ชิง นักเทควันโดหญิงวัย 24 ปี ของจีน ได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวจีนและกลายเป็นกระแสฮิตในโซเชียลมีเดีย ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติสำคัญสำหรับตัวนักกีฬา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ในวงการเทควันโดของจีน

จากสรุปความคิดเห็นและคำที่เกี่ยวข้องของประเด็นนี้ในโซเชียลจีน ทั้ง Weibo และ Douyin ทำให้ได้เห็นมุมมองของชาวจีน ที่มองว่า กัว ชิง ไม่เพียงแต่เป็นนักกีฬาหน้าใหม่ในเวทีโอลิมปิก แต่ยังต้องต่อสู้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่าง เทนนิส พาณิภัค เจ้าของแชมป์โอลิมปิกและนักเทควันโดมือหนึ่งของโลกจากไทย ดังนั้น ความสามารถและความกล้าหาญของกัว ชิง ในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งระดับโลกเช่นนี้ ทำให้เธอได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวาง

อย่างที่กล่าวไปแล้วในพารากราฟแรกว่า การคว้าเหรียญเงินของ กัว ชิง ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ ได้รับการยอมรับว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติส่วนบุคคล แต่ยังเป็นเกียรติของชาติ ซึ่งไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง เพราะสะท้อนมาจากความคิดเห็นทั่วโซเชียลจีน ที่ต่างชื่นชมและสื่อจีนเองก็นำเสนอในแนวนี้เช่นกัน 

ไม่มีพาดหัวว่า ‘ชวดเหรียญทองอย่างน่าผิดหวัง’ หรือ ‘ชาวจีนต่างผิดหวัง’ แม้จะมีความคิดเห็นไม่น้อยเหมือนกันว่า ‘น่าเสียดาย’ หรือ ‘เสียดายที่ไม่ได้เหรียญทอง’ แต่ก็จะมีต่อด้วยการให้กำลังใจ และบอกว่า เหรียญเงินก็ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จที่เธอทำเต็มที่แล้ว ส่วนใหญ่ในจีนมองว่า การที่เธอสามารถแสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นในการแข่งขันที่มีความกดดันสูงเช่นนี้ และปูทางไปสู่อนาคตที่สดใสได้

สื่อจีนยังนำเสนอในมุมที่ กัว ชิง ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าเธอจะเป็นนักกีฬาหน้าใหม่ในเวทีโอลิมปิก แต่เธอก็สามารถต่อสู้กับคู่แข่งที่มีประสบการณ์มากกว่าได้อย่างไม่ย่อท้อ ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงและความทุ่มเทในการเตรียมตัวของเธอ

อีกหนึ่งโทนความคิดเห็นและโทนการสื่อสารออกมาในโลกโซเชียลจีน คือ มองว่า ความสำเร็จของกัว ชิง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของนักกีฬาจีนรุ่นใหม่ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาใหม่ ๆ ได้ในอนาคต

กัว ชิง เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลในอำเภอหยางชุน เมืองหยางเจียง มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ถือเป็นพื้นที่ที่ยากจน มีสภาพที่ยากลำบากและการเดินทางไม่สะดวกนัก ความยากลำบากที่กัว ชิง เจอ หล่อหลอมให้เธอมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักกีฬาและประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ เพื่อหวังให้ครอบครัวมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่สุขภาพไม่ดีนักและน้อง ๆ อีก 5 คนในครอบครัว กัว ชิง เริ่มฝึกซ้อมเทควันโดครั้งแรกเมื่อปี 2012 ในวัยเพียง 12 ปี ซึ่งถูกเลือกโดยโค้ชของโรงเรียนกีฬาหยางชุน

โค้ชคนแรกของเธอ กวน หลินชาน ได้กล่าวว่า กัว ชิง เป็นนักกีฬาที่มีความพยายามอย่างมาก ในการฝึกซ้อมที่โรงเรียนกีฬาหยางชุน เธอมักจะฝึกซ้อมนานกว่าที่กำหนด และในบางครั้งหลังเลิกเรียน เธอยังคงฝึกซ้อมคนเดียวอย่างเงียบ ๆ ด้วยความทุ่มเทนี้ เธอจึงกลายเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งในทีม

ในปี 2018 กัว ชิง ได้เข้าร่วมทีมชาติ และมีความฝันที่จะเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก เธอได้เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการ และในปี 2022 กัว ชิง ได้รับคะแนนสะสมโอลิมปิกมากขึ้นจากการคว้าเหรียญรางวัลในรายการต่าง ๆ และได้รับโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสูง ทำให้คะแนนสะสมของเธอพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ภายในเวลาเพียงครึ่งปี กัว ชิง ได้รับเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย และเหรียญเงินในรายการชิงแชมป์โลก คะแนนสะสมของเธอในโอลิมปิกจึงพุ่งขึ้นสู่อันดับที่สิบ ในปี 2023 กัว ชิง ได้เหรียญเงินในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ (เหรียญทองเป็นของเทนนิส พาณิภัค คู่แข่งของเธอในโอลิมปิก 2024 เช่นกัน) และเหรียญเงินในรายการใหญ่หลายรายการ ทำให้คะแนนสะสมในโอลิมปิกของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในเดือนมกราคม 2024 การจัดอันดับคะแนนสะสมโอลิมปิกในโอลิมปิกปารีสถูกประกาศออกมา และ กัว ชิง อยู่ในอันดับที่หกในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ทำให้เธอได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก รวมแล้วใช้เวลา 12 ปีในการเดินสู่เวทีโอลิมปิก กัว ชิง เคยกล่าวไว้ว่า "ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันคือการได้สวมชุดที่ติดธงชาติจีน และวิ่งรอบสนามโอลิมปิก นั่นจะเป็นความสุขและความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต"

ขอแสดงความยินดีกับทั้งเทนนิส-พาณิภัค เจ้าของเหรียญทองสองสมัย กัว ชิง ที่คว้าเหรียญเงินในการเข้าแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกได้สำเร็จ และขอส่งความยินดี และกำลังใจสู่โค้ช เจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้องในการฝึกซ้อม และครอบครัวของนักกีฬา และตัวนักกีฬาทุกคนครับ 

🔎ส่อง 44 อดีต สส.ก้าวไกล อาจหมดอนาคตทางการเมือง 'ตลอดชีวิต' หลัง 'ป.ป.ช.' สั่งไต่สวน 'ผิดจริยธรรม' ร่วมลงชื่อแก้ไข 'ม.112'

ดาบสอง!! เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพิจารณาคดี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งถือว่ามีโทษสูงถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตนั้น

นายนิวัติไชย กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า 'มีมูล' จึงมีมติสั่งไต่สวน 44 สส. ส่วนข้อเท็จจริงอยู่ระหว่างไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน และจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้ประเมินหรือไม่ว่าระยะเวลาของการพิจารณาคดีจะยาวนานหรือไม่? นายนิวัติไชย กล่าวว่า คิดว่าไม่น่ายาว พอข้อเท็จจริงปรากฏ น่าจะครบ อยู่ที่การวินิจฉัยเรื่องข้อกฎหมายถึงเจตนา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ยื่นเป็นหลักฐานแนบมาด้วย ถือเป็นเอกสารสำคัญในการประกอบการพิจารณาหรือไม่? นายนิวัติไชย กล่าวว่า ก็อาจจะเป็นข้อเท็จจริงหรือพฤติกรรม แต่ต้องให้คณะกรรมการไต่สวนไปพิจารณา ขอไม่ก้าวล่วง

เมื่อถามถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไปยื่นหนังสือขอให้ ป.ป.ช. ไม่จำเป็นต้องไต่สวน เนื่องจากมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว? นายนิวัติไชย กล่าวว่า เรื่องการให้ความเป็นธรรมอยู่ที่ข้อกฎหมาย เพราะเรื่องนี้ต้องจบที่ชั้นศาล ซึ่งศาลต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา 

ดังนั้น การให้ความเป็นธรรมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน หากใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว ก็อาจไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา และวันนี้ยังไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จึงยังไม่ครบถ้วนตามข้อกฎหมาย

'วีรพล' ฮึด!! โชว์ก๊อกสอง ปาดซิว 'เหรียญเงิน' ยกน้ำหนักโอลิมปิก เจ้าตัวปลื้ม!! เป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่าอย่างมาก

(9 ส.ค.67) ผลการแข่งขันยกน้ำหนัก โอลิมปิก เกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม รุ่น 73 กิโลกรัมชาย ไทยส่ง 'เวฟ' วีรพล วิชุมา จอมพลังวัยแค่ 19 ปีลงชิงชัย

ผลปรากฏว่าเจ้าตัวพลาดในท่าสแนตช์ เรียกน้ำหนักครั้งแรกที่ 148 กก. ยกผ่านไม่มีปัญหา แต่ครั้งที่ 2 เรียกที่ 152 กก. ยกไม่ผ่าน ครั้งที่ 3 เรียกเท่าเดิมหวังแก้ตัวก็ไม่รอด ทำให้ท่าแรกทำน้ำหนักไปเพียง 148 กก. โอกาสคว้าเหรียญในตอนนั้นริบหรี่เหลือเกิน เพราะรั้งอันดับ 9

อย่างไรก็ตามในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก วีรพล รวบรวมกำลังยกผ่านทั้ง 3 ครั้งที่ 190, 194 และ 198 กก. ซึ่งครั้งที่ 3 เจ้าตัวทำลายสถิติเยาวชนโลกที่ตัวเองเคยทำไว้เมื่อปี 2023 สรุปคะแนนรวมพุ่งมาที่ 346 กก. บวกกับที่ ฉี จือ ยง นักกีฬาของจีนแชมป์เก่าพลาดยกไม่ผ่านทั้ง 3 ครั้ง วีรพลแซงขึ้นมารั้งอันดับ 2 คว้าเหรียญเงินไปครองแบบน่าเหลือเชื่อ เป็นเหรียญที่ 3 ให้ทัพยกน้ำหนัก และเหรียญที่ 6 ให้ทัพนักกีฬาไทย

ภายหลังการแข่งขัน วีรพล เปิดเผยว่าตื่นเต้นกับการมาแข่งโอลิมปิกเป็นอย่างมากเพราะถือว่าเป็นครั้งแรกและสามารถคว้าเหรียญมาครองได้สำเร็จเป็นความภูมิใจส่วนตัวและความภูมิใจของครอบครัว

“เงินรางวัลที่ได้มาครองและยังไม่คิดว่าจะไปทำอะไรขอปรึกษาครอบครัวก่อน เนื่องจากตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาไม่ต้องมีภาระอะไร หนี้สินที่เคยมีก็ชำระทุกอย่างไปหมดแล้วจากเงินรางวัลที่ได้มาก่อนหน้านี้”

จอมพลังพลังหนุ่มไทย กล่าวต่อไปว่า นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ซึ่งวันเกิดของผมคือวันที่ 9 สิงหาคมที่จะถึงนี้

สำหรับการได้เหรียญรางวัลในครั้งนี้เท่ากับว่าทีมยกน้ำหนักของไทยลงทำการแข่งขันสามรุ่นสามคนได้เหรียญมาครองทั้งหมด โดยยังเหลือนักกีฬาอีกหนึ่งคนซึ่งจะแข่งขันในวันที่ 11 สิงหาคมนี้

ส่อง 7 ข้าราชการตำรวจ ฮีโร่นักกีฬาโอลิมปิก 'PARIS 2024'

สำนักงานกำลังพลร่วมแสดงความยินดีและภาคภูมิใจในข้าราชการตำรวจทั้ง 7 นาย ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ ข้าราชการตำรวจทั้ง 7 นาย ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถที่โดดเด่น ทั้งในหน้าที่การงานและวงการกีฬา ซึ่งนับเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งที่พวกเขาได้เป็นตัวแทนของประเทศในการแข่งขันกีฬาระดับโลก มีใครกันบ้าง ไปทำความรู้จักกันเลย
1. ส.ต.ท.กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (วิว) ผบ.หมู่ ฝอ.บก.ป. 
ได้รับรางวัลเหรียญเงินในประเภทแบดมินตันชายเดี่ยว ซึ่งเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจและ เป็นประวัติศาสตร์ของแบดมินตันไทยในรอบ 32 ปี นับตั้งแต่ถูกบรรจุเข้าไปในกีฬาโอลิมปิก
2 .ส.ต.ต.หญิง รัชนก อินทนนท์ (เมย์)  ผบ.หมู่ ฝ่ายฝึกอบรม ศฝร.บช.ก.
โอลิมปิกปีนี้ น้องเมย์ได้เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายในประเภทแบดมินตันหญิงเดี่ยว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความพยายามที่ไม่มีที่สิ้นสุด 
3. ส.ต.ท.หญิง ใบสน มณีก้อน (ครีม)  ผบ.หมู่ ฝอ.ภ.จว.กาฬสินธุ์ 
ได้เข้ารอบ 16 คนสุดท้ายในประเภทมวยสากลหญิง รุ่น 75 กิโลกรัม เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของวงการกำปั้นไทย และทำให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ในตัวเธอ 

4. ส.ต.ท.ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด (เหลิม) ผบ.หมู่ ฝอ.ภ.จว.พิษณุโลก 
ได้เข้ารอบ 16 คนสุดท้ายในประเภทมวยสากลชาย เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามและการเตรียมพร้อมที่ดีเยี่ยม
5. ส.ต.ท.วีระพล จงจอหอ (เกมส์) ผบ.หมู่ ฝอ.ภ.จว.นครราชสีมา 
ได้เข้ารอบ 32 คนสุดท้ายในประเภทมวยสากลชาย รุ่น 80 กิโลกรัม มีความมุ่งมั่นและทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จนสามารถคว้าตั๋วไปโอลิมปิกได้สำเร็จ
6. ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง สุเบญรัตน์ อินแสง (เบญ) รอง สว.ฝ่ายการฌาปนกิจสงเคราะห์ สก.
ได้อันดับที่ 32 ในกีฬากรีฑาประเภทขว้างจักรหญิง ขว้างได้ดีที่สุดที่ 58.07 เมตร ทำให้เห็นความสามารถทางกายภาพและการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อโอลิมปิกในครั้งนี้
7. ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง สุธาสินี เสวตบุตร (หญิง)  รอง สว.ฝอ.1 บก.อก.บช.ก. 
ลูกเด้งสาวไทย ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในประเภทเทเบิลเทนนิส ถือว่าเป็นนักเทเบิลเทนนิสผู้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของความมุ่งมั่นในการไล่ตามความฝัน
            
ข้าราชการตำรวจเหล่านี้ได้สร้างความภาคภูมิใจและเกียรติยศให้กับประเทศไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดยสำนักงานกำลังพลพร้อมที่จะดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับนักกีฬาตำรวจทุกนายที่เป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และสร้างความสุขให้กับคนไทยทุกคน และยังคงสนับสนุน ส่งเสริมศักยภาพของข้าราชการตำรวจในการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีและนำชื่อเสียงกลับมาสู่ประเทศชาติในอนาคต

“สำนักงานกำลังพล SUPPORTING OUR HEROES”

เปิดโลโก้ ‘พรรคประชาชน’ ค่ายใหม่คณะส้ม ใช้สามเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ พร้อมชื่อย่อ ‘ปชช.-PP’

(9 ส.ค.67) ที่ตึกไทยซัมมิท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชื่อใหม่ของอดีตพรรคก้าวไกล คือ พรรคประชาชน โดยใช้ชื่อย่อว่า ปชช. เขียนภาษาอังกฤษว่า ‘PEOPLE’S PARTY’ มีชื่อย่อในภาษาอังกฤษว่า PP

ขณะที่เครื่องหมายพรรคมีภาพสัญลักษณ์ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม และมุมทุกด้านของสามเหลี่ยมมุมแต่ละมุมเท่ากันกลายเป็นสามเหลี่ยมหกด้าน โดยใช้สีส้มเป็นสีของสามเหลี่ยม ภาพสัญลักษณ์

ตัวอักษรคำว่า พรรคประชาชน PEOPLE’S PARTY ซึ่งเป็นชื่อพรรคปรากฏอยู่ด้านล่างสามเหลี่ยมดังกล่าว โดยใช้สีกรมท่าเป็นสีของตัวอักษรคำว่า พรรคประชาชน และใช้สีส้มเป็นสีของตัวอักษรคำว่า ‘PEOPLE’S PARTY’

'ดร.นิว' ชำแหละ!! 'ปิยบุตร' เปลือกนอกการละคร ภายในเลือดเย็นสูง สักวันจะถูกพวกเดียวกันที่ตาสว่าง 'ชำระแค้น-รุมประชาทัณฑ์'

(9 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า…

สักวันปิยบุตรจะถูกพวกเดียวกันรุมประชาทัณฑ์

นายปิยบุตรน่าจะคลุ้มคลั่งแล้วที่ออกมายั่วยุให้ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงยุบศาลรัฐธรรมนูญไปให้พ้นทาง เจตนาส่อให้เห็นว่านายปิยบุตรไม่ได้เคารพหลักวิชาหรือหลักการประชาธิปไตยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หากแต่เป็นอนาธิปไตยตกขอบหัวรุนแรง เนื้อแท้ของนายปิยบุตรจึงเป็นเพียงแค่อาชญากรในคราบนักวิชาการ หรือเรียกได้ว่า ‘อาชญากรทางวิชาการ’

ตลอดระยะเวลานานกว่า 10 ปี นายปิยบุตรคอยยุยงปลุกปั่นสร้างความขัดแย้งและความแตกแยก มักสร้างวาทกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย เดินตามตูดภรรยาชาวฝรั่งเศส มุ่งบิดเบือนให้ร้าย สร้างความเข้าใจที่ผิด ๆ ตลอดจนสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งล้วนแต่เป็นการแบ่งแยกประชาชนไปสู่การล้มล้างการปกครองทั้งสิ้น

ถ้าได้ประมือกับนายปิยบุตรและมีโอกาสเปิดโปงการบิดเบือนต่าง ๆ ของเขาอยู่เป็นประจำ ก็จะทราบได้ว่าคำแถลงปิดคดีของนายพิธา ตลอดจนข้อแถโง่ ๆ ทั้ง 9 ข้อของก้าวไกลที่ฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย น่าจะมาจากหัวสมองอันสกปรกโสมมของนายปิยบุตรทั้งสิ้น ทั้งความเป็นวาทกรรมสำนวนโวหารอันพิลึกพิลั่น ทั้งความเลวชาติในการบิดเบือนตีความกฎหมายแถทุกอย่างเข้าข้างตัวเองแบบข้าง ๆ คู ๆ

นับว่านายปิยบุตรมีความโดดเด่นอย่างมากในการเป็นอาชญากรทางวิชาการ เป็นนักปลุกปั่นตัวยงที่คอยชี้นำทางความคิดให้สาวกไร้สมองทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง แต่ระยะหลังบรรดาสาวกเริ่มฉลาดขึ้น ถ้าแกนนำจัดตั้ง ไม่ถอดใจ ไม่ลี้ภัย ก็ติดคุก ต่างเห็นความระยำตำบอนของเขาที่คอยชี้นำสาวกไม่ต่างจากไพร่และทาส ขณะที่ตัวเองมุดหัวอยู่ใต้กระโปรงและจิบไวน์อยู่บนหอคอยงาช้าง

ตอนนายปิยบุตรเป็นอาจารย์ นักศึกษาทำผิดติดคุกติดตะราง ตอนนายปิยบุตรเป็นมาเป็นนักการเมือง แกนนำและมวลชนม็อบสามนิ้วก็ทำผิดติดคุกติดตะราง เปลือกนอกนายปิยบุตรอาจเสแสร้งแสดงละครเป็นคนดีแต่ภายในมีความเลือดเย็นสูงมาก มันค่อนชัดเจนว่านายปิยบุตรต่อสู้เพื่อคนอื่นหรือหลอกใช้คนอื่นให้ต่อสู้เพื่อตัวเอง? สักวันนายปิยบุตรจะถูกพวกเดียวกันที่ตาสว่างรุมประชาทัณฑ์

ท้ายที่สุด เมื่อรู้ว่านายปิยบุตรหลอกใช้ทางความคิด ชี้นำให้ทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง ก็จะโกรธแค้นเกินกว่าที่จะให้อภัยกันได้ ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ลูก ๆ โดนนายปิยบุตรล้างสมองหลอกใช้ก็เช่นเดียวกัน เพราะชุดความคิดของนายปิยบุตรเปลี่ยนลูก ๆ ของพวกเขาให้ก้าวร้าวรุนแรงจนเกิดปัญหาภายในครอบครัว พวกเขาได้แต่กดข่มความคั่งแค้น รอคอยวันที่จะชำระสะสาง

ดร.ศุภณัฐ
8 สิงหาคม พ.ศ. 2567
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ

'อัษฎางค์' ยก!! ปัญหาด้าน 'ปัญญา' เรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทย หลัง 'โค้ชการเงินดัง' พลาด!! บอก 'ศาล รธน.' ไม่ได้มาจากประชาชน

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ปัญหาใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทยคือ คนไทยจำนวนมากมีปริญญาแต่ไม่มีปัญญา' ระบุว่า...

พอล ภัทรพล โพสต์ข้อความว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

อัษฎางค์ ยมนาค จะเอาความรู้สมัยมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยปี 1 มาทบทวนให้ใหม่อีกครั้ง

'องค์กรที่พอลพูดถึง' ก็คงไม่พ้น 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ที่เพิ่งตัดสินยุบพรรคก้าวไกล

อยากถาม พอล กูรูการเงินคนดังว่า ที่วิจารณ์แบบนั้น รู้หรือไม่ว่า องค์กรที่ว่านั้น ซึ่งหมายถึง 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ประชาชนไม่ได้เลือก แล้วใครเลือก?

สงสัยมาก ๆ ว่า พอล เรียนหนังสือจบมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยมาได้ยังไง เพราะวิชากฎหมายพื้นฐานต้องเรียนมาแล้วทุกคน

เริ่มต้นพื้นฐานแบบนี้เลยนะ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 200 กำหนดให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ซึ่งทั้ง 9 คนนี้ได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์'

ถ้าพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง พอลมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

พอล มีปัญหาอะไรกับพระมหากษัตริย์หรือไม่?

หรือพอลเป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์หรือเปล่า?

ที่นี้มาอธิบายแบบรายละเอียดขั้นสูงขึ้นมาอีกนิด เพราะภาษากฎหมายบางที่มัน Complicated

คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' คือภาษากฎหมาย ที่คนไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย หรือบางคนแม้จะจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์อาจไม่เข้าใจว่า...

*คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' แต่ความจริงผู้แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริง 'ไม่ใช่พระมหากษัตริย์'

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติก็จริง แต่ไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน อำนาจแท้จริงที่ทรงมีเรียกว่า 'อำนาจทางพิธีการ' เท่านั้น

**ผู้ที่มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริงคือ 'วุฒิสภา'

***โดยผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาให้ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'วุฒิสภา' ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

เมื่อได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนแล้ว จึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

พระปรมาภิไธย หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว

ที่นี้เข้าใจคำว่า 'อำนาจทางพิธีการ' ของพระมหากษัตริย์หรือยัง?

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลก และไม่ว่าจะเรียกชื่อต่างกันอย่างไร ก็มีหลักการเดียวกันทั้งโลก

>> นั่นคือ ผู้เลือกคณะรัฐมนตรี คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ผู้เลือกศาลหรือตุลาการ คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ส่วนผู้ที่เลือกผู้แทนราษฎร (สส.) วุฒิสมาชิก (สว.) ซึ่งเป็นสมาชิกของรัฐสภา คือ ประชาชน

ดังนั้นอธิบายวิชากฎหมายเบื้องต้น ซึ่งมีสอนในชั้นมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นที่ 1 ซ้ำให้พอลได้ทบทวนแล้ว (ไม่รู้ว่าตอนเรียนสอบผ่านหรือเรียนหนังสือจบมาได้ยังไง)

พอล ได้คำตอบแล้วหรือยังว่า 'องค์กร' ที่อำนาจมาก (ซึ่งพอลหมายถึง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) แต่ 'ประชาชนไม่ได้เลือก' ตามที่พอลบ่นออกมา

ความจริงแล้ว!! ใครเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ?

คำตอบคือ 'วุฒิสมาชิก' เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ วุฒิสมาชิก (ตามวิธีการสรรหาในปัจจุบัน) ประชาชนเป็นคนเลือกเข้าสภาอีกที

ดังนั้น คำตอบสุดท้ายของสมการนี้คือ 'ประชาชน' ก็เป็นผู้เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่นเอง 

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ในโลก ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยโดยตรง แต่เป็นระบบตัวแทน

ระบบตัวแทนก็คือ ประชาชน เลือกผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก เข้าไปทำงานการเมืองและบริหารราชการแผ่นดินแทนประชาชน

แล้ว…ผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ซึ่งทำหน้าที่ในรัฐสภา ก็เป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรีและศาล แทนประชาชน

ดังนั้น คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาและตุลาการในศาล ซึ่งเป็น 3 องค์กรที่อำนาจมากที่สุด (เนื่องจากเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน) โดยใช้อำนาจดังกล่าวนั้นแทนประชาชนทุกคน

- เข้าใจหรือยังว่า
- ประชาชนเลือกผู้แทนฯ 
- ผู้แทนฯ เลือกรัฐมนตรีและศาล
- เลือกได้แล้วจึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

*พระมหากษัตริย์มีอำนาจและหน้าที่ เพียงแค่ลงชื่อหรือเซ็นชื่อรับรองเท่านั้น 

**พระมหากษัตริย์ ไม่มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินเลย

***ผู้มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินคือ ประชาชนอย่างเรา ๆ ทุกคน

สิ่งที่พอล ภัทรพล โพสต์ไว้ว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

เป็นคำพูดหรือประโยคของคนที่เหมือนไม่ได้รับการศึกษา หรือเหมือนจบการศึกษามาโดยไม่มีความรู้ใด ๆ ติดตัวมา นอกจากกระดาษหนึ่งใบที่เรียกว่า 'ใบปริญญา' แต่เหมือนว่าอยากจะแสดงความเห็นอย่างคนที่มีการศึกษา 

พอลคิดว่า เราเลือกผู้แทนฯ ให้ไปนั่งพูดในสภาเท่านั้นหรือ? 

ผู้แทนฯ ของเราคือ ผู้มีอำนาจล้นฟ้าเลยนะ เพราะเขาใช้อำนาจอธิปไตยแทนเรา เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน 

"คำว่าบริหารราชการแผ่นดิน ก็รวมถึงการเลือกคนมาทำงานบริหารราชการแผ่นดิน เช่น คณะรัฐมนตรีและศาลด้วยนั่นเอง"

คิดก่อนพูด มีความรู้จริงค่อยแสดงความคิดเห็น

เพราะคำพูดหรือความเห็นใด ๆ ของใคร บ่งบอกภพภูมิของคน ๆ นั้น

คนเป็นกูรูทางการเงิน แต่ไม่รู้เรื่องการเมืองและกฎหมายพื้นฐานเลยไม่ได้นะ เพราะการเงินมีปัจจัยสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเมืองและกฎหมาย

พูดแต่เรื่องที่รู้หรือเชี่ยวชาญนะดีแล้ว
แต่อย่าไปพูดเรื่องที่ไม่รู้
เพราะ…ไม่พูด คนก็ไม่รู้ว่า เราโง่ หรือไม่รู้!

กรุณาแสดงความเห็นด้วยข้อเท็จจริงและด้วยความสุภาพ

'หม่อมไกรสร' ไพรีผู้พินาศ ประมาทเพราะอำนาจ กำเริบน้อยไปถึงมาก พาชีวิตพลาดจนตัวตาย

หากจะพูดถึงเจ้านายที่ชีวิตขึ้นสุด ลงสุดคือ มีอำนาจวาสนาถึงสูงสุด มียศศักดิ์ได้ทรงกรมถึง 'กรมหลวง' ร่วงลงต่ำสุด จนถูกถอดยศเหลือแค่ 'หม่อม' ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว 

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร นั้นถือได้ว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบารมีมาก ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเริ่มเข้ารูปเข้ารอย และเจ้านายเริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำกับกิจการบ้านเมือง 

พระองค์เจ้าไกรสรเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ได้เข้ามามีส่วนในการจัดระเบียบพระสงฆ์ ส่งเสริมกิจการของพระพุทธศาสนา ได้กำกับ 'กรมสังฆการี' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการศึกษาและพระราชศรัทธาของพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเจ้านายเพียงไม่กี่พระองค์ที่ได้สถาปนาให้ทรงกรม โดยแรกได้ทรงกรมที่ 'กรมหมื่นรักษ์รณเรศ' เคียงคู่กับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ ๒ คือ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' ซึ่งกาลต่อมาก็คือ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๓ เรียกได้ว่าทรงงานคู่กันมาตลอดรัชกาล แม้จะมีศักดิ์เป็น 'พระปิตุลา' หรือ อา ของรัชกาลที่ ๓ แต่ว่าทั้งสองพระองค์มีพระชันษารุ่นราวคราวเดียวกัน ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานต่อเนื่องเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนยากของ ร.๓ เลยก็ว่าได้ 

พระองค์เจ้าไกรสร เป็นกำลังสำคัญในการก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาชของรัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะนอกเหนือจากบุญญาบารมีทางการเมืองของในหลวงรัชกาลที่ ๓ แล้ว พระองค์เจ้าไกรสรทรงเป็นโต้โผหลักร่วมกับเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ อาทิ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์, กรมหมื่นศักดิพลเสพ, เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค), พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) ในการสนับสนุนให้ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพยายามกำจัดคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ซึ่งกาลต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ให้ต้องพลาดจากราชบัลลังก์ ทั้งยังตั้งตัวเป็นศัตรูมาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เรียกว่า 'จองเวร' ก็ว่าได้ 

เริ่มต้นความเป็น 'ไพรี' หรือ 'ศัตรู' ของพระองค์เจ้าไกรสรที่มีต่อ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' นั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งเมื่อรัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะพระองค์เป็นหนึ่งในโต้โผตามที่กล่าว ทั้งยังแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากการ 'หน่วงเหนี่ยว กักขัง' 'วชิรญาณภิกขุ' ซึ่งผนวชมาก่อนสวรรคตราว ๒ สัปดาห์ 

เมื่อรัชกาลที่ ๒ สวรรคต ก็ได้ลวงว่ามีพระบรมราชโองการให้เข้าเผ้า ฯ แต่เมื่อมาถึงพระราชวังหลวงกลับถูก 'กักบริเวณ' เพื่อจัดการเรื่องผู้สืบราชสมบัติเสร็จสิ้นเสียก่อน ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว แล้วแจ้งความจริงแก่พระองค์ (ดีที่พระองค์ทรงเตรียมใจด้วยทรงปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์มาก่อนแล้ว โดยเจ้านายผู้ใหญ่ที่นับถือทรงบอกกล่าวแล้วว่ายังมิควร เรื่องนี้จึงช่วยได้เยอะ) 

จากนั้นเมื่อทรงทราบทุกเรื่องแจ้งตลอดแล้วจึงได้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ แต่ก็ทรงโดนพระองค์เจ้าไกรสรเข้าประกบพร้อมทรง 'ข่มขู่' จาก 'บันทึกความทรงจำ' พระยาสาปกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ระบุไว้ว่า “พระจอมเกล้าฯ เสด็จเข้าไป พอเห็นสวรรคตแล้วก็ทรงพระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลําดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสงเข้าไป พระจอมเกล้าฯ ก็ตกพระทัยรับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเสียเลย พระนั่งเกล้าฯ รับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทําอะไรหรอกอย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทําอย่างไรได้เวลานั้นโดยท่านตกพระทัย พระบังคลไหลออกมาเปียกสบงเป็นครึ่งผืน” 

นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอย่างยาวนานกว่า ๒๗ พรรษา

ครั้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 'พระองค์เจ้าไกรสร' ได้รับการสถาปนาให้เป็น 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ทรงกำกับกรมวัง มีหน้าที่ตัดสินคดีความ คุมเบี้ยหวัดของพระราชวงศ์และขุนนาง ทรงคุม 'กรมสังฆการี' อยู่ในกำมือ เรียกว่ามีอำนาจอิทธิพลมาก นั่นทำให้พระราชวงศ์หลายพระองค์ต้องทรงมีอาการหมางเมินต่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ด้วยความกริ่งเกรง 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นั่นเอง 

แต่ถึงจะครองเพศบรรพชิตก็ใช่ว่าจะแกล้งไม่ได้ 'พระวชิรญาณภิกขุ' ขึ้นชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา มีภูมิรู้ทางภาษาบาลีอย่างเอกอุ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบในด้านนี้ของพระองค์ วันหนึ่งจึงทรงอาราธนาพระองค์เข้าสอบความรู้พระปริยัติธรรมสนามหลวงโดยมีรัชกาลที่ ๓ ทรงเสด็จฯ ออกทรงฟังการสอบความรู้พระปริยัติธรรมด้วยทุกวัน ซึ่งปรากฏว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' แปลบาลีได้อย่างไม่ติดขัดจนถึงประโยคที่ ๕ เมื่อผ่านพ้นการแปลในประโยคนี้รวม ๓ วัน ก่อนจะขึ้นในวันใหม่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ก็ได้เข้ามาทรงทักท้วงกับ พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม กลางที่ประชุมกรรมการแปลโดยเสียงที่ได้ยินกันทั่วว่า...

"นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" คืออารมณ์ว่าจะปล่อยให้แปลไปสบาย ๆ แบบนี้ได้ยังไง จน 'พระวชิรญาณภิกขุ' ต้องทูลฯ รัชกาลที่ ๓ ขอหยุดแปล ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบก็ไม่ทรงขัดศรัทธา อีกทั้งยังทรงพระราชทานพัดยศเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติชั้นสูงสุดแห่งคณะสงฆ์ไทยให้ทรงถือ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า ร.๓ ท่านไม่ได้ทรงขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ยกเว้นเพียง พระองค์เจ้าไกรสรที่ยังทรงคิดรังควานต่อไป 

เมื่อเล่นงานตรง ๆ ไม่ได้เพราะ ร.๓ ไม่ทรงเล่นด้วย พระองค์เจ้าไกรสร ก็หันมาปล่อยข่าวปลอม สืบเนื่องจากความเป็นปราชญ์ในด้านบาลีของพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ อีกทั้งยังทรงเป็นนักศึกษา นักค้นคว้า ทำให้มีผู้คนไปนมัสการพระองค์ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ซึ่งพระองค์จำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการปล่อยข่าวว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' ซ่องสุมผู้คนเพื่อหวังผลทางการเมือง ครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบเข้าจึงให้ย้ายพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ ๒๓๗๙ เพื่อให้พ้นข้อครหา

ปล่อยข่าวปลอมไม่สำเร็จงั้นก็แกล้งอย่างอื่นต่อ หลังจากที่ 'พระวชิรญาณภิกขุ' มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ได้ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้น โดยยึดพระวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการนุ่งห่มก็เรียบร้อย พระภิกษุต้องสำรวมขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดที่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นำมากลั่นแกล้งได้อีก โดยคราวนี้พระองค์ให้คนในสังกัดไปดักรอใส่บาตรพระธรรมยุติ โดยสิ่งที่ใส่ในบาตรคือ 'ข้าวต้ม' ร้อน ๆ คือ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในสมัยก่อนยังไม่มี 'ถลกบาตร' หรือ 'สลกบาตร' ซึ่งเสมือนถุงที่ใส่บาตรให้พระได้ถือกันร้อน มีแต่เชิงบาตรไว้ตั้งเมื่อรับบาตรเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อโยมในสังกัดของ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ตักบาตรข้าวต้มร้อนๆ แก่พระธรรมยุติ พระท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ แถมยังต้องสำรวม ในการรับบาตรนี้พระทั้งหลายก็มือพอง แขนพอง กลับวัดกันไป นี่ก็อีกหนึ่งวิบากที่ร่ำลือกันถึงความ 'จองเวร' จาก 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' 

แต่มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจได้ หากมิมีคุณธรรมควบคุมตนกรณีของ พระองค์เจ้าไกรสรก็เช่นกัน พระองค์ทรงมีความหวังว่าพระองค์จะได้เป็นวังหน้าในครั้งที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงทิวงคต อีกทั้งยังทรงกระทำการด้วยอำนาจบาตรใหญ่หลายเรื่อง เช่น การตัดสินคดีความอย่างลำเอียงด้วยเห็นแก่สินบน ซ่องสุมผู้คนอย่างมิเหมาะควร กระทำตนเยี่ยงพระมหากษัตริย์ในงานลอยประทีป ณ กรุงเก่า และเมืองเขื่อนขันธ์ ซึ่งมีผู้คนเห็นกันอย่างถ้วนทั่ว หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงมิได้ร่วมหลับนอนกับพระชายาหรือหม่อมห้ามในวัง แต่กลับไปคลุกอยู่กับคนโขนละครซึ่งเป็นชายแต่โปรดฯ ให้แต่งกายเป็นหญิง ซึ่งนับว่าออกลูกมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าเป็น 'ศัตรู' กับพระองค์มากไปสักหน่อย 

จากเหตุดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๓๙๑ 'ไพรี' ของพระองค์ จึงเริ่มขึ้นในรูปใบฏีกาที่ยื่นร้องทุกข์การปฏิบัติราชการและพฤติกรรมของพระองค์เป็นจำนวนมาก มากจนเกิดเป็นการจับกุมและต้องตั้งศาลเพื่อตัดสินคดีความของพระองค์ขึ้น ไล่จากเบาคือ เรื่องไม่บรรทมกับพระชายาหรือหม่อมห้าม ซึ่งเป็นเรื่องส่วนพระองค์โดยพระองค์ให้การว่า "ใช้มือกำคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ของกันและกันจนสุกกะ (น้ำกาม) เคลื่อนเท่านั้น" อีกทั้ง "การไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน" เรื่องทำตนเทียมกษัตริย์นั้น ในงานลอยประทีปนั้นก็มีมูลเพียงรับไว้บางส่วน 

แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงที่สุด มาหนักตรงเรื่อง 'กินสินบาทคาดสินบน' ซึ่งมีการพิสูจน์ได้หลายเรื่อง โดยเรื่องที่บันทึกไว้ก็มีเรื่องของ 'พระยาธนูจักรรามัญ' ซึ่งถวายฎีกาฟ้องพระองค์ว่าตัดสินคดีไม่ชอบ เมื่อตุลาการชำระความก็ปรากฏว่าผิดจริง นำไปสู่การรื้อการพิจารณาอีกหลายคดี ส่วนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือการซ่องสุมผู้คน ซึ่งว่ากันว่าขุนนางคนไหนที่มีไพร่พล หากยอมสวามิภักดิ์พระองค์ก็จะนับว่าเป็นพวก แต่ถ้าใครไม่ยอมก็จะจองเวรหาเรื่องเอาผิดอยู่เนือง ๆ ซึ่งเรื่องการซ่องสุมผู้คน พระองค์ทรงให้การว่า...

“พระองค์มิได้ทรงจะก่อการกบฏ แต่เป็นการเตรียมไว้หากจะมีการผลัดแผ่นดิน ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร" คือถ้ารัชกาลที่ ๓ สวรรคต ใครจะครองราชย์ต่อไม่ได้หากไม่ใช่พระองค์เอง ทั้งยังให้การกับตุลาการว่าหากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะตั้ง 'กรมขุนพิพิธโภคภูเบนทร์' เป็นวังหน้า ซึ่งคำให้การทั้งปวง ทำให้ตุลาการผู้ชำระความที่เป็นทั้งพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ต้องประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

ไล่ ๆ กับที่ 'พระองค์เจ้าไกรสร' กำลังเริ่มโดนไต่สวน มีเกร็ดเล่าว่ามีผู้มาถวายพระพุทธรูปองค์หนึ่งแด่ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ ครั้นเมื่อได้มาแล้วบรรดาศัตรูผู้คิดปองร้ายแก่พระองค์ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตนเอง พ่ายลงไปเสียสิ้น พระองค์จึงถวายนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า 'พระไพรีพินาศ' อันหมายถึงการสิ้นศัตรูในคราวแรก ทั้งยังทรงตั้งนามเจดีย์ศิลาเล็ก ๆ องค์หนึ่งว่า 'พระไพรีพินาศเจดีย์' อีกด้วย โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได้มีค้นพบว่าในพระเจดีย์มีกระดาษแผ่นหนึ่งประทับตราสีแดงและปรากฏข้อความว่า "พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ ตตเทอญ" และอีกด้านเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ" ซึ่งหากนับแล้วไม่เพียงแต่ พระองค์เจ้าไกรสร แต่ยังมีคณะบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องพินาศไป ซึ่งจะนำมาเสนอในบทความต่อ ๆ ไป 

กลับมาที่พระองค์เจ้าไกรสร เมื่อตุลาการพิจารณาเป็นความสัตย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๓ จึงทรงให้ถอด 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ให้เหลือแต่เพียง 'หม่อมไกรสร' และตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ ซึ่งส่วนหนึ่งของคำพิพากษาระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "…การที่ตัวได้ดีมียศศักดิ์ขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ยิ่งกว่าเจ้านายทุกๆ พระองค์ จึงได้คิดกำเริบใจขึ้น แต่ก่อนนั้นยังกำเริบน้อยๆ เดี๋ยวนี้มากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๒๕ ปีแล้ว บัดนี้ก็ถึงปรารถนาจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ตัวรำลึกถึงความหลังดู ... ความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลื่องฦๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง หาควรไม่เลย ต่างคนต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่คนเขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน…"

แต่เรื่องความ 'จองเวร' ของ 'หม่อมไกรสร' ก็จัดว่าไม่ธรรมดา แม้จะถูกตัดสินความผิดถึงประหาร จนในวาระสุดท้าย ที่ 'วชิรญาณภิกขุ' จะขอขมาเพื่อจะทรงยกโทษกรรมเวรที่ทรงกระทำต่อกันมาด้วยดอกไม้ธูปเทียน นอกจากหม่อมไกรสรจะไม่รับแล้ว ยังกลับไปกำทรายแล้วตอบกลับว่า "จะขอผูกเวรไปทุกชาติเท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย!!" ซึ่งเรื่องนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงประทานเล่าไว้ในคราหนึ่ง 

'หม่อมไกรสร' ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ ขณะนั้นหม่อมไกรสรมีพระชันษาได้ ๕๖ ปี และนับเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้

‘เทนนิส’ โพสต์!! บอกลาน้ำหนัก 49 กก. หลังคว้าทองโอลิมปิกสมัยที่ 2 ลั่น!! กลับเมืองไทยจะขอกินแบบจัดเต็ม ปลดล็อกคุมน้ำหนักนาน 10 ปี

(9 ส.ค.67) ‘เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง คว้าเหรียญทองเหรียญแรกในโอลิมปิกกรุงปารีส 2024 ให้กับทีมไทย พร้อมสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยการเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกได้สามครั้งซ้อน ทำเอาแฟน ๆ ชาวไทยต่างภูมิใจกันทั่วประเทศ

ล่าสุด เทนนิส พาณิภัค ได้ออกมาโพสต์ภาพตนเองในชุดสปอร์ตบรา อวดหุ่นน้ำหนักที่ 49 กิโลกรัม โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า "บ๊ายบาย !! หนูนิสที่หนัก 49 kg. ~"

โดยก่อนหน้านี้ เทนนิส ได้เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าเมื่อกลับประเทศไทยจะขอกิน เนื่องจากลดน้ำหนักมานานมาก ๆ เพราะต้องรักษาน้ำหนักที่ 49 กิโลกรัมมานานเป็น 10 ปี จากนี้อาจจะเจอเทนนิสที่มีน้ำมีนวลขึ้น เพราะได้ปลดปล่อยแล้ว

ซึ่งก็ได้มีแฟน ๆ ทั้งในและนอกวงการต่างเข้ามาคอมเมนต์กันเพียบ โดยบอกว่าต่อจากนี้ได้เวลากินแล้ว

ฟ้าเปิด!! ‘9 สถาบันการเงิน’ พร้อมปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กลุ่ม ‘EA’ ปลดล็อกทางการเงิน แก้ปัญหา Liquidity กว่า 8,000 ลบ.

(9 ส.ค. 67) สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ 9 แห่ง รวมถึง 4 กองทุนภายใต้การบริหารของบลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) เซ็นสัญญาเงินกู้ระยะเวลา 3 ปี โดยบริษัทฯจะทยอยจ่ายเงินกู้คืนผ่านกระแสเงินสด (Cash Flow) จากการดำเนินงานตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาครัฐ (PPA) 

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) ของ EA กล่าวว่า “การที่สถาบันการเงินทั้ง 9 แห่งและกองทุนอีก 4 กองทุนของบลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) ร่วมยืนยันให้เงินกู้ EA เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า บริษัทฯยังมีการประกอบธุรกิจและรับรู้รายได้จากการขายไฟตามปกติ และการที่ได้รับเงินกู้ในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง จากเงินกู้ระยะสั้นและตั๋วแลกเงิน (B/E) ในอีก 1 ปีข้างหน้า” 

ในส่วนของหุ้นกู้ 2 รุ่น ประกอบด้วย หุ้นกู้รุ่นที่ 1 EA248A วงเงิน 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระ  ในวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และ หุ้นกู้รุ่นที่ 2 EA249A วงเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระในวันที่ 29 กันยายน 2567 บริษัทฯ จะดำเนินการขอเลื่อนกำหนดการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระออกไป พร้อมทั้งเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็น 5% ต่อปีทั้ง 2 รุ่น และมีหลักประกันให้เพิ่มเติมโดยไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด โดยบริษัทฯยืนยันว่าจะชำระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด เพียงขอเลื่อนการไถ่ถอนเฉพาะเงินต้นเท่านั้น

การขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีรายละเอียดดังนี้

หุ้นกู้: EA248A

เงื่อนไขเดิม: ครบ  15 ส.ค. 67 ดอกเบี้ย 3.11% ต่อปี 

ขอแก้ไขใหม่: ***เดิม ตามหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เลื่อนเงินต้นและดอกเบี้ย เงินต้น ชำระในวันที่ 30 มิ.ย. 68 (ขอเลื่อน 10 เดือน 15 วัน)

**ขอแก้ไขใหม่ ครบกำหนดคืนเงินต้น 31 พ.ค. 68 (ขอเลื่อน 9 เดือน 16 วัน) เลื่อนเฉพาะเงินต้น แต่ชำระดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเดิม 3.11% เพิ่มขึ้น +1.89% รวมเป็นดอกเบี้ย 5% ต่อปี หมายเหตุ: มีหลักประกันให้เพิ่มเติมและไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด

วันที่นัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้: 9 สิงหาคม 2567

หุ้นกู้: EA249A

เงื่อนไขเดิม: ครบ  29 ก.ย. 67 ดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี

ขอแก้ไขใหม่: **เดิม ตามหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เลื่อนเงินต้นและดอกเบี้ย เงินต้น ชำระในวันที่ 30 มิ.ย. 68 (ขอเลื่อน 9 เดือน 16 วัน)

**ขอแก้ไขใหม่ ครบกำหนดคืนเงินต้น  31 พ.ค. 68 (ขอเลื่อน 8 เดือน 1 วัน) เลื่อนเฉพาะเงินต้น แต่ชำระดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยเดิม 3.20% เพิ่มขึ้น +1.80% รวมเป็นดอกเบี้ย 5% ต่อปี หมายเหตุ: มีหลักประกันให้เพิ่มเติมและไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด

วันที่นัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้: 14 สิงหาคม 2567

นายวสุ กลมเกลี้ยง กล่าวเพิ่มเติมว่า “การขอเลื่อนการไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับชำระเงินคืนเต็มจำนวนภายในไม่เกิน 10 เดือน ซึ่งจะได้รับเงินคืนก่อนสถาบันการเงินและกองทุนของ บลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) ที่จะได้รับเงินคืนตามสัญญาเงินกู้ 3 ปี สำหรับแนวทางที่บริษัทฯจะนำมาชำระหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นนี้นั้น นอกจากจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แล้ว บริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ Strategic Partner(s) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินและเพิ่ม Synergy ระหว่างกัน รวมถึงการนำสินทรัพย์บางส่วนมาจำหน่ายต่อกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ทั้งนี้บริษัทฯ มั่นใจว่า หากดำเนินการทุกอย่างได้ตามแผนงาน ผลประกอบการของบริษัทฯ จะกลับมาเติบโตได้ดีเหมือนเดิม และจะสามารถชำระเงินกู้ รวมทั้งหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดต่อไปในอนาคตได้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาให้บริษัทฯ ในระยะยาว และเป็น win-win solution กับทั้งสถาบันการเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ และบริษัทฯ” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top