Saturday, 7 June 2025
TheStatesTimes

เปิดตำนาน 'พรรคประชาชน' ไม่ใช่ชื่อใหม่ถอดด้าม แต่เคยเป็นรังเก่า 'กลุ่ม 10 มกราฯ' เข้าสภาฯ 19 คน

(9 ส.ค.67) จากกระแสข่าวที่ออกมาช่วงค่ำวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ที่มาแทนพรรคก้าวไกล จะใช้ชื่อว่า 'พรรคประชาชน' ที่มีการแถลงเปิดตัวเวลา 12.00 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม ที่ตึกไทยซัมมิทฯ นั้น

จากการตรวจสอบของ 'ไทยโพสต์' พบว่า ชื่อพรรคประชาชน ไม่ใช่ชื่อพรรคใหม่ทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะเคยเป็นพรรคการเมือง ที่เคยส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งและได้ สส.มาแล้วในช่วงปี 2531 ซึ่งช่วงนั้น เป็นการเมืองในยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี

โดยแกนนำพรรค-ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาชนเวลานั้น ก็คือนักการเมืองจาก 'กลุ่ม 10 มกรา' ที่เป็นกลุ่มการเมืองชื่อดัง จนเป็นตำนานของพรรคประชาธิปัตย์มาถึงทุกวันนี้ 

สำหรับ 'กลุ่ม 10 มกรา' มีแกนนำคือ นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ ที่เป็นนักธุรกิจ เคยเป็นนายทุนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จนขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคที่มีนายพิชัย รัตตกุล อดีตประธานรัฐสภา เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายเฉลิมพันธ์ คือ บิดาของนางทยา ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส.-อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ตำนานของ พรรคประชาชน เกิดขึ้นหลังเกิดปัญหาขัดแย้งทางการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ - นายวีระ มุกสิกพงษ์ โดยมีแนวร่วม เช่น กลุ่มวาดะห์ ที่กำลังเริ่มโด่งดังทางการเมือง กับกลุ่มของนายพิชัย รัตตกุล ที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เวลานั้น ซึ่งกลุ่มของนายพิชัย มีแนวร่วม เช่น นายชวน หลีกภัย - พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายมารุต บุนนาค, นายเล็ก นานา

โดยพบว่ากลุ่มนายพิชัย ขัดแย้งกับกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ ในเรื่องโควตารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ และตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

นั่นจึง ทำให้สส.พรรคประชาธิปัตย์ ในปีของนายเฉลิมพันธ์ ตั้งกลุ่ม 10 มกราฯ ขึ้น เมื่อ 10 มกราคม 2530 ที่โรงแรมเอเชีย โดยมีการงัดข้อทางการเมืองกับกลุ่มนายพิชัย ตลอด จนมาถึงจุดแตกหัก ตอนโหวตร่าง พรบ.ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร ที่เป็นร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลพลเอกเปรมเวลานั้น เพราะทางประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐฯ กดดันให้รัฐบาลพลเอกเปรม รีบออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ก็มีกระแสคัดค้านไม่เห็นด้วยมากมาย

จนเมื่อร่าง พรบ.ลิขสิทธิ์ฯ เข้าสภาฯ ทาง สส.กลุ่ม 10 มกราคม โหวตสวนไม่เห็นชอบร่างพรบ.ลิขสิทธิ์ฯทั้งที่ตัวเองเป็น สส.รัฐบาล ทำให้ พลเอกเปรม ตัดสินใจยุบสภาฯ โดยเป็นการยุบสภา ก่อนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านเพียงไม่กี่วัน

และหลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง กลุ่ม 10 มกราคม ก็ย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปตั้งพรรคประชาชน ที่เป็นการตั้งพรรคโดยเปลี่ยนชื่อจากพรรคเดิมคือ พรรครักไทย โดยมีนายเฉลิมพันธ์ เป็นหัวหน้าพรรค และมี นายวีระ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวีระกานต์ อดีตประธาน นปช.เสื้อแดง เป็นเลขาธิการพรรคประชาชน

อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งปี 2531 พรรคประชาชนได้ สส.เข้าสภาฯ ไม่มากเท่าใดนัก คือได้ประมาณ 19 คน และหลังเลือกตั้ง พรรคชาติไทย ที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรค ชนะเลือกตั้ง จนพลเอกชาติชาย ขึ้นเป็นนายกฯ หลังพลเอกเปรม ที่เป็นนายกฯ คนนอกมาแปดปี ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกฯ กับวาทะอมตะ "ผมพอแล้ว"

โดยการตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่มีพรรคประชาชนร่วมด้วย เพราะพลเอกชาติชาย ตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ถูกกับพรรคประชาชน ทำให้พรรคประชาชนกลายเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับพรรคอื่น ๆ เช่น พรรครวมไทย ของนายณรงค์ วงศ์วรรณ - พรรคกิจประชาคม ของนายบุญชู โรจนเสถียร - พรรคก้าวหน้าของนายอุทัย พิมพ์ใจชน

จนต่อมาช่วง เมษายน 2532 ทั้งสี่พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาชน-พรรครวมไทย-พรรคกิจประชาคม-พรรคก้าวหน้า ก็ได้ยุบรวมมาเป็นพรรคเดียวกันชื่อว่า 'พรรคเอกภาพ'

จากนั้นช่วงปี 2534 พลเอกชาติชาย ปรับครม.โดยดึงพรรคเอกภาพเข้าร่วมรัฐบาล แล้วปรับพรรคประชาธิปัตย์ออก แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิดรัฐประหาร รสช. เมื่อ 23 ก.พ.2534 ทำให้ พรรคประชาชน ชื่อก็หายไปจากการเมืองหลายสิบปี พร้อมกับการที่นายเฉลิมพันธ์ วางมือทางการเมือง

โดยพบว่า สส.-นักการเมือง ที่เคยอยู่กับพรรคประชาชน ที่ตอนนี้ยังเป็น สส.อยู่ ก็มีเช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาในปัจจุบัน ที่ตอนนั้นออกจากประชาธิปัตย์มาพร้อมกับกลุ่มวาดะห์ และยังมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เคยอยู่กับกลุ่ม 10 มกราฯ มาก่อน ตั้งแต่ยุคเป็น สส.ฉะเชิงเทรา สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายจาตุรนต์ ออกไปร่วมตั้งพรรคประชาชน พร้อมกับบิดา คือนายอนันต์ ฉายแสง อดีต สส.ฉะเชิงเทราหลายสมัย

ส่วนอดีตศิษย์เก่า พรรคประชาชน ที่ไม่ได้เป็นสส.แต่ยังมีบทบาทการเมืองก็เช่น นายนิกร จำนง ที่เคยเป็น สส.สงขลา กลุ่ม 10 มกราคม แต่ตอนที่ลงสมัคร สส.พรรคประชาชน ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยปัจจุบัน นายนิกร เป็นผอ.พรรคชาติไทยพัฒนามาหลายปี ล่าสุดก็เป็นกรรมาธิการของสภาฯหลายคณะเช่น กรรมาธิการวิสามัญศึกษาการตราพรบ.นิรโทษกรรมฯ เป็นต้น

ขณะที่ คนอื่น ๆ ที่ยังโลดแล่นการเมืองอยู่ก็มีเช่น นายถวิล ไพรสณฑ์ ที่เคยเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หลังลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ตอนช่วงหลังเลือกตั้งปี 2562 ที่มีสมาชิกพรรคลาออกหลายคนที่เรียกกันตอนนั้นว่า ประชาธิปัตย์เลือดไหลไม่หยุด โดยปัจจุบันนายถวิล ช่วยงานพรรคก้าวไกลในเรื่องท้องถิ่นมาหลายปีแล้ว จนน่าจับตาว่า นายถวิล อาจจะมีส่วนในการช่วยคิดชื่อ พรรคประชาชน รวมถึงยังมีศิษย์เก่า พรรคประชาชนอีกหลายคน เช่น นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีตเลขาธิการนายกฯ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) อดีตนายกอบจ.ภูเก็ต ที่เคยลงสมัครสส.พรรคประชาชน เป็นต้น

'โคลิน หวง' ผู้ก่อตั้ง Temu ขึ้นแท่นรวยสุดในจีน ด้วยวัย 44 ปี ท่ามกลางแรงประท้วงจากผู้ผลิตที่ถูกกดดันเรื่องมาตรฐานอย่างหนัก

(9 ส.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า 'โคลิน หวง' (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Temu วัย 44 ปี กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในจีน โดยมีทรัพย์สิน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้า 'จง ซานซาน' เจ้าของธุรกิจน้ำดื่ม ไปเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับ โคลิน หวง เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจเกมและอีคอมเมิร์ซหลายแห่งมาก่อน โดยในปี 2015 เขาได้ก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เน้นการขายสินค้าราคาถูกพร้อมโปรโมชันจำนวนมาก

ความสำเร็จของเขาได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งของชาวจีนหลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

หวงยังเป็นนักธุรกิจเทคโนโลยีคนแรกที่ติดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในรอบกว่าสามปี แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาลจีนเหมือนกับคู่แข่งอย่าง Jack Ma ของ Alibaba

อย่างไรก็ตาม หวงต้องเผชิญกับการประท้วงจากซัพพลายเออร์เรื่องการกดราคาสินค้า และการกำหนดตารางการทำงานที่หนักหน่วงสำหรับพนักงานของเขา

สำหรับร้านค้าส่วนใหญ่บน Temu มีที่เป็นทั้งโรงงานผลิต และซัพพลายเออร์ที่ขายสินค้าอยู่บนแพลตฟอร์ม ทำให้สินค้ามีราคาถูก เพราะส่งตรงมาจากผู้ผลิต ซึ่งกว่า 100,000 ร้าน ดำเนินการอยู่ในประเทศจีน แต่ล่าสุดผู้ผลิตกลับพบกับความอยุติธรรมที่ทางแพลตฟอร์มมีการลงโทษร้านค้าที่เกิดความผิดพลาด ทั้ง สินค้าไม่ตรงปก เกิดปัญหาหลังการขาย หรือลูกค้าเข้ามาร้องทุกข์จากปัญหาของสินค้า ด้วยการเรียกเก็บค่าปรับ และระงับบัญชีร้านค้า

นอกจากนี้ Temu จะคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดกับสินค้า แต่สินค้าดังกล่าวกลับไม่ได้ส่งคืนซัพพลายเออร์ และจะมีการปรับเงินกับร้านค้า จากรายงานของ CNN พบว่า ร้านค้าจะต้องจ่ายค่าปรับที่ 1-5 เท่าของราคาสินค้า บางรายถูกระงับบัญชีร้านค้าในระบบจนไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ 

ทว่า จากการเรียกเก็บค่าปรับดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมหาศาล และบางรายถึงขั้นล้มละลาย

อย่างไรก็ตาม ทางโฆษกของ Temu เคยออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยว่า "ร้านค้าแค่ไม่พอใจที่ Temu ให้มีกฎเกณฑ์กับเรื่องของสินค้าและบริการหลังการขายที่ต้องมีประสิทธิภาพ เราดำเนินการอย่างโปร่งใสในการกำหนดกฎเกณฑ์และค่าปรับแล้ว และหลังจากนี้เราจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับร้านค้าต่อไป"

Temu ให้นิยามตัวเองว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลูกค้า ‘Shop Like a Billionaire’ ด้วยสินค้าที่มีราคาถูกมาก และใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ Temu เปิดตัวมาเมื่อปี 2022 และปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดแอปฯ ไปแล้วกว่า 600 ล้านครั้ง 

นอกจากนี้ ข้อมูลของ Goldman Sachs ได้ชี้ว่า Temu จะสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ได้กว่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 18,000 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้ 3 ตัวแปร Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลก 'AI ไม่ปังดังหวัง-ญี่ปุ่นปรับขึ้นดอกเบี้ย-สหรัฐฯ ว่างงานพุ่ง'

จากรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 11 ส.ค.67 ได้พูดคุยในประเด็น 'Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลก: ไทยเตรียมรับแรงกระแทกอย่างไร?' โดยมี 'อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์' อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้พูดถึงประเด็นนี้ ว่า...

ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญที่สุดกลไกหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่การที่ตลาดทุนมีอารมณ์ผันผวนอย่างรุนแรงเมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม และ 2-3 วันก่อนหน้า ทั้ง ๆ ที่ 2 สัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดโตเกียวต่างก็ทำสถิติ New High มาด้วยกัน บรรยากาศความโลภ (Greed) ถูกแทนที่ด้วยความกลัว (Fear) ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงต้องถือว่าตลาดทุนได้ส่งสัญญาณบางอย่าง ซึ่งผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมิอาจที่จะละเลยได้

ประการแรก Artificial Intelligence-AI คือทางออกของโลกจริงหรือไม่ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังในอนาคตของธุรกิจ AI และบริษัท Tech Firms ต่าง ๆ อาทิ Apple, Amazon, Alphabet, Meta และ Microsoft เมื่อผลประกอบการที่ประกาศออกมาไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับแนวโน้มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกซึ่งจะมีผลต่ออุตสาหกรรมผลิต Chips จึงก่อเกิดผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

ประการที่สอง ตลาด Unwind Yen Carrytrade การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นในรอบหลาย 10 ปี ในสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสำคัญรวมทั้ง Fed กำลังและเตรียมที่จะลดดอกเบี้ย ได้ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลสำคัญของโลกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และได้ก่อให้เกิดการปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุน (Portfolio Rebalancing) ของนักลงทุนทั่วโลก ที่เคยกู้เงินเยนมาลงทุนในตราสารสกุลดอลลาร์ แต่ตลาดที่ได้รับผลโดยตรงและแรงที่สุดก็คือ ตลาดนิวยอร์กและตลาดโตเกียว ซึ่งมีดัชนีร่วงลงกว่า 10%

ประการสุดท้ายและน่าจะเป็นสาเหตุสําคัญที่สุด คือความกลัว Recession แม้ สหรัฐฯ รอดพ้นจาก Recession มาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0 มาเป็น 5.5% ในปัจจุบัน แต่ความกลัวดังกล่าวเริ่มเข้าใกล้ความจริงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคมมีการประกาศออกมาอยู่ที่ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี การที่ Fed ไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบที่แล้วก็ทำให้ตลาดผิดหวังมาทีหนึ่งแล้ว แม้ว่า ประธาน Jerome Powell จะได้ออกมาปลอบว่า Fed เตรียมพร้อมลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าในเดือนกันยายน โดยตลาดเชื่อว่าอาจจะมีการลดถึง 50%

ในด้านของตลาดไทย ถึงจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ก็สามารถตีกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ในระยะปานกลาง-ยาว แต่ตลาดไทยก็น่าจะได้รับผลบวกจากความผ่อนคลายแรงกดดันต่าง ๆ จากการลดดอกเบี้ยของ Fed 

ส่วน ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ แม้จะไม่ค่อยจะมีความห่วงใยต่อปากท้องชาวบ้านเท่าไหร่ ก็ควรจะเลิกทำตัวเป็นตัวตลก และกลับตัวกลับใจมาทำหน้าที่ของตนที่ควรจะเป็นในการร่วมมือกับรัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชาติเสียที มิเช่นนั้นคนไทยอาจจะลืมว่าประเทศไทยก็มีธนาคารกลางกับเขาเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมา ธปท.ทำตัวเหมือนจ่าเฉยที่มีอยู่ตามแยกจราจรทั่วไป แทนที่จะเป็นธนาคารกลางที่ดีเช่นธนาคารกลางชั้นนำอื่น ๆ

เหตุผลที่ 'ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์' ขายหุ้น Apple ออกกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต 'การเติบโตเริ่มจำกัด-ยอดขายในจีนตก-กระแสเงินสดไปจมอยู่กับ AI'

(9 ส.ค.67) สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทาง Live สด กับ Business Tomorrow เมื่อ 8 ส.ค. 2567 เวลา 20.00 น. โดยให้มุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และท่าทีของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ขายหุ้น Apple ครั้งใหญ่

ทำไมปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงขายหุ้น Apple ออกกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต? ปู่เห็นสัญญาณอะไรที่เราไม่รู้? 

สำหรับการขายหุ้น Apple ของปู่ ถือเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงการลงทุนของสัปดาห์นี้เลยทีเดียว เพราะทิ้งคำถามตัวใหญ่ ๆ ให้นักลงทุนทั่วโลกสงสัยและต้องการคำตอบของการตัดสินใจของปู่ครั้งนี้ เนื่องจาก Apple ถือว่าเป็นหุ้นคู่บุญของ Berkshire Hathaway มานับหลายปี 

คุณสิทธิชัย มองว่า การขายครั้งนี้อาจมาด้วยเหตุผลการลงทุนระยะยาว ที่มองถึงอัตราการเติบโตของ Apple ที่เริ่มจำกัดและอาจไม่ได้ดีเท่าที่ผ่านมา รวมถึงยอดการขายในประเทศจีนที่ลดลง 

เพราะในอดีตเราจะสังเกตว่าคุณปู่ชอบหุ้น Apple เพราะถือเงินสดเยอะมาก แต่ตอนนี้เทรนด์โลกเปลี่ยน ทำให้ Apple ต้องปรับตัว บริษัทจึงใช้เงินไปลงทุนด้าน AI ค่อนข้างเยอะ รวมถึงธุรกิจใหม่ ๆ หลายอย่างที่ Apple ตั้งแผนไว้ ซึ่งคำถามว่า ‘เงินมหาศาลที่ Apple ลงทุนไป’ จะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตไหม นั่นก็เป็นสิ่งที่เราไม่รู้

ส่วนคำถามว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายเพราะกังวลเศรษฐกิจแย่ไหม? คุณสิทธิชัยมองว่า การขาย Apple ‘อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจแย่แต่อย่างใด’ เพราะภาพระยะสั้น ครึ่งปีหลัง 2024 - ต้นปี 2025 หุ้น Apple อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้น Coca-Cola หรือ หุ้น OXY ที่ปู่ถืออยู่ด้วยซ้ำ 

เมื่อถามกลุ่มหุ้น 7 นางฟ้าที่น่าสนใจสำหรับปู่ในตอนนี้ (Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla) คุณปู่จะซื้อตัวไหน? ในมุมของคุณสิทธิชัยมองว่าตัวนั้นคือ Microsoft ด้วยเหตุผลว่ามี Total Addressable Market, มีอัตราเติบโตที่ดี และราคาไม่แพงมาก

เชียงใหม่-แถลงข่าว “วิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8”

สมาคมนักศึกษาเก่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานแถลงข่าว “วิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024)” ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้ธีม “Precious Memories” ความทรงจำอันล้ำค่าในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาวิ่งร่วมกันตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โดยมีศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน พร้อมด้วย คุณสุมิตร เพชราภิรัชต์ นายกสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐ วรยศ  คุณสมยศ วงษ์ทองสาลี ที่ปรึกษาสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณะผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา ศิษย์เก่า สื่อมวลชน ตลอดจนผู้สนใจกิจกรรม ร่วมการแถลงข่าว ณ Auditorium ชั้น 3 อาคารศูนย์นวัตกรรมการสื่อสาร (CIC) คณะการสื่อสารมวลชน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2567

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำหนดจัดแข่งขันการวิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024) ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 ในธีม “Precious Memories” ความทรงจำอันล้ำค่าในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาวิ่งร่วมกันตลอด 7 ปีที่ผ่านมา 

ความพิเศษของ CMU – Chiang Mai Marathon 2024 คือเหรียญรางวัลซีรีส์ 2 (2nd Generation) ซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายที่ทำให้โมเดลหอนาฬิกาเสร็จสมบูรณ์ โดยเป็นฝาปิดด้านบนของหอนาฬิกา เพื่อเก็บเรื่องราวที่ดีและความทรงจำอันล้ำค่าของนักวิ่งทุกคนไว้ตลอดไป รวมถึงการจัดงานในรูปแบบ Carbon Neutral Event ที่ช่วยลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์หรือก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานและทรัพยากรในการจัดงาน เช่น การใช้ภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะและของเหลือใช้ การใช้รถไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงสะอาด การจัดซื้อคาร์บอนเครดิตชดเชย (Carbon Credit) เพื่อยื่นขอ
ใบประกาศนียบัตรรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) ต่อไป 

ในปีนี้ เปิดรับสมัครนักวิ่งที่สนใจสองรอบ คือรอบ VIP วันที่ 8 สิงหาคม 2567 เวลา 10.08 น. ถึงก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 15 กันยายน 2567 และรอบปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เวลา 10.08 น. ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 ทางเว็บไซต์ www.cmu-marathon.com ทั้งรูปแบบ Onsite และ Virtual Run 

โดยมีอัตราขอรับบริจาคดังต่อไปนี้ รูปแบบ Onsite รับสมัครนักวิ่งไม่เกิน 7,000 คน VIP ระยะทางตามระยะที่สมัคร อัตราขอรับบริจาค 3,000 บาท, Full Marathon ระยะทาง 42.195 km. อัตราขอรับบริจาค 1,200 บาท, Half Marathon ระยะทาง 21.1 km. อัตราขอรับบริจาค 1,000 บาท, Mini Marathon ระยะทาง 10.5 km. อัตราขอรับบริจาค 800 บาท และ Fun Run ระยะทาง 5 km.  อัตราขอรับบริจาค 600 บาท

นักวิ่งที่ติดอันดับ Top 30 จาก Virtual Run ของปีที่ผ่านมา ระบบจะส่งข้อมูลให้ท่านผ่านทางอีเมลเพื่อลงทะเบียนล่วงหน้าในระหว่างวันที่ 8 - 25 สิงหาคม 2567 

รูปแบบ Virtual Run ครั้งที่ 5 รับสมัครไม่จำกัดจำนวน  Iron Heart ระยะทาง 123 km. อัตราขอรับบริจาค 1,288 บาท,Full Marathon ระยะทาง 42.195 km. อัตราขอรับบริจาค 1,030 บาท, Half Marathon ระยะทาง 21.1 km. อัตราขอรับบริจาค 824 บาท, Mini Marathon ระยะทาง 10.5 km. อัตราขอรับบริจาค 618 บาท และCombo ระยะใดก็ได้ (รับเหรียญและเสื้อ อัตราขอรับบริจาค 2,266 บาท Finisher ทั้ง Full, Half, Mini)โดยกำหนดส่งผลการวิ่งก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 1 ธันวาคม 2567 

ทั้งนี้ อัตราขอรับบริจาคข้างต้นยังไม่รวมค่าธรรมเนียมในการโอนเงินบริจาคทางอิเล็กทรอนิกส์ 

สำหรับรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จัดสรรเป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักหอพักนักศึกษา สมทบทุนสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ และนำรายได้ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอขอบคุณผู้สนับสนุนและนักวิ่งทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันการวิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024) และขอความอนุเคราะห์ประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง การแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักวิ่ง 

'ก.ต่างประเทศไทย' ออกแถลงการณ์ ยืนยันความภาคภูมิใจ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า...

คำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นเอกสิทธิ์ และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ภายใต้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ และคำตัดสินของศาล เป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถแทรกแซงได้ โดยอำนาจอื่นหรืออำนาจรัฐบาล และผลคำตัดสินดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมาย และต้องได้รับความเคารพโดยปวงชนชาวไทย

อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเน้นย้ำอีกว่า ประเทศไทยจะยังคงดำเนินแนวทางค่านิยมตามหลักการประชาธิปไตย และในฐานะรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และย้ำความมุ่งมั่นต่อพันธกรณี และเสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ และเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง

ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อขนบประเพณีไทย ที่สร้างความเป็นชาติตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของไทย และประเทศไทย จะดำเนินตามขนบประเพณีและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้อย่างมั่นคง ด้วยความภาคภูมิใจ และมีศักดิ์ศรี พร้อมเชื่อมั่นว่า ประชาชนคนไทยทุกคน จะเคารพในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และร่วมการนำพาประเทศไปข้างหน้า ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป

‘HP’ เล็งย้ายฐานจากจีนมาไทย เลี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ 'จีน-ไต้หวัน' เผย!! ซัพพลายเออร์กำลังสร้างโรงงาน-คลังสินค้าใหม่ในไทย

(9 ส.ค.67) สำนักข่าวนิกเกอิเอเชีย ระบุว่า 'เอชพี' (HP) บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่จากสหรัฐฯ มีแผนจะย้ายฐานการผลิตคอมพิวเตอร์พีซี มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากจีนมายังประเทศไทย เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับไต้หวัน นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่สุดของ HP ในการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน 

โดยแผนการดังกล่าวถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ HP เคยดำเนินการมา เพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอย่างจีน โดยบริษัทซัพพลายเออร์ของ HP อย่างน้อย 5 ราย กำลังสร้างโรงงานผลิตและคลังสินค้าแห่งใหม่ในไทย 

ปัจจุบัน HP มีฐานการผลิตใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศจีน สร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานร่วมกับซัพพลายเออร์ครอบคลุมทั่วประเทศจีน รวมถึงการพัฒนาเมือง 'ฉงชิ่ง' ให้กลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกคอมพิวเตอร์พีซีชั้นนำของโลก 

ขณะที่ข้อมูลของบริษัทวิจัยไอดีซี ระบุว่า HP เป็นบริษัทที่จำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเลอโนโว โดยมีการส่งมอบคอมพิวเตอร์พีซี มากถึงราว 52 ล้านเครื่องในปี 2566 

'ไปรษณีย์ไทย' จัดทำแสตมป์เฉลิมพระเกียรติ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง' วางจำหน่าย 12 สิงหาคมทั่วประเทศ ในราคาดวงละ 9 บาท

(9 ส.ค.67) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ออกแสตมป์เทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดราตรีตัดเย็บด้วยผ้าไหม ประดับด้วยลูกปัดเลื่อม และปีกแมลงทับ มาจัดพิมพ์เป็น ดวงแสตมป์ ประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. พร้อมเทคนิคพิเศษพิมพ์ทองบริเวณขอบนอกของแสตมป์และพิมพ์สปอตยูวีบริเวณเครื่องประดับและลวดลายปีกแมลงทับที่ฉลองพระองค์ พร้อมจำหน่าย 12 สิงหาคมนี้ ที่ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ และไปรษณีย์ประจำจังหวัด หรือช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน/เว็บไซต์ www.thailandpostmart.com

ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยจัดสร้างแสตมป์ที่ระลึกชุดวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 โดยแสตมป์ชุดดังกล่าวได้อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดราตรีตัดเย็บด้วยผ้าไหม ประดับด้วยลูกปัดเลื่อม และปีกแมลงทับมาจัดพิมพ์เป็น ดวงแสตมป์ ประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. และยังได้ใช้เทคนิคพิเศษพิมพ์ทองบริเวณขอบนอกของแสตมป์และพิมพ์สปอตยูวีบริเวณเครื่องประดับและลวดลายปีกแมลงทับที่ฉลองพระองค์ เพื่อให้เกิดความเงาแวววาว สำหรับงานตกแต่งด้วยปีกแมลงทับนั้น สืบเนื่องจากพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวทางให้นำปีกแมลงทับมาประดับบนฉลองพระองค์ รวมถึงนำมาทำเป็นเครื่องประดับประเภทต่าง ๆ โดยให้มีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยการเพาะเลี้ยงแมลงทับเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิศิลปาชีพอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นศิลปหัตถกรรมคงอยู่คู่ชาติไทย

ทั้งนี้ แสตมป์จะจำหน่ายในราคาดวงละ 9 บาท (เต็มแผ่น 10 ดวง) ซองวันแรกจำหน่ายราคา 21 บาท โดยออกจำหน่าย 12 สิงหาคมนี้ ที่ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ และไปรษณีย์ประจำจังหวัด หรือทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน/เว็บไซต์ www.thailandpostmart.com หรือสอบถามเพิ่มเติมฝ่ายบริหารลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการไปรษณีย์ โทร 0 2573 5480 , 0 2573 5463

'ลอรี่' ขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ห่วงใย ปมยุบ 'ก้าวไกล' หวัง!! คงไม่นำมาใช้สร้างแรงกดดันต่อกันในเวทีสากล

ไม่นานมานี้ นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ‘ลอรี่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีนายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทย หลังเหตุยุบพรรคก้าวไกลที่ระบุว่าคำตัดสินศาลอาจเป็นการบั่นทอนประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยได้ชี้แจงเป็นภาษาอังกฤษ (แปลไทย) ความว่า...

“ผมลอรี่ พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ ในฐานะตัวแทนประชาชนคนไทย เรายินดีน้อมรับความเป็นห่วงของท่าน แต่คงไม่มีประโยชน์อะไร หากนำมันมาสร้างแรงกดดันต่อกัน ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ในเวทีสากล

เพราะประเด็นภายในชาติเรื่องนี้ มีความละเอียดอ่อน ความพยายามที่จะแก้ หรือยกเลิกกฎหมาย ‘Lèse-majesté’ หรือ ม.112 อันเป็นกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ ซึ่งประเทศโดยมากมีบังคับใช้กันทั่ว ถือเป็นพฤติกรรมชัดเจนว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองไทย ที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แยกขาดจากกันไม่ได้

ศาลรัฐธรรมนูญไทย ได้วินิจฉัย เมื่อพรรคมีความผิดสำเร็จในพฤติกรรมที่ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอลง ย่อมเป็นการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายต่อระบอบการปกครองไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้

ผมหวังว่าท่านจะเข้าใจสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วง กฎหมายต้องเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ ขณะที่พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ ที่ทางพรรคก้าวไกลเปิดตัว ก็สามารถต่อสู้ในแนวทางประชาธิปไตยของตัวเองต่อไปได้

ขอบคุณในความห่วงใย.. แต่ประเทศไทยเราโอเค“

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2567 : ‘ปัญญา’ คือสิ่งที่สูงส่งกว่าคำว่า ‘ฉลาด’ หรือไม่?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ปัญญา’ คือสิ่งที่สูงส่งกว่าคำว่า ‘ฉลาด’ หรือไม่? จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

💛คำถาม: ‘ปัญญา’ คือสิ่งที่สูงส่งกว่าคำว่า ‘ฉลาด’ หรือไม่? แล้วในทางพุทธศาสนา ‘ปัญญา’ เกิดขึ้นเมื่อใด?

🌕พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): มาดูวิธีที่ทำให้เกิดปัญญาก่อน อย่างแรกคือ ‘ฟัง’ หรือ ‘สุตามยปัญญา’ แปลว่า ปัญญาสำเร็จด้วยการฟัง การไปเรียนหนังสือก็คือการไปฟัง หรือการไปฟังพระเทศน์ ก็คือการไปฟัง

อย่างที่สองคือ ‘จินตามยปัญญา’ แปลว่า ปัญญาสำเร็จด้วยการคิด เมื่อฟังแล้ว ก็เก็บมาคิดไตร่ตรองว่าจริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ ควรหรือไม่ควร เป็นการคิดวิเคราะห์

อย่างที่สามคือ ‘ภาวนามยปัญญา’ แปลว่า ปัญญาสำเร็จด้วยการอบรม หรือปฏิบัติ เช่น การสวดมนต์เป็นภาวนา การนั่งสมาธิเป็นภาวนา 

ปัญญาจะเกิดเป็นลำดับ ๆ ผ่านวันเวลาและการฝึกฝน เช่น เด็กชาย ก. กลายมาเป็น นาย ก. ต่อมากลายเป็น ร้อยตรี ก. ขยับมาเป็น พันโท ก. และไปถึง พลเอก ก. 

ส่วนคนที่เกิดมาแล้วมีปัญญาหลักแหลม ในทางพระพุทธศาสนา เชื่อว่าเป็นการสะสมมาจากชาติก่อน ถ้าสะสมมามากก็จะฉลาดหลักแหลม อย่างที่เห็นได้ เด็กบางคนเรียนจบ ป.ตรี ตั้งแต่อายุ 11 ปี จบป.เอก ตอนอายุ 22 ปี บางคนกลายเป็นอัจฉริยะและนักวิทยาศาสตร์ คิดบางเรื่องได้มากกว่าคนอื่น ๆ เป็นกลุ่มคนที่มีปัญญาล้ำเลิศ

อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าจะดีเลิศที่สุด จะต้องเป็นคนที่มีปัญญานำตนให้พ้นทุกข์ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top