Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

‘ประภัตร’ ชี้ช่องรัฐ ติดโซลาร์ให้เกษตรกร ช่วยลดภาระต้นทุน พร้อมหนุนปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพิ่มรายได้มั่นคง

(21 มิ.ย. 67) นายประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้พลังงานในภาคการเกษตร ภาคครัวเรือน ภาคการขนส่งเป็นจำนวนมาก เชื้อเพลิงส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีราคาแพง จากข้อมูลพบว่า มีเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนมากกว่า 8 ล้านครัวเรือน แต่ละครอบครัวมีค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพทางการเกษตรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าทางการเกษตรสูงขึ้นตาม และต้องยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาพลังงานในภาคเกษตรโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดวิกฤติอย่างรุนแรง

นายประภัตร กล่าวว่า ตนมองเห็นสภาพปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขปัญหามาโดยตลอดที่ผ่านมาได้เคยหารือกับ บริษัท แคปปิตอล ทรัสต์ กรุ๊ป จำกัด ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นผู้ออก Digital Bond เพื่อระดมทุนกับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายเชื่อมต่อกับ บริษัท ซีแอลเอ็มวี โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้บริหารโครงการในประเทศไทย เพื่อติดตั้ง โซลาร์เซลล์ให้เกษตรกรและโครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยโครงการโซล่าเซลล์จะช่วยทดแทนพลังงานที่มาจากน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลการเกษตร ปั๊มน้ำไฟฟ้า โดรนสำหรับพ่นปุ๋ย โครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลางจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทย 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการนี้จะตั้งเป้าช่วยลดไฟฟ้าลงจากราคาปกติ เบื้องต้นได้มีการเร่งหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยให้เร่งศึกษาความเป็นไปได้ จัดหาแนวทางดำเนินงาน การตรวจสอบคุณภาพระบบโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับกองทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าเชื้อเพลิง และมีรายได้เพิ่มกลับให้แต่ละครัวเรือนจากการปลูกต้นไม้เพื่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการโซล่าร์เซลล์นำร่องประสบความสำเร็จ จะสามารถขยายผลติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ไปยังเกษตรกรทุกครัวเรือน และครัวเรือนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในภาคเกษตรได้ ตนแนะนำให้บริษัทแคปปิตอลทรัสต์พิจารณาซื้อระบบโซลาร์เซลล์ที่มีคุณภาพสูง มีความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น บริษัท เทสล่า เพราะเชื่อว่าหากเกษตรกรในประเทศได้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์จำนวนมากจากบริษ้ทชั้นนำอย่างเทสล่าก็จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทยในราคาที่เหมาะสม

'โทลล์เวย์' เสียงแข็ง!! ยื่น 3 เงื่อนไข แลกชะลอขึ้นค่าผ่านทาง 'ขยายสัมปทาน-ให้สร้างส่วนต่อขยาย-ได้สัมปทานส่วนต่อฯ'

(21 มิ.ย. 67) นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ โทลล์เวย์ เปิดเผยว่า หากกระทรวงคมนาคมจะให้ชะลอการขึ้นค่าผ่านทางวันที่ 22 ธันวาคม 2567 นี้ บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือ และขอความเป็นธรรมด้วย ควรต้องมีการหารือร่วมกัน หากบริษัทดำเนินการแล้วจะชดเชยอะไรให้บริษัทบ้าง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานทำไว้กับกรมทางหลวง (ทล.) ที่ปรับราคาได้ทุก 5 ปี ตลอดอายุสัญญา ครั้งละ 5-10 บาท ปัจจุบันบริษัทยังเหลือสัมปทาน 10 ปี ยังเหลือการปรับราคาอีก 2 ครั้ง คือ รอบวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2572 และครั้งสุดท้ายวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ถึงสิ้นสุดสัญญาวันที่ 12 กันยายน 2577

นายสมบัติ กล่าวว่า “สัญญายังไม่หมด คงทำอะไรไม่ได้ ถ้ากระทรวงคมนาคมหรือรัฐต้องการให้เราชะลอขึ้นค่าผ่านทาง ก็ต้องมาคุยกัน จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง อย่าผลักภาระมาให้เราฝ่ายเดียว รัฐต้องช่วยเอกชนด้วย แนวทางที่ง่ายสุด คือ ขยายอายุสัมปทาน เพราะรัฐไม่ต้องชดเชยรายได้ให้ หรือให้เราลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท ก่อสร้างส่วนต่อขยายจากรังสิต-บางปะอินให้และรับสัมปทานตลอดโครงการตั้งแต่ดินแดง-บางปะอินก็ได้ ทุกอย่างอยู่ที่การเจรจา อย่างไรก็ตามโทลล์เวย์เป็นทางเลือกในการเดินทาง ไม่ใช่ทางที่ผูกขาด ประชาชนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการหรือไม่ใช้ก็ได้ ปัจจุบันโทลล์เวย์มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยกว่า 100,000 คันต่อวัน”

ทั้งนี้ ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับค่าผ่านทางที่จะใช้วันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ ปรับจาก 80 บาท เป็น 90 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 110 บาท เป็น 120 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน 4 ล้อ ปรับจาก 35 บาท เป็น 40 บาท มากกว่า 4 ล้อจาก 45 บาท เป็น 50 บาท

ส่วนครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2572 ถึงสิ้นสุดสัมปทาน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ จาก 90 บาท เป็น 100 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 120 บาท เป็น 130 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน รถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท มากกว่า 4 ล้อ ปรับจาก 50 บาท เป็น 55 บาท

‘สส.ศาสตรา’ ตัวตึงจาก ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ลุกขึ้นอภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมขอสร้อย ‘หลวงปู่ทวด’ จาก ‘ธนกร’ สาปแช่ง ‘คนที่โกง ค่าอาหารกลางวันเด็ก’

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) เพจ ‘เชียร์ลุง’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสีสัน ของการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร โดยได้ระบุว่า

เก็บตก...สีสันสภา
ใครโกงเด็กขอให้มัน Shipหาย!!!

นายศาสตรา ศรีปาน สส.ตัวตึงจากสงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นอภิปรายในที่ประชุมสภา โดยได้ควักสร้อยคอหลวงปู่ทวดขึ้นมา พร้อมกับกล่าวสาปแช่ง 

“ขอให้คนที่โกงค่าอาหารกลางวันเด็กจง ship หาย”

ซึ่งสร้อยคอดังกล่าว ได้มาจากการขอยืม นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568

‘อนุชา รวมไทยสร้างชาติ' แนะรัฐใช้นโยบาย 'กึ่งการคลัง' หนุนเฉพาะกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยระบุว่า ตนอยากจะเสนอรัฐบาลให้ความสําคัญกับเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของสหประชาชาติที่เน้นย้ำในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและความจําเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันครอบคลุมทุกการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษี ๆ โดยให้มีเพียงเท่าที่จําเป็นเท่านั้น

นอกจากนั้น ยังอยากเห็นรัฐบาลดําเนินการปฏิรูปโครงสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดของการขาดดุลการคลัง เตรียมการไว้สําหรับดําเนินนโยบายที่จำเป็นในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราไม่มีทางทราบได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต เหมือนเช่นกับสถานการณ์ของโควิด-19  ซึ่งทำให้เราต้องปิดประเทศ ไม่สามารถเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ต้อง Work form home มีการปิดห้างร้าน รวมถึงรัฐบาลต้องเร่งจัดหาวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อมาฉีดป้องกัน แต่ที่เราผ่านมาได้ ต้องบอกว่าประเทศไทยเรามีเสถียรภาพทางการเงินและมีความมั่นคงทางการคลัง ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นในอนาคตจะเกิดอะไรไม่มีใครตอบได้ แต่เราจะต้องเตรียมการให้พร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้”

นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จัดทํางบประมาณแบบขาดดุลในปีนี้ เพื่อที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยได้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังอยากเห็นการปรับลดขนาดการขาดดุลในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป โดยหวังว่าหากภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเต็มศักยภาพ รัฐบาลสามารถสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ทั้งทางด้านรายได้และรายจ่าย รวมถึงการบริหารหนี้สาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะสามารถจัดทํางบประมาณสมดุลในระยะที่เหมาะสมได้ในอนาคตอันใกล้นี้ 

นอกจากนี้ นายอนุชา ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลดําเนินนโยบายที่เรียกว่า กึ่งการคลัง ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนกลุ่มประชาชนที่ควรได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือในกรณีที่มีความจําเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ได้ขอตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้า โดยภายหลังจากดําเนินโครงการแล้วหน่วยงานของรัฐก็สามารถยื่นคําขอจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสํานักงบประมาณต่อไปได้

ทั้งนี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้ดําเนินนโยบายกึ่งการคลังมาโดยตลอด และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือในช่วงที่เกิดโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลขณะนั้น มีความจําเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกร ในช่วงที่ราคาสินค้า สินค้าการเกษตรตกต่ำ โดยปีงบประมาณปี 2565 ทางรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินโครงการเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 186,000 ล้านบาท มีการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 16,700 ล้านบาท และลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยอีกกว่า 7,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า นโยบายกึ่งการคลัง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของรัฐบาลที่สามารถนำมาใช้แทนการกู้ยืมเงิน เพราะว่าเรื่องนี้เข้าข่ายตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ดังนั้น จึงอยากจะขอเสนอให้รัฐบาลนํานโยบายกึ่งการคลังมาใช้ 

นอกจากนี้ อยากจะเสนอให้รัฐบาลให้ความสําคัญกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยกระจายไปทั่วภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและช่วยให้ประเทศไทยจะหลุดจากประเทศที่มีกับดักรายได้ปานกลาง โดยหนึ่งในนโยบายสําคัญที่อยากจะเสนอให้รัฐบาลได้เร่งพิจารณาก็คือการขยายการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค หลังจากที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในส่วนของ EEC

โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ที่มี 4 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และระนอง สามารถเดินหน้าได้ทันที เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ เช่น การนำยางพาราที่มีอยู่จำนวนมาก มาแปรรูปเพิ่มมูลค่าแล้วส่งออก เป็นต้น และยังมีอีกหลายธุรกิจใน 4 จังหวัดนี้ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและส่งออกได้ ผ่านทะเล 2 ฝั่ง ทั้งอันดามัน และอ่าวไทย หลังจากสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งแล้วเสร็จ ส่วนการเชื่อมโยงให้สองฝั่งอันดามันและอ่าวไทยต่อเนื่องกันนั้นจะเป็นระยะถัดไป นั่นคือที่มาของแลนด์บริดจ์นั่นเอง

“จะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของแลนด์บริดจ์ตั้งแต่ตั้งต้น เพื่อให้เข้าใจว่า ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จะต้องเกิดขึ้นก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราค่อยว่ากันเรื่องของท่าเรือ เรื่องของถนน จากนั้นจึงเป็นเรื่องของทางรถไฟ ทำเป็นเฟส ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้าน หรืออาจจะไม่ต้องให้เอกชนเข้ามาลงทุนเลยก็ได้ นี่คือปัจจัยและหัวใจของ SEC และโครงการแลนด์บริดจ์ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และผมอยากเห็นอุตสาหกรรมใหม่ เข้ามาลงทุนใน SEC มากขึ้นด้วย เพราะจากการที่มีโอกาสได้ไปซาอุดีอาระเบีย 2 ครั้ง ทางซาอุฯ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในประเทศไทย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตไฮโดรเจนในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นและยอมรับไปเมื่อครั้งการประชุมAPEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมา”

‘กัปตัน ภูธเนศ’ สุดอาลัย โพสต์ถึง ‘แม่แอ๊ด โฉมฉาย ฉัตรวิไล’ ยกเป็นตัวอย่าง ‘ศิลปินอย่างแท้จริง’ ตรงต่อเวลา-มีความรับผิดชอบ

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) มีข่าวที่สร้างความเศร้าเสียใจให้คนในวงการบันเทิงเป็นอย่างมาก สำหรับข่าวการสูญเสียนักแสดงอาวุโส ‘แอ๊ด โฉมฉาย ฉัตรวิไล’ ที่จากไปอย่างสงบ ในวัย 73 ปี

ซึ่งงานนี้ก็มีคนในวงการบันเทิงออกมาโพสต์ข้อความไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือพระเอกหนุ่ม ‘กัปตัน ภูธเนศ’ ผู้ซึ่งเคยร่วมแสดงละครในบทลูกชายไม่ว่าจะเป็น ละครเวที ‘ทวิภพ เดอะมิวสิคัล’ หรือซีรีส์อันโด่งดังอย่าง ‘บ้านนี้มีรัก’ โดย ‘กัปตัน’ ได้โพสต์ข้อความไว้อาลัยว่า

แม่แอ๊ดครับ ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมโชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานกับแม่ ได้เล่นเป็นลูกชายของแม่ ตั้งแต่ละครเวที ทวิภพ เดอะมิวสิคัล 2548-2549 มาถึงบ้านนี้มีรัก 2549-2559 จนเปรียบเหมือนแม่แอ๊ดคือแม่คนที่สองในชีวิตของผม

แม่เป็นตัวอย่างในการทำงาน การตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบกับบท แม่จำบทเก่งมาก แม่มีความรักในอาชีพของการเป็นนักแสดงอย่างเต็มเปี่ยม และแม่ก็ยังส่งต่อพลังบวกให้กับลูกๆ หลานๆ ทุกคนในกองบ้านนี้มีรักเสมอ

แม่คือ ‘ศิลปิน’ อย่างแท้จริง ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งรำ ทั้งการแสดง ไม่มีอะไรที่แม่ทำไม่ได้ นอกจากแม่จะไม่ทำ!

แม่ให้ความรักความเมตตากับทุกๆ คน แม้กระทั่งสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะกับน้องหมาจรจัดแถวสตูดิโอจะอิ่มหนำสำราญทุกครั้งที่แม่มาทำงาน

เรื่องที่อยากจะพูดถึงแม่มีอีกเยอะมากครับ พิมพ์ยังไงก็คงไม่พอ

ขอบพระคุณแม่มากๆ นะครับสำหรับความรักความเมตตาอบรมสั่งสอนทั้งผมและเอ้กรวมถึงความรักที่แม่ให้กับหลานดินด้วยครอบครัวเราจะไม่มีวันลืมครับแม่

ผมดีใจและภูมิใจที่สุดนะครับที่ได้เป็นลูกชายของแม่ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ในละครก็ตาม แต่ผมแค่เสียใจอย่างเดียวที่ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าแม่ไม่สบายเข้าโรงพยาบาล จนมาทราบข่าวเมื่อคืนว่าแม่กลับไปเป็นนางฟ้าแล้ว

ขอให้แม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า อยู่ในที่ๆ ดีที่สุด สงบสุขที่สุด สวยงามที่สุดสำหรับแม่นะครับ

รักและคิดถึงแม่มากๆ ครับ กัปตัน-เอ้ก-ดิน ขอแสดงความเสียใจกับอาร์ตและครอบครัวอย่างที่สุดครับ @artspanitnart

‘ดีป้า’ เผย ดัชนีชี้วัดความสามารถ ในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะ ชี้!! ‘วังจันทร์วัลเลย์-ภูเก็ต’ ครองแชมป์ จาก 5 องค์ประกอบ

(22 มิ.ย.67) ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) แถลงรายงานดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2566 (Thailand Smart City Competitiveness Index (TSCCI) 2023) จาก 30 เมือง 23 จังหวัด 

โดยพิจารณาจาก 5 องค์ประกอบของแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ได้แก่ การกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และลักษณะของเมืองอัจฉริยะ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและดิจิทัล การพัฒนาระบบข้อมูลและความปลอดภัย การบริการระบบเมืองอัจฉริยะ 7 ด้าน และการระบุแนวทางการลงทุนและการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ซึ่งดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วยการจัดอันดับเมืองอัจฉริยะตามพื้นที่ (City-based) และการจัดอันดับเมืองอัจฉริยะตามจังหวัด (Province-based)

สำหรับเมืองอัจฉริยะตามพื้นที่ (City-based) ที่ได้รับคะแนนชี้วัดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 3 อันดับแรกของปี 2566 ประกอบด้วย เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง 83.55% สามย่านสมาร์ทซิตี้ กรุงเทพมหานคร 79.02% และคลองผดุงกรุงเกษม กรุงเทพมหานคร 74.55% 

ขณะที่เมืองอัจฉริยะตามจังหวัด (Province-based) ที่ได้รับคะแนนชี้วัดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดภูเก็ต 83.60% จังหวัดฉะเชิงเทรา 76.78% และ จังหวัดขอนแก่น 53.81% 

โดยสามารถดูรายงานดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2566 (TSCCI 2023) ได้ที่ https://short.depa.or.th/mpITe และผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเมืองอัจฉริยะประเทศไทยได้ที่ http://www.smartcitythailand.or.th

‘ครม.’ สั่ง ‘มท.’ เร่งพิจารณาแก้กฎหมาย ‘หนุนอสังหาฯ’ ให้สิทธิคนต่างชาติ ซื้อคอนโดฯ ได้ 75% พร้อมถือครองได้ 99 ปี

(22 มิ.ย.67) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0503/12790 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาริมทรัพย์ 

โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่ได้ยืนยันมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision) ไปเพื่อดำเนินการ ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น 

ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (9 เมษายน 2567) เรื่อง มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษามาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาค และดึงดูดนักลงทุนขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งเสริมการเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ 

จึงขอให้ กระทรวงมหาดไทย ศึกษาความเป็นไปได้ พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิคนต่างด้าว สามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด จากเดิมไม่เกิน 49% เป็นไม่เกิน 75% โดยอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น การจำกัดสิทธิการออกเสียงของคนต่างด้าว และนิติบุคคลต่างด้าวที่ได้เข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในภายหลังจากที่เกินอัตราส่วน 49% และพิจารณาทบทวนการกำหนดระยะเวลาของทรัพย์อิงสิทธิตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. 2562 โดยกำหนดให้ทรัพย์อิงสิทธิมีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 99 ปี

‘เศรษฐา’ จัดรายการเทปแรก ยอมรับเป็น ‘นักการเมืองหน้าใหม่’ ต้นทุนเป็นรอง เน้น!! ลงพื้นที่ พบพี่น้องปชช. ด้วยตนเอง ไปทุกจังหวัด แม้ไม่มีสส. ของรัฐบาล

(22 มิ.ย.67) เมื่อเวลา 08.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ ซึ่งออกอากาศเป็นเทปแรก ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) โดยนายกฯ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขน กางเกงสีน้ำเงิน ในลุคสบาย ๆ เป็นการนั่งพูดคุย ตอบคำถาม ที่บริเวณตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีนายธีรัตนถ์ รัตนเสวี เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายกฯ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการจัดรายการ ว่า รัฐบาลปัจจุบัน ทุก ๆ กระทรวง ทบวง กรม รัฐมนตรีทุกคนได้ทำงานกันหนักมาก และยังไม่มีช่องทางที่นอกเหนือจากมีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์ ไม่มีช่องทางที่จะสื่อสารถึงพี่น้องประชาชนโดยตรง เพื่ออธิบายให้ฟังว่ารัฐบาลทำอะไรกันไปแล้วบ้าง และแผนงานระยะยาวคืออะไรบ้าง อย่างน้อยก็จะได้เข้าใจว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่

เมื่อถามว่า 10 เดือนที่ทำงานมา เห็นการทำงานของนายกฯที่บอกตั้งแต่วันแรกว่าทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยบ้างหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าไม่เหนื่อยก็คงจะโกหก ตนว่านายกฯทุกท่านก็ทำงานกันหนัก มีทั้งเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ และเชื่อว่าทุกท่านแบกภาระหนักหน่วงนี้อยู่เยอะ ซึ่งตนเองคงพูดแทนท่านอื่น ๆ ไม่ได้ ถ้าถามตนว่าเหนื่อยไหมนอนคืนเดียวก็หาย แต่เราเสนอตัวเข้ามาทำงานทางด้านสาธารณชนแล้ว ถือว่าเรื่องที่สำคัญมากกว่าคือเรื่องของความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เราเหนื่อยเท่าไหร่ ตนเชื่อว่าหลาย ๆ คน ที่อยู่ที่ฐานรากของสังคมเขาเหนื่อยเยอะกว่าเยอะ ชีวิตของตนเองที่ทำมาเกือบ 40 ปีตลอดระยะเวลาทำงานมา ตนเองยึดมั่นใน 2 วินัยนี้ คือมีวินัยในการทำงานและทำงานให้หนัก แต่แน่นอนว่าเรื่องของการดูแลสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนคือเรื่องของการหลับนอนก็ต้องให้เพียงพอ

เมื่อถามว่าตลอดการทำงานของนายกฯลงพื้นที่ถี่มาก แม้ในพื้นที่นั้นอาจไม่มีสส.ของพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ก็ตาม แต่ก็ไป มีแนวทางในการลงพื้นที่อย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ตนถือว่าตนมาในฐานะเป็นนายกฯของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่เป็นนายกฯของคนพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคหลัก และเป็นพรรคที่สนับสนุนตนมาตลอด ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ของพรรคพลังประชารัฐ ของพรรคภูมิใจไทย ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนคือประชาชนคนไทย ซึ่งนายกฯในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ มีหน้าที่ต้องดูแล อันนี้ชัดเจน ตนเชื่อว่าการทำงานที่ผ่านมาโดยตลอดให้ความมั่นใจได้ว่าไม่ได้เลือกจังหวัดลงพื้นที่ ส่วนเรื่องแนวทางในการลงพื้นที่ต่างจังหวัด จริง ๆ ต้องยอมรับว่าตนมีต้นทุนที่เป็นรองนักการเมืองหลาย ๆ ท่าน ที่ท่านเติบโตมาจากการเมืองตั้งแต่อายุ 30 กว่า ซึ่งตนเองพึ่งเข้าสู่สนามการเมืองจริง ๆ เพราะฉะนั้นการลงพื้นที่จริง ๆ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับมือใหม่อย่างตน เพราะว่าตนไม่ได้ไปคลุกคลีกับประชาชนเท่ากับนักการเมืองที่อยู่ในการเมืองมานาน เพราะฉะนั้นการที่ต้องลงพื้นที่เยอะ ต้องการเข้าใจถึงปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่ฟังแต่รายงานที่มาจากกระดาษ

เมื่อถามว่า จังหวัดภูเก็ตนายกฯลงพื้นที่หลายครั้งมาก สส.ก็ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเลย แต่ว่าไป แสดงว่ามองเห็นศักยภาพของภูเก็ต หรือปัญหาที่ภูเก็ตต้องได้รับการแก้ไขใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใช่ครับ ในเรื่องของนโยบายเรือธงของรัฐบาล หรือหลาย ๆ นโยบายเรือธงของรัฐบาล ก็คือเรื่องการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ทำรายได้สูงมากให้กับประเทศ และมีศักยภาพสูงมาก ๆ ด้วยเหมือนกัน ในหลาย ๆ เรื่องหลาย ๆ ด้าน แต่ว่าปัญหาก็เยอะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องของน้ำประปา เรื่องขยะ เรื่องสนามบิน เรื่องถนน เรื่องมาเฟีย เรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย หลาย ๆ อย่าง ต้องให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

นายกฯ กล่าวว่า อาทิตย์แรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ลงไปจังหวัดภูเก็ตแล้ว เชิญรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ไปดูเรื่องการจราจร ซึ่งระยะหลังจากในเมืองไปสนามบินใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทำให้เสน่ห์ของภูเก็ตหายไปหมด ส่วนเรื่องน้ำประปาก็ลงพื้นที่ไปกับ สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปดูเรื่องน้ำประปาที่จะลากจากเขื่อนเชี่ยวหลาน แล้วนำมาดูแลจังหวัดพังงา กระบี่ ภูเก็ต ก็เป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งเรื่องของสนามบินเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าปัจจุบันเครื่องบินต่อชั่วโมงลงได้ 25 ลำ จะให้ได้มากกว่านี้ก็ลำบาก แต่ว่ามีความต้องการลงสูงมาก ก็ต้องดูเรื่องของสนามบินภูเก็ต แต่จริง ๆ แล้ว ภาคใต้ไม่ได้มีแค่ภูเก็ต มีพังงา มีกระบี่ มีระนองด้วย ถึงแม้สนามบินใหม่จะไปตั้งที่ตอนเหนือของภูเก็ต หรือว่าส่วนหนึ่งของจังหวัดพังงา เราก็อยากให้ตั้งชื่อว่าสนามบินอันดามัน เพราะพยายามจะให้ครอบคลุมให้ได้ 3 - 4 จังหวัด

เมื่อถามถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลาย ๆ พื้นที่โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า นายกฯ กล่าวว่า เรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องไม่บอกล่วงหน้า คือไปตรวจราชการตามสถานที่ต่าง ๆ และนโยบาย Aviation Hub เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ เคยเป็นสนามบินระดับท็อป ๆ ของโลก แต่อันดับตกไปเยอะมาก เราไม่มีการลงทุนในแง่โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เลย ในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา สนามบินสุวรรณภูมิเป็นโครงการใหญ่โครงการหนึ่งที่เราลงทุนมา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้ โซนหนึ่งเพิ่งเปิด โซนสองเพิ่งเปิด รันเวย์สามก็จะเปิด จะมีการขยายออกไป อันนั้นถือเป็นเรื่องของอนาคต แต่ว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบันก่อนด้วย เรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งก็เป็นนโยบายเรือธงของเรา จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเข้ามาอย่างมโหฬาร การเดินทางก้าวแรกที่เขาเข้ามาเหยียบแผ่นดินไทยเขาต้องมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจคนเข้าเมือง ต้องไม่เข้าคิวนาน เรื่องกระเป๋า เรื่องแท็กซี่ที่มารับ

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ถ้าตนเองไปโดยที่ไม่บอก ไปดูให้เห็นจริง ๆ ความลำบากคืออะไร คิวยาวเหยียดตั้งแต่บันไดวนลงมาเป็นตัวงู และไม่สามารถทำอะไรได้ ตนเองคิดว่าก็เป็นปัญหา เพราะฉะนั้นต้องลงไปแบบไม่บอกล่วงหน้า จะได้ไม่มีการเตรียมการดีกว่า ใช้คำนี้ดีกว่า ไม่ได้ไปจับผิด แต่ว่าเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่ตนเองจะมาเป็นนักการเมือง บริษัทเก่าก็ทำอย่างนี้ เวลาไปตรวจงานก็จะไปแบบไม่มีการประกาศล่วงหน้า จะได้เห็นสถานภาพที่จริงมากกว่า แล้วมาแก้ไขปัญหากัน และไปถึงก็ไม่ใช่ไปด่าเขา ไปว่าเขานะ เราไปนั่งพูดคุยกันดีกว่าว่าปัญหามันคืออะไร เราก็จะได้เห็นจริง ๆ และก็ช่วยแก้ไขจริง ๆ

นายกฯ กล่าวว่า สนามบินสุวรรณภูมิพัฒนาได้อีก พัฒนาดีขึ้นเยอะ เพราะว่า KPI ที่ให้ไป ไม่ว่าจะเป็นก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบิน ต้องไม่เกิน 45 นาที ต้องได้รับกระเป๋า ส่วนมากก็น่าจะทำได้ หรือประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ไม่น่าเกิน และตอนขากลับจากที่เช็กอินตั๋วและเข้าไปข้างใน ต้องไม่เกิน 45 นาทีเหมือนกัน ซึ่งปัจจุบันก็ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยในแง่ของเรื่องเครื่องอัตโนมัติในการตรวจสอบ เรื่องของการจัดการทำงานของพนักงาน เหล่านี้ก็ถือว่าช่วยกันได้เยอะมาก

เมื่อถามว่า นายกฯเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทเอกชนเคยเห็นปัญหาหน้างาน คิดว่าเทคนิคนี้จะมาช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า สภาพแวดล้อมต่างกันพอสมควรเหมือนกัน ในส่วนภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจก็แตกต่างกันออกไป ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาครัฐบาลก็มีเยอะกว่า เพราะฉะนั้นต้องดูให้ครบทุกหมู่เหล่าจริง ๆ เรื่องของความระมัดระวัง ทางด้านขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำงาน ก็มีกลไกทางราชการ ซึ่งเราต้องเคารพ มีองค์กรอิสระตรวจสอบก็เยอะ เราต้องมั่นใจว่าทุกอย่าง ทุกการกระทำของเราถูกต้อง เป็นไปตามกฎระเบียบ แต่ตนเองก็มามองว่าความเดือดร้อนไม่คอยท่า ต้องการการบริหารจัดการออกไป แต่ระหว่างทางก่อนที่จะมีอะไรก็อาจจะมีมาตรการระยะสั้น หรือชั่วคราวที่พยุงปัญหาไปได้บ้าง บางทีปัญหาก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยอะไรที่รวดเร็วทันใจอย่างเดียว ซึ่งมีหลายขั้นตอน เพราะเป็นระบบราชการ ซึ่งถ้าเรามาอยู่ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับตรงนี้
.
เมื่อถามถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) เพื่อนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปคุยกันและแก้ปัญหา นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ไม่ใช่เป็นความลับอะไร ตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรีหลาย ๆ ท่าน ก็ทำอยู่แล้ว เรื่องการมี ครม.สัญจร แต่รายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง แน่นอนการที่ ครม.ทั้งคณะลงไปจังหวัดไหน พื้นที่ไหน ตนเชื่อว่าก็จะมีการตื่นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครม.สัญจรนัดแรก ตนเองเลือกไปจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นจังหวัดที่ GDP ต่ำที่สุด เป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุด ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้ การที่ลงพื้นที่ต่างจังหวัด จังหวัดข้างเคียงก็มีความสำคัญ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทุก ๆ จังหวัดมีความต้องการความช่วยเหลือในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือเรื่องการเกษตร เรื่องน้ำ น้ำท่วม น้ำแล้ง เป็นต้น

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า การลงพื้นที่ถือเป็นการมอบอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตนเองเชื่อว่าการลงหน้างานมีส่วนช่วยเหลือ ทำให้เขามีความมั่นใจขึ้น แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใดไม่ได้ไปคนเดียว ทั้งคณะรัฐบาลไปหมด ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไปหมด มีการกำหนด KPI ชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง และเป็นการสร้างความคาดหวังให้พี่น้องประชาชนในครั้งต่อไปที่เราจะไป ครม.สัญจร ว่าถ้าเกิดคณะรัฐมนตรีมาจังหวัดข้างเคียงจะได้อานิสงส์อะไรบ้าง ทั้งนี้ การลงพื้นที่แต่ครั้งต้องแบ่งเป้าหมายเป็น 2 - 3 อย่าง หนึ่ง ในแง่ของมวลชน ต้องมีการพบปะมวลชน เพราะต้องการจะได้เห็นจริง ๆ ว่าในสายตาของเขามีความทุกข์ยากมากน้อยขนาดไหน เรื่องบางเรื่องที่เขาร้องเรียนมา บางทีเขาร้องเรียนมาแล้วตนไม่ได้ยิน เพราะถูกกันออกไป ตนก็อยากไปได้ยินเองเวลาไปลงพื้นที่ว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันบ้าง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะรับฟังได้โดยตรง โดยไม่มีการกีดกันเลย การได้พบข้าราชการก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าไม่ฉะนั้นโอกาสที่จะได้พบกับข้าราชการฝ่ายปกครองก็น้อย ได้พบกับนายอำเภอ ได้พบกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่าง ๆ ตนเองเชื่อว่าเป็นอะไรที่ให้ความรู้กับทั้งกับตนและรัฐมนตรีหลายๆท่านในหลาย ๆ เรื่อง
.
.
เมื่อถามถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งมีคนบอกว่าเดินทางไปเยอะมาก ไปเพื่ออะไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้แก้ตัว แต่ว่าเรื่องของการไปต่างประเทศจริงๆ แล้วตนไปมา 15 ครั้ง กว่าครึ่งเป็นไฟท์บังคับ เป็นเรื่องของการไปอาเซียน-เจแปน การไปแนะนำตัว หรือว่าไปจีน หรือว่าไปกัมพูชา ไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปออสเตรเลีย เป็นอาเซียน-เจแปนครบ 50 ปี ซึ่งจะไม่ไปนั้นไม่ได้ หรืออย่างไปศรีลังกา เซ็นสัญญา FTA ซึ่งรัฐบาลเดิมทำไว้แล้ว ก็ไปเป็นเกียรติ ไปงานลงนาม ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในรัฐบาลก่อน เรื่องของลำดับความสำคัญของเขา เขาอาจจะทำเรื่องอื่นที่เขาเห็นความสำคัญมากกว่า แต่ตอนนี้มาถึงตรงนี้ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ เรื่องของความอ่อนบางทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การลงทุนข้ามชาติมาที่ประเทศไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราไม่ไปเชื้อเชิญและไปบอกเขาว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดีเท่าเวลานี้ที่มาลงทุนที่ประเทศไทย เขาจะทราบไหม ตนเองว่าต้องไป แล้วการลงทุนกลับมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่เกิดขึ้น อาจจะอยู่ขั้นตอนการพิจารณา บางอันก็จะเกิด บางอันเกิดแน่ ๆ บางอันก็ไม่แน่ว่าจะเกิด หรือบางอันก็ไม่เกิดก็มี แต่ว่าการทำงานเราต้องทำทั้งหมดทุกประเทศ เราต้องไปทุกบริษัทที่เขามีศักยภาพมาลงทุนในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ของตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรี

นายกฯ กล่าวอีกว่า การประชุมกับผู้นำและภาคเอกชนเวลาไปเมืองนอกต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า เข้าใจว่าประวัติสูงสุดในประวัติศาสตร์คือที่ดาวอส ซึ่งจะมี 19 หรือ 23 วงในวันเดียว ถือว่าเยอะมาก แต่ตนก็ยังบอกกับทีมว่าถ้าไปปีหน้า ถ้ามีห้องประจำของเราเอง 2 ห้อง แล้วก็สลับเข้าสลับออก ตนว่า 30 วงน่าจะทำได้ ทั้งนี้ 12 ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้นำของเราไป World Economic Forum มาเลย พอเราไป คนก็ให้ความสนใจ อย่างที่ไปมาก็ AstraZeneca บริษัททำยา ซึ่งเข้าหุ้นกับปูนซีเมนต์ไทย สำหรับผลการไปต่างประเทศ โดยรวมแล้วเป็นบวกมากเพราะได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการลงทุน บางเรื่องได้รับการประสานงานร่วมกันระหว่างผู้แทนการค้าไทย บีโอไอ และหลาย ๆ หน่วยงาน รวมถึงสถานทูตไทยได้เชิญชวนกันไปโฆษณาว่าประเทศไทยมีอะไรดี ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด เราพร้อม Incentive จากบีโอไอ เรามีเหนือกว่าประเทศอื่น เรามีรอยยิ้ม เรามีค่าครองชีพที่เหมาะสม เรามีโรงเรียนนานาชาติที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เรามี Health care system ที่มีมาตรฐานสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ นักลงทุนจากต่างประเทศที่เขาจะย้ายถิ่นฐานมาเขามีความมั่นใจ เรื่องของการที่เรามีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ ทำให้เขาเมื่อมาลงทุนแล้วเขามั่นใจว่าที่นี่มั่นคง

นายกฯ กล่าวถึงจุดยืนการทูตของไทยว่า เราไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับประเทศไหน ที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศมาจากการลงทุน จาก EU หรือจากออสเตรเลีย หรือจากจีน หรือจากสหรัฐอเมริกา ทุกประเทศอยากมาลงทุนประเทศไทย ถึงแม้จะมีคู่ขัดแย้งกันเองก็ตามที เพราะเขามั่นใจว่าประเทศไทยจะให้ความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย ถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้นฐานผลิตของเขา Supply chain ของเขาไม่ถูกขัด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็ให้ความมั่นใจกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นก็เป็นที่มาที่ไปทำไมเราจึงอยากเป็น Aviation Hub ขยายสนามบินสุวรรณภูมิจาก 60 ล้านคนกลายเป็น 150 ล้านคน สร้างเทอร์มินัล สร้างรันเวย์เพิ่ม แลนด์บริดจ์ทำไมเราจึงอยากมีแลนด์บริดจ์ ในการขนส่ง ไม่ใช่แค่ประหยัดระยะทางที่ลงไปช่องแคบมะละกาอย่างเดียว หรือประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียว ในอนาคตถ้าเกิดมีคู่ขัดแย้งเยอะ แล้วประเทศที่ควบคุมโลจิสติกส์การเดินทางทั้งหลาย ไม่เป็นกลาง ใครทะเลาะกับใคร ใครจะเข้าข้างใครก็ทำให้เส้นทางการขนถ่ายสินค้าเขามีปัญหา แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นประเทศเป็นกลาง อย่างไรเสียเขามั่นใจว่าการดูแลการขนถ่ายสินค้าของทุก ๆ ประเทศจะได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม ตนเองเชื่อว่าการตัดสินใจมาลงทุนของเขา ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

นายกฯ กล่าวด้วยว่า การเดินทางไปต่างประเทศไปเพื่อแนะนำตนเอง และที่สำคัญคือนำมาซึ่งความมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย จากการลงทุนที่ต่างชาติเขาจะมาขยายการลงทุนที่ประเทศไทย แต่ว่าทุก ๆ อย่างใช้เวลา อย่างเช่น เราจะ Move จากอุตสาหกรรมที่มีกำไรน้อยไปสู่อุตสาหกรรมกำไรสูง Low tech เป็น High tech Industry ไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว ต้องมีวิธีการหลาย ๆ อย่าง เช่น การตัดสินใจในการซื้อ พื้นที่ งบลงทุน อะไรต่าง ๆ นานา ตนเชื่อว่ามีอะไรต้องทำควบคู่กันไป โดยเร็ว ๆ นี้จะประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯเรื่องของการที่เราจะต้องยกระดับ Skillsets ของ Worker ไทย เรื่องของการที่สถาบันอุดมศึกษาของไทยมี Arrangement กับบริษัทยักษ์ใหญ่ มี Training program แทนที่จะเทรนกันแค่ 3 เดือน เขาขอร้องให้ อว. ออกมาเลย เทรนมาเลย 9 เดือน 1 หนึ่ง แล้วก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Curriculum ด้วย เวลาจบไปก็จะได้ทำงานต่อได้เลย ทีนี้ก็พยายามพูดคุยกันต่อ มีเรื่องของรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องคุยกันเยอะ

เมื่อถามว่าอีก 3 ปีจากนี้มองเห็นประเทศไทยและตัวเองอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยจริง ๆ แล้ว เหมือนกับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมาก เหมือนรถที่ยังไม่วิ่งเต็มสูบ เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่วิ่งอยู่แค่ 6 - 7 สูบเท่านั้น แล้ว 6 - 7 สูบเราก็เดินหน้ากันเต็มที่ แต่เราก็ต้องค่อย ๆ ทำกันไป เพราะอย่างที่บอกมีหลายเรื่อง ไม่ใช่ทำเองได้ ตัดสินใจภายในคนเดียวได้ มีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล มีฝ่ายตรวจสอบ มีทั้งรัฐสภา มีทั้งข้าราชการ มีทั้งเอ็นจีโอ ซึ่งในหลาย ๆ Initiatives ก็เป็น Initiatives ที่อาจจะมีคนแย้งบ้าง ก็ต้องทำเรื่องของประชาพิจารณ์ เป็นอะไรที่มีคนมีข้อกังขาเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนบ่นเรื่องค่าไฟแพง ค่าไฟที่ถูกที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์ พูดมาตรงนี้ทุกคนก็บอกว่าอยากได้หมด แต่ว่าอย่ามาอยู่บ้านฉันนะ ไปอยู่บ้านคนอื่นก็แล้วกัน อย่างนี้เป็นต้น ตนเองก็เริ่มต้นทำการค้นคว้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่านี่คือเรื่องที่เรากำลังดูอยู่ และก็มีหลาย ๆ เรื่อง เช่น Entertainment complex ซึ่งเป็นธุรกิจสีดำอยู่ใต้ดินเป็นล้านล้าน เราจะยอมให้มีธุรกิจแบบนี้อยู่ต่อไปหรือ หรือเราจะยกมาบนดิน ก็ยอมรับไปแล้วก็เก็บภาษีให้ถูกต้อง และควบคุมด้วยความประพฤติ ควบคุมเรื่องอาชญากรรมได้ ตนเองคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่ประเทศต้องยอมรับเรื่องพวกนี้ ประเทศอื่นเขาก็มีแล้ว

ช่วงหนึ่งของรายการในวันนี้ นายกฯได้นำผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้าขาวม้า กระเป๋ากระจูด ผ้าลายเพชรราชวัตร ที่ประชาชนมอบให้นายกฯ และนายกฯได้นำไปใช้ที่ต่างประเทศมาโชว์ด้วย

‘นักวิชาการสิ่งแวดล้อม’ เผย คนไทยต้องเสีย ‘ภาษีคาร์บอน’ เพิ่มขึ้น ชี้!! เป็นการกระตุ้นให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(22 มิ.ย.67) ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ คนไทยกำลังจะต้องเสียภาษีคาร์บอนเพิ่มขึ้นอีกรายการ...เพื่อช่วยกันลดโลกร้อน มีเนื้อหาดังนี้

1. ปี 2569 ยุโรปจะเริ่มเก็บภาษี Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM หรือภาษีนำเข้าคาร์บอนเป็นมาตรการปรับราคาสินค้านำเข้าบางประเภทก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง อุตสาหกรรม มีเป้าหมาย จากเดิม 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้าให้เพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้าโดยรวมไฮ โดรเจนและสินค้าปลายน้ำบางรายการ เช่น น็อตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็ก กล้า ด้วย โดยผู้นำเข้าจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้นและต้องจ่ายภาษีคาร์ บอนตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ตนนำเข้า นอกจากนี้ยุโรปกำลังจะมีการขยายไปที่สินค้าประเภทอื่น ๆ อีกด้วย เช่น สารอินทรีย์พื้นฐานพลาสติกและโพลีเมอร์ แก้ว เซรามิค ยิปซัม กระดาษ เป็นต้น ผู้ส่งออกไทยเตรียมตัวจ่ายเพิ่ม...

2.สำหรับประเทศไทย ในปีงบประมาณปี 68 กรมสรรพสามิตจะเริ่มจัดเก็บภาษีคาร์ บอน (Carbon Tax)นำร่อง โดยจะนำภาษีคาร์บอนแทรกอยู่ในโครงสร้างภาษี คาดว่าจะเก็บภาษีคาร์บอนอยู่ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนโดยเริ่มต้นที่น้ำมันดีเซลก่อนซึ่งน้ำมันดีเซล 1 ลิตรจะปล่อยก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ 0.0026 ตันคาร์บอน ดังนั้น น้ำมันดีเซล 1 ลิตรจะเสียภาษีคาร์บอนเท่ากับ 0.46 บาทต่อลิตรโดยบวกไว้ในราคาน้ำมัน

3. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เป็นภาษีที่เก็บจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โดยฐานภาษีคาร์บอนที่ใช้ในการจัดเก็บ มี 2 แบบ คือ
1.จัดเก็บภาษีทางตรงจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตสินค้า
2. จัดเก็บภาษีทางอ้อมตามการบริโภค
...ต่อไปผู้บริโภคเองอาจจะสามารถตัดสินใจเลือกอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์ บอนต่ำและสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้โดยดูจากฉลากคาร์บอนที่ติดมากับสินค้า

4.ประเทศไทยปักหมุดมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)ภายในปี 2593 รวมถึงขยับสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net zero emissions)ภายในปี 2608 ได้ตั้งเป้าการลดก๊าซเรือนกระจกในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ จากค่าสูงสุดของไทย 388 ล้านตันต่อปี ลงไปเหลือ120 ล้านตันต่อปี โดยแผนระยะสั้นจากนี้ไปจนถึง ปี ค.ศ. 2573 จะลดก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ 40%

'สุชาติ ชมกลิ่น' จาก 'ก.แรงงาน' สู่ 'ก.พาณิชย์' คิดใหญ่!! ค้าขายไทยดี GDP ต่อประชากรสูง-ร่ำรวย

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยหนึ่งในประเด็นที่เปิดฉาก เป็นการพูดถึงบทบาท จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สู่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีความแตกต่างในการบริหารงานหรือไม่? อย่างไร? 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า "ผมมองว่าคล้ายกับกระทรวงแรงงาน ตรงนั้นต้องหางานให้พี่น้องประชาชนคนไทยไปทำงาน ซึ่งมีความต้องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศ ที่เราก็ต้องไปเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศในการส่งแรงงาน...

"ขณะที่เมื่อมากำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องดูการเจรจาการค้า ว่าแต่ละประเทศต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน...

"อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันของธรรมชาติในแต่ละกระทรวงฯ ก็มี เช่น ในแง่ของพาณิชย์ สินค้าที่เราส่งไปมีเรื่องของการแข่งขันในระดับโลก รวมถึงมีรายละเอียดมากกว่าในเรื่องราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากบทบาทในเรื่องของแรงงาน"

เมื่อถามถึงบทบาทในปัจจุบันว่าต้องกำกับดูแลหน่วยงานใดเป็นสำคัญ? นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้รับมอบหมายงานจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กำกับดูแลงานของ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ / สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า / และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) 

โดยในส่วนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานสำคัญ เพราะเป็นเรื่องการเปิดประตูพูดคุยการค้าขายระหว่างประเทศ ต้องเปิดประตูให้ได้ ซึ่งนโยบายปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าหลักอยู่แล้ว แต่ตนก็พยายามส่งเสริมสินค้ารองให้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในการสร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่จำเป็นต้องส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการส่งออกให้ได้ รวมถึงการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากตลาดจีนเพียงอย่างเดียว เช่น อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น 

"ปัจจุบันเรามีทูตพาณิชย์ทั่วโลก 58 ประเทศ ซึ่งทูตต้องทำการบ้านให้เราว่าแต่ละประเทศมีกำลังซื้อเป็นอย่างไร เปิดตลาดใหม่ให้มากขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทย" รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริม 

ในส่วนของ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า? นายสุชาติ เผยว่า ก็ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้าต่าง ๆ จากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบการธุรกิจ SME เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วจัดทำนโยบายแผนและยุทธศาสตร์ให้มีข้อมูลรอบด้าน  

สุดท้ายกับ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่อบรมให้ความรู้ให้แก่บุคลากรในภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพด้านการค้าและการพัฒนา ซึ่งทุกหน่วยงานต้องคิดนอกกรอบ เหล่านี้คือภารกิจใต้หมวกผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน

เมื่อถามถึงความกังวลใจกับภารกิจในการบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ที่ค่อนข้างหนัก? นายสุชาติ กล่าวว่า "จริงๆ แล้ว เป็นความ 'ใฝ่ฝัน' ของผมเลย เพราะวันหนึ่งผมเคยทำหลายภารกิจของกระทรวงแรงงานได้สำเร็จ ก็อยากทำเรื่องการค้าขายให้ประเทศไทยร่ำรวย และมี GDP ต่อประชากรสูงๆ ด้วยเช่นกัน"

เมื่อถามถึงประเด็นราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงในปัจจุบัน? นายสุชาติ กล่าวว่า "เรื่องนี้ท่านภูมิธรรม ได้มอบนโยบายให้ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดีลงไปดูหลายเรื่อง ลงไปดูต้นทุนสินค้าจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร มันสูงจริงไหม ด้วยเหตุและผล และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ค่าครองชีพสูงกว่านี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องดูแลเรื่องราคาสินค้าไม่ให้ผู้ผลิตเอาเปรียบผู้บริโภค และต้องสร้างสมดุลให้ได้ เอาความจริงให้ปรากฏอย่าฟังความข้างเดียว" 

สุดท้าย นายสุชาติ ยังได้ฝากถึงกลุ่มผู้กักตุนสินค้า ด้วยว่า ไม่ควรกักตุน เพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top