Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

'มาเลเซีย' ยุติหนุนดีเซล ประคองการเงินประเทศ ทำราคาน้ำมันจ่อพุ่ง 50% ด้าน 'นายกฯ อันวาร์' ยัน!! ช่วยประหยัดเงินรัฐได้ถึงปีละ 4 พันล้านริงกิต

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาเลเซีย ได้เปลี่ยนทิศทาง ยุติการอุดหนุนดีเซลแบบถ้วนหน้า เพื่อหวังพลิกวิกฤตการเงินของประเทศ หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ประกาศมาตรการสุดกล้าในการปรับเปลี่ยนนโยบายการอุดหนุนดีเซล จากแบบครอบคลุมไปสู่การอุดหนุนแบบมุ่งเป้า เพื่อช่วยประเทศฝ่าวิกฤตทางการเงินที่กำลังเผชิญอยู่ 

สำหรับตัวเลขค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนดีเซลของมาเลเซียพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จาก 1.4 พันล้านริงกิตในปี 2019 เป็น 1.43 หมื่นล้านริงกิตในปี 2023 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการเงินของรัฐบาล

แม้จะเป็นมาตรการที่ไม่เป็นที่นิยม แต่นายกฯ อันวาร์ยืนยันว่าจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความอยู่รอดของประเทศ โดยคาดว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋ารัฐบาลได้ถึงปีละ 4 พันล้านริงกิต 

ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดตามมาคือ ราคาดีเซลในมาเลเซียตะวันตกจะพุ่งขึ้นกว่า 50% เป็น 3.35 ริงกิตต่อลิตรในขณะที่ซาบาห์และซาราวักจะยังคงราคาเดิมที่ 2.15 ริงกิตต่อลิตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงให้การอุดหนุนแก่กลุ่มรายได้ต่ำ เช่น ชาวประมง เกษตรกร รวมถึงการใช้ในรถโรงเรียนและรถพยาบาล

ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อามีร์ ฮัมซะห์ อาซิซาน ชี้แจงว่านโยบายใหม่นี้จะช่วยป้องกันการลักลอบนำดีเซลราคาถูกข้ามพรมแดน และยืนยันว่าจะไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น 

ขณะที่นักวิเคราะห์ โอ้ อี้ ซุน จากศูนย์วิจัยแปซิฟิกแห่งมาเลเซียให้ความเห็นว่า การที่รัฐบาลกล้าใช้มาตรการที่ไม่เป็นที่นิยมเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ทางการเงินของประเทศ 

ทั้งนี้ มาเลเซียคาดว่าจะใช้จ่ายเงิน 5.28 หมื่นล้านริงกิตในการอุดหนุนและการช่วยเหลือทางสังคมในปีนี้ ซึ่งลดลงจาก 6.42 หมื่นล้านริงกิตในปี 2023 ตามงบประมาณปี 2024

🔎ส่อง 44 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน 'ปตท.’ รั้งเบอร์ 2 ส่วน ‘CP All’ ติดโผ Top 10

เว็บไซต์ Fortune ได้เปิดเผยการจัดอันดับ Southeast Asia 500 ปี 2567 เป็นครั้งแรก โดยมีรายชื่อของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกจัดอันดับตามรายได้สำหรับปีงบประมาณ 2566 โดย Fortune ได้มุ่งเน้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในเศรษฐกิจโลก ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานและการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจในภูมิภาค

โดยการจัดอันดับบริษัท 10 อันดับแรกใน Southeast Asia 500 ให้น้ำหนักในด้านรายได้ของบริษัทฯ ซึ่งบริษัทค้าสินค้าโภคภัณฑ์ Trafigura ของประเทศสิงคโปร์ครองอันดับที่ 1 ด้วยยอดขาย 244 พันล้านดอลลาร์ จากการจำหน่ายแร่ธาตุ โลหะ และพลังงาน โดยมีจำนวนพนักงานน้อยที่สุดในบรรดาบริษัทชั้นนำ 10 อันดับแรก เมื่อพิจารณาตามรายได้ และเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้มากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มนี้

ขณะที่ ปตท. (PTT) ของไทย เข้ามาอยู่ในอันดับที่ 2 และ นอกจากนี้ ยังมี บมจ.ซีพีออลล์ (CPAll) ของไทยติดอยู่ที่อันดับ 7 อีกด้วย

‘รร.ราชินีวิพัฒน์ ฉะเชิงเทรา’ ประกาศเลิกกิจการถาวร หลังประสบวิกฤตนักเรียนใหม่น้อย-ไม่ได้ยอดตามเป้า

เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย. 67) ผู้สื่อรายรายงานว่า โรงเรียนราชินีวิพัฒน์ ออกประกาศ ‘เลิกกิจการ’ ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กของทางโรงเรียน หลังเผชิญวิกฤต ‘จำนวนเด็กนักเรียนน้อย’ โดยเนื้อความในประกาศชี้แจงรายละเอียดดังนี้

‘ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโรงเรียนราชินีวิพัฒน์ ครั้งที่ 4/2566 วันที่ 27 เมษายน
2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติให้เลิกกิจการโรงเรียนราชินีวิพัฒน์ เมื่อสิ้นปีการศึกษา 2566 เนื่องจากโรงเรียน ประสบปัญหาจำนวนนักเรียนไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ ประกอบกับไม่มีนักเรียนประสงค์ศึกษาต่อในปีการศึกษา 2567’

‘โรงเรียนราชินีวิพัฒน์จึงได้ดำเนินการแจ้งขอเลิกกิจการโรงเรียนต่อสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด
ฉะเชิงเทรา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอประกาศเลิกกิจการโรงเรียนอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป’

22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ‘สมเด็จพระพุฒาจารย์’ (โต พรหมรังสี) มรณภาพ พระเกจิอาจารย์รูปสำคัญแห่งต้นสมัยรัตนโกสินทร์

วันนี้ในอดีต สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หรือนามที่นิยมเรียก ‘สมเด็จโต’, ‘หลวงปู่โต’ หรือ ‘สมเด็จวัดระฆัง’ พระเกจิอาจารย์รูปสำคัญแห่งต้นสมัยรัตนโกสินทร์ มรณภาพ สิริอายุรวม 84 ปี

ทั้งนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จุลศักราช 1150 เวลาพระบิณฑบาต ซึ่งตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ณ บ้านไก่จ้น (บ้านท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

มารดาบิดาของท่านเป็นใครไม่ทราบแน่ชัด มีผู้กล่าวประวัติของท่านในส่วนนี้แตกต่างกันไปหลายฉบับ เช่น ฉบับของพระยาทิพโกษา กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อนางงุด บุตรของนายผลกับนางลา ชาวนาเมืองกำแพงเพชร หรือฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อเกตุ คนท่าอิฐ อำเภอบางโพ อย่างไรก็ดีมารดาของท่านเป็นชาวเมืองเหนือ (คำเรียกในสมัยอยุธยา) เพราะทุกแหล่งอ้างอิงกล่าวตรงกันว่ามารดาของท่านเป็นชาวเมืองเหนือแต่ได้ลงมาทำมาหากินแถบภาคกลางในช่วงหลัง

สำหรับบิดาของท่านนั้น ฉบับของพระยาทิพโกษา กล่าวว่าท่านเป็นโอรสนอกเศวตฉัตรของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งทรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าพระยาจักรี ส่วนฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล และฉบับของตรียัมปวายกล่าวว่าท่านเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และแม้ในฉบับของตรียัมปวายจะมีข้อสันนิษฐานเพื่อยืนยันหลายข้อ แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติทั้งสองฉบับกล่าวตรงกันเพียงว่า ข้อสันนิษฐานว่าด้วยบิดาของท่านนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าซึ่งชาวบ้านในสมัยนั้นกล่าวและเชื่อกันโดยทั่วไป

เมื่อถึงวัยพอสมควรแล้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2343 ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดและเมตตาสามเณรโตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. 2350 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายานามในพุทธศาสนาว่า ‘พฺรหฺมรํสี’ เนื่องจากเป็นเปรียญธรรม จึงเรียกว่า ‘พระมหาโต’ มานับแต่นั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้รับพระมหาโตไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดปรานพระมหาโตเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์พระมหาโตเป็นครั้งแรก เป็นพระราชาคณะที่ ‘พระธรรมกิติ’ และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี โดยปกติแล้วพระมหาโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ท่านต้องยอมรับพระราชทานสมณศักดิ์ในที่สุด อีก 2 ปีต่อมา (พ.ศ. 2397) ท่านจึงได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ที่ ‘พระเทพกระวี’ หลังจากนั้นอีก 10 ปี (พ.ศ. 2407) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะที่ ‘สมเด็จพระพุฒาจารย์’ มีราชทินนามตามจารึกในหิรัญบัฏว่า

สมเด็จพระพุฒาจารย์ อเนกสถานปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทรพรตจาริก อรัญญิกคณิศร สมณนิกรมหาปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ สถิต ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ

สมณศักดิ์ดังกล่าวนี้นับเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงสุดและเป็นชั้นสุดท้ายที่ท่านได้รับตราบจนกระทั่งถึงวันมรณภาพ คนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า ‘สมเด็จโต’ หรือ ‘สมเด็จวัดระฆัง’ ส่วนคนในยุคร่วมสมัยกับท่านเรียกท่านว่า ‘ขรัวโต’

ราวปี พ.ศ. 2410 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มาเป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายที่สำคัญของท่าน คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) ที่วัดอินทรวิหาร (ในสมัยนั้นเรียกว่า วัดบางขุนพรหมใน) ทว่าการก่อสร้างก็ยังไม่ทันสำเร็จ โดยขณะนั้นก่อองค์พระได้ถึงเพียงระดับพระนาภี (สะดือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ได้มรณภาพบนศาลาเก่าวัดบางขุนพรหมใน ณ วันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ 84 ปี อยู่ในสมณเพศ 64 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตารามได้ 20 ปี

'รมว.ปุ้ย' หารือ 'ผบ.ทบ.' ดัน 'ฮาลาล' สร้างอาชีพ-ศก. 3 จว.ชายแดนใต้ เชื่อ!! หากผู้คนมีความเป็นอยู่ดี เศรษฐกิจดี ความขัดแย้งก็จะลดลง

(21 มิ.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าพบ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อหารือถึงแนวทางการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล การพัฒนาแนวทางการฝึกอาชีพให้แก่ทหารกองประจําการและการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า มาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ให้เป็น Halal Valley โดยกลไกหนึ่ง คือ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยจะสนับสนุนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงาน การสร้างอาชีพ การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการบริการในพื้นที่ภาคใต้ และผลักดันให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาล โดยมีแผนปฏิบัติการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  

นอกจากนี้ยังมีแนวทางการพัฒนาฝึกอาชีพให้กับทหารกองประจําการ ก่อนที่จะปลดประจําการออกไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการฝึกอาชีพโดยการพัฒนาทักษะฝีมือตามความถนัด และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงการจัดหางานให้แก่ทหารกองประจําการ ภายหลังจากปลดประจําการไปแล้วให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต 

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกด้วยว่า การส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จำเป็นต้องปรับปรุงกรอบระยะเวลาการส่งออกให้มีความกระชับมากขึ้น โดยในปัจจุบันการขออนุญาตส่งออกยุทธภัณฑ์ ใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นจึงต้องหารือถึงแนวทางแก้ไขเพื่อลดขั้นตอนการขออนุญาตและการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย

ด้าน พล.อ.เจริญชัย กล่าวว่า พร้อมให้การสนับสนุนในทุกเรื่องที่ได้มีการหารือมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่ง รมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้เร่งหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้าให้เป็นรูปธรรม 

อย่างไรก็ตาม รมว.อุตฯ เชื่อว่าอุตสาหกรรมฮาลาลจะสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย เพราะทหารทำงานเพียงลำพังไม่ได้ เพราะความมั่นคงไม่ได้เกิดจากทหารแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย ถ้าประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดี เศรษฐกิจที่ดี ความขัดแย้งก็จะลดลง

30 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ‘สเปน’ ผ่านร่างกฎหมายอนุญาต ‘สมรสเพศเดียวกัน’ กลายเป็นประเทศที่ 3 ของโลก หลังเนเธอร์แลนด์-เบลเยียม

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2547 รัฐบาลพรรคแรงงานสังคมนิยมสเปน นำโดยนายกรัฐมนตรี นายโฆเซ ลุยส์ โรดริเกซ ซาปาเตโร ได้เริ่มการรณรงค์การรับรองสิทธิในการ ‘สมรสเพศเดียวกัน’ รวมถึงสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมโดยคู่ครองเพศเดียวกัน ภายหลังจากการอภิปรายอย่างกว้างขวาง รัฐสภาสเปนได้ผ่านร่างกฎหมายอนุญาตการสมรสเพศเดียวกันเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2548 และประกาศลงในรัฐกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 และมีผลใช้บังคับในวันถัดไป ทำให้สเปนกลายเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมาย ภายหลังประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม และก่อนหน้าประเทศแคนาดา 17 วัน

ทั้งนี้ แม้ว่าการรับรองกฎหมายฉบับนี้จะได้รับความสนับสนุนจากประชาชนกว่า 66% ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวจะปราศจากความขัดแย้งแต่อย่างใด บุคคลผู้มีตำแหน่งในศาสนจักรโรมันคาทอลิกได้คัดค้านอย่างแข็งขัน โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำให้ความหมายของการสมรสนั้นเสื่อมลง ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ก็ได้แสดงความห่วงใยต่อประเด็นเรื่องการรับบุตรบุญธรรมของคู่ครองเพศเดียวกัน การออกมาชุมนุมเพื่อสนับสนุนและคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ได้มีผู้เข้าร่วมเป็นหลักพันจากทั่วประเทศสเปน และภายหลังจากที่ได้มีการรับรองสิทธิดังกล่าวแล้ว ‘พรรคประชาชน’ ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมฝ่ายขวาของประเทศ ได้นำเรื่องขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญสเปนเพื่อวินิจฉัย

โดยในปีแรกของการประกาศใช้กฎหมาย คู่ครองเพศเดียวกันกว่า 4,500 คน ได้ทำการสมรสในประเทศสเปน ไม่นานหลังจากการใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว ประเด็นสถานะของการสมรสกับบุคคลต่างชาติ ซึ่งประเทศเจ้าของสัญชาติยังไม่รับรองการสมรสเพศเดียวกันก็ได้เป็นที่กล่าวถึง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวว่า กฎหมายรับรองการสมรสเพศเดียวกันของสเปนอนุญาตให้ชาวสเปนสามารถสมรสกับบุคคลต่างชาติ แม้ว่าประเทศเจ้าของสัญชาติจะไม่รับรองความเป็นคู่ครองทางกฎหมายก็ตาม อย่างไรก็ตาม คู่ครองหนึ่งคนนั้นจะต้องมีสัญชาติสเปนจึงจะสามารถสมรสได้ แต่บุคคลต่างชาติสองคนอาจสมรสกันได้หากทั้งคู่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสเปนโดยชอบด้วยกฎหมาย

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 พรรคประชาชนได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย นายมาเรียโน ราฆอย หัวหน้าพรรคดังกล่าวได้คัดค้านการสมรสเพศเดียวกัน แต่การตัดสินใจว่าจะยกเลิกกฎหมายฉบับดังกล่าวหรือไม่นั้นจะกระทำขึ้นได้ภายหลังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสเปน และเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ศาลรัฐธรรมนูญสเปนได้รับรองกฎหมายฉบับดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 3 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอัลเบร์โต รุยซ์-กัลยาร์ดอนได้ประกาศว่ารัฐบาลจะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยและจะไม่ยกเลิกกฎหมายฉบับดังกล่าว

เปิด 'แนวรุก-ความพร้อม' ผลิตภัณฑ์ชูอร่อยใต้เงา 'เจดีฟู้ด' สู่เป้าหมาย 'เข้าตลาดหุ้น-ลุ้นขยายตลาดต่างแดน 50%'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับคุณธีรดา หอสัจจกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ก่อตั้งโดยคนไทย และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส และอาหารแปรรูประดับประเทศ สร้างชื่อเสียงในระดับโลก ถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อม ๆ ไปกับการรับมือสภาพการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

คุณธีรดา กล่าวว่า บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นโดยคุณพ่อ นายธีรบุล หอสัจจกุล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและอยู่ในวงการอาหารมายาวนาน ในปี 2542 บริษัทฯ ได้เริ่มต้นประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบส่วนผสม (Food Ingredients) ตามสูตรที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมประเภทขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยลักษณะผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ แบ่งเป็น สินค้ารับจ้างผลิต OEM และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร แบ่งเป็น ผงปรุงรส, อาหารอบแห้ง, ซอสน้ำจิ้ม และไส้เบเกอรี่ (ฟิลลิ่ง)

คุณธีรดา กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสในปัจจุบันของไทยมีการแข่งขันกันสูงกว่าเมื่อก่อนมาก มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามทางบริษัทฯ ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดในอันดับต้น ๆ เนื่องจากมีประสบการณ์มายาวนานและมีการจัดทำระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน รสชาติอร่อย คุณภาพดี เพื่อให้ส่งออกสินค้าไปทั่วโลก

คุณธีรดา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ที่มีความต้องการผลิตสินค้าอาหารแปรรูป เครื่องปรุงรส ในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งได้ให้บริการในรูปแบบ One Stop Service ให้คำปรึกษาตั้งแต่การเริ่มผลิต การเลือกรสชาติ การจดแจ้ง อย. และแนะนำการทำตลาดให้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ให้เติบโตอีกด้วย

เมื่อถามถึงสัดส่วนของการทำตลาดของบริษัทฯ ในปัจจุบัน? คุณธีรดา เผยว่า แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยการจัดจำหน่ายยังเน้นตลาดในประเทศอยู่ แต่เป้าหมายในอนาคตมองว่า จะขยายตลาดไปต่างประเทศ 50% 

เมื่อถามถึงเทรนด์ของรสชาติ? คุณธีรดากล่าวว่า เมื่อก่อนการผลิตรสชาติจะตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านรสชาติหลัก ๆ เช่น ต้มยำ, ชีส, ซีฟู้ด เป็นต้น แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ต้มยำ จากรสชาติต้มยำธรรมดา ก็ต้องเป็นต้มยำกุ้ง, ต้มยำหัวมันกุ้ง เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตอบโจทย์ลูกค้า และท้าทายผู้ผลิตไปในตัว 

เมื่อถามถึงไลน์ผลิตภัณฑ์ของเจดีฟู้ด? คุณธีรดา เผยว่า ในปัจจุบันมีการออกสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Brand) ได้แก่ แบรนด์โอเค (OK) ซึ่งเป็นผงปรุงรส และไส้เบเกอรี่ (ฟิลลิ่ง) มีการคิดสูตรใหม่ให้เหมาะสมกับอาหารและสินค้าเบเกอรี่, แบรนด์ Crispconut ซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบ, แบรนด์ กินดี (Kindee) เป็นผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสสำเร็จรูป ไม่มีส่วนผสมของผงชูรส 

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับแบรนด์ GOOD EATS ผลิตภัณฑ์ซุปกึ่งสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ขนมโปรตีนอบกรอบที่ปราศจากผงชูรส โดยมีเป้าหมายยอดขายของบริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2568 นี้

เมื่อถามถึงกลยุทธ์ของบริษัทฯ? คุณธีรดา กล่าวว่า มีการปรับตัวเสมอและติดตามเทรนด์ใหม่ตลอดเวลา และได้เรียนรู้จากคุณพ่อ เช่น ต้องศึกษาลูกค้าและแก้ Pain Point ของลูกค้าให้ได้ ว่าความต้องการของลูกค้า คืออะไรถ้าตอบโจทย์ลูกค้าได้ก็จะประสบความสำเร็จ ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมา มองว่าเรื่องโลกร้อนมีส่วนสำคัญทำให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ ราคาวัตถุดิบในตลาดผันผวน ส่วนความภาคภูมิใจของคุณธีรดา คือ การนำพาบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ประสบความสำเร็จ 

เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม? คุณธีรดา เล่าให้ฟังทิ้งท้ายว่า "ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการปล่อยมลภาวะอื่น ๆ (Low Carbon Business) เราคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและความหลากหลายทางชีวภาพ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการจัดการพลังงานและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2570 เทียบกับปีฐาน 2564"

‘เอกวาดอร์’ ไฟฟ้าดับ ‘ทั่วประเทศ’ หลังระบบขาดการซ่อมบำรุง กระทบ!! ปชช.กว่า 18 ล้าน ต้องรับมือความมืดนาน 3 ชั่วโมง

เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวเอกวาดอร์กว่า 18 ล้านคน ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืด ซึ่งเมื่อวานนี้ หลังเกิดเหตุไฟฟ้าดับทั่วประเทศนาน 3 ชั่วโมง โดยทางการเอกวาดอร์กล่าวว่า สาเหตุของไฟฟ้าดับ เกิดจากระบบไฟฟ้าที่ขาดการซ่อมบำรุง ร่วมกับปัญหาจากระบบส่งกำลังของระบบไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งไฟฟ้าดับครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ที่นอกจากต้องรับมือกับความมืดแล้ว ยังต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางอากาศร้อนจัดโดยไม่มีไฟฟ้าใช้ อีกทั้งยังทำให้น้ำประปาไม่ไหลในบางพื้นที่ตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา อาทิ โรงพยาบาล ที่ต้องดึงกระแสไฟจากเครื่องปั่นไฟมาใช้ในยามฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน ไฟฟ้าดับยังทำให้ระบบรถไฟใต้ดินหยุดเดินรถกะทันหัน และต้องอพยพผู้โดยสารหลายร้อยออกจากสถานีต่าง ๆ ซึ่งผู้โดยสารบางคนรู้สึกไม่พอใจ เพราะพวกเขาต้องเดินระยะไกลจากสถานีเพื่อไปถึงทางออกโดยไม่มีแสงไฟใด ๆ และมีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คืนเงินค่าโดยสาร

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาระบบไฟฟ้าทั้งหมดสามารถกลับมาใช้งานได้เกือบ 95 เปอร์เซ็นต์ ในหลายพื้นที่ ขณะที่ทางการเอกวาดอร์ออกมาเปิดเผยว่า เหตุไฟดับดังกล่าว ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับวิกฤตด้านพลังงานที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่

'สรวง ตัวแทนวัยรุ่นไทย' ร่วมเสวนากระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน หนุนคนรุ่นใหม่เป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพ 2 ชาติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ สหพันธ์ชาวจีนโพ้นทะเล และรัฐบาลมณฑลยูนนาน จัดการประชุมหอการค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 20 และการเสวนาผู้นำเยาวชนไทย-จีน ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน 

การเสวนาผู้นำเยาวชนไทย-จีนในครั้งนี้ ได้นำพาเยาวชนจากประเทศจีนและไทย มาร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายในด้านการค้าขาย และการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในมิติต่าง ๆ ผ่านการประชุมรูปแบบการเสวนาโต๊ะกลม การกล่าวสุนทรพจน์ และบรรยายแลกเปลี่ยนประสบการณ์

คว่าง จินหรง ประธานสมาคมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการเสวนา และกล่าวในฐานะแขกรับเชิญพิเศษว่า "ปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบศตวรรษ จีนและไทยก็กำลังเผชิญกับโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ของการพัฒนาในทุกมิติ เยาวชนไทย-จีน คืออนาคตของทั้งสองประเทศ หวังว่าคนหนุ่มสาวจะทำงานร่วมกัน เพื่อเขียนบทใหม่ของความร่วมมือฉันมิตรจีน-ไทย ด้วยพลังและความสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน"

อีกหนึ่งแขกรับเชิญคนสำคัญดีกรี 'เยาวชนดีเด่นระดับโลก' จาง หยวนกัง คนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วม Global Shapers Community ในงาน World Economic Forum ณ กรุงดาวอส เขายังเป็นประธานบริษัท Shanghai Zeyang Intelligent Technology Co., Ltd. ประธานจางได้พูดถึงประเด็นการปรับตัวทางความคิดของคนรุ่นใหม่ เพื่อการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมให้พัฒนาตามกระแสโลก เขาเสนอว่า "คนหนุ่มสาวควรยอมรับและปรับตัวเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยแนวทางการคิดที่เปิดกว้าง เป็นนวัตกรรม และคำนึงถึงความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน"

ดร.ฉี ปิน ประธานคณะกรรมการเยาวชน สมาคมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางความร่วมมือของคนรุ่นใหม่ไทย-จีนว่า “ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารกระจายอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มสาวจากทั้งสองประเทศควรใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในโครงการสำคัญ ๆ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการให้ความสำคัญกับแนวคิดริเริ่ม 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' การแก้ปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิกฤตพลังงาน ก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างทั้งสองประเทศได้เช่นกัน”

ทั้งนี้ ตัวแทนผู้เข้าร่วมการเสวนาฝ่ายไทย สรวง สิทธิสมาน (เฉิน เทียนอี้) ที่ปรึกษาสมาคมนักเรียนไทย-จีน (นายกสมาคมฯ รุ่นก่อตั้ง) ได้เปิดเผยถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของเยาวชนสองประเทศว่า “ในปัจจุบัน เยาวชนที่สนใจไปศึกษาแลกเปลี่ยนทางภาษาจากทั้งสองประเทศ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คนหนุ่มสาวที่กำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะมีจิตใจที่เปิดกว้างและมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยภูมิหลังที่หลากหลายทางวัฒนธรรม พวกเราไม่เพียงจะกลายเป็นสะพานสำคัญและเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยน รักษามิตรภาพระหว่างไทยและจีน ยังจะเป็นสะพานเชื่อมสู่อนาคตความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอีกด้วย“

นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนกลุ่มเยาวชน ได้แก่ ดร.หลิว ซิน อดีตประธานสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทย สมัยที่ 5-6, หยู ชุนเซียว ประธานสหพันธ์พัฒนาเยาวชนจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย, ศ.ดร.ซุน ซิ่วประธานกรรมการบริหารเยาวชนสมาคมผู้ประกอบการชาวจีนโพ้นทะเลไทย-จีน, หมี่ หลานประธานกลุ่ม Sunshine Investments International group ณ ออสเตรเลีย, เจิ้ง เซียวเฉิง ประธานสมาคมนักธุรกิจรุ่นใหม่มณฑลยูนนาน และ หวาง เจิงยู่ ประธานสหพันธ์คนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ในเยอรมนี เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้อีกด้วย

ตัวแทนคนรุ่นใหม่ทุกท่าน ได้แบ่งปันประสบการณ์การเติบโต เรื่องราวการเป็นผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา และเสน่ห์ของเยาวชนจีนและไทย ทั้งยังได้อภิปรายเชิงลึกเกี่ยวกับความเป็นไปได้และโอกาสในวงกว้างของเยาวชนจีนและไทย ทั้งในด้านนวัตกรรม การเป็นผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และความร่วมมือทางการศึกษาผ่านการแลกเปลี่ยนเชิงโต้ตอบ

แขกรับเชิญสำคัญอีกสามท่าน ได้แก่ จ้าว หาน ประธานสมาคมผู้ประกอบการรุ่นใหม่แห่งมณฑลยูนนาน และประธาน Yunnan Yunhaiyao Catering Service Management Co., Ltd., เหอ หย่งเทา รองประธานสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทย และ ดร.ชุย อ้ายหลิน จากสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทยหารือแนวทางกระชับการแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนจีนและไทยในยุคใหม่

ก่อนการประชุมใหญ่ กลุ่มเยาวชนจีนและไทยได้ร่วมกันปิดห้อง จัด 'การประชุมร่วมเสวนาเยาวชนชั้นนำจีน-ไทย' เพื่อสร้างกลไกการเจรจาและแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ

“แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทย-จีน และความสัมพันธ์ด้านการค้าขายของสองประเทศจะมีพื้นฐานที่ดีเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ประชาชนของทั้งสองประเทศยังคิดเห็นไม่ตรงกัน ไม่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ด้วยอุปสรรคทางด้านภาษาและการรับข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล” สรวง สิทธิสมาน ตัวแทนฝ่ายไทย ชี้แจงต่อที่ประชุม 

สรวง สิทธิสมาน เสนอต่อว่า “เพื่อให้ประชาชนสองประเทศมีความเข้าใจตรงกัน และรู้จักกันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ผมอยากเน้นย้ำให้ทุกท่าน ทั้งท่านที่มาจากหน่วยงานรัฐบาลและเอกชน เป็นคนไทย คนจีน และ/หรือประเทศอื่น ๆ ต้องเห็นความสำคัญ และร่วมกันผลักดัน ‘การทูตภาคประชาชน’ หรือหากใช้คำที่แม่นยำกว่านี้ ก็จะขอใช้คำว่า ‘การทูตภาคเยาวชน’ เพราะอย่างที่ทุกท่านกล่าวไว้ว่าเยาวชนคือกลไกสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองประเทศในอนาคต"

ช่วงท้ายของการประชุม ที่ประชุมได้เห็นตรงกันว่า ปี พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย โดยเป้าหมายในการจัดงานเสวนาผู้นำเยาวชนจีน-ไทย ในครั้งต่อไปในปี พ.ศ. 2568 จะจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อการต่อยอดความร่วมมือในเชิงปฏิบัติ และสนับสนุนการสร้างชุมชนคนรุ่นใหม่ เพื่อประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้ ‘ปรัชญาพอเพียง’ สอนให้กินใช้พอตัว ไม่ได้ห้ามรวย แต่คนไทยบางคน หยิบมาบิดเบือนปลุกปั่น สร้างความเข้าใจผิดให้สังคม

(21 มิ.ย. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ปรัชญาพอเพียง’ ระบุว่า…

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระองค์ไม่ได้ให้ต้องอดอยาก ยากจน ไม่ได้ห้ามรวย 

พอเพียงหมายถึงมีกินมีใช้แต่พอตัว ไม่ใช่เห่อเหิม อยากมีใครได้ กู้หนี้ยืมสินใช้จ่ายเกินตัว ให้พอประมาณ พึ่งพิงตนเอง ให้เกิดความยั่งยืน

คนจนคนรวยก็กินได้แค่พออิ่ม ไม่ใช่กินอย่างชูชกตะกละกินจนท้องแตกตาย

ทั่วโลก รวมทั้งยูเอ็นได้น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ มีแต่คนไทยสิ้นคิดบางคนเท่านั้นที่ปลุกปั่น บิดเบือนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ผิด ๆ

ให้คนเข้าใจผิดในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า ต้องการกดคนให้จนไม่ให้ลืมตาอ้าปาก สร้างวัฒนธรรมบริโภคนิยม

ไม่ต้องแปลกใจที่อัตราการออมของไทยต่ำ เพราะเน้นบริโภคใช้จ่ายเกินตัว ซื้อรถเงินผ่อน จนเงินไม่เหลือออม เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง สอนให้คนในชาติเน้นการบริโภค เร่งการใช้เงิน ยิ่งกินมากบริโภคมาก นายทุนยิ่งรวย

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง’ โพสต์คลิปนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โดยระบุว่า “ทุกคนคะ คุณธนาธร ผู้นำจิตวิญญาณ พรรคก้าวไกล และ กลุ่มสามนิ้ว มีปัญหากับคำว่า ‘พอเพียง’ อีกแล้วค่ะ”

เพจดังกล่าวระบุอีกว่า “คุณธนาธรให้สัมภาษณ์รายการ deurr factory ไว้ว่า "รัฐไทยพยายามให้ประชาชนเชื่อฟังโอวาท อยู่อย่างพอเพียง มันเป็นการกดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่เหมาะกับยุคสมัยนี้ ที่คนเท่ากัน" หนูว่ามันคนละเรื่องเลยนะ พี่ ๆ ลองฟังดูค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top