Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทยเพื่อ “ชัยพัฒนา” ครั้งที่ 15

กองทัพอากาศได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา เสด็จฯ เป็นองค์ประธานทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทยเพื่อ “ชัยพัฒนา” ครั้งที่ 15 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

โดยมี พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมด้วย คุณมนทิรา  พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพอากาศ เฝ้ารับเสด็จฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2567 โอกาสนี้ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทยเพื่อ “ชัยพัฒนา” เพื่อสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา จากนั้นทรงพระราชทานเงินรายได้และของที่ระลึกแก่ นายสุเมธ  ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กองทัพอากาศได้จัดการแสดงคอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทยเพื่อ “ชัยพัฒนา” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวม 14 ครั้ง เพื่อนำรายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย สนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิชัยพัฒนา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงจัดตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตลอดจนโครงการพัฒนาอื่น ๆ โดยมีพระราชปณิธานเพื่อให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่อาณาประชาราษฎร์ คอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทยเพื่อ “ชัยพัฒนา” ครั้งที่ 15 มี พลอากาศเอก ชัยนาท  ผลกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพอากาศ เป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดคอนเสิร์ตฯ และ นาวาอากาศเอก ชยกร  โชติพิทยานนท์ ผู้บังคับการกองดุริยางค์ทหารอากาศ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน เป็นผู้อำนวยการฝึกซ้อม ทั้งนี้ ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “THE WIND BENEATH MY WINGS” ซึ่งสื่อความหมายถึงความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศเกิดจากข้าราชการ นักเรียนทหาร ทหารกองประจำการ และครอบครัวที่เป็นส่วนสำคัญสนับสนุนให้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จ โดยเป็นการแสดงศักยภาพทางดนตรีของวงซิมโฟนีออร์เคสตรากองทัพอากาศ (The Royal Thai Air Force Symphony Orchestra) ซึ่งประกอบด้วยนักดนตรี และคณะนักร้องหมู่ประสานเสียงกว่า 180 คน คอนเสิร์ตครั้งนี้ได้รับเกียรติจากศิลปินรับเชิญที่มีชื่อเสียง ได้แก่ คุณนันทิดา  แก้วบัวสาย คุณศรราม  เอนกลาภ คุณอิสรพงศ์  ดอกยอ และคุณณัฐวดี  พวงสุวรรณ ร่วมขับร้องบทเพลงต่าง ๆ ได้อย่างน่าประทับใจ สำหรับการแสดงในครั้งนี้บรรเลงและขับร้องบทเพลง โดยแบ่งการแสดงออกเป็น 2 ภาค ภาคแรก เป็นการบรรเลงเพลง GUARDIAN OF THE SKY  บทเพลงจะแบ่งออกเป็น ๔ ท่อน ที่บรรเลงต่อเนื่องกัน

โดยมีอารมณ์เพลงและท่วงทำนองที่แตกต่างกันออกไป ต่อเนื่องด้วยเพลงเหาะ (ดำเนินเวหา) บรรเลงโดยวงซิมโฟนีออร์เคสตรากองทัพอากาศ ประกอบการร้องประสานเสียงและฆ้องไทย 5 วง เพลงสองฝั่งโขง เพลงยอยศพระลอ เป็นการบรรเลงประกอบดนตรีไทย และปิดท้ายด้วยเมดเลย์ลูกทุ่ง ภาคที่สองเริ่มด้วยบทเพลงทรายกับทะเล และเพลง WIND BENEATH MY WINGS ต่อเนื่องด้วย เพลง I DREAMED A DREAM เพลงศรพระราม เพลง CIRCLE OF LIFE & HE LIVES IN YOU จากนั้นเป็นการขับร้องเพลงดุจบิดามารดร ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับสองเพลงสุดท้ายเป็นการขับร้องหมู่ร่วมกับวงซิมโฟนีออร์เคสตรากองทัพอากาศ ประกอบด้วย เพลงในหลวงของแผ่นดิน และเพลงแด่เธอ ซึ่งเป็นการนำเสนอสื่อความหมายถึงการขอบคุณผู้ที่เสียสละในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ เพื่อกองทัพอากาศและประเทศชาติ

#กองทัพอากาศ

Alibaba จัดแข่งคณิตศาสตร์ระดับโลก ใช้ AI ได้ แต่ผลลัพธ์ คนใช้ AI กลับตกรอบทั้งหมด

(21 มิ.ย. 67) Business Tomorrow รายงานการจัดการแข่งขัน Alibaba Global Math Competition 2024 ของ Alibaba โดยเป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 

สำหรับในปีนี้พิเศษตรงที่ Alibaba ท้าให้ AI สามารถเข้ามาแข่งขันได้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าทีมที่ใช้ AI ตกรอบตั้งแต่รอบคัดเลือกทั้งหมด

การแข่งขันของ Alibaba ในรอบคัดเลือกต้องการคะแนนขั้นต่ำที่ 45 คะแนน แต่ทีมที่ใช้ AI สามารถทำคะแนนสูงสุดได้เพียง 34 คะแนนเท่านั้น โดยเฉลี่ยทีมที่ใช้ AI ได้คะแนนไป 18 คะแนน โดยAI ที่ทำคะแนนสูงสุดสร้างโดย Tu Jinhao จากโรงเรียนมัธยม Jianping ในเซี่ยงไฮ้ โดยอาศัยการเถียงกับตัวเองและตรวจคำตอบของตัวเองไปหลายๆ รอบ

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสามารถทำคะแนนได้สูงถึง 113 คะแนน จากข้อสอบทั้งหมด 7 ข้อ มีทั้งแบบตัวเลือกและแบบแสดงวิธีทำ

สำหรับการแข่งขันนี้ เปิดให้ผู้เข้าแข่งจากทั่วโลก แต่ผู้เข้าแข่งส่วนใหญ่จะมาจากจีน

‘เพจดัง’ เร่งล่าตัว ‘คนใจโหด’ ใช้หนังยางรัดคอ ‘เจ้าเมก้า’ ทำ ‘เนื้อตาย-ติดเชื้อ’ ทนเจ็บอยู่หลายวันกว่าเจ้าของจะรู้ตัว

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ ‘Mootoo’ โพสต์ภาพและข้อความ ตามหาคนทำร้ายเมก้า ความว่า…

“วันนี้จะมาเตือนภัย และเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้กับทุก ๆ คนนะคะ”

“อย่างที่เอฟซีหลายๆคนรู้ว่า มู่ทู่ จะมีน้องชื่อ เมก้า (ซึ่งเมก้าเป็นน้องหมาของพี่ชาย แม่น้องมู่ทู่เองค่ะ) มู่ทู่ และ เมก้า มักจะอยู่ประจำที่ร้าน MegaMoo Boardgame Cafe”

“เช้าวันนี้เมก้ามีอาการคางบวมผิดปกติ และมีน้ำลายยืดเยอะค่ะ (ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนยังวิ่งร่าเริงอยู่เลยค่ะ) พอพาไปหาคุณหมอ ถึงได้รู้ว่า เมก้าโดนคนใจโหด นำยางรัดของ 2 เส้น มารัดอยู่ที่คอค่ะ และโดนรัดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 วัน”

“ด้วยความที่เมก้าเป็นหมาที่ดื้อมาก ๆ ค่ะ น้องร่าเริง วิ่งเล่น ดีดตลอดเวลา และที่สำคัญคือน้องขนยาวมากค่ะ (ในรูปคือใส่ปลอกคอทุกรูปเลยนะคะ แต่จะมองไม่เห็นเลยค่ะ) จนถึงวันนี้ที่น้องติดเชื้อ และ ไข้ขึ้นหนักมาก ๆ น้องถึงเริ่มที่จะมีอาการไม่ร่าเริงค่ะ และมีน้ำลายไหลเยอะค่ะ”

“พิมไม่แน่ใจว่าที่เมก้าตกเป็นเหยื่อ เป็นเพราะคนที่ทำเค้าตั้งใจเลือกน้องหมาที่ขนยาวรึเปล่า แต่ที่พิมมั่นใจคือ เมก้าเป็นหมาที่น่ารักมากค่ะ เฟรนด์ลี่มาก ๆ เค้าขี้อ้อน ใครเรียกก็ไปหาค่ะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่ทำเค้าสามารถทำลงไปได้ยังไง”

“ที่ปวดใจยิ่งกว่าคือที่ต้องมารู้ว่าเมก้าทนเจ็บอยู่หลายวัน แล้วยังร่าเริงและชวนเราเล่นอยู่ตลอดเวลา จนดูไม่ออกเลยค่ะว่าเค้าถูกทำร้าย”

“เมก้า เลือดติดเชื้อ ไข้สูง และมีเนื้อตายบางส่วนค่ะ ตอนนี้อาการเมก้าดีขึ้นแล้วนะคะ แต่ยังต้องโกนขนเพิ่ม และอาจต้องตัดเนื้อส่วนที่ตายเพิ่ม กับรักษาแผลอีกนานเลยค่ะ”

“ตอนนี้กำลังไล่กล้องวงจรปิดตามหาคนที่ทำร้ายเค้าค่ะ ใครที่มีเบาะแส หรือ คำแนะนำอื่น ๆ ขอความกรุณาด้วยนะคะ”

“มู่ทู่ปลอดภัยดีค่ะ เค้าไม่เฟรนลี่เท่าเมก้า ไม่สุงสิงเท่าเมก้า ขนสั้นด้วยค่ะ และที่สำคัญ ถ้ามู่เจ็บเค้าจะไม่อดทนแบบเมก้าค่ะ เค้าจะมาฟ้องแม่ทันที”

“คุณพ่อคุณแม่ที่มีสุนัขขนยาว ขอให้นำเคสของเมก้ามาเป็นตัวอย่างนะคะ วันนี้ปวดใจมาก ๆ เลยค่ะ สงสารน้องมากๆเลย จะมาอัปเดตเรื่อยๆนะคะ”

พิษณุโลก มทบ.39 ตรวจความพร้อมการบรรเทาสาธารณภัย เตรียมรับมือเหตุอุทกภัยในปี 2567

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 เวลา 1000 พลตรี กฤษณะ ภู่ทอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 39 พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา ให้การตรวจเยี่ยมการตรวจสภาพความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 39 โดย กองร้อยบรรเทาสาธารณภัยและส่วนสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ณ ลานด้านหน้ากองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เพื่อตรวจสอบโครงสร้างและประเมินขีดความสามารถของกำลังพลในการรองรับสถานการณ์อุทกภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ดังกล่าว ในด้านต่างๆ อาทิ การใช้ยุทโธปกรณ์, การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ, การทำลายสิ่งกีดขวางเพื่อเปิดเส้นทาง, การปฐมพยาบาลเบื้องต้น (CPR) และการสนับสนุนรถครัวสนาม - รถน้ำ เป็นต้น โดยได้จำลองสถานการณ์น้ำป่าไหลหลาก – ดินโคลนถล่ม ในพื้นที่ ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก สาธิตการปฏิบัติแบบเสมือนจริง และผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 ได้มอบแนวทางและข้อห่วงใยแก่กำลังพลทุกนาย โดยเน้นย้ำเรื่องของความปลอดภัย ความถูกต้องเป็นสำคัญ

ซึ่ง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 39 มีขีดความสามารถทั้งด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ในการร่วมสนับสนุนศูนย์บัญชาการประจำพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ ในพื้นที่รับผิดชอบทั้งจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดสุโขทัย หน่วยงานต่างๆ สามารถขอรับการสนับสนุนผ่านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดพิษณุโลก (ฝ่ายทหาร)

หรือสามารถประสานขอความช่วยเหลือมายังศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 39 โทรศัพท์ 055 – 906450, 055 – 244529

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 39 
ศูนย์ประชาสัมพันธ์มณฑลทหารบกที่39 

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง Fast Fashion ตัวการใหญ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้!! ธุรกิจเกี่ยวข้องควรตระหนัก ฟากไทยส่งเสริมผ้ารักษ์โลกแล้ว

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Fast Fashion กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก' เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ธุรกิจ Fast Fashion ได้ส่งผลให้พฤติกรรมการผลิตและการบริโภคของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา 

Fast Fashion คือ การเปลี่ยนแฟชันด้วยความถี่ที่สูงมาก สมัยก่อนอาจมีการออกคอลเลคชันใหม่ปีละ 2 คร้้ง คือ Summer และ Winter Collection แต่ปัจจุบันอาจมีคอลเลคชันใหม่ทุกสัปดาห์ ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงจากการ Outsource การผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้ผู้บริโภคมีความสามารถและความต้องการซื้อเสื้อผ้าบ่อยขึ้น

ปริมาณการผลิตและการบริโภคเสื้อผ้าที่มากขึ้น และเทคโนโลยีการผลิตที่ยังคงอาศัยการใช้น้ำและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง การใช้สารเคมีที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยะเสื้อผ้าเก่าจำนวนมากที่ไม่สามารถกำจัดได้ ได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ากลายเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

แม้ว่าแนวโน้มการบริโภคแฟชันที่มากขึ้นและถูกลงจะเป็นประโยชน์กับทั้งผู้บริโภคในวงกว้างและผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศยากจน แต่หากปล่อยให้เป็นไปตามแนวโน้มนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของประชาคมโลกที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาใช้มาตรการเก็บภาษีเสื้อผ้า บางประเทศส่งเสริมธุรกิจเสื้อผ้าใช้แล้ว รวมทั้งธุรกิจให้ยืมเสื้อผ้า เป็นต้น

ส่วนในไทย ก็เป็นที่น่ายินดีที่กระทรวงมหาดไทยและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ประกอบการผ้าไทย ซึ่งเป็นคนในระดับรากหญ้าและชุมชน เข้าถึงกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานของ อบก. โดยมีการคำนวณและติดเครื่องหมายรับรอง Carbon Footprint ซึ่งจะช่วยให้ผ้าไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกในราคาที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีการผลิตจากที่เคยใช้สีเคมีในการฟอกย้อมมาใช้สีธรรมชาติ ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนมาก 

ขณะที่ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ประกอบการผ้าไทยอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ กลไกการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย กำลังก้าวไปไกลอีกระดับ เมื่อ อบก. ได้ออกมาตรฐานโครงการใหม่ที่มีความเข้มข้นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ที่เรียกว่า T-VER Premium อีกด้วย

แม้ว่าการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะยากและมีต้นทุนสูงขึ้น แต่เชื่อแน่ว่าคาร์บอนเครดิตของไทยน่าจะมีราคาสูงขึ้น โดยภายในสัปดาห์นี้จะมีการอนุมัติโครงการ T-VER Premium ขนาดใหญ่อย่างน้อย 4 โครงการ ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติโครงการร่วมมือกับญี่ปุ่นที่เรียกว่า Joint Credit Mechanism-JCM เพื่อสนับสนุนให้เอกชนของ 2 ประเทศร่วมทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน T-VER Premium ของไทยอีกด้วย

'โซเชียล' ตะลึง!! ชาวเมียนมาจบวิศวะ ภาษาดี เรียกเงินน้อย ใช้ 'ค่ะ' ถูกต้อง ชี้!! เจอคนแบบนี้เยอะ อาจทำเด็กไทยอยู่ยาก แต่ประเทศไทยจะอยู่ได้

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กเพจ 'รักภาษาไทย อย่าใช้ผิด' ได้โพสต์ข้อความชวนคิด กรณีชาวเมียนมาท่านหนึ่งที่มีโปรไฟล์ดีโพสต์สมัครงาน จนเกิดการแชร์เป็นไวรัล ระบุว่า...

“ คนพม่าจบวิศวะ พัฒนาความรู้และมีประสบการณ์การทำงาน ใช้คำว่า ‘ค่ะ’ ถูก พูดภาษาอังกฤษได้ เรียกเงินเดือน 12,000 บาท เด็กไทยอยู่ยากแล้วค่ะ ”

นอกจากนี้ทางเพจ ยังได้โพสต์ตอีกว่า “ เล่านิด: ด้วยสภาพความไม่เรียบร้อยในบ้านเขา จึงทำให้หลายคนออกนอกประเทศ และเข้ามาหางานในไทย ”

“ ตอนนี้ครูต่างชาติสัญชาติพม่ามากพอๆ กับฟิลิปปินส์ ”

“ ถ้าคุณคนนี้สอนหนังสือได้ ยิ่งถ้าเป็นวิชาหลัก เช่น Science, Math เขาได้งานแน่นอนค่ะ ”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ โลกโซเชียลก็ออกมาให้ความเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่า Gen Z ของไทย อาจจะลำบากในการหางานต่อจากนี้ เพราะไม่สนใจความรู้วิชาการ วัน ๆ หนึ่งท่องแต่โซเชียล เสพแต่คอนเทนต์บันเทิง แถมมีเปราะบางทางจิตใจ ส่วนทางกายงานหนักไม่เอา เบาไม่สู้ สนใจแต่ความงาม อยากได้คู่ชีวิตที่สวย / หล่อ รวย มองเงินคือพระเจ้า แต่ไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ แถมยังไปวัดเพื่อขอหวยและขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ร่ำรวยลูกค้า

ขณะที่บางคอมเมนต์ ก็มองว่า ถ้ามีต่างชาติคุณสมบัติแบบนี้เยอะ ๆ ก็ควรให้สัญชาติไปเลย คนมีความรู้ความสามารถแบบนี้ ต้องดึงมาเป็นคนไทย

ด้าน คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า " เด็กไทยอาจอยู่ยาก แต่ถ้าเปิดใจรับแบบนี้เยอะ ๆ ประเทศไทยจะอยู่ได้ "

ขณะที่ เพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน ว่า...

" สาวเมียนมาอายุ 27 ปี จบวิศวะเครื่องกล มีใบเซอร์บริหารโครงการ ภาษาอังกฤษดีมาก ทำ CV มาอย่างดี เรียกเงินเดือน 12,000 เท่านั้น ไม่สนชื่อตำแหน่ง ที่สำคัญ ใช้ ‘ค่ะ’ ได้อย่างถูกต้อง ดูทรงแล้ว Gen Z ไทย คงต้องไปเน้นหาสามีต่างชาติรายได้สูงที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วครับ 555 "

‘มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์’ บริจาคเครื่องผลิตออกซิเจน 10 เครื่อง ใช้ดูแลผู้ป่วย ใน รพ.สมเด็จพระยุพราช จอมบึง ราชบุรี

(21 มิ.ย. 67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มอบเครื่องผลิตออกซิเจน ขนาด 5 ลิตร จำนวน 10 เครื่อง มูลค่าเครื่องละ 27,600 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 276,000 บาทให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมี แพทย์หญิง ผกาพันธ์ เปี่ยมเคล้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง และคณะ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า สำหรับเครื่องผลิตออกซิเจนที่นำมามอบให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึงในวันนี้ เป็นเครื่องมือบริการทางการแพทย์ ที่ทางมูลนิธิได้รับบริจาคจากนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ โดยเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 10 เครื่องที่นำมามอบในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องที่ได้ร่วมกับคณะกรรมการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา นำไปมอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ 

โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ ตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิที่สนับสนุนด้านสาธารณสุขของประเทศ

ด้าน แพทย์หญิง ผกาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง กล่าวว่า ในนามโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึงต้องขอขอบคุณ คุณเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์เป็นอย่างสูงที่ได้มอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้กับโรงพยาบาลในวันนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง ที่ดูแลประชากร 65,000 คน และมีโครงการถวายการดูแลสุขภาพให้กับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และผู้นำทางศาสนา 72,000 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยหวังว่าเครื่องผลิตออกซิเจนที่ได้รับจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปดูแลรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิต่อไป

‘อานตี้ แอนส์’ สั่งพ้นสภาพ ‘พนักงานปากแจ๋ว’ ด่าทอลูกค้า พร้อมกราบขออภัย - สัญญาจะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเพจอีซ้อขยี้ข่าว 3 โพสต์คลิปเหตุการณ์ที่มีลูกค้าสาวรายหนึ่ง มีปากเสียงกับพนักงานร้านขนมชื่อดังในห้างสรรพสินค้าย่านรามอินทรา โดยในคลิป พนักงานมีการโต้เถียงกับลูกค้า บอกว่า ที่เล่นโทรศัพท์ คุยกับหัวหน้า ทำงานอยู่ บอกลูกค้าว่าอย่าหาเรื่อง และไล่ให้ลูกค้าไปศัลยกรรม ลูกค้าก็เถียงกลับว่าไม่ได้หาเรื่อง แต่พนักงานพูดจาไม่ดีใส่ลูกค้าก่อน

โดยล่าสุด ทางเพจ Auntie Anne’s Thailand ได้มีการโพสต์แถลงการณ์ ระบุว่า 

“อานตี้ แอนส์ กราบขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างสูง จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น”

“ทางแบรนด์ได้พิจารณาลงโทษขั้นสูงสุดกับพนักงาน โดยให้สิ้นสุดสภาพการเป็นพนักงานนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และขอให้คำมั่นว่าจะดูแลพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงอบรมพนักงาน เน้นย้ำถึงมาตรฐานการให้บริการที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก” 

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 มิ.ย.67 น.ส.เอ (นามสมมติ) เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์‘ กรณีดังกล่าว ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มิ.ย.67 ที่ผ่านมาโดยกล่าวว่า…

“ตนได้เข้าไปสั่งน้ำที่ร้านดังกล่าว ตอนแรกสังเกตเห็นแล้วว่า พนักงานเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียส ก็สั่งออเดอร์ตามปกติ แล้วยืนรอน้ำ”

“ต่อมามีคุณป้าที่มาสั่งออเดอร์ต่อจากตน พนักงานก็ถามว่ารับอะไร แต่ยังคงเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย พอคุณป้าบอกว่า ขอใช้คูปองซื้อ พนักงานก็หยิบใบโปรโมชันมาวางแล้วไม่พูดอะไร คุณป้าก็มองว่าต้องทำยังไง เหมือนเล่นโทรศัพท์ไม่คล่อง”

“พนักงานก็ชี้ว่าให้สแกน แต่ไม่ได้ช่วยเหลือ ตนก็ยืนมองอยู่พักหนึ่ง เห็นคุณป้ามองขึ้นมองลง สแกนไม่ได้ ตนเลยเดินเข้าไปถามว่า ให้ช่วยไหม ระหว่างที่ช่วยสแกน ตนก็พูดกับคุณป้าว่า พนักงานไม่บริการเลย”

“พอพนักงานได้ยิน ก็เก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วเงยหน้ามาพูดกับตนว่า ก็แจ้งให้สแกนแล้วไงคะ ตนก็ตอบกลับว่า แล้วไม่ได้ดูหรอว่าลูกค้าสแกนไม่ได้ พนักงานก็มีท่าทีโมโห พูดขึ้นมาว่า “ก็แจ้งแล้วไงคะว่าให้สแกน เสือก” พอตนได้ยินคำนี้ จึงอารมณ์ขึ้นทันที ก็สวนกลับคำหยาบไปเหมือนกัน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามในคลิป”

“ซึ่งตอนที่พนักงานบอกว่าให้ตนไปศัลยกรรม ตนก็งงและตกใจว่ามันเกี่ยวอะไรกัน แต่ตนคิดว่าเป็นเพราะว่าวันนั้นตนใส่ชุดนอนไป ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัว พนักงานเลยมองว่าตนเป็นเด็ก แล้วกล้ามีปากมีเสียงด้วยหรือไม่ หลังเกิดเหตุตนได้ไปแจ้งกับทางห้าง ซึ่งก็มีผู้บริหารเข้ามาพูดคุยและบอกว่าจะร้องเรียนให้”

“จากนั้น ทางบริษัทก็ติดต่อมา บอกว่า พนักงานคนนี้ทำประจำอยู่ที่สาขานี้มานานแล้ว อาจจะคิดว่าตนเองเป็นคนเก่าแก่ อยู่มานาน เลยแสดงกิริยาแบบนี้ออกมา ตนก็บอกว่า ตนไม่ขอรับคำขอโทษ ตนยินดีให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และต้องการให้พนักงานคนนี้ถูกลงโทษให้ออก เพราะจากพฤติกรรมไม่ควรที่จะทำงานต่อ หากไปเจอลูกค้าที่ปะทะรุนแรงกว่านี้ เหตุการณ์จะบานปลาย”

“โดยล่าสุด ที่บริษัทมีคำสั่งให้พนักงานคนนี้พ้นสภาพ ตนก็รู้สึกดีที่บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ เข้าใจหัวอกผู้บริโภค ว่าการกระทำของพนักงานคนนี้นั้นไม่ถูกต้อง และตนก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว เพราะจุดประสงค์ที่ร้องเรียนไปตั้งแต่แรก ก็แค่ต้องการให้ผู้บริหารบริษัทรับทราบว่ามีพนักงานที่มีพฤติกรรมแบบนี้ และยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้ง หรือให้สังคมโจมตี ปิดช่องทางทำมาหากิน เพียงแต่ต้องการให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนกับพนักงาน ถ้าในอนาคตได้ไปทำงานที่ใหม่ ก็จะได้มีสติมากกว่านี้”

น.ส.เอ ยังบอกด้วยว่า “ตนก็เคยฝึกงานพาร์ทไทม์แบบเดียวกันนี้ มองว่า พนักงานควรจะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ และลูกค้าก็ไม่ได้พูดแดกดันหรือหยาบคายใส่ก่อน แต่ถามเพราะพนักงานไม่ต้อนรับลูกค้า ก็ควรจะเก็บอารมณ์ให้มากกว่านี้ หรือเลือกคำตอบให้กับลูกค้าได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่มีคำว่า ‘เสือก’ ทุกอย่างอาจจะจบได้ดีกว่านี้ แม้แต่พนักงานอีกคนที่ไม่เกี่ยวข้องยังพูดขอโทษตน แต่กับพนักงานคนนี้ ไม่มีคำขอโทษออกมาเลย”

States TOON EP.164

โกยดีกว่า!!

***สงวนลิขสิทธิ์ภาพดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนแบบ ดัดแปลง หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ แต่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ตามต้นฉบับนี้ โดยไม่ต้องขออนุญาต 

'โบว์ ณัฏฐา' เผย!! คดี 112 ไม่ควรขอนิรโทษกรรม 'ล่วงเกินใคร' ควร 'ขออภัย' มากกว่าขอ 'ลบโทษ'

(21 มิ.ย. 67) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว Ringside การเมือง และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“ถาม: ทำไมคดี 112 จึงควรใช้ช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษ มากกว่านิรโทษกรรม?”

“ตอบ: เพราะเป็นคดีที่มีการหมิ่นเกียรติตัวบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐอยู่ ปกติเวลาเราล่วงเกินใครก็ควรมีการ ‘ขออภัย’ กันมากกว่าจะใช้วิธี ‘ลบโทษ’ เอาเลย”

“เป็นโอกาสให้ผู้กระทำได้แสดงความสำนึกผิด ผู้คนที่รู้สึกเดือดร้อนจากการกระทำเหล่านั้นเขาจะได้คลายความโกรธเคืองลงไปด้วย ต้องยอมรับว่าหลายคนกระทำรุนแรงมากและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนถึงวันนี้”

“เสนอลบโทษให้เฉย ๆ คงไม่มีใครสบายใจ นอกจากคนที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำเหล่านั้นตลอดมา”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top