Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

'กองทุนหมู่บ้าน' กระดุมเม็ดแรกที่กลัดผิดของประชานิยม เมื่อคนกู้ชักดาบ ไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ใครซวย?

นางวาสนา สมพงษ์ อายุ 58 ปี อดีตคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองเรือ หมู่ 6 ตำบลละทาย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ร้องทุกข์กับสื่อต่าง ๆ ว่า ตนให้สมาชิกและคณะกรรมการกองทุนฯ กว่า 50 คน กู้ยืมเงินจากกองทุนหมู่บ้านฯ รวมกว่า 3.7 ล้านบาท แล้วไม่มีใครชำระหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย ส่งผลทำให้ตนต้องถูกธนาคารยึดทรัพย์ที่ดินทำกินของตนเอง นำไปเตรียมขายทอดตลาด ทั้งที่มูลหนี้ดังกล่าวไม่ใช่มูลหนี้ที่ตนเองก่อขึ้น จึงทุกข์ใจหนักจนต้องเข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน เพื่อเป็นสื่อกลางขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ

นางวาสนา เล่าว่า เมื่อปี 2561 ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองเรือ ซึ่งมีคณะกรรมการฯ รวมทั้งคณะ 10 คน และมีสมาชิกทั้งหมด 53 คน ในขณะนั้นคณะกรรมการและสมาชิกต่างก็ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากกองทุน รายละ 10,000-30,000 บาท โดยช่วงแรก ๆ ก็มีการคืนต้นจ่ายดอกครบถ้วน จนกองทุนหมู่บ้านฯ ได้รับรางวัลผลงานดีเด่นระดับ 3 A+ 

ในเวลาต่อมาธนาคารออมสินได้ให้ยอดเงินกู้เพิ่มอีกเป็นเงิน 2 ล้านบาท จึงมีคณะกรรมการพร้อมทั้งสมาชิกเข้ามาทำสัญญากู้ยืมเงินต่อ บางคนกู้ยืมเงินจากกองทุนหลักหมื่น บางรายก็หลักแสน จากนั้นคณะกรรมการชุดตนก็หมดวาระลง และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งต่อมาต่างก็ประสบปัญหาตอนโควิด19 ระบาด อีกทั้งเจอกับปัญหาอุทกภัย น้ำท่วมใหญ่ ส่งผลทำให้สมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรเกิดปัญหาติดขัดด้านการเงิน ทำให้เริ่มไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย กระทั่งตนได้สำรองเงินตัวเองสำรองจ่ายให้กับสมาชิกไปก่อน

ซึ่งต่อมาธนาคารออมสินได้ไปถอดโฉนดที่ดินของตน โดยยึดที่ดินออกมาจาก ธกส. ที่ตนเคยไปกู้ยืมเงินส่วนตัวย้ายไปไว้ที่ธนาคารออมสินแทน เนื่องจากไม่มียอดชำระหนี้ของสมาชิกตามหลักเกณฑ์ และสำนักงานบังคับคดีได้ทำการประกาศขายทอดที่ดินของตนเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา โดยที่คณะกรรมการชุดตนนั้นมีเพียงตนที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเพียงคนเดียว ขณะที่คณะกรรมการคนอื่น ๆ รวมถึงประธานอีก 9 คนต่างก็ไม่มีทรัพย์สินเป็นของตนเองแม้แต่คนเดียว ธนาคารออมสินจึงไม่สามารถไปบังคับยึดทรัพย์สินของกรรมการคนอื่น ๆ ได้

ทำให้ตนต้องนำเงินส่วนตัวไปจ่ายหนี้ให้คนทั้งหมู่บ้านที่เป็นสมาชิก เดือนละ 20,000-30,000 บาท แยกเป็นเงินต้นที่ต้องจ่ายธนาคาร 12,000 บาท และดอกเบี้ยอีกเดือนละ 2.4 หมื่นบาท จนถึงตอนนี้หมดเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาท ต้องหมดเนื้อหมดตัว ซ้ำยังถูกยึดที่ดินทำกิน ซึ่งตนได้พยายามไปอ้อนวอนขอให้สมาชิกมาใช้หนี้ บางคนก็บอกไม่มี และถูกบอกปัดไปเรื่อย ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แล้วในตอนนั้น ตนจะไม่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านอย่างแน่นอน

‘กองทุนหมู่บ้านฯ’ มีชื่อเต็มว่า ‘กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง’ เป็นโครงการตามนโยบายเร่งด่วนที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ประชาชนในระดับรากหญ้าของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการดำเนินการจัดตั้งกองทุนในทุกหมู่บ้าน ๆ ละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนหมุนเวียนให้ชาวบ้านได้มีแหล่งเงินทุนให้กู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ และดำรงชีพ เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ และบรรเทาเหตุจำเป็นเร่งด่วนของชุมชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า เป็นการเสริมสร้างการพึ่งพาตนเองด้วยภูมิปัญญาของตนเอง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนทั่วประเทศ

แม้จะมีการกล่าวอ้างถึงผลดีมากมายของกองทุนหมู่บ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีผลเสียปรากฏมากมายกว่า ดังนี้...

- ผลการประเมินของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติระบุว่า ผู้กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านฯ มีอัตราการชำระหนี้คืนกองทุนลดลง จาก 95.3% (ค้างชำระ 4.7%) ในปี 2547 เป็น 77.3% (ค้างชำระ 22.7%) ในปี 2555
- ในปี 2549 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบผลการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านฯ พบประเด็นปัญหาสำคัญ คือ กองทุนหมู่บ้านฯ 50% มีหนี้ค้างชำระและ/หรือเงินขาดบัญชี โดยบางแห่งมีผลการดำเนินงานอยู่ในภาวะวิกฤติไม่ได้ดำเนินกิจกรรมมาเป็นเวลาหลายปี และไม่มีเงินคงเหลือในบัญชีกองทุน
- ผลประเมินการดำเนินงานโดยกรมบัญชีกลาง ระบุว่า กองทุนหมู่บ้านฯ ได้คะแนนรวมเพียง 2.4982 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเงินทุนหมุนเวียนประเภทกู้ยืม 3.1760 โดยด้านที่ได้คะแนนมากที่สุด คือ ด้านการเงิน 4.6974 ส่วนด้านที่ได้คะแนนน้อยที่สุด คือ ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 1.7163
- งานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (2550) ระบุว่า แม้กองทุนหมู่บ้านฯ จะทำให้รายได้จากกิจการภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจริง แต่ไม่เพียงพอจะทำให้รายได้รวมของครัวเรือนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
- ผลสำรวจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า 22.0% ของผู้กู้ยืมกองทุนหมู่บ้านฯ มีการใช้เงินกู้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน หากกองทุนที่บริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการฟื้นฟูอาชีพให้กับสมาชิก จะก่อให้เกิดเป็นวงจรหนี้ที่พอกพูนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาชิกยังต้องกลับไปกู้หนี้นอกระบบอีก
- แม้ครัวเรือนที่เป็นหนี้จะลดลงจาก 11.50 ล้านครัวเรือนในปี 2550 เหลือ 10.84 ล้านครัวเรือน ในปี 2556 หรือลดลง 6% แต่จำนวนหนี้สินเฉลี่ยตัวครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 116,681 บาท ในปี 2550 เป็น 163,087 บาท ในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 40%

วันนี้พรรคการเมืองภายใต้ทักษิณ ชินวัตรกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว ปัญหาของกองทุนหมู่บ้านฯ ดังที่ปรากฏเป็นข่าว รัฐบาลชุดนี้จะแก้ไขอย่างไร? ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ คงช่วยอะไรไม่ได้...

ดังนั้นทุกคนที่มีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างกองทุนหมู่บ้านฯ จึงต้องรีบระดมสมองเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของกองทุนหมู่บ้านฯ ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนที่สุดโดยไม่สามารถบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธความรับผิดชอบต่อปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เลย

‘พลเมืองสหรัฐฯ’ เสียชีวิตจากน้ำมือ 'ตำรวจ' สูงเป็นประวัติการณ์ปี 2023 สะท้อน!! วิธีแก้ปัญหาเกินกำลังกว่าเหตุ ซ้ำ!! ยังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานข้อมูลข่าวสารแห่งคณะรัฐมนตรีจีนออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งระบุว่า สหรัฐฯ พบจำนวนประชาชนถูกตำรวจสังหารมากสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีก่อน นับตั้งแต่เริ่มติดตามข้อมูลทั่วประเทศเมื่อปี 2013

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากแมปปิง โพลิส ไวโอเลนซ์ (Mapping Police Violence) กลุ่มวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่ง ระบุว่าตำรวจในสหรัฐฯ สังหารประชาชนเมื่อปีก่อนอย่างน้อย 1,247 ราย หมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือตำรวจโดยเฉลี่ยประมาณ 3 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ระบบความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจนั้นไร้ประโยชน์

รายงานอ้างอิงหนังสือชื่อ ‘การจับกุมความเป็นพลเมือง : ผลพวงประชาธิปไตยของการควบคุมอาชญากรรมของอเมริกา’ (Arresting Citizenship: The Democratic Consequences of American Crime Control) ระบุว่า หน่วยงานตำรวจอเมริกันชิงชังพลเมืองที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายของพวกเขา และกลไกในการให้ตำรวจรับผิดชอบต่อการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายนั้นแทบไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งนี้ แม้ว่าปัญหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐฯ แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลัง

'นักวิชาการอิสระ' ชี้!! ป้ายแลนด์มาร์กกรุงเทพฯ (เดิม) ยังขลัง นทท.อยากมาถ่าย เหมือนภาพป้ายกูลิโกะที่ริมคลองโดทงโบริ

(30 พ.ค.67) นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

คะแนนเสียงคงเป็นเอกฉันท์แล้วนะครับ ว่าวันนี้คนส่วนมากคิดอะไร กับแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ที่นักท่องเที่ยวต้องมายืนถ่ายรูปตัวเองที่จุดนี้ 

ไม่ต่างคนไปเที่ยวโอซาก้า กับต้องยืนบนสะพานเอบิสุ ถ่ายภาพป้ายกูลิโกะที่ริมคลองโดทงโบริ หลังจากไปถ่ายภาพกับปูที่ปากซอยมา ผมไปโอซาก้าสามล้านกว่าครั้งแล้ว ถ้าพูดเล่น ๆ แบบเซอร์เรียลิสม์ ก็อดไปยืนยิ้มแล้วถ่ายภาพมุมเดิม ๆ ไม่ได้ ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่คนที่ยืนถ่ายแก่ขึ้นทุกปีเท่านั้นเอง แต่มันคือสิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนมากต้องมาทำก่อนไปเดินต่อในย่านชินไซบาชิยามค่ำเท่านั้นเอง

ภาพกรุงเทพฯ มุมนี้คลาสสิกมาก ทริปแอดไวเซอร์, อาเซียนเบสโฮเทล, แอร์บีเอ็นบี ฯลฯ และเว็บท่องเที่ยวอีกมากมายต้องมีภาพนี้สำหรับเชิญชวนให้คนมาเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วจะบอกว่าที่หน้าป้ายนี้ไม่ใช่แลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ที่ให้นักท่องเที่ยวมายืนถ่ายภาพก็คงไม่ใช่แล้วล่ะครับ 

สำหรับผมเองผมเป็นคนชอบงานแนว ลอฟท์ (Loft) เป็นพื้นอยู่แล้วงาน ผิวปูนดิบ เนื้องานดิบ ดูแล้วเหมือนงานน้อย แต่กลับให้ความรู้สึกที่มาก และถ้าเป็น Contemporary Loft Design หลังยุค 40-50-60-70's มันคือ งานออกแบบได้ไม่ง่ายเหมือนยุคบุกเบิกที่เน้นงานดิบ ต้องเป็นคนที่อิ่มในความรู้สึกศิลป์และมีชั่วโมงบินอยู่พอสมควร เพราะมันไม่เน้นความดิบและว่างเปล่าเหมือนตอนอีกยุคที่ยังเป็น Mid-Modern Loft Design ในช่วงตลอดหลังสี่สิบปีก่อนอีกแล้ว เพราะในความเป็น Contemporary ที่เริ่มมีสีสันและองค์ประกอบที่เปลี่ยนไม่เคยหยุดของตัวมันเอง มันจะบอกตัวเองว่ามันคืองานแนวลอฟท์ที่ถูกดีซายด์ออกมายุคไหน 

มันไม่ต่างกับ น้อยแต่มาก (Less is More) ตามแบบของ มินิมอล (Minimal) หรอกครับ เพียงแต่ลอฟท์มันมีแนวทางของตัวเอง แล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ด้วยความเป็น Contemporary แต่ละยุคตามกาลเวลาของมันเองบนเนื้อผิวที่ดิบของปูนและคอนกรีต และสีสันที่เพิ่มขึ้นตามยุคของมัน

ป้ายนี้ถูกสร้างในยุค คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย มันเรียบง่าย สวยด้วยตัวของมันเอง ฟอนต์สวยงาม ตามแบบของตัวเอง ไม่ใช่ดูทื่อ ๆ แบบฟอนต์ราชการแบบที่สมัยนั้นชอบใช้กัน มีความเป็น Contemporary ของยุคนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ดูสวยข้ามเวลาจนถึงทุกวันนี้

รสนิยมดี ๆ มันซื้อหากันด้วยเงินไม่ได้จริง ๆ มันเกิดจากการบ่มเพาะในความคิดด้วยเวลาชีวิตของคนแต่ละคน 

ส.ต่อต้านโรคมะเร็ง "เสริมพลังกาย สร้างพลังใจ ให้กับผู้ป่วยฉายรังสี" ต้านโรคมะเร็ง

สมาคมต่อต้านโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย พลตรีเสริม ภู่หิรัญ นายกสมาคม ร่วมกับงานการพยาบาลรังสีวิทยา ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช โดยนางสาวพรทิพย์ พานิชเจริญวงค์  หัวหน้างานการพยาบาลรังสีวิทยา และโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยนางรัชนีพร ภัทรปกรณ์ หัวหน้าโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล ร่วมจัดกิจกรรมโครงการเสริมพลังกายสร้างพลังใจกับผู้ป่วยฉายรังสี เมื่อวันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2567 ณ สมาคมต่อต้านโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กิจกรรมประกอบด้วย การสอนกายภาพ ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลหลังการฉายรังสี สอนการทำตุ๊กตาการบูร เป็น
อีกทั้ง ได้ร่วมทำบุญโดยมอบเก้าอี้อาบน้ำ สำหรับผู้ป่วย จำนวน 8 ตัว บริจาคเครื่องซักผ้า จำนวน 2 เครื่อง พร้อมจัดอาหารมื้อเย็นให้บริการแก่ผู้ป่วย ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘ในหลวง ร.10’ พระราชทานชื่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง นามว่า ‘นัคราพิพัฒน์’ แปลว่า ‘ความเจริญแห่งเมือง’

(30 พ.ค. 67) ตามที่ กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะรอง (Feeder) เพื่อเชื่อมต่อและขยายโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้มีความสมบูรณ์ รองรับการเดินทางของประชาชน โดยได้นำระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ประชาชนแล้วเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลืองฯ ว่า ‘นัคราพิพัฒน์’ (นัก-คะ-รา-พิ-พัด) Nakkhara Phiphat ซึ่งมีความหมายว่า ‘ความเจริญแห่งเมือง’ นำมาซึ่งความปีติยินดีและสิริมงคลแก่กระทรวงคมนาคม รฟม. และประชาชนผู้ใช้บริการเป็นอย่างยิ่ง

โดย กระทรวงคมนาคม และ รฟม. จะยังมุ่งมั่นพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางรางให้มีความสมบูรณ์ อำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชน และเพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอดเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนด้านการคมนาคมและการบริการขนส่งสาธารณะต่อไป

สำหรับ รถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์ มีระยะทางรวม 30.4 กิโลเมตร เป็นโครงสร้างทางวิ่งยกระดับตลอดสาย มีสถานีให้บริการทั้งสิ้น 23 สถานี เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 24.00 น. โดยตลอดเส้นทางมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายหลักอีก 4 สาย ได้แก่ สถานีลาดพร้าว เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) สถานีแยกลำสาลี เชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) สถานีหัวหมากเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และรถไฟสายตะวันออก และสถานีสำโรง เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ

พร้อมกันนี้ ผู้ใช้รถยนต์ยังสามารถนำรถมาจอดได้ที่อาคารจอดแล้วจรสถานีศรีเอี่ยมและที่อาคารจอดแล้วจรสถานีลาดพร้าว เพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 05.00 - 01.00 น.

สำรวจความนิยมคนไทยในรถ EV หดจาก 31% เหลือ 20% สวนทางความนิยม 'ไฮบริด' ที่หวนพุ่งแรงแตะ 19%

เมื่อไม่นานมานี้ ‘ดีลอยท์ ประเทศไทย’ เผยผลสำรวจ ‘2024 Global Automotive Consumer Study’ พบว่าความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) ของคนไทย ลดลงจากปีที่ผ่านมา จาก 31% เหลือเพียง 20% ขณะที่รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) แม้ยังคงเป็นทางเลือกอันดับ 1 แต่มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ รถยนต์ไฮบริด (Hybrid electric vehicle: HEV) กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป็น 19% เกือบจะเท่ากับ BEV

คุณภาพของสินค้ายังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสูงสุด 53% โดยปัจจัยที่คนให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อคือ คุณสมบัติของรถ สมรรถนะ และ ปัจจัยด้านราคา ในสัดส่วนที่ 53%, 51% และ 47% ตามลำดับ

เหตุผลอันดับแรกที่คนไทยเลือกใช้ BEV คือ ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลง 73% เป็นเหตุผลเดียวกันกับการเลือกใช้ HEV/PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ในอัตราส่วนเท่ากันที่ 73% ในขณะที่เหตุผลในการเลือกใช้ ICE อันดับแรกคือ ต้องการตัดความกังวลด้านระยะทางและการชาร์จ 78%

ดีลอยท์ฯ ได้ทำการสำรวจผู้บริโภคจำนวนกว่า 27,000 คนจาก 26 ประเทศทั่วโลก ในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.66 เกี่ยวกับความคิดเห็นในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคยานยนต์ ครอบคลุมผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 5,939 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคคนไทยประมาณ 1,000 คน โดยได้ทำการวิเคราะห์ร่วมกับผลการสำรวจข้อมูล Thailand Automotive Consumer Survey 2024 ที่ดีลอยท์ ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจในช่วงเดือน เม.ย.67 กับผู้บริโภคคนไทยอีก 330 คน

*แนวโน้มและมุมมองผู้บริโภคต่อยานยนต์ไฟฟ้า

ผลสำรวจในปี 2567 พบว่าความนิยมของคนไทยในรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ลดลงจากปีที่ผ่านมา จาก 31% เหลือเพียง 20% โดยรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยังคงเป็นทางเลือกอันดับ 1 แต่แนวโน้มลดลงมาเรื่อย ๆ จาก 36% เหลือเพียง 32% ขณะที่รถยนต์ไฮบริด (HEV) กลายเป็นทางเลือกที่ร้อนแรงขึ้นมา โดยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเกือบจะเท่ากับ BEV จาก 10% ในปี 66 เป็น 19%

แนวโน้มความนิยมของคนไทยต่อ ICE สอดคล้องกับ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน แต่สวนทางกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่ความนิยมใน ICE ดีดตัวสูงขึ้น สำหรับตลาดรถมือสองในไทย ICE (Internal Combustion Engine) เป็นทางเลือกอันดับ 1 ที่ 54% ตามมาด้วยกลุ่มรถไฮบริด (HEV) และ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ที่ 38% รั้งท้ายด้วย BEV ที่ 9%

เมื่อวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่คนไทยเลือกใช้ BEV พบว่า 73% ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลง 71% กังวลกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และ 49% ได้แก่ ความกังวลกับสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัว และ ประหยัดเรื่องค่าบำรุงรักษา ส่วนเหตุผลคนที่ไทยเลือก HEV/PHEV พบว่า 73% ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลง 68% ต้องการตัดความกังวลด้านระยะทาง และ 37% ต้องการลดปัญหาฝุ่น ควัน และก๊าซเรือนกระจก

และสำหรับกลุ่มที่เลือกใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือ ICE 78% ต้องการตัดความกังวลด้านระยะทางและการชาร์จ 67% ต้องการตัดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่อยู่เหนือความคาดหมาย (เช่น แบตเตอรี่ หรือระบบที่เกี่ยวข้อง) และ 52% ต้องการความยืดหยุ่นในการบำรุงรักษา และการปรับแต่ง

จากการสำรวจ พบว่า คนไทยเปิดรับกับ BEV มากขึ้น โดยความกังวลของคนไทยที่มีต่อ BEV ระหว่างปี 66 และ 67 ในภาพรวมปรับลดลงทุกมิติ โดยมิติที่กังวลสูงสุด ได้แก่ สถานีชาร์จสาธารณะไม่เพียงพอ ปรับลดจาก 48% เป็น 46% ระยะทางในการขับ ปรับลด จาก 44% ในปี 66 เป็น 39% ผลสำรวจพบว่า คนไทยปรับตัวกับเวลาในการชาร์จรถได้นานขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยช่วงเวลาที่รับได้มากที่สุดขยับมาอยู่ที่เวลาประมาณ 21- 40 นาที ที่ 38% ขยับเพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่ 25%

การชาร์จไฟฟ้าที่บ้านยังคงเป็นความต้องการสูงที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางเลือกในการชาร์จไฟฟ้านอกบ้านของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยสถานีบริการน้ำมัน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปีที่แล้วเป็น 34% ในปีนี้ ที่น่าสนใจคือความนิยมในการชาร์จไฟฟ้าที่ไหนก็ได้ เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 29% การชาร์จไฟฟ้าที่สถานีเฉพาะสำหรับ BEV ปรับลดลงมาจาก 51% เหลือเพียง 21% ส่วนระยะทางคาดหวังระยะวิ่งได้ต่อการชาร์จต่อครั้งขยับสูงขึ้นเล็กน้อย โดยข้อมูลในปี 67 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 44% มีความเห็นว่าระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ควรมีระยะทางระหว่าง 300 ถึง 499 กิโลเมตร

*ปัจจัยในการซื้อรถของคนไทย

ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถคันต่อไปมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยปัจจัยเรื่องราคาเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 66 เป็น 47% ด้านสมรรถนะปรับเพิ่มขึ้นจาก 26% เป็น 51% และ คุณสมบัติต่าง ๆ ของรถ ปรับเพิ่มขึ้นจาก 49% เป็น 53% คุณภาพของสินค้า ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสูงสุดในปี 67 แต่ลดจาก 64% เป็น 53% ความคุ้นเคยในแบรนด์ปรับลดจาก 33% เป็น 31% ภาพลักษณ์ของแบรนด์ปรับลดจาก 37% เป็น 34%

ผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามคนไทย 64% มีความสนใจที่จะลองใช้แบรนด์ใหม่ ๆ สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค ในอัตราที่เท่า ๆ กับมาเลเซีย แต่รองจากเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ด้วยเหตุผลว่า มีเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการ (52%) อยากลองอะไรใหม่ ๆ (49%) และมองหารถที่ราคาจับต้องได้ (36%)

สำหรับประสบการณ์ในการซื้อรถของคนไทย ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น VR หรือ AR ที่สามารถมอบประสบการณ์ในการเลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ และความสะดวกจากธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ แต่คนไทยถึง 92% ยังต้องการที่จะได้สัมผัสตัวรถจริงก่อนการตัดสินใจ โดย 91% ต้องการทดลองขับรถจริงก่อน ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากับการได้เจรจาในรายละเอียดต่าง ๆ กับพนักงานขาย คนไทย 74% สะดวกจ่ายเงินด้วยการผ่อนชำระ 21% ต้องการซื้อรถด้วยเงินสด และ 5% ต้องการผ่อนแบบบอลลูน

แต่คนไทยรุ่นใหม่ (ช่วงอายุ 18-34 ปี) 47% สนใจบริการแบบสมัครสมาชิก (Vehicle Subscriptions) มากกว่าการเป็นเจ้าของรถ โดยผู้ตอบแบบสอบถามคนไทย 82% ตอบว่าค่าบำรุงรักษาและราคาอะไหล่ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกรุ่นรถมากถึงมากที่สุด โดย 63% ยินดีจะซื้อแพ็กเกจค่าบำรุงรักษาแบบเหมาจ่าย ได้แก่ น้ำมันเครื่อง อะไหล่สิ้นเปลือง และ ค่าบริการ และ 84% ยินดีที่จะซื้อประกันอุบัติเหตุสำหรับแบตเตอรี่หากใช้รถ BEV

"การเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคทั่วโลก ช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ ทั้งในระดับโลก และ ระดับภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ในการยกระดับคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ในปี 2024 รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากประหยัดน้ำมัน ลดความกังวลเรื่องระยะทาง และลดการปล่อยมลพิษ นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค ช่วยให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ สามารถปรับตัวรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า และปรับกลยุทธ์การขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ" มร. ซอง จิน ลี Automotive Sector Leader, ดีลอยท์ เซาท์อีสต์เอเชีย กล่าว

นายมงคล สมผล Automotive Sector Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า "ความเข้าใจในมุมมองของผู้บริโภคทำให้เรามองเห็นทิศทางในการปรับตัวของอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สถานีชาร์จ สินเชื่อ สื่อสาร หรือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องปรับตัวไปพร้อม ๆ กัน ผู้ผลิตที่สามารถนำเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าและให้ความมั่นใจในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกินของลูกค้าในระยะยาวได้ จะได้รับความเชื่อมั่นซึ่งจะกลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว สำหรับผู้บริโภค ก็จะได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันที่ดุเดือด มีทางเลือกที่หลากหลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งตัวรถเอง ผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์"

นายโชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการฝ่าย Clients & Market ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า "เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดยานยนต์ในประเทศไทย ผลจากการวิเคราะห์แนวโน้มและเก็บข้อมูลตามบริบทจากรายงานต่าง ๆ ของดีลอยท์ยืนยันให้เห็นแล้ว ว่าคนไทยไม่ได้คิดแบบเดิมอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ"

ส่อง 10 ประเทศที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปี 2567

ปัจจุบันโลกใบนี้มีอยู่ 196 ประเทศ โดยแต่ละประเทศต่างมีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์, วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่ต่างกันไป แต่ในบรรดาประเทศเหล่านี้นั้น ประเทศที่ใหญ่ที่สุดตามพื้นที่มักจะมีความโดดเด่นในทางเศรษฐศาสตร์โลก รวมถึงบทบาททางภูมิศาสตร์ต่อโลกไม่น้อย และนี่คือประเทศระดับบิ๊กที่ว่า...

1. รัสเซีย ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปและเอเชีย ไม่เพียงแต่เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังเป็นผู้เล่นหลักในตลาดพลังงานโลก ด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันกว้างใหญ่ ที่รวมถึง น้ำมัน และ ก๊าซ นั่นเอง

2. แคนาดา อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่ป่าไม้ขนาดใหญ่และทรัพยากรน้ำจืด มีความสำคัญอย่างมากในภาคพลังงานและวัสดุ 

3. สหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นเพียงประเทศที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ผ่านตลาดการเงินการซื้อขาย หุ้น, ดัชนี และ สินค้าโภคภัณฑ์

4. จีน มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลกและใหญ่เป็นอันดับสอง จีนเป็นศูนย์กลางของการซื้อขายในตลาดที่หลากหลาย ตั้งแต่โลหะอุตสาหกรรมไปจนถึงหุ้นเทคโนโลยี บริษัทจีนมีบทบาทอย่างมากในตลาดทุนทั่วโลกในปัจจุบัน

5. บราซิล อีกหนึ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ โดดเด่นด้วยสินค้าเกษตรที่ขึ้นชื่อ เช่น กาแฟ และ น้ำตาล รวมถึงยังโดดเด่นในด้านพลังงานหมุนเวียน ป่าฝนและแหล่งน้ำอันกว้างใหญ่

6. ออสเตรเลีย การส่งออกแร่ธาตุและทรัพยากรเป็นจุดแข็งที่สำคัญของออสเตรเลีย ทั้งแร่เหล็กและถ่านหิน และด้วยเศรษฐกิจในการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้มีความแข็งแกร่งในตลาดตราสารทุนอีกด้วย

7. อินเดีย มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายใต้การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและบริการที่สำคัญใหม่ จนทำให้เกิดโอกาสมากมายทางการค้า ตั้งแต่หุ้นเทคโนโลยีไปจนถึงสินค้าเกษตร

8. อาร์เจนตินา โดดเด่นที่ภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเหลือง และการส่งออกเนื้อวัว

9. คาซัคสถาน อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีความสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่สนใจสินค้าโภคภัณฑ์พลังงาน รวมถึงน้ำมัน ยูเรเนียม และถ่านหิน

10. แอลจีเรีย อีกหนึ่งประเทศที่มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในระดับแกนหลักของตลาดพลังงานที่มองข้ามไม่ได้

แฟนคลับ 'พี่จอง-คัลแลน' ปลื้ม!! ได้เจอตัวจริง แต่ไม่เข้าไปรบกวน สุดท้าย 2 หนุ่มชวนมาถ่ายรูปเอง สร้างความประทับใจแบบสุดๆ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘คัลแลน พี่จอง Fanpage’ ได้แชร์เรื่องราวน่ารัก ๆ ของ FC คุณภาพ ที่เจอ ‘พี่จอง-คัลแลน’ แต่ไม่ได้เข้าไปรบกวนในระหว่างที่ทั้งสองกำลังถ่ายคลิปอยู่ โดยระบุว่า…

เปิดใจ FC คุณภาพ แค่มองตาผ่านหมวกกันน็อค ก็จำได้ ใด ๆ คือน้องถูกที่ ถูกเวลา วางตัวเหมาะสม เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ชื่นชมค่ะ จากน้องซีอิ๊ว Aurora Agust D มาบอกเล่าเรื่องประทับใจในวันนั้น…

”ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะไปตั้งแคมป์กันที่อุทยาน แต่พอไปถึง พี่ ๆ ที่อุทยานบอกว่าเขาปิดไม่ให้กางเต็นท์ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม (ด้วยความที่ไม่ได้หาข้อมูลก่อนไป) เลยได้คุยกับพี่ ๆอุทยานสักพักใหญ่เลยค่ะ ระหว่างทางขึ้นไปเจอพี่คัลแลนกับพี่จองอยู่แล้วค่ะ ขับแซงกันไปแซงกันมา เพราะฝนตกถนนลื่นมาก ขับเร็วไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเขา

คิดแค่ว่าเป็นนักท่องเที่ยวขับรถเที่ยวเหมือนเรา พอถึงอุทยานคุยกับพี่ที่อุทยานกำลังเครียดเลยค่ะ เพราะไม่ได้จองที่พักใด ๆ ไว้เลย พอ 2 หนุ่มขับรถมาถึงหน้าอุทยาน หนูยังคุยกับแฟนอยู่เลยค่ะ ว่าไม่ใช่พี่สองคนนี้มาตั้งแคมป์เหมือนเรานะ

พอเขาขับรถเข้ามาเท่านั้นแหละ ไม่ได้สังเกตคันหน้าเลยค่ะ แต่พอคันหลังเท่านั้นแหละ เห็นแค่ตาเขานะคะ  (หน้าหนูตามรีแอคที่ทุกคนเห็นเลยค่ะ5555) หนูกรี๊ดไม่ออกเลยค่ะ อึ้งมาก ตกใจมากก ดีใจมาก หนูไม่คิดว่าเป็นเขา หนูไม่ได้เตรียมใจมา55555

พี่จอง : ขับรถเข้ามา "มีห้องน้ำไมคับ"
เจ้าหน้าที่ : ห้ะ?
พี่คัลแลน : "ห้องน้ำมีไหมครับ"
น้อง : หันไปพูดกับพี่เจ้าหน้าที่ "ห้องน้ำค่ะพี่"
เจ้าหน้าที่ : "อ๋ออ... Toilet. นี่ ๆ" ชี้ไปที่ห้องน้ำ
พี่จอง-พี่คัลแลน : "อ๊าา..ขอบคุณมาก ๆ ครับ"

หนูรีบเดินไปบอกพี่เจ้าหน้าที่ว่า เขาพูดภาษาไทยได้นะคะ แต่พี่เขาน่าจะไม่เชื่อหนู5555 เขาบอกหนูด้วยนะคะ ว่า 2 คนนี้น่าจะเป็นคนจีนหรือเกาหลีนี่แหละ หนูทำได้แค่ยิ้ม ๆ แล้วก็บอกเขาว่าหนูรู้จักเขา เป็นแฟนคลับเขาดังมากเป็นยูทูบเบอร์ 

ไม่กล้าเข้าไปใกล้เลยค่ะ เกรงใจเขา พี่เขาสองคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็น fc ในกล้องเป็นยังไง ตัวจริงเป็นอย่างนั้นเลยค่ะ แต่แอบผอมกว่านิดนึง หล่อ เท่ห์ ครบรส มองไม่เบื่อเลยค่ะ5555 รอจนพี่เขาทำธุระกันเสร็จ วินาทีนั้นไม่รู้ว่าต้องทำยังไง สวัสดีก่อนเลยค่ะ กะจะขอเข้าไปถ่ายรูป กล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเห็นเขาถ่ายอยู่ กลัวรบกวนเขา จนพี่คัลแลนเก็บกล้องแล้วหันมาบอกว่า "ถ่ายรูปด้วยกันได้ครับ" น้ำตาจะไหล ใจดีที่หนึ่ง เฟรนลี่มาก ประทับใจสุด ๆ

อ้อ..แล้วก็ที่จริงที่อุทยานพี่เจ้าหน้าที่ใจดีมากเขาไม่ได้เก็บค่าเข้านะคะ ทั้งพี่จองพี่คัลแลนแล้วก็พวกหนูอีก 3 คน ให้เข้าฟรีเพราะเขาใกล้ปิดไม่มีคนแล้วค่ะ แต่พี่ ๆ เขาจะจ่ายให้ได้เลย ตามในคลิปเลย แสนดีที่หนึ่ง เป็นทริปที่ลาพักร้อนที่ดีที่สุดในชีวิตเลยค่ะ เหมือนหนูได้ใช้แต้มบุญที่สั่งสมมาจนหมดแล้ว”

ขอให้น้องเก็บความทรงจำดี ๆ ไว้ ความพิเศษในวันธรรมดา แค่เข้าป่า..ก็ได้เจอ ..

ขอบคุณเรื่องราวใจฟูที่แบ่งปันกันนะคะ..
ส่วนแอดมินจะรอวันได้ใช้แต้มบุญใจฟูค่ะ.. รักนะ..รู้ใช่มั้ย

‘บุ๋ม’ ขอโทษ ‘รปภ.’ ปมดรามาลูกชายเกิดอุบัติเหตุ ชี้!! เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย หลังรู้สึกไม่ดีมาโดยตลอด

(30 พ.ค.67) จากกรณีดรามาต่อเนื่องหลายวันเรื่องราวอุบัติเหตุ น้องอเล็กซ์ ลูกชาย ‘บุ๋ม ปนัดดา’ ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างจะรุนแรง โดย บุ๋ม ออกมาโพสต์ด้วยความตกใจ ก่อนจะกลายเป็นประเด็นร้อนแรงดรามาถล่มทลาย

ล่าสุด ‘บุ๋ม ปนัดดา’ โพสต์ภาพกับ รปภ.ที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุวันนั้น พร้อมข้อความได้เคลียร์ใจกับ รปภ.เข้าใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วว่า

“วันนี้เคลียร์ใจขอโทษพี่ รปภ. เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย รู้สึกไม่ดีมาโดยตลอด พี่ รปภ.ยังกลับมาดูแลกันเหมือนเดิม

ขอบคุณมาก ๆ นะคะ พี่เขาก็เครียดเพราะตอนน้องล้มได้ยินเสียงกระแทกกึกดังมาก และบุ๋มอยากขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงอาการของน้องด้วยนะคะ

ส่วนพี่เลี้ยง จบตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ที่เข้าใจและต่อว่า บุ๋มไม่ว่าอะไรเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ”

'ฟ้าคราม' อึ้ง!! ฟังเพื่อนต่างชาติ 'รีวิวประเทศไทย’ ชม 'ทุกอย่าง-ให้คะแนนสูง' แถมชวนชาวโลกมาเที่ยวไทย

ไม่นานมานี้ ช่องติ๊กต๊อก 'ฟ้าคราม' (@fhakram.chavit) โดยคุณชวิศร์ ชูประทุม อินฟลูฯ อาสา ได้นำเสนอคลิปสัมภาษณ์เพื่อนชาวฝรั่งเศสที่ได้มาเมืองไทย ในหัวข้อ ‘รีวิวประเทศไทย’ ที่พอฟังจบแล้ว หลายคนน่าจะอดยิ้มไม่ได้กันเลยทีเดียว โดยสาระสำคัญของบทสนทนาดังกล่าว มีดังนี้... 

ฟ้าคราม : ผมขอถามอะไรพวกคุณได้ไหม?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : ได้เลย

ฟ้าคราม : คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการเดินทางในประเทศไทย?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : เดินทางง่ายมาก มีทั้งรถไฟและเรือ

ฟ้าคราม : แล้วสัญญาณโทรศัพท์ 5G ในประเทศไทยล่ะ?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : เร็วมาก ครอบคลุมทุกที่เลย เราซื้อซิมที่ 7-11 สำหรับ 1 เดือน มันยอดเยี่ยมมาก และง่ายมากๆ สำหรับเรา

ฟ้าคราม : ถ้าให้บอกความรู้สึกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย ตลอด 1 เดือน ให้กับผู้คนทั่วโลกได้รู้ จะบอกอะไร?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : เป็นประเทศที่ดีมากๆ ราคาสินค้าก็ไม่แพง คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสะดวกสบาย / มีกิจกรรมให้ทำมากมาย อาหารก็อร่อยมาก แถมไม่แพงเกินไป ทุกๆ อย่างในเมืองไทยทำให้ง่ายสำหรับการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยว ทุกคนควรมาเที่ยวที่ประเทศไทย

ฟ้าคราม : บอกหน่อยได้ไหม 'อาหารไทย' ที่คุณชอบคืออะไร?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : สำหรับฉัน 'ข้าวซอย' อร่อยมาก 'ผัดไทย' ก็เช่นกัน

ฟ้าคราม : ถ้ามีคนอยากมาเที่ยวประเทศไทย สิ่งที่พวกคุณอยากจะแนะนำเขาคือ?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : ถ้าพวกเขาชอบหรืออยากจะมาปาร์ตี้ เขาต้องไปภาคใต้ของประเทศไทย แต่ถ้าพวกเขาอยากเยี่ยมชม-ศึกษาวัฒนธรรม ฉันคิดว่าเขาควรจะไปทั้งภาคเหนือและภาคใต้เลย แล้วจะให้ดีควรเช่ามอไซต์ด้วย เพราะราคาถูกมาก ต้องเช่าให้ได้เลย

ฟ้าคราม : ให้คะแนนประเทศไทยหน่อย เต็ม 10 ให้เท่าไร?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : ให้ 9 ถึง 10 เลย

ฟ้าคราม : คำถามสุดท้าย บอกมา 1 สิ่ง ที่คุณนึกถึงเกี่ยวกับประเทศไทย?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : สำหรับฉันคือ อิสระ เสรีภาพ 

ฟ้าคราม : ทำไมถึงเป็น อิสระ เสรีภาพ? (ถามเพื่อนคนแรก)
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : มันสะดวกสบายในการใช้ชีวิต มีกฎเกณฑ์น้อยกว่าประเทศอื่น เป็นประเทศที่มีอิสระและเสรีภาพมากๆ 

ฟ้าคราม : แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรเกี่ยวกับประเทศไทย? (ถามเพื่อนอีกคน)
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : ฉันรักมอไซต์ที่ประเทศไทยมากๆ รักการเดินทางโดยมอเตอร์ไซค์ มันเหมือนกับว่า ในหนึ่งวันเราได้อิสระที่จะสามารถไปได้ทุกที่ได้อย่าง ‘รวดเร็ว’ และ ‘ง่ายดาย’ ที่สำคัญ 7-11 ก็เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมา / เพราะถ้าคุณหิว คุณสามารถไปหาอะไรทานได้ตลอดเวลา ตามที่คุณต้องการ

ฟ้าคราม : แสดงว่านักท่องเที่ยวจะไม่สามารถอยู่ได้ โดยไม่มี 7-11?
เพื่อนชาวฝรั่งเศส : มันน่าจะยากมากๆ ถ้าหากเราต้องอยู่โดยไม่มี 7-11 แต่ตอนนี้มันมีตั้งอยู่ทุกที่บนท้องถนน

โดยสรุปแล้ว มุมมองจากบทสนทนานี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศในหลายด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวกสบาย อาหารแสนอร่อย และราคาไม่แพง / สัญญาณ 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ / 7-11 ที่ง่ายต่อการหาอะไรกินแบบ 24 ชม. / มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และมีอิสระเสรีภาพ มากๆ 

เรียกได้ว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าภูมิใจจริงๆ ที่ชาวต่างชาติมีความสุขกับการมาเยือนไทยและประทับใจในหลายๆ เรื่อง จนให้คะแนนในระดับสูง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top