Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

'หมอเหรียญทอง' บอก!! พรรคล้มล้างการปกครองวางแผนหวังเด็ดหัว เตรียมสร้างภาพจับกุม ชะลอประกันตัว แล้วก่อเหตุการณ์สังหารตน

(16 พ.ค.67) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ทีมข่าวแจ้งให้ผมทราบว่าขบวนการล้มล้างการปกครองโดยนักการเมืองต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ออกหมายจับผมโดยไม่ต้องออกหมายเรียก พูดง่าย ๆ ว่าตำรวจจับผมเลย ไม่ต้องออกหมายเรียกผมก่อน เพราะต้องการภาพการจับกุมผมเข้าคุกให้เกิดความสะใจแล้วชะลอการประกันตัว หลังจากเข้าคุกในสถานีตำรวจแล้วจะเกิดเหตุการณ์สังหารผม เช่น ผมฆ่าตัวตายเอง ด้วยสมมุติฐานว่าผมอับอายเสียใจต่อกรณีที่เกิดขึ้น มีกระบวนการคิดและวางแผนกันอย่างเป็นระบบเชียวนะครับ เพราะนี่คือโอกาสจัดการผมที่ขบวนการล้มล้างการปกครองเชื่อว่าผมคือผู้นำประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

ผมขอเรียนให้ทราบว่าคนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้องต้องจับกุมในทันทีขณะนี้ คือ ไอ้กุ๊ยขยะสังคม ข้อหาครอบครอง 'เฮโรอีน' หรือสารเสพติดให้โทษต่างหากครับ

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง หรือ สน.ไหน ๆ ก็จับกุมผู้ครอบครองยาเสพติดทันทีกันทั้งนั้น แล้วทำไมไอ้กุ๊ยขยะสังคมตัวนี้จึงได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ถูกจับกุมในทันทีล่ะครับ หรือว่าเพราะมี สส.จากพรรคล้มล้างการปกครองสนับสนุนไอ้กุ๊ยขยะสังคม

ส่วนผมนั้นไม่มีพฤติกรรมหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งประกอบสัมมาชีพชัดเจน ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีใด ๆ ทั้งสิ้น แค่โทรศัพท์มา ผมก็เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ดังนั้นทำไมจะออกหมายเรียกแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้ล่ะครับ ทั้งยังต้องได้รับการประกันตัวสู้คดีเสียด้วยซ้ำ

ทั้ง ๆ ที่ไอ้กุ๊ยขยะสังคมเป็นผู้รับเองต่อหน้านักข่าวที่ไปทำข่าวที่ สน.ทุ่งสองห้อง ว่า 'เฮโรอีน' ในซองพร้อมอุปกรณ์เสพซึ่งอยู่ในครอบครองนั้นเป็นของมันเอง มันซื้อมาและใช้เสพ มันให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ สน.ทุ่งสองห้อง เมื่อเย็นวันที่ 15 พ.ค.67

ผมขอเรียนให้สาธารณชนทราบทั่วกันว่าในทันทีที่แม่ของไอ้กุ๊ยและนักการเมืองจากพรรคล้มล้างการปกครองซึ่งต้องการจัดฉากนำนักข่าวจำนวนมากมาทำข่าวการรับสิ่งของส่วนตัวของไอ้กุ๊ยขยะสังคม

ในทันทีที่ปรากฎว่ามี 'ซองพร้อมผงเฮโรอีน' ที่ไอ้กุ๊ยขยะสังคม เรียกว่า 'ผงแป้ง' ทั้งแม่ และ สส.จากพรรคล้มล้างการปกครอง ล้วนหน้าเสียกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะนักข่าวถ่ายภาพและคลิป นักข่าวทั้งหมดรู้ดีว่านี่คือ 'ซองบรรจุผงยาเสพติด' พร้อมทั้งอุปกรณ์การเสพยาคล้าย ๆหลอดดูดยาคูลต์ (ขณะนั้นผมยังไม่ทราบเรื่องเพราะกำลังสัมภาษณ์แพทย์เฉพาะทาง)

หลังจากนั้นทั้งแม่และคณะก็พยายามชี้แจงนักข่าวที่ติดตามคณะมาในทำนองว่ามีการยัดข้อหา ยัดยาเสพติดให้แก่ไอ้กุ๊ยขยะสังคม ผมขอเรียนว่าใครก็ตามที่ใส่ความเท็จ ให้ร้ายว่าผมหรือบุคลากรในสังกัด รพ.มงกุฎวัฒนะในทำนองยัดสารเสพติด ยัดข้อหาไอ้กุ๊ยขยะสังคม ก็เตรียมตัวรับหมายศาลกันถ้วนหน้า ผมจัดหนักสุด ๆ ก็แล้วกัน

นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะปฏิบัติการตีโต้ตอบแม่ของไอ้กุ๊ยขยะสังคมที่ปล่อยปละละเลยบุตรชายของตนเองออกมาสร้างปัญหาสังคม แม่ของไอ้กุ๊ยสัมภาษณ์กับนักข่าวเองนะครับว่า 'ไอ้กุ๊ย' ไม่ได้อยู่กับแม่ ต่างคนต่างอยู่ นั่นหมายความว่า แม่ทอดทิ้งลูกอายุ 14 ไม่เลี้ยงดู ไม่อบอรมสั่งสอนจนกลายเป็นปัญหาสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมเอง

ดังนั้นเมื่อแม่เป็นผู้รับว่าตนเองเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายในการแจ้งความดำเนินคดีเพื่อให้ผมรับผิดแล้ว ผมซึ่งเป็นผู้เสียหายจากไอ้กุ๊ยขยะสังคมซึ่งเป็นลูกในความรับผิดชอบของแม่ จึงขอดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อให้แม่รับผิดชอบจากการที่แม่ทอดทิ้งลูกอายุ 14 ไม่อบอรมสั่งสอนให้เป็นพลเมืองดีจนสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ผม , บุคลากร ตลอดจน รพ.มงกุฎวัฒนะด้วยเช่นกัน

นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะปฏิบัติการตีโต้ตอบอย่างรุนแรงทางกฎหมายต่อ 'แม่ผู้สร้างปัญหาสังคม'

>> หมายเหตุ

1. ผองเพื่อนพี่น้องที่ยังพร้อมรบกับผม ไม่ว่าจะทหารหรือพลเรือน จงเตรียมตัวไป สน.ทุ่งสองห้อง ในทันทีที่ตำรวจจับกุมผมโดยไม่ออกหมายเรียกล่วงหน้า

2. น้อง ๆ อดีตนักเรียนนายสิบ รุ่น 'เหรียญทอง' ให้ปฏิบัติการข่าว โดยเร่งด่วนในพื้นที่เขตบางซื่อซึ่งเป็นเขตไอ้กุ๊ยขยะสังคม และเขตหลักสี่ ให้มุ่งเป้าไปที่ขบวนการการเมืองพรรคล้มล้างการปกครองและขบวนการค้ายาเสพติดในชุมชนแออัด

‘ดร.เอ้’ มอง ‘สิงคโปร์’ ใต้การนำของนายกฯ เจนสี่ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ ‘สร้างคน-ชาติ-สังคม’ ใต้ข้อจำกัด เชื่อ!! ไทยก็ทำได้ อยู่ที่ ‘ผู้นำ’

(16 พ.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'เอ้ สุชัชวีร์' ในหัวข้อ 'ผู้นำไทย ควรเรียนรู้จากสิงคโปร์' ระบุว่า...

การสร้างคน สร้างชาติ สร้างสังคม ภายใต้ข้อจำกัด อย่างมหัศจรรย์ #เราทำได้

'ลอว์เรนซ์ หว่อง' ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเจนสี่ ของสิงคโปร์ ประกาศต่อยอด 'คัมภีร์สร้างชาติ' จากผู้นำ 3 รุ่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะจาก 'รัฐบุรุษลี กวนยู'

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ทุกรุ่น เน้นการ 'สร้างคน' สำคัญที่สุดเสมอ โดย 'ลอว์เรนซ์ หว่อง' จะทำอะไรต่อจากนี้ น่าเรียนรู้ยิ่ง...

1. 'แสวงหาคนเก่ง' จากทั่วโลก
ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ได้นักเศรษฐศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ ช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจ ได้นักการทหารอิสราเอล ช่วงวางรากฐานกองทัพ ขณะเริ่มสร้างประเทศสิงคโปร์

'คนเก่ง' มาจากชาติไหนไม่สำคัญ ขอให้มาอยู่ มาช่วยพัฒนาสิงคโปร์ ชาติก็เจริญ

อีกทั้ง จำนวนประชากรสิงคโปร์ เติบโตไม่ทัน 

ลอว์เรนซ์ หว่อง จึงมุ่งให้ทุนการศึกษาเด็กมัธยมต้น จากชาติอาเซียน โดยเฉพาะ 'เด็กไทยชั้นยอด' ให้ไปเรียนมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จบออกมาทำงานในสิงคโปร์ และให้สิทธิ์เป็นพลเมือง พร้อมพ่อแม่ 

แม้ประเทศไทย อาจน่าอยู่ แต่คุณภาพการศึกษา สิ่งแวดล้อม และโอกาสได้งานที่ท้าทาย อาจไม่โดนใจคนรุ่นใหม่ เท่ากับสิงคโปร์ เราจึงสูญเสียยอดเด็กไทยไปอยู่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นทุกปี

2. 'เน้นปัจจัยสี่' สำคัญที่สุด
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน และยารักษาโรค คือ ปัจจัยสี่ คือ พื้นฐานของชีวิต แต่ความท้าทาย คือ แม้พลเมืองจะมีรายได้สูง แต่อาหารและค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน รัฐบาลสิงคโปร์จะลดค่าครองชีพได้อย่างไร 

คนรุ่นใหม่ก็ไม่มีกำลังซื้อบ้าน เพราะที่ดินมีจำกัด ทำให้บ้านราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก 

ลอว์เรนซ์ หว่อง เกิดในบ้านการเคหะ ที่ริเริ่มโดย ลี กวนยู เมื่อ 50 ปีก่อน ผมเคยไปเยี่ยมเมื่อครั้งเป็นประธานการเคหะแห่งชาติ หลายปีก่อน บ้านการเคหะสิงคโปร์แม้ห้องขนาดเล็ก แต่น่าอยู่ สิ่งแวดล้อมดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบ้านการเคหะสิงคโปร์ก็ไม่ได้ราคาถูกในวันนี้

ลอว์เรนซ์ หว่อง สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ มีบ้านของตนเอง ไม่เป็นหนี้เยอะ โดยให้แต้มต่อ คนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ได้ผ่อนบ้านในราคาพิเศษ ที่รัฐช่วยอุดหนุน

ด้านสาธารณสุข สิงคโปร์ประกาศเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีการแพทย์ และยารักษาโรค พึ่งพาตนเองและส่งออกได้ เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้ามหาศาล

เมื่อคนรุ่นใหม่มีบ้านของตนเอง ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ย่อมมีพลังในการทำงาน สร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง

3. 'สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี' คือ ลมหายใจของเมือง
สิงคโปร์ มีโรงงาน มีท่าเรือ มีโรงเผาขยะ แต่แทบไม่มี PM 2.5 จากภายในประเทศ และพื้นที่สีเขียว 66 ตารางเมตรต่อคน มากกว่ากทม. 10 เท่า! 

ลอว์เรนซ์ หว่อง ประกาศว่า คุณภาพชีวิตของคนสิงคโปร์ ตื่นนอนสดชื่น เดินมาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ไม่เกิน 5 นาที กลับบ้านตรงเวลา รถไม่ติด 'น้ำไม่ท่วม' มีเวลากับลูกและครอบครัว ความปลอดภัยต้อง 100% 

เพราะถึงแม้มีเงิน แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี สิ่งแวดล้อมดีจึงทำให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าทำงาน

4. 'สร้างสังคมนวัตกรรม' คือ ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
ลอว์เรนซ์ หว่อง จะต่อยอดนโยบาย ตามอดีตนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ในการเปลี่ยนเศรษฐกิจของสิงคโปร์ จากเมืองท่าสู่บริการการเงิน จากบริการการเงินสู่การส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งสร้างคนจำนวนมาก ด้าน AI คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการแพทย์ และพลังงานทดแทน อย่างจริงจัง

เพราะเศรษฐกิจในอนาคต จะรุ่งเรืองได้ ต้องมาจาก 'เศรษฐกิจนวัตกรรม' ที่อาศัยพลังสมองชั้นยอดของพลเมือง สิงคโปร์จึงต้องเน้นเรื่องการสร้างคน

แม่ของ ลอว์เรนซ์ หว่อง เป็นครูประถม ผู้ทุ่มเทกับการเรียนของลูก จนลูกได้เรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐ ก่อนกลับมาทำงานการเมือง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา เป็นนายกรัฐมนตรี

จึงมั่นใจการขับเคลื่อน เรื่องการศึกษา ในยุคนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง น่าจะก้าวกระโดดเช่นกัน

เมื่อเรียนรู้จากสิงคโปร์แล้ว นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ควรเร่งทำ 4 เรื่องนี้เช่นกัน ต้องไม่ทำงาน 'ฉาบฉวย' แม้แต่เรื่องเฉพาะหน้า ยังแก้ปัญหาไม่เบ็ดเสร็จ

'การศึกษาไทย' ยังวังเวง แทบไม่มีการพัฒนา เพราะนายกฯ ไม่ใส่ใจ 'โรงงานสารเคมี' ถูกปล่อยไว้ ไฟไหม้ซ้ำซาก ทำลายสิ่งแวดล้อม 'บ่อนเสรี' มีเมื่อไม่พร้อม จะกำลังจะมาทำลายอนาคตลูกหลาน 'ยาเสพติด' เต็มเมือง เปิดร้านขายกัญชาได้ที่หน้าโรงเรียน 

อนาคตไทย อยู่ที่ 'ผู้นำ' จะทำเพื่อชาติ หรือ ทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง

ด้วยความห่วงใย และรักชาติยิ่ง

'รัดเกล้า' แชร์มุมมองคนจีนรุ่นใหม่ ผ่านเลนส์ 'ศาสตราจารย์ชื่อดังชาวจีน' ใช้ชีวิตอิสระบนกองมรดก จนไม่สนใจ 'งาน-รายได้' ประจำอีกต่อไป

(16 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี' ความว่า...

เนเน่ดิ่งกลับจากเพชรบุรีมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและแบ่งปันความรู้กับท่าน Prof. Zhang Weiwei, China Institute, Fudan University ผู้เป็นทั้ง lecturer ชื่อดังของจีน และผู้ให้คำปรึกษา Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนค่ะ

วันนี้ได้เรียนรู้หลายเรื่องหลายมิติ เราคุยกัน ครอบคลุมถึงเรื่อง เทคโนโลยี AI เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ฯลฯ

หนึ่งในคำถามในวงสนทนาที่น่าสนใจคือการถามถึง "ปัญหาการจ้างงานขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก สถานการณ์ในประเทศจีนเป็นเช่นไร"

คำตอบของอาจารย์น่าสนใจมาก...อาจารย์บอกว่า ปัญหาของจีนจะแตกต่างจากชาติอื่น เพราะเจนเนอเรชันใหม่ของจีนจำนวนมาก เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะแล้ว...อันนี้ไม่ใช่ว่าอวดรวยนะ แต่เพราะด้วยวัฒนธรรมของจีน (และก่อนหน้านี้ที่ประเทศจีนมี One Child Policy) ทำให้คนรุ่นใหม่ (ที่โดยส่วนใหญ่เป็นลูกคนเดียว) อยู่ในสถานะมีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ค่อนข้างเยอะ ยิ่งถ้าแต่งงานกันแล้วและเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะจะมีมรดกของทั้งฝั่งชายและฝั่งหญิงมารวมกัน

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนจีนรุ่นใหม่ มีทางเลือกเยอะ มีอิสระทางความคิด มีอิสระที่จะตัดสินใจ หลาย ๆ คนไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร กับการไม่มีงานประจำทำ...ปรากฏการณ์นี้ ทำให้จีนมีสังคมรุ่นใหม่ที่เป็นศูนย์รวมของคนที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งหากมองในมิติของเสรีภาพทางความคิดแล้วอาจจะถือว่าเป็นเรื่องดี (และแอบน่าอิจฉา) แต่ในที่ทางเดียวกัน สิ่งนี้มีผลกระทบระยะยาวต่อรายได้ของประเทศ เพราะตลาดแรงงานหดลดลงเรื่อย ๆ

'เศรษฐา' ส่งกำลังใจถึง 'นายกฯ สโลวาเกีย-ครอบครัว' ลั่น!! ขอยืนหยัดเคียงข้างประชาคมทั่วโลก

(16 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า...

“พวกเราตกใจเป็นอย่างมาก สำหรับเหตุการณ์โจมตี นายโรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย และขอประณามการใช้ความรุนแรงดังกล่าว ตลอดจนขอยืนหยัดเคียงข้างประชาคมทั่วโลก และประชาชนชาวสโลวาเกีย ทั้งนี้ ขอส่งกำลังใจไปยังนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ต ฟิโก และครอบครัวในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”

แฉ!! 'ซ้ายใหม่' บ่มเพาะให้ผู้คนรู้สึกเป็นเหยื่อ เพื่อรื้อระบบเก่าแล้วสร้างใหม่  ภายใต้ยุทธศาสตร์ 'ใส่ไฟ' เหมือนอวยเด็กหัดเดินแล้วล้ม เพราะพื้นมันไม่ดี

(16 พ.ค.67) จากเพจ 'ต.ตุลยากร' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ' (Victimhood Culture) ระบุว่า...

สังคมไทยปัจจุบันนั้นกำลังถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดของนักวิชาการฝ่ายซ้ายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสำนักแฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมัน: Frankfurter Schule) 

แนวคิดหลักของสำนักนี้ ได้รับอิทธิพลและพัฒนาแนวคิดต่อยอดมาจากมาร์กซิสต์ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยม รวมถึงแนวคิดเรื่องการปลดปล่อยมนุษย์จากการกดขี่

ซึ่งผลข้างเคียงของการโหมประโคมเรื่องการกดขี่จากระบบ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า 'วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ' (Victimhood Culture)

คนที่ถูกบ่มเพาะความคิดจากฝ่ายซ้ายมักจะเกิดอาการที่คิดว่าตนเองเป็นเหยื่อของระบบ ไม่พยายามที่จะพัฒนาตนเองเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า โทษแต่ว่าที่ชีวิตตัวเองยังย่ำแย่อยู่อย่างนี้ก็เพราะระบบ ดังนั้นวิธีแก้ มีอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ รื้อถอนทำลายระบบปัจจุบัน แล้วสร้างใหม่

ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ เด็กหัดเดินแล้วล้ม พ่อแม่โทษว่าที่ลูกล้มนั้นเพราะพื้นไม่ดี ต้องทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่

แต่ปัญหาคือ ใช่ว่าทุกคนที่คิดเช่นนั้น หลายคนที่เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ในระบบเดียวกัน กลับมีชีวิตที่ดี โดยไม่ต้องโทษคนอื่น

ดังนั้นหากขบวนการฝ่ายซ้ายต้องการให้คนเห็นด้วยว่าระบบที่มีอยู่นี้ไม่ดี ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงให้เห็นถึง 'เหยื่อ' ที่ถูกกดขี่จากระบบอย่างชัดเจน

เมื่อหา 'เหยื่อ' ที่ชัดเจนมาแสดงไม่ได้ ก็เกิดกระบวนการสร้าง 'เหยื่อ' ขึ้นมา แล้วนำโหนเพื่อบอกชาวโลกว่าระบบที่มีอยู่นั้นย่ำแย่

'เหยื่อ' ที่ถูกสร้าง จึงเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานของพวกซ้ายใหม่เท่านั้นเอง

ขอประณามทุกผู้คนที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการสร้างเหยื่อเหล่านี้ครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/sxU25qQCazyCrAxY/?mibextid=oFDknk

'ผอ.แอมเนสตี้' ชวนก๊วนยืนไว้อาลัย ‘บุ้ง’ 1 นาที ลั่น!! พวกคอมเมนต์เย้ย 'รุนแรง-ลดทอน' ศักดิ์ศรีมนุษย์

(16 พ.ค.67) ที่ โรงแรมสยาม@สยาม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรายงาน ‘BEING OURSELVES IS TOO DANGEROUS: อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง’ สะท้อนสถานการณ์การถูกคุกคามของผู้หญิงและกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ต่างตกเป็นเป้าหมายของการสอดส่องด้วยเครื่องมือต่าง ๆ

เวลา 9.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศของงานเต็มไปด้วย นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม และนักขับเคลื่อนประเด็นทางเพศเดินทาง เดินทางมาร่วมงานและเข้าร่วมการเสวนาผ่านระบบการประชุมออนไลน์อย่างคึกคัก อาทิ ไอรีน ข่าน ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก, เช็ชฐา ดาส นักวิจัยและที่ปรึกษาด้านเพศวิถีศึกษาความยุติธรรมทางเพศ ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น, เอลิน่า คาสติโย นักวิจัยและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีกับมนุษยชน และชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

พร้อมด้วย ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นาดา ไชยจิตต์ อาจารย์สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, อังคณา นีละไพจิตร อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และสมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจสหประชาชาติ และ สิรภพ อัตโตหิ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น

เวลา 9.15 น. เปิดคลิปวิดีโอ ‘อันตรายเกินกว่าเป็นตัวเอง’ สะท้อนสถานการณ์การคุกคามและละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศบนสื่อออนไลน์ ผ่านการสปายแวร์เจาะข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียที่มุ่งโจมตีความเป็นส่วนตัวระดับสูง เพื่อบีบให้ยุติบทบาทการเคลื่อนไหว

ต่อมา 9.25 น. นางปิยนุช โครตสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า จากเหตุการณ์ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ ‘บุ้ง’ ที่อดอาหารประท้วงกว่า 110 วัน ที่ถูกจำคุกตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2667 โดยทางการปฏิเสธที่จะให้การประกันตัวต่อบุ้งรวมทั้งนักกิจกรรมอื่น

“ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมของไทย แสดงให้เห็นถึงการที่คน ๆหนึ่ง ออกมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานและการแสดงออก ในความเห็นของเขาไม่ว่าจะความเห็นอะไรก็ตาม สุดท้ายต้องลงเอยด้วยความตาย แทนที่จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงดิฉันขอเชิญทุกท่านที่ร่วมงานวันนี้ร่วมแสดงความเสียใจและรำลึกถึง บุ้ง เนติพร ด้วยการยืนสงบนิ่ง 1 นาที” นางปิยนุชเผย

จากนั้น ได้เชิญผู้เข้าร่วมงานแสดงความไว้อาลัยต่อ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองที่ประท้วงด้วยการอาหารจนเสียชีวิต ด้วยการยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที

ต่อมา นางปิยนุชกล่าวต่อไปว่า วันที่มีการรายงานข่าวการเสียชีวิตของบุ้ง กลับมีการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์หลายรูปแบบ ซึ่งเป็นลักษณะของการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้มีการแสดงความเสียใจจากคนกลุ่มหนึ่ง แต่คนอีกกลุ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเย้ยหยัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโลกดิจิทัลด้วย

“อยากจะให้การเสียชีวิตของเธอเป็นสัญญาณเตือนถึงทางการไทยและพวกเราทุกคน ในการเคารพสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก แล้วก็สิทธิการได้รับการประกันตัว การรักษาความยุติธรรม และการตระหนักเรื่องสิทธิเสรีภาพที่กำลังเกิดขึ้น” นางปิยนุชระบุ

นางปิยนุชกล่าวว่า วันนี้เราเปิดรายงาน “อันตรายเกินกว่าที่จะเป็นตัวเอง บนโลกออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มุ่งปิดปากนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งจัดขึ้นโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘Protect the protest’ ซึ่งเป็นแคมเปญในระดับสากล ที่เรารณรงค์กันมาในระดับสากล

“เราต้องการที่จะนำเสนอเรื่องราว เพื่อปกป้องเรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และส่งเสริมความเคลื่อนไหวท่ามกลางที่ถูกบีบตัว โดยเฉพาะในภาคของประชาสังคม ตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะแสดงตัวเป็นผู้นำในการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ

แต่ความจริงที่ปรากฏในรายงานพบว่า นักกิจกรรมหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกคุกคามต่าง ๆ นานา ทั้งความรุนแรงผ่านภาษา หรือประเด็นทางเพศ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นใครเป็นคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ ผู้หญิง คุณเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลย มันเป็นความล้มเหลวของการปกป้องและคุ้มครองจากภาครัฐต่อคนกลุ่มนี้” นางปิยนุชกล่าว

นางปิยนุชกล่าวต่อว่า เราหวังว่ารายงานนี้จะช่วยให้ทุกคนเห็นถึงเนื้อหา ข้อเสนอแนะถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรมผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกสอดส่องโดยไม่ชอบ ถูกสอดส่องโดยด้วยสปายแวร์ หรือคุกคามบนโลกออนไลน์ เหมือนกันเดินบนกับดักระเบิด ที่เดินไปทางไหนก็โดนทั้งนั้น เราอยากจะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของรัฐ ควรจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ปกป้องพวกเขากันแน่

“เราอยากให้เรื่องราวของนักปกป้องสิทธิเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของสังคม และรัฐก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง และส่งเสริมพวกเขา ให้เขาได้ใช้สิทธิกันอย่างเต็มที่ และเราอยากสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมว่า เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น อยากให้เคารพการแสดงออกและการประท้วง ให้พื้นที่ของพวกเขาโดยที่ไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

สุดท้ายที่สำคัญ คือ เราต้องการที่จะยืนหยัดเคียงข้าง ปกป้องสิทธิ เคียงข้างผู้หญิง ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อที่จะได้สื่อสารเรื่องราวของตัวเอง ด้วยความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ต้องหวาดกลัวการโจมตี หรือ โดนทำร้ายอีกต่อไป” นางปิยนุชทิ้งท้าย 

26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ‘เลาดาแอร์’ สายการบินออสเตรีย เกิดอุบัติเหตุตก ในจ.สุพรรณบุรี คร่าชีวิตไป 223 คน หลังบินสู่ท้องฟ้าได้เพียง 16 นาทีเท่านั้น

เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 767 ของสายการบิน เลาดาแอร์ ประเทศออสเตรีย เส้นทางบิน ฮ่องกง-กรุงเทพฯ-เวียนนา บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือรวม 223 คนทะยานออกจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

หลังบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้เพียง 16 นาทีเศษ ก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องเหนือท้องฟ้าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ พุเตย หมู่ 7 ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเวลา 23.20 น. ชาวบ้านแถวนั้นเห็นดวงไฟขนาดใหญ่ตกจากท้องฟ้าพุ่งลงสู่พื้นดิน ทั้ง 223 คน เสียชีวิต เป็นชาวต่างชาติ 184 คน ชาวไทย 39 คน

จากการตรวจพิสูจน์กล่องดำ พบสาเหตุสำคัญที่สุดคือกลไกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ทรัสต์ รีเวิร์สเซอร์’ (Thrust Reverser) ที่เครื่องยนต์หมายเลข 1 ซึ่งทำหน้าที่ชะลอความเร็วของเครื่องบินขณะบินลงเกิดทำงานขึ้นกะทันหันอย่างไม่รู้สาเหตุ ขณะที่เครื่องบินยังอยู่สูงบนท้องฟ้าที่ระดับความสูง 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ประกอบกับนักบินที่ 1 ไม่เชื่อไฟสัญญาณเตือนภัยที่กะพริบขึ้นมาในระยะที่เครื่องบินกำลังบินสูงราว 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แล้วไม่ตรวจสอบแก้ไข จึงก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมสลดครั้งนี้

โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาล ปฏิบัติภารกิจจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุม ชั้น 25 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าว ความพร้อมศึกมวยสากลชิงตั๋วโอลิมปิก 2024 เปิดตัว 6 กำปั้นไทยได้ลุ้นโควต้าในบ้าน โดยมี นายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ 

โอกาสนี้ พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ/กรรมการและประธานฝ่ายแพทย์/คณะกรรมการการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก ร่วมแถลงข่าวด้วย 

โดยเผยว่า โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมสนับสนุน จัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไป สนามที่ 2 หรือ 2 nd World Qualifying Tournament Boxing Road To Paris Bangkok ซึ่งสนามสุดท้ายนี้จะเริ่มระเบิดกำปั้นนัดแรก วันที่ 24 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน นี้ ที่สนามอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ ทางโรงพยาบาลให้การสนับสนุนภารกิจดูแลนักกีฬา ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งที่สนามแข่งขัน และโรงแรมที่นักกีฬาเข้าพัก โดยจัดทีมแพทย์ พยาบาล ประจำการแข่งขัน เพื่อดูแลนักกีฬา ตลอดระยะเวลาการแข่งขันทั้ง 11 วัน ซึ่งจัดทีมแพทย์ 3 ทีม ต่อวัน รวมทั้งรถพยาบาล จากศูนย์ส่งกลับโรงพยาบาลตำรวจ ในการนำส่งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาดูแลต่อที่โรงพยาบาล

พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ ยังกล่าวอีกว่า ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญระดับโลก โรงพยาบาลตำรวจขอบคุณผู้จัดการแข่งขัน ที่ไว้วางใจให้ร่วมภารกิจครั้งนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจ มีความพร้อมให้การสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาลดูแลสุขภาพร่างกายของนักกีฬาอย่างเต็มที่

การแข่งขันกีฬาระดับโลกครั้งนี้ มีประเทศที่ลงทะเบียนข้าร่วมการแข่งขัน 144 ประเทศ มีนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ กว่า 1,460 คน ทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดจะได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (NOC) และถือเป็นการสิ้นสุดการคัดเลือกนักกีฬามวยสากลโลกสู่โอลิมปิก 2024

โรงพยาบาลตำรวจ เชิญชวนประชาชนร่วมเชียร์ สิบตำรวจโท ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด รุ่น 51 กิโลกรัม นักกีฬามวยที่ได้รับ คัดเลือกไปแข่งขันมวยโอลิมปิก และ ส่งกำลังใจให้ 3 ตำรวจ คือ  สิบตำรวจโท พีรภัทธ์ เยียะสูงเนิน รุ่น 71 กิโลกรัม สิบตำรวจโท วีระพล จงจอหอ รุ่น 80 กิโลกรัม และสิบตำรวจโทหญิง ใบสน มณีก้อน รุ่น 75 กิโลกรัม ที่ จะเข้าแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อไปโอลิมปิก

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

'เพจดัง' เผย!! เหตุไฉน 'แด๊ดดี้-ตัวตึงก้าวไกล' ไม่ออกมาโหน 'บุ้ง' เพราะ 'รองอ๋อง' ใช้สิทธิ์พาไปทัวร์เยอรมนี แบบไร้ภาพข่าวอัปเดต

(16 พ.ค.67) จากเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพลพรรคก้าวไกลอีกหลายคนไม่ออกมาโหนกระแสบุ้ง ว่า...

#ทุกคนคะ มีหลายท่านสงสัยว่าพ่อว่าวหายไปไหน ผิดฟอร์ม ทำไมไม่ออกมาโหนบุ้ง มาค่ะหนูจะเล่าให้ฟัง

หมออ๋องใช้สิทธิ์การเป็นรองประธานสภา สส. ก้าวไกลไปดูงานที่เยอรมัน ตั้งแต่วันที่ 13-18 พ.ค. ในคณะมีพ่อว่าวและพี่ลูกเกดรวมอยู่ด้วย

คณะอ้างว่าไปดูงานเรื่องพลังงานสะอาด การรักษาสภาพแวดล้อม และศึกษาด้านความโปร่งใสในการทำงาน

#คำถาม

งบดูงานครั้งนี้ใช้ภาษีประชาชนหรือไม่? ทำไมถึงไม่มีการอัปเดตภาพและกิจกรรมดูงานให้ประชาชนทราบ?

คุณพิธา คุณลูกเกด มีความรู้ ความสามารถ และมีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องพลังงานและสภาพแวดล้อมหรือคะ

หรือจริงแล้วแอบไปทำกิจกรรมอย่างอื่นคะ?
#ภาษีกู

'บังโต' ลุยปั้นแบรนด์ 'เนื้อแท้' โกอินเตอร์ ปักธงกำไรร้อยล้าน ปูทางเข้าตลาดหุ้น

(16 พ.ค. 67) นายวีรชน ศรัทธายิ่ง CEO บริษัท คอมพานี บี จำกัด หรือ ‘โต ซิลลี่ฟูล’ อดีตนักร้องชื่อดัง ที่ผันตัวทำธุรกิจร้านอาหาร ภายใต้แบรนด์ ‘เนื้อแท้’ กล่าวว่า ตลาดร้านอาหารในประเทศมีการแข่งขันที่สูง สาเหตุหลัก ๆ มาจากจำนวนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากร้านอาหารในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนสูง ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคมีตัวเลือกหลากหลาย ต้องการความสะดวก รวดเร็ว อย่างไรก็ตามแม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารจะสูง แต่ทางเรามั่นใจในคุณภาพของร้านเนื้อแท้ ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เช่น เน้นคุณภาพของเนื้อ และสูตรอาหารเฉพาะ เน้นความอร่อยและคงรสชาติของเนื้อแท้

สำหรับปีนี้ คอมพานี บี มีแผนเปลี่ยนเนื้อวัวรูปแบบเดิมให้กลายเป็น ‘เนื้อแองกัส’ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เนื้อแท้, เนื้อแท้ Wok, The Beef Master, เซียนเตี๋ยว และเนื้อแท้บุชเชอรี่ และเนื้อแท้ Wok กะ Steak (เป็นสตรีทฟู้ดโมเดลใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว) ทั้งหมด ภายใน 4-5 เดือนต่อจากนี้ ปัจจุบันบริษัท มีธุรกิจร้านอาหารในเครือ 7 แบรนด์ แบ่งเป็น 21 สาขาใหญ่ 8 สาขาย่อย รวมเป็น 29 สาขา และมีธุรกิจขายเนื้อสดอีก 1 แบรนด์ คือ เนื้อแท้บุชเชอรี่

นาย นภศูล รามบุตร ตำแหน่ง Operating executive บริษัท คอมพานี บี จำกัด กล่าวว่า ปี 2565 มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อวัว 360 ตัน ต่อมา ปี 2566 มีการนำเข้า 400 ตัน และล่าสุดปีนี้คาดว่าจะนำเข้าวัวแองกัส 700 ตัน จากการขยายสาขาอีก 4 สาขาใหญ่ และ 2 สาขาย่อยไปจนถึงสิ้นปีนี้ รวมถึงการเปิดรับกลุ่มลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ สำหรับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และลูกค้ารายย่อยทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 29 สาขา และจะเปิดให้บริการทั้งสิ้น 35 สาขาในปีนี้

ในอนาคต Wok กะ Steak อาจจะขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศด้วยกลยุทธ์ ‘แฟรนไชส์’ โดยเล็งเป้าไปที่ตลาดที่มีศักยภาพอย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ตะวันออกกลาง ซึ่งในตลาดเหล่านี้กระตุ้นให้ Wok กะ Steak มองหาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา กลยุทธ์นี้ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกศักยภาพ ของ Wok กะ Steak ผลักดันธุรกิจอาหารไทยก้าวสู่ แบรนด์ระดับภูมิภาค (Regional Brand)

สำหรับเป้าหมายในปีนี้ทำรายได้แตะ 750-800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2566 ที่ทำรายได้ 500 ล้านบาท ส่วนแผนธุรกิจระยะยาวมุ่งสู่การระดมทุนในตลาดหุ้นไทย โดยตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำ 1,500 ล้านบาท และมีกำไร ‘ร้อยล้านบาท’ ส่วนไตรมาส 1 ที่ผ่านมาทำรายได้ 150 ล้านบาทแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากร้านอาหาร 70% และรายได้จากเนื้อสัตว์ 30%

ส่วนแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีแผนจะลงทุนก่อสร้างโรงงานเพิ่มเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เติบโต อีกทั้งขยายสาขาของร้านอาหาร พัฒนาแบรนด์ใหม่ ๆ และเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top