Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

'นักข่าวเทวดา' กระตุกสังคมถึงคนที่เรียกร้องความเป็นคนจากอีกฝ่าย  ทั้งๆ ที่ฝ่ายตนเอง ไม่เคยนึกถึงด้านมืดที่พวกตนเคยทำมาก่อน

(15 พ.ค.67) นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักเคลื่อนไหว และผู้สื่อข่าวข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ เจ้าของฉายานักข่าวเทวดา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pravit Rojanaphruk' ระบุว่า...

วันนี้เห็นหลายคนฝั่งต้าน 112 เรียกร้องให้อีกฝั่งมีความเป็นมนุษย์ในการแสดงปฎิกริยาต่อการตายของบุ้ง 

แต่หลายคนกลับมองไม่เห็นตอนที่ฝ่ายตนจำนวนหนึ่งแสดงออกโดยการหัวเราะสะใจต่อการตายหรือเจ็บปางตายของคนที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเขาเทิดทูน 

>> เมื่อไหร่เราจึงจะสามารถเลิกปิดตาข้างหนึ่ง มองด้านเดียว เวลาเรียกร้องความเป็นคนจากอีกฝ่าย หรือทำเป็นมองไม่เห็นด้านมืดของฝั่งตนเอง 

#ป #บุ้งทะลุวัง #ม112

‘แอร์ฯ สาว’ แชร์อุทาหรณ์ สานสัมพันธ์รัก 3 หนุ่ม 3 เชื้อชาติในวันเดียว สุดท้ายตั้งท้อง ต้องลาออก และต้องอยู่ต่อให้ได้เพียงลำพังกับลูก

(15 พ.ค. 67) แอร์โฮสเตสสาวชาวมาเลเซียรายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวของเธอบนสื่อสังคมออนไลน์และถูกนำมาเผยแพร่ต่ออย่างกว้างขวาง ถึงพฤติกรรมที่ขาดความยั้งคิดของตนเอง จนกระทั่งทำให้เธอตั้งครรภ์กับคนแปลกหน้า

โดยรายงานข่าวระบุว่า เหมย ลี่ (นามสมมุติ) เข้าทำงานที่สายการบินนานาชาติแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อายุ 19 ปี เธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างเต็มเหนี่ยวในขวบปีแรกของการทำงาน เติมเต็มความฝัน เดินทางไปทั่วโลกและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตาจากประเทศต่าง ๆ

"ขณะหยุดพักระหว่างทาง ปกติแล้วฉันจะไปออกเดทแบบสบาย ๆ ไม่ผูกมัด ฉันชอบพบปะกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ ระหว่างรอเที่ยวบินถัดไปสำหรับเดินทางกลับบ้าน" เธอกล่าว นอกจากนี้แล้ว เหมย ลี่ เผยด้วยว่าเธอยังใช้เวลาว่างเข้าแอปพลิเคชันหาคู่ ออกเดทกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ และมีความสุขให้มากที่สุด เท่าที่เธอจะตักตวงจากพวกเขาได้

เหมย ลี่ ถึงขั้นบอกว่าหนึ่งในความฝันของเธอ คือการได้อยู่กับหนุ่ม ๆ จากทั่วโลก "ฉันอยากรู้ว่า มันจะเป็นอย่างไร ตอนที่ฉันเดินทางไปทั่วโลก"

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีตอนจบ และ เหมย ลี่ พบว่าตนเองตั้งครรภ์ โดยหลังจากพบว่าประจำเดือนของตนเองมาช้า เธอตัดสินใจตรวจครรภ์ ซึ่งท้ายที่สุดก็พบว่าตนเองกำลังตั้งท้อง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในค่ำคืนที่เธอเชื่อว่าอาจเป็นวันที่ทำให้เธอตั้งครรภ์นั้น เป็นวันที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับชายแปลกหน้า 3 คน ในคราวเดียว

"ฉันจำคืนนั้นได้ เครื่องบินของฉันเพิ่งลงจอด และฉันรู้สึกอยากผจญภัยอันเร่าร้อน ตอนที่ฉันไปถึงโรงแรม ฉันเปิดแอปพลิเคชันและเริ่มค้นหา ฉันหาทางเติมเต็มจินตนาการของการพบปะกับหนุ่ม ๆ 3 คนในคราวเดียว"

"คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความร่วมมือ แต่มันน่าประหลาดใจมาก เมื่อสามารถหาชายแปลกหน้า 3 คน ยินยอมพร้อมใจกันอย่างง่าย ๆ ระหว่างชาย 3 คนในคืนดังกล่าว ทั้งหมดเป็นคนเชื้อสายต่างกัน คนหนึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว คนหนึ่งเป็นชาวไนจีเรียเกิดในอังกฤษ และอีกคนเป็นชายจากอาร์เจนตินา ฉันรู้ว่าตนเองทำผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ฉันไม่อาจทำแท้งลูกได้"

"ฉันต้องการมีลูกมาตลอด แต่ไม่ใช่ในกรณีแวดล้อมเช่นนี้ ฉันอยากมีอายุมากกว่านี้ แต่งงานและมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉันต้องการมีลูกกับสามี ไม่ใช่เพียงลำพัง" เธอกล่าว

เหมย ลี่ บอกด้วยว่าการมีลูกอาจทำให้เธอต้องตัดสินใจลาออกจากงานแอร์โฮสเตส เนื่องจากวิธีชีวิตที่วุ่นวายจากอาชีพนี้ไม่เหมาะกับการเลี้ยงลูกเพียงลำพัง และด้วยที่เธอไม่มีใครนอกเหนือจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด 2 คน ที่เธอสามารถปรับทุกข์ได้ เหมาย ลี่ จึงรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผ่าน ๆ มาของตนเอง

"ถ้าฉันมีลูก ฉันคงจะต้องลาออกจากงานในท้ายที่สุด และต้องหาทางหารายได้อื่นมาเลี้ยงชีพและดูแลลูก อีกด้านหนึ่งหากฉันตัดสินใจทำแท้ง ฉันเกรงว่าฉันจะต้องทุกข์ทรมาน แบกรับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"

‘เจ้าอาวาสวัดไผ่ฯ’ ให้สติ!! ผู้สนใจลอง 'วิชาครอบหม้อ' หากคิดจะมารักษาด้วยวิธีนี้ ควรใช้สติเป็นหลักด้วย 

(15 พ.ค.67) จากกรณีโซเชียลที่มีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤาษีปู่ตรัย ศาสตร์ภูมิปัญญาทำการรักษาโรคด้วยวิชาครอบหม้อ เพื่อรักษาโรคให้กับศิษย์และคนทั่วไป โดยใช้วิธีใช้หม้ออลูมิเนียมไปครอบศีรษะ แล้วท่องคาถา อ้างว่าสามารถ เปิดตาเป็นตาที่สามได้ รักษาโรคได้สารพัดโรค มีประชาชนจากหลายจังหวัดแห่ไปรักษาเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ อาจารย์ปู่ตรัย ได้ใช้เป็นสถานที่ในการทำการรักษาด้วยวิชาครอบหม้อ ไปพบกับพระอาจารย์ ชาญ วุฑฒิโก เจ้าอาวาสวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า สถานที่ทำการรักษาด้วยหม้อที่เห็นในโซเชียลนั้น เป็นที่วัดไผ่เจริญสมณะกิจ ซึ่งตอนนั้นมีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤษีปู่ตรัย ที่เคยเป็นญาติธรรม เคยเป็นคนที่ร่วมสร้างวัดแห่งนี้ และได้มาขอทางวัดใช้สถานที่ลานพญานาค ในการทำพิธีกิจกรรมบำบัดรักษาตามศาสตร์ตามสูตรของฤษีปู่ตรัย ซึ่งพระอาจารย์ก็เลยอนุญาตให้ใช้สถานที่ไป

พระอาจารย์ ชาญ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของพิธีทำการรักษาโรคให้กับลูกศิษย์ด้วยการวิชาครอบหม้อ นั้นส่วนตัวไม่เคยเห็นการทำวิธีแบบนี้มาก่อน เคยเห็นแต่วิธีใช้พัดปัดเป่าในการรักษา ซึ่งเขาเรียกว่าการเป่ามหาระงับ ซึ่งการรักษาแบบนี้ส่วนตัวคิดว่าถือเป็นการหน้าจะการรักษาทางใจ ที่อาจจะเป็นศาสตร์การรักษาของทางฤษีปู่ตรัย ซึ่งอาจจะเป็นสร้างความสบายใจให้กับผู้ที่มารักษา

นอกเหนือจากไปรักษาทางอื่น ๆ แล้วไม่ดีขึ้น ไม่หาย เลยหาวิธีอื่น ๆ มาช่วยในการักษาให้หายจากโรคจากอาการที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้มารักษาด้วยวิธีแบบนี้ควรที่ใช้สติในการรักษาเป็นหลักด้วย

‘กมธ.อุตฯ’ เร่งขยายปม-ความคืบหน้าไฟไหม้โรงงาน หลังสงสัยเหตุ ‘ระยอง-อยุธยา’ อาจเป็นการวางเพลิง

(15 พ.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม (กมธ.) สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยถึงกรณีกากแคดเมียมที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุม กมธ. ว่า วันนี้ กมธ.อุตสาหกรรม ได้เชิญปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, กรมโรงงาน, กรมเหมืองแร่, กรมควบคุมมลพิษ ตลอดจน ปปง., ป.ป.ท. ร่วมหารือว่า มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ในการดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้วเกี่ยวกับการขนย้ายกากแคดเมียม ส่วนวันนี้จะติดตามความคืบหน้าในการขนย้ายกากแคดเมียมว่าแล้วเสร็จกี่จุด จำนวนกี่ตัน

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับเบื้องต้นในกรุงเทพฯ มีการขนย้ายเสร็จแล้ว จึงจะสอบถามคืบหน้าว่าที่ จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง มีการขนย้ายแล้วเสร็จหรือไม่อย่างไร

ส่วนกรณีเรื่องใบอนุญาตของโรงงานนั้น ประธานกมธ.การอุตสาหกรรม? กล่าวว่า เนื่องจากมีใบอนุญาตโรงงานค้างอยู่จำนวนมาก โดยในการประชุมครั้งที่ผ่านมาได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานมาชี้แจง พบว่าปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดจากเอกสารไม่ครบถ้วน จึงต้องมีการส่งกลับไปให้บริษัทยื่นเอกสารมาเพิ่ม แต่คาดว่าจะมีการส่งกลับมาที่กรมแล้ว หากเอกสารครบทางอธิบดีก็จะเริ่มออกใบอนุญาตโรงงาน หรือ รง.4 ให้

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทาง กมธ.การอุตสาหกรรม ก็ได้ให้ความเห็นว่า การออกใบ รง.4 ตามที่ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมฯ เร่งรัดไปนั้น เป็นเรื่องจำเป็น เพราะประเทศจะต้องตอบรับการลงทุนจากนักลงทุน

“การที่ใบ รง.4 ออกช้า ก็กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และการลงทุน แต่สิ่งสำคัญคือ หากให้ใบอนุญาตแล้ว ต้องไปกำกับผู้ประกอบการให้อยู่ในกฎหมายและปฎิบัติตามระเบียบ ไม่ใช่ว่าให้ใบอนุญาตไปแล้ว ขาดการกำกับดูแล ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการละเมิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม มลภาวะในชุมชน” นายอัครเดช กล่าว

ส่วนกรณีไฟไหม้โรงงานที่ผ่านมานั้น มีการบ่งชี้ว่าอาจจะมาจากการวางเพลิงหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุ เกิดจากสภาวะอากาศที่ร้อนจัด เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นก็อาจเกิดได้บ่อยครั้ง ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันได้แต่สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมเพลิงให้ได้รวดเร็ว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ดังนั้นวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเพลิง อาทิ ปภ., กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมการอุตสาหกรรม เข้ามาชี้แจงว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้ มาตรฐานในการประเชิญเหตุหรือแผนในการควบคุมเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อดูความพร้อมในการควบคุมเพลิง

นายอัครเดช เสริมอีกด้วยว่า ส่วนกรณีที่เป็นเหตุวางเพลิงนั้น ในการเผาทำลายหลักฐาน หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสงสัยว่าเหตุเพลิงไหม้ที่จังหวัดระยองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาจเกิดจากการวางเพลิง ซึ่งต้องเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดให้ได้ และคิดว่ากระบวนการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงมาดำเนินคดีตามกฎหมายมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเร่งดำเนินการอยู่

จากข้อซักถามที่ว่า จะมีการพัฒนาระบบแจ้งเตือนประชาชนอย่างไรบ้าง? นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของการเกิดเหตุเพลิงไม่ว่าจะเป็นกรณีการวางเพลิง หรืออุบัติเหตุ สิ่งที่สำคัญคือแผนในการเผชิญเหตุ จะมีการให้ข้อเสนอในที่ประชุมวันนี้ อย่างน้อยในกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ประชาชนควรจะได้รับข่าวสารและเตรียมตัว รวมถึงการปฎิบัติตัวอย่างไรหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงผู้ดำเนินการ จะต้องปฏิบัติอย่างไรระหว่างควบคุมเพลิง

สตม.ขยายผลทลายเครือข่ายต่างชาติผิวสีค้ายาเสพติดของกลางมูลค่าร่วม 5 ล้านบาท

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันนี้ (15 พ.ค.67) เวลา 11.00 น.ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.กันตวัฒน์ พงศ์สถาบดี รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.ตม.จว.สงขลา, พ.ต.อ.เกรียงไกร อารยะยิ่ง ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต, พ.ต.ท.วิศรุต ละเอียดอ่อง รอง ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต, พ.ต.ท.พงษ์ศิริ พิทักษ์ สว.ตม.จว.สงขลา ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สตม.ขยายผลทลายเครือข่ายต่างชาติผิวสีค้ายาเสพติดของกลางมูลค่าร่วม 5 ล้านบาท ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.ปส.4 และ ชุดสืบสวน ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 จับกุมคนต่างชาติ จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. Mr.Denis (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย
2. Mr.Ogadinma (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไนจีเรีย
3. Mr.Harison (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไนจีเรีย  
โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย
4. Mr.Solomon (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายโดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดประเภท 1 (ยาไอซ์และยาอี) และยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สืบเนื่องจาก ตม.จว.ภูเก็ต ได้กวดขันจับกุมคนต่างด้าวที่มีเจตนาแอบแฝงไม่ได้เข้ามาท่องเที่ยวหรือมาประกอบกิจการอันดี โดยเมื่อประมาณต้นเดือน เม.ย.2567 ที่ผ่านมา ชุดสืบสวน ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนหาข่าวจากกลุ่มลับของคนต่างด้าวสัญชาติรัสเซีย พบว่า Mr.Denis (ทราบชื่อภายหลัง) สัญชาติรัสเซีย เสนอว่าตนปล่อยรถเช่า รับแลกเงินคริปโต ชุดสืบสวนจึงได้แฝงตัวเข้าไปทักถามเป็นภาษารัสเซีย ทราบว่า Mr.Denis ได้นำเสนอว่าตนมียาเสพติด (โคเคน) จำหน่ายในราคากรัมละ 4,000 บาท จึงได้วางแผนพิสูจน์ทราบและจับกุม ต่อมาได้ติดต่อนัดหมายซื้อโคเคนจาก Mr.Denis ที่บริเวณ ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน ต.วิชิต อ.เมือง จว.ภูเก็ต โดย ตม.จว.ภูเก็ต ได้ร่วมกับชุดสืบสวน บก.ปส.4 และ ชุดสืบสวน ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 เข้าตรวจสอบ เมื่อพบ Mr.Denis เข้ามายังสถานที่นัดพบจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบยาเสพติด (โคเคน) บรรจุในหีบห่อ น้ำหนักรวม 0.99 กรัม จึงได้จับกุมพร้อมยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิชิต ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผล ทราบว่า Mr.Denis ซื้อโคเคนมาจากชายต่างชาติผิวสี 2 คน ในราคา กรัมละ 3,000 บาท โดยชายผิวสีดังกล่าวจะใช้รถยนต์ยี่ห้อ มาสด้า สีแดง เป็นยานพหานะในการส่งยาเสพติด จึงได้ให้ Mr.Denis ติดต่อให้มาพบในวันเดียวกัน โดยนัดหมายกันบริเวณลานจอดรถโรงแรมแห่งหนึ่ง ต.กะรน อ.เมือง จว.ภูเก็ต เมื่อรถยนต์คนดังกล่าวขับเข้ามาในที่นัดหมาย ชุดสืบสวนได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ ยาเสพติด (โคเคน) ซุกซ่อนอยู่ที่บนพื้นรถยนต์ด้านคนขับ จำนวน 1 ห่อ น้ำหนัก 1.4 กรัม โดยมี Mr.Harison (นามสมมติ) อายุ 40 ปี และ Mr.Ogadinma (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไนจีเรีย เป็นผู้นำยาเสพติดดังกล่าวมาส่ง จึงได้จับกุมตัวพร้อมตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาชุดสืบสวนได้สืบสวนพบว่า Mr.Harison และ Mr.Ogadinma ได้ทำการซื้อขายยาเสพติดหลายครั้งโดยขับรถไปรับยาเสพติดจากบังกะโลแห่งหนึ่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต บ่อยครั้ง เมื่อได้ข้อมูลที่แน่ชัด จึงได้นำหมายค้นศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ ค.152/2567 ลง 8 พ.ค.67 เข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้น พบ Mr.Solomon (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย อาศัยอยู่ในบังกะโลหลังดังกล่าว จากการสอบถาม Mr.Solomon รับว่ามีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติดดังกล่าว โดยมียาเสพติดฝังไว้บริเวณหลังบังกะโล และได้พาชุดสืบสวนไปขุด พบของกลางดังนี้

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอี) ห่อหุ้มด้วยแผ่นพลาสติก บรรจุในขวดโหล จำนวน 855 เม็ด
2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ห่อหุ้มด้วยพลาสติก น้ำหนักต่อชิ้นประมาณ 1 กรัม บรรจุในขวดโหล จำนวน 470 ห่อ 
3. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) บรรจุในเป็นห่อ น้ำหนักรวม 127.8 กรัม 
4. บัญชีธนาคาร จำนวน 1 เล่ม โดยพบบัญชีธนาคารอีก 1 เล่มที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องอยู่ภายในบ้านพักด้วย

จึงได้จับกุมตัวพร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินอื่น นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสืบสวนทราบว่าราคาซื้อขายยาเสพติดในจังหวัดภูเก็ตที่ลักลอบจำหน่าย ยาอี ราคา เม็ดละ 1,000 -2,000 บาท โคเคน กรัมละ 4,000 -5,000 บาท รวมราคายาเสพติดของกลางประมาณ 4 ล้านบาท ในส่วนของทรัพย์ ที่ตรวจยึดตามมาตรการปราบปรามยาเสพติด ประกอบด้วยรถยนต์และเงินสดอีก ประมาณมูลค่า 9 แสนบาท รวมมูลค่าของกลางประมาณ 4.9 ล้านบาท กรณี Mr.Solomon ถือเป็นตัวการรายใหญ่ในระดับพื้นที่ภูเก็ต โดยมีการรับของมาจากพื้นที่ภาคกลาง และจะกระจายให้กับผู้ค้าและผู้เสพรายย่อย ซึ่งมีหลายสัญชาติในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะได้สืบสวนและรวมรวมข้อมูลกลุ่มบุคคลดังกล่าว เพื่อสืบสวนจับกุมและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมต่อไป

'อัษฎางค์' เปิดต้นตอผู้ชักนำ 'บุ้ง' สู่เส้นทางนี้ ชี้!! โลกในทวิตเตอร์ คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ

(15 พ.ค.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้งทะลุวัง เสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค.ในหัวข้อ ‘บุ้ง ตอนที่ 1 ปฐมบทก่อนไปถึงจุดสิ้นสุด ใครชักนำหรืออะไรจูงใจให้บุ้งเข้าสู่วงการ’

โลกในทวิตเตอร์ คือจุดเปลี่ยนของชีวิตของบุ้ง

BBC THAI เคยรายงานข่าว จากปากคำของโบ พี่สาวของบุ้งว่า…

บุ้งเคยเป็นคนที่คอยบอกเพื่อน ๆ นักเรียนอยู่เสมอในฐานะคณะกรรมการนักเรียนว่า ต้องดูแลทรงผมให้เรียบร้อย เสื้อผ้าต้องทำให้ถูกระเบียบ แต่เขาเริ่มเอะใจว่า ทำไมมีเพื่อนที่เห็นต่าง มีเพื่อนที่คัดค้านเรื่องทรงผม จึงทำให้ได้ฉุกคิดว่า ตัวกฎระเบียบก็ไม่ได้แฟร์ (ยุติธรรม) สำหรับกลุ่มคนหลายกลุ่ม หากฝ่าฝืนถึงขั้นคาดโทษกัน รวมทั้งกลุ่ม LGBTQ ที่พวกเขาต้องการแต่งตัวอีกแบบ

ในระหว่างสัมภาษณ์ โบได้หยิบภาพเก่า ๆ ที่เตรียมมาด้วย และมีท่าทีภูมิใจเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนของน้องสาวคนนี้ว่า "เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็ไม่แพ้ใคร" พร้อมกับบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่เห็นตรงกันเกี่ยวกับบุ้งคือ การเลี้ยงดูให้น้องเป็นคนมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก

จากคำถามที่ผุดขึ้นในความคิดต่อระเบียบควบคุมนักเรียนระหว่างที่บุ้งเป็นคณะกรรมการนักเรียนยังคงทำงานของมันต่อผลที่ตามมาคือการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’

ที่กลายเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ต้องการส่งเสียงเพื่อสิทธิตัวเอง (speak for yourself) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการไว้ทรงผมนักเรียน ซึ่งประสบผลสำเร็จจนทำให้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในระหว่างปี 2563 มีระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม

บุ้งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมน้อมฯ ได้เอง และผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.8, 3.9 และ 4.0 สลับกันไป กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ขาด

โบยอมรับว่า ครอบครัวของเธอเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เมื่อปี 2557 ที่กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งในขณะนั้นบุ้งยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังจากนั้นเมื่อบุ้งได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เปิดโลกกว้างมากขึ้นจากข้อมูลชุดใหม่ผ่านสังคมออนไลน์อย่าง ‘ทวิตเตอร์’ ซึ่งมีการถกเถียงประเด็นสังคมอย่างกว้างขวางและหลากหลาย
จากทวิตเตอร์ ตามมาด้วยช่อ พรรณิการ์-ทนายอานนท์

The Thaiger รายงานว่า…เส้นทางชีวิตของบุ้งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบตัวเอง ในวัยเยาว์ เธอเคยหลงใหลในอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. แต่แล้ววันหนึ่ง ประกายไฟแห่งความจริงก็ได้จุดประกายความคิดของเธอให้เปลี่ยนไป

‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช คือผู้จุดประกายนั้น’

เธอเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนไร้บ้านที่ถูกสไนเปอร์ยิง ความจริงอันโหดร้ายนี้ ทำให้เธอตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และความรู้สึกผิดต่อผู้ที่สูญเสียก็หลั่งไหลเข้ามา

จุดกำเนิด ‘โพลทะลุวัง’ : เมื่อคำถามกลายเป็นอาวุธ

ความคิดที่จะใช้ ‘คำถาม’ เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจบุ้ง หลังจากได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับ ‘ทนายอานนท์ นำภา’ ผู้ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการตั้งคำถามสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112

ใครกัน อำมหิตหลอกใช้เยาวชนและประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากนักเรียนดีสู่การเป็นสมาชิกกลุ่มนักเรียนเลว ต่อเนื่องไปสู่กลุ่มทะลุวัง เกิดจากการที่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนหลงผิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน ปลุกปั่นจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองจากผู้ไม่หวังดีต่อประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติหรือไม่

หากจะหาผู้มีส่วนต่อการจากไปของบุ้งหรือคนอื่น ๆ ที่ถูกดำเนินคดีในเรื่องที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ก็คงต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องร่วมมือกันป้องกันและกำจัดผู้ไม่หวังดี ที่ใช้ยุทธวิธีทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารมาปลุกปั่นเยาวชนและประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองของไทย

อย่างไรก็ตาม เราในฐานะประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนในการป้องกันหรือกำจัดคนที่อำมหิตเหล่านั้น ก่อนจะเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรผมในฐานะคนไทยก็รู้สึกเสียใจและไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับบุ้งและคนอื่น ๆ

ดังนั้นเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและกำจัดขบวนการเหล่านี้

อินโดฯ ยก!! ‘หลานม่า’ หนังที่งดงาม จนต้องหลั่งน้ำตา นานาชาติเตรียมต่อคิวดึงเข้าฉาย ไม่เว้นแม้แต่กัมพูชา

(15 พ.ค.67) สร้างปรากฏการณ์น้ำตาท่วมจออีกครั้ง สำหรับภาพยนตร์ ‘หลานม่า’ ค่ายจีดีเอช ผลงานกำกับโดย ‘พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์’ ที่ได้นักแสดงสุดฮอตอย่าง บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล, และยายแต๋ว อุษา เสมคำ นางเอกวัย 78 ปี ที่ทำให้ผู้ชมหลงรักในความสัมพันธ์ของหลานกับอาม่ากันทั่วประเทศไทย จนทำรายได้เป็นอันดับ 1 ของหนังจีดีเอชในกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย และกำลังเดินหน้าไปฉายในต่างประเทศทั่วเอเชีย ประเดิมรอบพรีวิวที่แรกในประเทศอินโดนีเซีย ปรากฏว่าในรอบนี้ เหล่าผู้ชมที่เป็นอินฟูเอ็นเซอร์ชื่อดังของอินโดฯ ถึงกับหลั่งน้ำตากล่าวชื่นชมว่าเป็นภาพยนตร์ที่งดงาม เข้าถึงหัวใจผู้ชมเป็นอย่างมาก รายละเอียดของหนังเชื่อมโยงชีวิตตัวเองสะท้อนออกมาบนจอภาพยนตร์ จนทำให้กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

​นอกจากฉายที่อินโดนีเซียแล้ว หลานม่า กำลังจะเข้าฉายที่ ฟิลิปปินส์, ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, กัมพูชา, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง, จีน, เกาหลีใต้ และกำลังรอสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน

การเดินทางของ ‘ทุเรียนไทย’ สดใหม่ สู่ ‘ตลาดจีน’ ในไม่กี่วัน หลังรับอานิสงส์หลายด้าน ‘พิธีการศุลกากร-เก็บรักษา-วิธีขนส่ง’

เมื่อวานนี้ (14 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาพคนงานปีนต้นทุเรียนใช้มีดตัดผลผลิตบนยอดสูงชะลูด ก่อนโยนให้เพื่อนคนงานที่รอรับใต้ต้นอย่างชำนิชำนาญด้วยถุงกระสอบ ส่งสัญญาณการเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถือเป็นแหล่งเพาะปลูกทุเรียนแห่งสำคัญของไทย

ศศิธร เจ้าของสวนทุเรียนมากกว่า 2,000 ต้น ผู้ทำธุรกิจซื้อขายทุเรียนมานานกว่า 10 ปี เล่าว่าเธอจ้างคนงานตัดผลผลิตทุกวันมากกว่า 40 คนในฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนปีนี้ โดยผลผลิตของปีนี้ลดลงเพราะภัยแล้ง สวนทางกับความต้องการทุเรียนของตลาดจีนที่ยังคงสูง

"เราส่งออกทุเรียนหลายสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์กระดุมที่สุกพร้อมเก็บเกี่ยวก่อนหน้านี้และพันธุ์หมอนทองที่ชาวจีนนิยม" ศศิธรกล่าว โดยทุเรียนจากสวนของศศิธรถูกขนส่งสู่โรงงานแปรรูปใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว เพื่อคัดเลือก ชั่งน้ำหนัก บรรจุหีบห่อ และเคลื่อนย้ายสู่สายส่ง

วีระชัย ผู้จัดการโรงงานแปรรูปทุเรียน บอกกับสำนักข่าวซินหัวว่า จีนเป็นตลาดสำคัญมาก โดยปีนี้ส่งออกทุเรียน 23 ตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ส่วนใหญ่ส่งออก 3 ทาง แบ่งเป็นทางอากาศร้อยละ 20 ทางทะเลร้อยละ 40 และทางบกร้อยละ 40

อนึ่ง ไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก โดยข้อมูลจากสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า จีนนำเข้าทุเรียนสดในปี 2023 รวม 1.426 ล้านตัน ซึ่งเป็นทุเรียนสดจากไทย 929,000 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 65.15 การนำเข้าทุเรียนสดทั้งหมดของจีน

ก่อนหน้านี้ผลไม้เมืองร้อนที่ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียนมักเข้าสู่ตลาดจีนได้ยาก เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษาที่สั้น กอปรกับข้อจำกัดด้านการขนส่งและคลังสินค้า ทว่าปัจจุบันทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ จากอาเซียนสามารถถูกขนส่งสู่ตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกข้างต้นเป็นผลจากการเสริมสร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน การบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ตลอดจนโครงการเชื่อมต่อจำนวนมาก เช่น ระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลใหม่ (สายตะวันตก) และการพัฒนาอันรวดเร็วของระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

ขณะด่านโหย่วอี้หรือด่านมิตรภาพในเมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเวียดนาม ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนไทยในปี 2023 รวม 282,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 162.4 เมื่อเทียบปีต่อปี และรับรองการนำเข้าทุเรียนสดในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้ ราว 48,000 ตัน ซึ่งเป็นทุเรียนสดจากไทย 13,000 ตัน

การนำเข้าและส่งออกที่เฟื่องฟูนี้เป็นผลประโยชน์จากนโยบายปลอดภาษีศุลกากรและการเพิ่มประสิทธิภาพพิธีการศุลกากร โดยหวงเฟยเฟย เจ้าหน้าที่ศุลกากรด่านโหย่วอี้ เผยว่ามีการอัปเกรดจุดกำกับดูแลอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการสร้างช่องทางพิเศษสำหรับทุเรียนนำเข้า และดำเนินมาตรการเกื้อหนุนพิธีการศุลกากร เช่น ช่องทางด่วนสำหรับผลไม้นำเข้า ส่วนตลาดไห่จี๋ซิงในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งผลไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในกว่างซี ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนสดจากไทยเช่นกัน โดยโม่เจียหมิง พ่อค้าคนหนึ่ง นำเข้าทุเรียนจากไทยราว 50 ตันทุกวัน และจัดจำหน่ายสู่ตลาดในประเทศผ่านหลายช่องทาง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ร้านค้าปลีก และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

โม่เล่าว่าปีนี้นำเข้าทุเรียนราว 1,800 ตันแล้ว โดยทุเรียนจากไทยถูกขนส่งมาป้อนตลาดจีนได้เร็วขึ้นภายใน 3-5 วัน เนื่องด้วยอานิสงส์จากการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรและเทคโนโลยีการเก็บรักษาแบบห่วงโซ่ความเย็น รวมถึงมีวิธีการขนส่งให้เลือกเพิ่มขึ้น ทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ และทางราง

ทั้งนี้ โม่ที่ทำธุรกิจนำเข้าทุเรียนมานาน 6 ปีแล้ว เชื่อว่าตลาดทุเรียนของจีนยังคงมีศักยภาพมหาศาล โดยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-อาเซียนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น บวกกับนโยบายและมาตรการเกื้อหนุนต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูและพัฒนาตลาดผู้บริโภค ทำให้ทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ จากอาเซียนคว้าโอกาสจากตลาดจีนเพิ่มขึ้นในอนาคต

สืบนครบาล รวบ 'โด้โพธิ์ปั้น' ผู้ต้องหาบัญชีม้า พบยาเสพติด อาวุธปืน กระสุน หลังก่อเหตุเล็งปืนใส่เจ้าหน้าที่ชุดจับเปิดทางหนี

ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้เร่งรัดปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในปัจจุบันสถิติอาชญากรรมที่มีการใช้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนก่อเหตุอาชญากรรม มีเป็นจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 14 พ.ค.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ,พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท ณัฐวุฒิ สีเสมอ , พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น.  ร.ต.อ.โสรชาติ  ดาวเรือง  รอง.สว.สส.2 บก.สส.บชน. เจ้าหน้าที่กก.สส.2 สืบนครบาล ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว 
1.นายธีรพลหรือโด้ อายุ 30 ปี  ภูมิลำเนา ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร   ผู้ต้องหาตาม หมายจับศาลอาญาที่ จ.3912/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ซึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ค.67 เวลาประมาณ 19.30 น ขณะเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ทำการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เล็งอาวุธปืนใส่เจ้าหน้า เพื่อเปิดทางหลบหนีไป นั้น
2. นางสาวปภาดา อายุ 46 ปี ภูมิลำเนา ซ.เทียนทะเล ถ.บางขุนเทียน - ชายทะเล แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร
3.น.ส.ธนาวรรณ อายุ 36 ปี ภูมิลำเนา ถ.เสรีไทย แขวงคลองจั่น เขตบางกะปี กรุงเทพมหานคร

ตรวจยึดของกลางคือ 
1. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 ซอง 
2.เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 16 นัด
3.ยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 18 กรัม
4.ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด
5.อุปกรณ์การเสพและจำหน่าย

โดยกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งหมดว่า “ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ยาบ้า ไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และ ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ”

กล่าวคือ สืบนครบาล ได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายธีรพล ผู้ต้องหาภายในซอยโพธิ์ปั้น แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ  ร.ต.อ.โสรชาติ  ดาวเรือง  รอง.สว.สส.2 บก.สส.บชน. กับพวก ติดตามเพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดฐาน "โดยทุจริตหรือโดยหลอกหลวง นำเข้าสู่ซึ่งข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์" โดยบุคคลดังกล่าวเป็นผู้พักอาศัยอยู่บริเวณบ้านเลขที่ 580/152 ซอยโพธิ์ปั้น แยก 8ฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซุ่มดูอยู่บริเวณใกล้เคียง และพบบุคคลตามหมายจับปรากฎตัวอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวจริง และกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น PCX สีน้ำเงิน-ดำ ออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว จึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมหยุดรถ พร้อมกับเร่งเครื่องยนต์ หลบหนีมุ่งหน้าไปยังท้ายซอยโพธิ์ปั้น แยก 8ฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับขี่รถจักรยานยนต์ติดตาม จนถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ (ท้ายซอยโพธิ์ปั้น แยก 14ฯ)  ผู้ต้องหาได้ประสบอุบัติเหตุ และรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ก่อเหตุขับขี่มาได้ล้มลง จากนั้นผู้ต้องหาได้นำอาวุธปืนที่ติดตัวมา ชี้เล็งใส่ ร.ต.อ.โสรชาติฯ ได้นำอาวุธปืนที่ติดตัวมา ยิงขึ้นฟ้าจำนวน 1 นัด เพื่อหยุดผู้ก่อเหตุ แต่ผู้ก่อเหตุวิ่งหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ 

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น  ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น  พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. จัดชุดสืบสวนไล่ล่าเต็มรูปแบบเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นอันตรายต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ต่อมา ชุดสืบนครบาลพบตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขา ถ.โชคชัย4 แยก 24 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ หลังจากนั้น ผู้ต้องหา ได้พาไปยังห้องพักห้อง อภิญญาเพลส ถ.โชคชัย4 ซอย 27 และนำตรวจค้น ซึ่งจากการตรวจค้นในห้องดังกล่าวพบ น.ส.ประภาดา อายุ 46 ปี  และน.ส.ธนาวรรณ อายุ 36 ปี อยู่อาศัย จากการตรวจค้นในห้องดังกล่าว พบ1. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 ซอง 
2.เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 16 นัด
3.ยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 18 กรัม
4.ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด
5.อุปกรณ์การเสพและจำหน่าย แจ้งข้อกล่าวหา “ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ยาบ้า ไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และ ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ”

จับกุมได้ที่ บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขา โชคชัย 4 ซอย 24 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่อง ห้องพัก หอพักอภิญญา เพลส ถนน โชคชัย 4 ซอย 25 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร นำตัว มาสืบสวนที่สืบนครบาลเพื่อดำเนินการต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น กล่าวว่าคดีนี้ผู้ต้องหามีหมายจับบัญชีม้าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าจับกุมได้ชักอาวุธปืนเล็งใส่ต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ในที่สาธารณะ ถือเป็นอันตรายต่อประชาชนใกล้เคียงและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ น.1 ได้สั่งการให้ผมจัดชุดไล่ล่าจนสามารถจับกุมพร้อมของกลาง ถือว่าเป็นบทเรียนในการจับกุมผู้ต้องหาไม่ว่าเป็นคดีใดๆ เราต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2567 : ทดแทนบุญคุณ พ่อ-แม่

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทดแทนบุญคุณ พ่อ-แม่’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

🎙คำถาม: ทดแทนบุญคุณเท่าไหร่ถึงจะพอ?

👉พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): เรื่องบุญคุณมาจากคําสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว มนุษย์เป็นสังคม ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องความกตัญญู ไม่มีเรื่องความกตเวที สังคมมนุษย์ก็จะล่มสลาย พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องสังคมมนุษย์อยู่แล้วสุข อยู่แล้วเจริญ ดังนั้น ความกตัญญูกตเวที เปรียบเหมือนดิน ปลูกพืชก็ต้องอาศัยดิน บ้านเรือนต้องอาศัยดิน ห้างร้านต้องอาศัยดิน งั้นถ้าไม่มีดินจะสร้างอย่างไร? จะปลูกอย่างไร? งั้นสังคมมนุษย์ถ้าไม่มีความกตัญญูก็ไม่ต่าง จากสัตว์พวกนั้น 

(มีจุดลิมิตหรือไม่?) บุญคุณไม่ใช่หนี้ ถ้าเป็นหนี้ แต่ถ้าเป็นหนี้เงินหนี้ทอง เป็นสิ่งเข้าใจได้ ยืมมาเท่าไหร่ จ่ายดอกเท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ก็น่าจะมีวันหมด

ต่อมาก็คือหนี้ชีวิต เราเป็นหนี้ชีวิต พ่อแม่ให้เราเกิดมา ก็ตั้งแต่พ่อแม่ประคองครรภ์ จนเกิดเราและเลี้ยงเราเติบใหญ่มา ถามว่านับเป็นเงินเท่าไหร่ใครจะนับไหวล่ะ ไม่ได้ให้ทดแทนให้หมด…แต่ทดแทนให้เหมาะสม อย่าใช้คําว่าหมด 

พุทธเจ้าเปรียบเทียบในเรื่องสุวรรณสามชาดก ว่าบุรุษและสตรี นำบิดามานั่งบนบ่าข้างหนึ่ง และมารดามานั่งบนบ่าอีกข้างหนึ่ง ใช้ชีวิต กินอยู่ ขับถ่ายบนบ่านี้อยู่ 100 ปี ก็ยังทดแทนบุญคุณไม่หมด นี่เป็นคําเปรียบเทียบ แต่ถ้าทดแทน ก็ทำตามสติ ตามกําลัง

ส่วนเรื่องที่ถามว่าจะมีวันหมดหรือไม่ พระพุทธเจ้าก็มีตรัสไว้เหมือนกันว่าถ้าหากว่า ‘บุตร’ บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ดี และมาสอนพ่อสอนแม่ให้บรรลุตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ก็ถือว่าได้ชดใช้บุญคุณ เพราะถือเป็นการเปลื้องท่านจาก ‘อบายภูมิ’ 

สรุปความการตอบแทนบุญคุณก็คือ ‘กตัญญู’ คือระลึกถึงคุณทุกเมื่อ ‘กตเวที’ ให้ตอบแทน เมื่อตอบแทนได้ เมื่อถึงจังหวะ ถึงโอกาส ถึงเวลา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top