Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

‘กมธ.อุตฯ’ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา ยัน!! มีนักลงทุนไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมายไทย

กมธ.อุตฯ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา หนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด สร้างแพลตฟอร์มเพื่อหนุนการใช้ซัพพลายเชนของไทย จ่อหารือพาณิชย์ก่อนรับจดทะเบียนบริษัทจีน ต้องมีใบรับรองจากสถานทูตจีน

(16 พ.ค.67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ กับ นางสาวจาง เซียวเซียว (Ms. Zhang Xiaoxiao) อุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมว่า ในการหารือครั้งนี้ ได้เน้นในเรื่องของการสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างสถานทูตจีนกับคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ซึ่งจะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันในการค้าการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ทางฝ่ายจีนได้ขอให้ไทยสนับสนุนการสร้างซับพลายเชน เพื่อให้จีนและไทยได้มีโอกาสสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งเป็นความต้องการของไทย เพราะปัจจุบันนักลงทุนของจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังมีการใช้ทรัพยากรในไทยค่อนข้างน้อย จึงเป็นไปตามความคิดเห็นร่วมกันที่ทั้ง 2 ฝ่าย เสริมสร้างการลงทุนด้วยการ สร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาในการใช้ซับพลายเชนของไทยมากขึ้น

นายอัครเดช บอกอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลจีน ยังต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเพิ่มเติม ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ปัจจุบันนี้ พลังงานสะอาดยังมีส่วนที่ต่ำอยู่เพียง 10% โดยรัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาดมากขึ้น ถือว่าจะช่วยลด PM 2.5 ในไทยด้วย

ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้หารือในเรื่องของแรงงาน โดยต้องการให้มีการเพิ่มความสะดวกในการขยาย หรือขอใบอนุญาตการทำงานของผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งเครื่องจักร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันนี้ใบอนุญาต จะต้องใช้เวลาในการขอค่อนข้างนาน โดยตนได้รับเรื่องมาปรึกษากับทางกรรมาธิการแรงงานและกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้การค้า การลงทุนราบรื่นมากยิ่งขึ้น

“นักลงทุนจากจีน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการลงทุน ที่สามารถจะพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีนักลงทุนเพียงไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมาย โดยจะได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน ในการส่งข้อมูลของนักลงทุนจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ให้ทางการจีนได้รับทราบ เพื่อร่วมกันควบคุม” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช บอกต่อว่า ในส่วนของนักลงทุนจีนที่มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎหมายไทยที่มีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมจะสนับสนุนให้มีการลงทุนมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจดทะเบียนการค้า โดยต่อไปจะให้มีการไปรับทราบนโยบายของทางสถานทูตจีนก่อน ซึ่งตนจะเชิญกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เข้าหาหรือว่าก่อนจะรับจดทะเบียนนักลงทุนจากทางจีน จะต้องมีการขอใบแนะนำหรือใบส่งตัวจากทางสถานทูตจีน เพื่อให้กรมธุรกิจการค้าพิจารณาก่อนรับจดทะเบียน เพื่อเป็นการควบคุมนักธุรกิจจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย จะทำให้การค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศราบรื่นมากยิ่งขึ้นในอนาคต

คณะทำงาน ‘ไทย-จีน’ ได้ข้อสรุป!! ไม่ยกเลิกสัญญา จ่อขยายสัญญา 1,200 วัน พร้อมติดเครื่องยนต์จีน

(16 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการเจรจาแก้ปัญหาเรือดำน้ำ ระหว่าง พลเอกสมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับตัวแทนหน่วยงานด้านยุทโธปกรณ์ ของกระทรวงกลาโหมจีน และตัวแทนบริษัท CSOC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิต ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และมีข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำจีนต่อ 

โดย นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมรับฟังการประชุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ด้วย ทั้งนี้การเจรจาแก้ปัญหาเรือดำน้ำ ระหว่างไทยจีนดำเนินการมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมาการเจรจาอาจจะล่าช้า เพราะทางฝ่ายจีน อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างกองทัพ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลายหน่วยงาน แต่ขณะนี้ได้รวมศูนย์หน่วยงานด้านยุทโธปกรณ์ เป็นหน่วยงานเดียวขึ้นกับกระทรวงกลาโหมจีน ซึ่งได้เดินทางมาร่วมพูดคุย หาทางออกในครั้งนี้ด้วย

โดยหน่วยงานของจีนที่ส่งมาคือ The Bureau of Military Equipment and Technology Cooperation (BOMETEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองการขายอาวุธที่มีใช้ในกองทัพจีนให้กับต่างประเทศ และ ‘The State administration of Science, Technology and Industry for national Defense (SASTIND)’ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองบริษัทที่ขายอาวุธให้ต่างประเทศ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทางออกในการแก้ปัญหาโครงการเรือดำน้ำ มีเพียง 2 ทาง คือ 1. เดินหน้าต่อ หรือ 2. ยกเลิก ซึ่งหากการเปลี่ยนจากโครงการเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต หรือเรือ OPV ก็เท่ากับการยกเลิกโครงการเรือดำน้ำด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการหารือ และประเมินข้อดี-ข้อเสียแล้วพบว่า การยกเลิกโครงการจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี โดยฝ่ายไทย อาจต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเรื่องเงินค่างวดที่จ่ายไปล่วงหน้า และอาจได้คืนเพียงบางส่วน ไม่ครบตามจำนวนที่จ่ายไปทั้งหมด ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเลือกเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำต่อ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีมาอย่างยาวนาน

โดยทางฝ่ายจีนยินดีที่จะสนับสนุนทางการทหาร เช่น การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำ ทั้งเครื่องช่วยฝึก หรือ Simulator และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงเรื่องระบบประกัน / การฝึกศึกษา ซึ่งมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท แต่ทางจีนยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด เพราะต้องการให้ โครงการเรือดำน้ำเดินหน้าอย่างชัดเจนก่อน

สำหรับขั้นตอนต่อไป คือ กระทรวงกลาโหมจะสรุปผลการเจรจานำเสนอ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พิจารณา เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะจะต้องมีการแก้สัญญา 2 ส่วน ได้แก่ การขยายเวลาสัญญาต่อเรือดำน้ำออกไปอีกราว 1,200 วัน และ การเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเยอรมัน MTU 396 เป็นเครื่องยนต์จีน CHD620 เพื่อให้ ครม. เห็นชอบต่อไป

ทั้งนี้มีข้อมูลว่าเครื่องยนต์ CHD 620 ได้ผ่านมาตรฐานจากสมาคมจัดชั้นเรือของประเทศอังกฤษ และประเทศปากีสถาน ได้จัดซื้อเรือ ดำน้ำจีนที่ติดตั้งเครื่องยนต์ CHD 620 ซึ่งน่าจะได้เห็นประสิทธิภาพของเรือดำน้ำในอีกไม่นานนี้

แหล่งข่าวกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในการเจรจาครั้งนี้ หน่วยงานทางการจีนได้รับข้อเสนอของไทยในการเพิ่มเติมการสนับสนุน โดยไม่ได้ใช้คำว่าชดเชย และจะนำกลับไปพูดคุยกับคณะกรรมาธิการกลางทหารของจีนอีกครั้ง เช่นเดียวกับข้อแลกเปลี่ยนสินค้าทางด้านการเกษตรฯ แต่ที่สำคัญคือการจะเดินหน้าต่อ รัฐบาลไทยต้องมีมติในเรื่องการเดินหน้าโครงการเรือดำน้ำ และการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ทำให้ทางไทยยังไม่เปิดเผยรายการที่ทางจีนจะให้กับไทยอย่างละเอียด

ขณะที่มี รายงานข่าวในกระทรวงกลาโหมว่า การเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีนยังไม่จบทั้งหมด แต่ช่วงนี้คณะพูดคุยคงยังไม่เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน และอาจจะไม่ไป เพราะจะคุยกันผ่านทางวิดีโอคอล คาดว่าน่าจะจบเร็ว ๆ นี้ และคงต้องไปหานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กำกับดูแล เพราะต้องไปรายงานเรื่องเรือดำน้ำ เมื่อมีความคืบหน้าในระดับหนึ่งเมื่อได้ทิศทางที่ชัดเจน

มส.16 เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 8 วิสาหกิจชุมชนเกาะเกร็ด ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่ความยั่งยืน

วันที่ 15 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายภิรมย์ ชุมนุม นายอําเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี พร้อมด้วย พระครูพิพิธเจติยาบาล เจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร ผู้ใหญ่บ้าน อบต.เกาะเกร็ด ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครูโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ให้การต้อนรับ พล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ ผู้อํานวยการหลักสูตร มส. พล.อ.ต.หญิง ผศ.ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ รองผู้อํานวยการหลักสูตรฯ ดร.วรวุฒิ ไชยศร ผู้ช่วยผู้อํานวยการหลักสูตรฯ พร้อมคณาจารย์ และนักศึกษาหลักสูตร การบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.รุ่นที่16) ในการทำกิจกรรม CSR TO SUSTAIN มส.16 สร้างผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่ยั่งยืน  บวร : บ้าน วัด โรงเรียน

สำหรับกิจกรรมต่างๆ ทางหลักสูตร ได้แบ่งนักศึกษาเป็น 10 กลุ่ม เพื่อลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้วิสาหกิจชุมชน 8 วิสาหกิจ คือ วิสาหกิจชุมชนผ้าบาติก วิสาหกิจชุมชนขนมหวาน วิสาหกิจชุมชนนวดแผนไทย วิสาหกิจชุมชนชารางแดง วิสาหกิจชุมชนขนมปังหน่อกะลา วิสาหกิจชุมชนเครื่องจักรสาน วิสาหกิจชุมชนหน่อกะลา วิสาหกิจชุมชนเครื่องปั้นดิน และพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดปรมัยยิกาวาส  โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เพื่อระดมสมอง สร้างสรรค์แนวคิด เพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน พิพิธภัณฑ์ชุมชน และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส ด้วยการนำเสนอโมเดลวิสาหกิจชุมชนยั่งยืน ด้วย Sustainable Business Model Canvas

นอกจากนี้ คณะนักศึกษาได้มอบป้ายแนะนำวิสาหกิจชุมชน พิพิธภัณฑ์ชุมชน และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้เป็นข้อมูลความรู้ มอบและติดตั้งพัดลมให้โรงเรียนจำนวน 15 ชุด มอบตู้เย็นให้ 5 โรงเรียน พร้อมซ่อมแซมบ้านสำหรับผู้สูงอายุ อีก 1 หลัง

พล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ กล่าวว่า วันนี้นักศึกษา มส.รุ่นที่ 16 ภายใต้มูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง
ได้มาทำกิจกรรมดีๆเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืน วันนี้คณะนักศึกษาได้ลงพื้นที่เกาะเกร็ด ใน 8 วิสาหกิจชุมชน รวมทั้ง วัด และโรงเรียน โดยได้แบ่งนักศึกษาออกเป็น 10 กลุ่ม ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากนั้นช่วงบ่ายนำผลที่ได้มาเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อเสนอผลงานแต่ละวิสาหกิจชุมชน รวมถึงข้อเสนอแนะ พบว่าทุกกลุ่มได้นำเสนอผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม กับผลลัพธ์ที่ได้นำเสนอ คุ้มค่ากับการได้ร่วมกิจกรรมในวันนี้ และผลจากการลงพื้นที่ทางหลักสูตรจะรวบรวมข้อมูลส่งต่อให้นายอำเภอปากเกร็ด และทางพัฒนาการปากเกร็ด ได้นำไปใช้ประโยชน์ในวิสาหกิจชุมชน และวัด โรงเรียนต่อไป รวมทั้งจะนำผลในครั้งนี้ ส่งต่อให้กับหลักสูตรการจัดการความมั่นคงขั้นสูง รุ่นที่ 17 ที่จะเข้าศึกษาในไม่ช้า เพื่อได้รับการสานต่อและต่อไปในอนาคตสู่ความยั่งยืน

ด้าน ดร.วรวุฒิ ไชยศร กล่าวว่า
กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นกิจกรรมที่ทำให้ นักศึกษา มส.16 ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ดได้หลากหลาย อีกทั้งได้มีโอกาส เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา วิสาหกิจชุมชนเกาะเกร็ด โรงเรียน และพิพิธภัณฑ์ชุมชน เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์คุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชนเกาะเกร็ด รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในการนำทักษะความรู้จากการอบรม และประสบการณ์ทำงาน มาสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Soft Power) ให้ชุมชนเกาะเกร็ด เกิดความยั่งยืน

ทางด้าน นายจิรชาติ บุญสุข นักศึกษาหลักสูตร มส.15 กล่าวว่า จากกิจกรรมที่ดำเนินการได้เกิดการขับเคลื่อน ทั้งเรื่องการเปิดมุมมองโมเดลธุรกิจสมัยใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับวิสาหกิจชุมชนในเกาะเกร็ด เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน อีกทั้งยังสร้างความภูมิใจ และแสดงศักยภาพของนักศึกษา มส.16 ที่ได้ช่วยเหลือ แบ่งปัน สังคม 3 ด้าน ได้แก่ วัด บ้าน และโรงเรียน อีกทั้งเกิดการทำงานร่วมกับหน่ายงานราชการในพื้นที่ ได้รับการยอมรับในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

‘กัปตันเครื่องบิน’ เล่าประสบการณ์ ‘บั้งไฟ’ พุ่งเฉียดเครื่องบินสูง 8,000 ฟุต ยัน!! เข้าใจเรื่องประเพณี แต่ควรขอนุญาต-ไม่ควรผลิตให้พุ่งสูงขนาดนี้

(16 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘บันทึกไม่ลับของคนขับเครื่องบิน’ ได้โพสต์เรื่องราวสุดช็อก เมื่อเจอบั้งไฟยิงผ่านเครื่องบินเกือบ 8,000 ฟุต โดยข้อความระบุว่า… 

"นอกจากทางทางเหนือมีโคมลอยแล้ว ทางภาคอีสานก็ยังมีบั้งไฟอีกที่เป็นอันตรายต่อการบินมาก

อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะ เข้าใจว่ามันเป็นประเพณีที่ทำกันมายาวนาน แต่อยากให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับประเพณีนี้ขอให้มีจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยของส่วนรวมด้วย เพราะมันอันตรายกับอากาศยานมาก รวมถึงผู้โดยสารบนเครื่องบินครับ

ถ้าจะปล่อยบั้งไฟขอให้ขออนุญาตหน่วยงานด้านการบินก่อน และทำการปล่อยในจุดที่ขออนุญาต รวมถึงการเล่นการพนันขันต่อว่าบั้งไฟลูกไหนจะสูงกว่ากัน เลิกเถอะครับเพราะอันนี้มันไม่ใช่ประเพณีแล้ว ยิ่งมีคนเดิมพัน คนยิ่งผลิตก็ยิ่งพัฒนาให้บั้งไฟสูงขึ้นไปอีก

อย่างวันนี้ผมเทคออฟจากอุบล จากพิกัด radial 266 จากสนามบิน เจอบั้งไฟห่างจากเครื่องบินผมไม่ถึง 200 เมตร ขนาดผมอยู่ที่ความสูง 6,000 ฟุต บั้งไฟยังขึ้นไปสูงกว่าผมอีก (มองด้วยสายตาน่าจะความสูง 8,000 ฟุต) ซึ่งมันอันตรายมาก หายนะเกิดได้ง่าย ๆ เลยกับการกระทำแบบนี้ เพราะผมแจ้งหอว่าบริเวณนี้มีการปล่อยบั้งไฟ และหอไม่มีการรายงานการขออนุญาตในเขตพื้นที่แถว ๆ นี้ หลังจากนั้นเครื่องบิน ATR ของกองทัพอากาศก็รีพอร์ตบั้งไฟลูกอื่น ๆ ตามมา หอบังคับการบินต้องให้คำแนะนำทิศทาศนักบินบินหลบกันอุตลุด คิดดูมันอันตรายแค่ไหนครับ”

28 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 วันคล้ายวันก่อตั้ง ‘ม.ศรีปทุม’ เดิมชื่อ ‘วิทยาลัยไทยสุริยะ’ 1 ใน 5 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย

‘วิทยาลัยไทยสุริยะ’ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 เป็น 1 ใน 5 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรก ๆ ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย โดย ดร.สุข พุคยาภรณ์

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2515 วิทยาลัยไทยสุริยะ ได้รับพระราชทานนามใหม่จาก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็น ‘วิทยาลัยศรีปทุม’ (กระทรวงศึกษาธิการได้อนุญาตให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อวิทยาลัยศรีปทุม เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2515) และพระราชทานความหมายว่า ‘เป็นบ่อเกิดแห่งวิชาที่เบิกบานเช่นดอกบัว’ พร้อมทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดป้ายนาม ‘ศรีปทุม’ และพระราชทานปริญญาบัตร อนุปริญญา และประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นที่ 1,2 และ 3

ทั้งนี้ ทบวงมหาวิทยาลัยได้อนุมัติให้เปลี่ยนประเภทเป็น ‘มหาวิทยาลัยศรีปทุม’ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530

โดย มหาวิทยาลัยฯ ได้ขยายวิทยาเขตออกไปในปีการศึกษา 2530 โดยได้จัดตั้งวิทยาเขตที่สมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรกที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2530

ในปี พ.ศ. 2537 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ขออนุมัติทบวงมหาวิทยาลัย (ในขณะนั้น) จัดตั้งมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาคารพญาไท เปิดสอนในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนานักบริหาร โดยเปิดสอนครั้งแรก ณ อาคารเอ็กซิม (อาคารบุญผ่องเดิม) ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท ต่อมาได้ย้ายสำนักงานมาเปิด ณ อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ ชั้น 17 และชั้น 20 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท เพื่อเปิดสอนหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาสำหรับนักบริหาร (ปัจจุบันไม่มีการสอนที่วิทยาคารพญาไทแล้ว)

ในปี พ.ศ. 2556 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้ขยายการเรียนการสอนไปยังจังหวัดขอนแก่น ภายใต้ชื่อ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตขอนแก่น เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

States TOON EP.162

ประจวบเหมาะ!!

***สงวนลิขสิทธิ์ภาพดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนแบบ ดัดแปลง หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ แต่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ตามต้นฉบับนี้ โดยไม่ต้องขออนุญาต 

“เชียงราย”จก.กร.ทบ. ร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน ไทย – เมียนมา ของ ฉก.ทัพเจ้าตากในพื้นที่แม่สาย”

ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พลโท อานุภาพ ศิริมณฑล เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบก พร้อมด้วย พันเอก ฌฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ลงพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างคู่หมู่บ้านปางห้า ตำบลเกาะช้าง  อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับ บ้านป่ากุ๊ก เมืองพง จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และคู่ของ บ้านป่าแดง ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับ บ้านดินดำ เมืองพง จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งจัดโดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ร่วมกับ อำเภอแม่สาย และ หัวหน้าส่วนราชการ, กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การพบปะพัฒนาสัมพันธ์, การเดินขบวนรณรงค์ป้องกันภัยชุมชน, การให้บริการทางการแพทย์, การให้บริการตัดผมฟรี, การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน, การแข่งขันฟุตบอล, การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน ณ โรงเรียนบ้านปางห้า และ พิธีบวชป่า, กิจกรรมปลูกป่า พร้อมทั้งกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

เชียงใหม่-ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งวัยรุ่นก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน 5 พื้นที่

วันที่ 16 พ.ค.67 เวลา 11.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวสมิตระกูล รอง ผบช.ภ.5, รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,รอง ผบก.สส.ภ.5, ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ และ ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.5 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งวัยรุ่น จำนวน 3 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน  5  พื้นที่  ได้แก่ สภ.สันป่าตอง, หางดง, หนองตอง, ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ และ สภ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่  

โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คดีที่ 1  คดีปล้นทรัพย์ ฯ ของ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์  จับกุมผู้ต้องหา 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567  เวลาประมาณ 05.30 น. นายกังสชิต ฯ และนายทักษ์ดนัย ผู้เสียหาย จำนวน 2 คน เล่นสเก็ตพื้นที่ของเอกชน อยู่ที่เขต ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่  ได้มีคนร้ายซึ่งเป็นชายวัยรุ่น จำนวน 3  คน ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาบริเวณลานสเก็ต หนึ่งในคนร้าย  ได้ใช้อาวุธมีดทำร้ายฟันผู้เสียหายบริเวณหน้าผาก  และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และคนร้ายได้หยิบทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้เสียหายที่ไปประกอบด้วย บุหรีไฟฟ้า, บุหรี่ยี่ห้อ LM แดง จำนวน 1 ซอง, น้ำดื่มเอสรสลิ้นจี่ จำนวน 2 ขวด, แก้วเยติ  จำนวน 1 ใบ

ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.67 เวลาประมาณ 23.00 น. ได้ทำการสืบสวนทราบว่าคนร้ายทั้ง 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  เจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงได้นำตัวนายพลาธิปฯ และ ด.ช.น้ำหนึ่ง ฯ มาซักถามปากคำ โดยทั้ง 2 ยอมรับว่าได้ร่วมกันกับนายอนุเดช หรือ บังพีท ก่อเหตุจริง ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พ.ค.67 ได้ทำการจับกุมตัวนายอนุเดช หรือบังพีช ตามหมายจับของ ศาลจังหวัดเชียงใหม่  พร้อมควบคุมตัวนายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 2 จับกุมตัวนายจักรกฤษ ฯ ภูมิลำเนา ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ จำนวน 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สิน 1  ครั้ง เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง ครั้งแรก ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอ สีชมพู ไปก่อเหตุที่เขต สภ.สันป่าตอง ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่สอง ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอฯ ไปก่อเหตุที่เขต สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด 

ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 เวลาประมาณ 13.30น. ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไปใช้ก่อเหตุ ในเขตพื้นที่ สภ.หนองตอง จ.เชียงใหม่ เมื่อ ได้ทรัพย์สินเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท นำไปขายที่ร้านทองจำชื่อ ภายในห้างในพื้นที่ ต.ช้างเผือก ในวันเดียวกับวันที่ก่อเหตุ 
ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 16.00น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในเขตพื้นที่ สภ.ช้างเผือกจ.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่ห้า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 18.50น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองลำพูน แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
รวมก่อเหตุทั้งหมด 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งเดียว คือ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง 

ตำรวจภูธรภาค 5 ขอยืนยันว่ามีความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนและยังคงเน้นย้ำในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ทั้งนี้หากพบเห็นอาชญากรรมหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดโปรดแจ้ง 191 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง หรือแจ้งผ่านไลน์ ผบช.ภ.5 ไอดี @police5 

'CHANGAN' ตั้งเป้าปีหน้าใช้ชิ้นส่วนในไทย 60% ป้อนโรงงาน คว้า 'ไทยซัมมิท-ซัมมิท-อาปิโก้' รับงานล็อตแรก 2 หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.67) นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อฉางอาน (CHANGAN) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เช่น ซัมมิท, ไทยซัมมิท และอาปิโก้ โดยได้มีการวางแผนจัดซื้อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตรถไฟฟ้ารุ่นแรกของเรา ซึ่งจะเริ่มผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีหน้าด้วย

ล่าสุดบริษัทเข้าร่วมงาน Subcon Thailand 2024 เพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ให้เข้าไปสู่ซัพพลายเชนกลุ่มอุตสาหกรรมของฉางอาน เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกอีกด้วย

โดยงาน Subcon Thailand 2024 เป็นงานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม และจับคู่ธุรกิจชั้นนำของอาเซียน โดยปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม โดยทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้นำ 7 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า รายใหญ่ที่ลงทุนในไทยเข้าร่วมงาน และฉางอานได้มีโอกาสร่วมแชร์ประสบการณ์ และเผยถึงทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าผ่านกิจกรรม 'BOI Symposium : EV Supply Chain'

ปัจจุบันฉางอานมีการจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย 3 แห่ง มีการลงทุนมูลค่าสูงถึง 8.8 พันล้านบาท ในส่วนฐานการผลิตจังหวัดระยอง ซึ่งจะครอบคลุมกระบวนการการผลิตยานยนต์ทั้งหมดตั้งแต่การเชื่อม การพ่นสี การประกอบแบตเตอรี่ไปจึงถึงการประกอบขั้นสุดท้าย โดยระยะที่ 1 มีกำลังการผลิตอยู่ 100,000 คันต่อปี ในไตรมาสแรกของปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คันในปีถัดไป

ทั้งนี้ฉางอานวางเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มากกว่า 15 รุ่นให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าชาวไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือการสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นซึ่งมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจในต่างประเทศ มีความเปิดกว้าง และโปร่งใส เป้าหมาย คือ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานสามารถให้บริการทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัทตั้งเป้าในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% และสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานรถที่ใช้พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle-NEV) ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

'อ.เจษฎา' เผย!! อันตรายหลังเลิกอดข้าว แล้วกลับมากินใหม่ เผื่อเป็นแนวทางในการดูแล 'ผู้ประสบเหตุ' ที่ต้องอดอาหาร

(17 พ.ค.67) จากการเสียชีวิตของ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ก่อนหน้านี้เคยอดอาหารประท้วงจนป่วย และกลับมาทานอาหารอีกครั้ง ก่อนจะเสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ล่าสุด รศ. ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า

(note: โพสต์นี้เป็นการให้ข้อมูลเชิงวิชาการ ไม่ได้โพสต์วิพากษ์วิจารณ์สังคม แต่อย่างไรนะครับ)

ระวัง ‘รีฟีดดิ้ง ซินโดรม (Refeeding Syndrome)’ อันตรายหลังเลิกอดข้าว แล้วกลับมากินใหม่

หลังจากมีข่าว คุณบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมือง เสียชีวิตหลังจากที่เคยอดอาหารประท้วงจนป่วย และกลับมาทานอาหารอีกครั้ง (ภายใต้การดูแลของแพทย์) เลยทำให้นึกถึงคำเตือนสมัย ‘13 ทีมหมูป่า ติดถ้ำ’ เรื่อง ‘อย่ารีบกินอาหาร หลังจากอดข้าวมานานหลายวัน อาจเกิดภาวะ Refeeding Syndrome ได้’ ครับ

เลยอยากจะยกเรื่องนี้ ขึ้นมาทบทวนกันหน่อย เผื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ประท้วงอดอาหาร หรือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุใด ๆ จนต้องอดอาหารยาวนานหลายวัน

#ภาวะรีฟีดดิ้งซินโดรมคืออะไร

- จากกรณีนักฟุตบอลเยาวชน 13 ชีวิต ทีมหมูป่า อะคาเดมี่ ติดอยู่ในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย นานนับ 10 วัน มีแค่น้ำหยดให้กินเล็กน้อย ซึ่งทุกคนต้องอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร จึงมีคำเตือนจากกลุ่มโภชนาการ ให้ระวังภาวะ ‘รีฟีดดิ้ง ซินโดรม’ (Refeeding Syndrome) เวลาช่วยเหลือออกมาได้ โดยต้องระมัดระวังการให้น้ำและอาหาร

- การเกิดรีฟีดดิ้ง ซินโดรม นั้น เป็นภาวะที่มีความรุนแรง และค่อนข้างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายขาดอาหารเป็นเวลานาน หากได้รับอาหารเข้าไปทันที ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำเกลือ ที่มีน้ำตาลเด็กซโตส (Dextrose) , อาหารทางปาก , อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง , อาหารทางสาย หรืออาหารทางหลอดเลือดดำ  ก็เป็นอันตรายได้

- คนที่มีภาวะขาดสารอาหารมาก่อน สภาพร่างกายที่อดอาหารนาน ๆ จะมีการขาดแร่ธาตุ โพแทสเซียม ฟอสเฟต แมกนีเซียม และแคลเซียม ด้วย

- ดังนั้น เมื่อได้รับอาหารอีกครั้ง ร่างกายจะย่อยและดูดซึมอาหาร เพื่อให้มีการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เพื่อสร้างเป็นพลังงาน โดยร่างกายจะหลั่งสารอินซูลิน (Insulin) เพิ่มการสร้างไกลโคเจน (Glycogen) โดยมีวิตามินบี 1 เป็นตัวช่วย

-  ระหว่างการนำกลูโคสเข้าเซลล์ ก็จะมีการนำแร่ธาตุต่าง ๆ ดังกล่าว เข้าไปในเซลล์ด้วยเป็นจำนวนมาก

- เลยยิ่งส่งผลให้ร่างกาย เกิดภาวะแร่ธาตุในเลือดต่ำ ทำให้ระดับวิตามินบี 1 ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้เกิดภาวะสมดุลเกลือแร่ผิดปกติ อย่างรุนแรง

- จะเกิดมีอาการเหนื่อย หอบ หัวใจเต้นผิดปกติ และอาจเสียชีวิตได้ ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกว่า ภาวะรีฟีดดิ้ง ซินโดรม

#แนวทางในการป้องกันภาวะรีฟีดดิ้งซินโดรม

- ก่อนจะให้อาหาร ควรให้วิตามินบี 1 ประมาณ 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับวิตามินและแร่ธาตุรวม

- การเริ่มให้อาหาร จำเป็นต้องเริ่มอาหารอ่อน ในปริมาณน้อย ๆ

- ถ้าสามารถทำได้ ควรตรวจระดับโพแทสเซียม ฟอสเฟต แมกนีเซียม และแคลเซียม ในเลือดก่อน และแก้ไขหากมีระดับเกลือแร่ผิดปกติ และติดตามอาการทางคลินิกและการเปลี่ยนแปลงระดับแร่ธาตุเหล่านี้ในเลือดอย่างใกล้ชิด

- การกินวิตามิน ที่มีส่วนประกอบของวิตามินบี 1 มีหลักการ ดังนี้

1. ก่อนจะให้อาหาร ควรให้วิตามินบี 1 ในปริมาณ 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน 1-2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับวิตามินแร่ธาตุรวม วันละครั้ง และควรให้ต่อเนื่องกัน อย่างน้อย 2 วัน หรืออาจให้ต่อไปจนถึง 10 วัน หรือจนกว่าจะได้รับพลังงาน วิตามินรวม และแร่ธาตุอื่น ๆ อย่างครบถ้วนตามเป้าหมาย

2. เริ่มให้อาหาร พลังงานไม่เกิน 5-10 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน ขึ้นกับภาวะทุพโภชนาการ  ค่อยๆ เพิ่มปริมาณทีละนิดภายใน 4-7 วัน โดยใน 4 วันแรก ควรให้พลังงานประมาณ 5-10 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน จากนั้นค่อย ๆ ปรับเพิ่มพลังงานอย่างช้าๆ เช่น เพิ่มครั้งละ 5-10 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน จนถึงพลังงานเป้าหมายภายในเวลา 4-7 วัน

และ 3. ติดตามเป็นระยะทุกวัน โดยเฉพาะในช่วง 4-7 วันแรก ต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top