Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

สลด!! นักศึกษาแพทย์สาวจีนเป็นโรคหัวใจ ถูกบังคับให้ออกกำลังกาย สุดท้ายหัวใจวายตาย เพราะอาจารย์ไม่เชื่อเอกสารรับรองอาการ

เรื่องราวน่าเศร้าเกิดขึ้น เมื่อครอบครัวและญาตินักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 ของวิทยาลัยการแพทย์ไป๋เฉิง ในมณฑลจี๋หลิน เปิดเผยว่า หลานสาวของพวกเขาเสียชีวิต หลังถูกอาจารย์ที่ปรึกษาบังคับให้ออกกำลังกาย แม้รู้ว่ามีโรคประจำตัว

โดยนักศึกษาสาวแซ่จ้าว ป่วยเป็น ‘โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด’ (Congenital Heart Disease) ซึ่งเธอได้ส่งเอกสารทางการแพทย์ ยืนยันว่าเธอป่วยจริง ๆ ให้ทางวิทยาลัยตั้งแต่เข้าเรียน และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าร่วมเล่นกีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องออกแรง

ทว่าอาจารย์ที่ปรึกษาแซ่ซ่ง กลับไม่เชื่อว่า จ้าวป่วยจริง เขาบังคับให้จ้าวไปวิ่ง จนจ้าวล้มและมีอาการชักเกร็ง หมดสติ ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา

ป้าของจ้าวเชื่อว่า อาจารย์ซ่งตั้งใจที่จะกลั่นแกล้งหลานสาวของเธอ โดยผู้เป็นป้าเล่าว่า อาจารย์น่าจะไม่พอใจ เนื่องจากในช่วงเทศกาลเช็งเม้งที่ผ่านมา เขาได้สั่งให้จ้าวซื้อปลาเป็น ๆ ส่งเป็นของขวัญให้ภรรยาของเขา

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาทางการขนส่ง พอปลาที่จ้าวสั่งไปส่งถึงมืออาจารย์ พวกมันก็ตายหมดแล้ว

"อาจารย์โกรธและทำให้เด็กน้อยของเราตกอยู่ในที่นั่งลำบาก" ป้าของจ้าวกล่าว พร้อมเสริมว่า "เขาบอกว่าเอกสารรับรองการเป็นโรคหัวใจของหลานสาวฉันเป็นของปลอม และสั่งให้จ้าววิ่งทุกวัน"

นอกจากนี้ อาจารย์คนนี้ยังสั่งปลดจ้าวออกจากตำแหน่งหัวหน้าห้องอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ อาจารย์ซ่งยังห้ามนักศึกษาคนอื่นไม่ให้เข้าไปใกล้จ้าว แถมยังไม่ยอมโทร.เรียกรถฉุกเฉิน แต่เลือกที่จะติดต่อฝ่ายบริหารของทางวิทยาลัยแทน

“ถ้าเราพยายามช่วยเธอได้ทันเวลา มันก็คงจะได้ผล แต่อาจารย์ไม่ยอมให้เราเข้าใกล้เธอเลย” เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังเจ้าหน้าที่จากสำนักงานบริหารของวิทยาลัยได้แถลงว่า จ้าวเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ แต่ไม่ได้ชี้แจงถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น โดยทางวิทยาลัยจะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนหาข้อเท็จจริง

กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรในพื้นที่เกาะช้าง “การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล” ณ ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง อ.เกาะช้าง จว.ตราด

ในวันที่ 7-8 พ.ค. 67 สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1 (สล.พมพ.ทรภ.1) จัดกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร ณ ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง อ.เกาะช้าง จว.ตราด โดยมี นาวาเอกกฤษฎา จิระไตรพร รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธาน

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ ความเข้าใจ ตามหลักการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลขั้นเบื้องต้น ตลอดจนเป็นการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจการโรงแรมในพื้นที่อำเภอเกาะช้าง ให้มีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจการโรงแรมในพื้นที่อำเภอเกาะช้างจำนวน 20 หน่วยงาน เข้าร่วมกิจกรรม

#ทัพเรือภาคที่1
#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบัน_ยึดมั่นระเบียบวินัย_ประชาชนภูมิใจ_ทะเลไทยมั่นคง

ศรชล./ศคท.จว.ชบ. นำกำลังพล ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ตามโครงการจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” เฉลิมพระเกียรติ

ศรชล./ศคท.จว.ชบ. โดย น.อ.พินัย จินชัย รอง ผอ.ศรชล.จว.ชบ.พร้อมกำลังพล ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาตามโครงการจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ณ พิพิธภัณฑ์
ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (นสร.กร.) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผวจ.ชลบุรี เป็นประธานในพิธีฯ

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645
 

‘จีน’ ยินดี ‘ปูติน’ เข้ารับตำแหน่ง ปธน.รัสเซียสมัยที่ 5 เชื่อ!! จะนำพาเศรษฐกิจ-สังคมในประเทศก้าวหน้า

(10 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนแสดงความยินดีกับวลาดิเมียร์ ปูติน สำหรับการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียสมัยที่ 5 อย่างเป็นทางการ และเชื่อว่ารัสเซียจะสร้างความสำเร็จใหม่ ๆ ในการพัฒนาประเทศ รวมถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การนำของปูติน

หลินเจี้ยน กล่าวในการแถลงข่าวประจำวัน เมื่อถูกถามถึงความคิดเห็นในกรณีปูตินสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซีย ระยะ 6 ปี เมื่อวันอังคาร (7 พ.ค.) และยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซีย เผยว่า ปูตินจะเยือนจีนในการเดินทางเยือนต่างประเทศระยะแรกของการดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซียสมัยใหม่นี้ โดยหลินชี้ว่าความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย ได้เติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งภายใต้การชี้นำเชิงยุทธศาสตร์จากสองผู้นำรัฐ

จีนและรัสเซียได้ยึดมั่นหลักการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และไม่มุ่งเป้าไปยังฝ่ายที่สาม รวมถึงเดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีด้านต่าง ๆ บนพื้นฐานการเคารพซึ่งกันและกัน ความเสมอภาค และผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนำพาผลประโยชน์อันจับต้องได้มาสู่ประชาชนสองประเทศและมีบทบาทเชิงบวกต่อการเดินหน้าการพัฒนาโลกร่วมกัน

หลินเจี้ยน กล่าวว่า ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-รัสเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการตามแนวปฏิบัติของความเข้าใจร่วมกันระหว่างสองประธานาธิบดี เสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ขยับขยายความร่วมมือ และสานต่อมิตรภาพ เพื่อร่วมสนับสนุนโลกหลายขั้วที่เท่าเทียมและเป็นระเบียบ และโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์และครอบคลุมในระดับสากล พร้อมดำเนินการตามลัทธิพหุภาคีที่แท้จริง และส่งเสริมธรรมาภิบาลโลกที่เป็นธรรมและเท่าเทียมยิ่งขึ้น

หลินเจี้ยน กล่าวอีกว่า จีนให้ความสำคัญกับการชี้นำเชิงยุทธศาสตร์จากการทูตระดับผู้นำรัฐของความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย โดยประธานาธิบดีทั้งสองเห็นพ้องจะธำรงรักษาการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและรับรองการเติบโตที่ราบรื่นและมั่นคงของความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย

‘สื่อเมียนมา’ เผย ‘ทักษิณ’ ล้มเหลว ไกล่เกลี่ยวิกฤตสงครามเมียนมา

(10 พ.ค. 67) สำนักข่าวอิรวดีของเมียนมารายงานว่า การเดินทางเยือนเมียนมาของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อช่วยเจรจาหาทางยุติสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มต่อต้านและรัฐบาลทหารนั้น ไม่เพียงแต่จะถูกเมินจากรัฐบาลเมียนมา แต่ยังทำให้กลุ่มต่อต้านบางส่วนรู้สึกไม่สบายใจด้วย

ทักษิณและทีมงานได้พบกับตัวแทนของกลุ่มต่อต้าน ได้แก่ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU), พรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNPP), องค์การแห่งชาติคะฉิ่น (KNO) และรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ในเดือน มี.ค. และ เม.ย.

การพบปะดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของไทย มาริษ เสงี่ยมพงษ์ ว่าการเจรจาดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่ดำเนินการเป็นการส่วนตัว และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นทางการของไทย

“เราต้องยอมรับว่า คุณทักษิณเป็นที่รู้จักและมีความเชื่อมโยงกับเมียนมา เชื่อว่าเขาสามารถช่วยได้” รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่กล่าว

เชื่อกันว่า ทักษิณมีความใกล้ชิดกับ มิน อ่อง หล่าย ผู้นำเผด็จการทหารเมียนมา เขาเคยไปเยี่ยม มิน อ่อง หล่าย ในปี 2013 และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจที่นั่นภายใต้ระบอบการปกครองก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การหารือในเดือน มี.ค. และ เม.ย. รัฐบาลทหารเมียนมาก็นิ่งเงียบในประเด็นนี้ และไม่ตอบรับคำร้องขอเยือนของทักษิณ แหล่งข่าวในไทยซึ่งคุ้นเคยกับเรื่องนี้บอกกับอิรวดีว่า การหารือดังกล่าวส่งผลย้อนกลับต่อทักษิณ

“ทักษิณกำลังถูกสื่อและฝ่ายค้านโจมตี เป็นการดีสำหรับเขาที่จะถอยออกมาแบบไม่เสียหน้า เนื่องจาก มิน อ่อง หล่าย ไม่ตอบสนองต่อคำขอของเขา” แหล่งข่าวกล่าว

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. คณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรด้านความมั่นคงแห่งรัฐและกิจการชายแดน ซึ่งนำโดยพรรคก้าวไกล ประกาศว่า จะสอบสวนการหารือของทักษิณกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร โดยกล่าวว่า การพบปะอาจทำให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับบทบาทของประเทศไทยในการฟื้นฟูความสงบสุขในประเทศเพื่อนบ้าน

แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า กองทัพไทยกำลังจับตาดูผู้ที่ทักษิณพบปะอย่างใกล้ชิด รวมถึงกลุ่มต่อต้านเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ โดยบอกว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่แน่ใจว่ากองทัพไทยยินดีหรือไม่ที่ได้เห็นทักษิณมาพบปะกับกลุ่มดังกล่าว

แหล่งข่าวรายหนึ่งจากกลุ่มต่อต้านที่เข้าร่วมการหารือกล่าวว่า ทักษิณได้นำเอกสารอย่างเป็นทางการมาให้พวกเขาลงนาม เพื่อมอบอำนาจให้ทักษิณทำหน้าที่เป็นคนกลาง แต่ ‘ไม่มีกลุ่มใดลงนามในเอกสารที่ทักษิณนำเสนอ’ โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการทำให้รัฐบาลไทยไม่พอใจ

ขณะที่การประชุมกับ NUG ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาก็ไม่เป็นไปตามที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคาดหวังไว้ เพราะเขาได้พบเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับกลางเท่านั้น

อู ออง ซาน มยินต์ เลขาธิการคนที่ 2 ของ KNPP บอกกับอิรวดีว่า ในระหว่างการพบปะหารือ ทักษิณกล่าวว่า เขาต้องการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ของเมียนมา

“เราไม่ได้ทำข้อตกลงใด ๆ กับเขา เราบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการเจรจา เราได้พูดคุยกันว่า ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างไรในขณะที่มีการต่อสู้กัน เราไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่นใดอีก” เขากล่าว

'แอร์ฯ EVA AIR' สุดยอด!! เอาตัวขวางห้ามมวยผู้โดยสารก่อศึกเปลี่ยนที่นั่ง ต้นสังกัดชมรับมือเหตุการณ์ได้ดี คลี่คลายศึก-แยกคู่ก่อเหตุให้สงบลงได้

เป็นคลิปเหตุการณ์สุดชุลมุนที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบินโดยสารเที่ยวบินที่ BR08 ของสายการบิน EVA Air ของไต้หวัน หลังเดินทางออกจากกรุงไทเปของไต้หวัน เพื่อมุ่งหน้าไปยังนครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อผู้โดยสารชาย 2 คน เกิดมีปากเสียงถึงขั้นลงไม้ลงมือชกต่อยกัน จนแอร์โฮสเตสสาวต้องเข้ามาทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวยด้วยการเอาตัวเองเข้าขวางห้ามปรามและสั่งให้ทั้งสองฝ่ายหยุดชกต่อยกัน เรียกว่าทำเอาแอร์โฮสเตสเหนื่อยหอบ ก่อนที่สถานการณ์จะสงบลง

สถานีโทรทัศน์ TVBS และ SET News รายงานอ้างการเปิดเผยของสายการบิน EVA Air ถึงเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบินดังกล่าวว่า เหตุการณ์ชุลมุนดังกล่าวเกิดขึ้นราว 3 ชั่วโมง เมื่อผู้โดยสารชายคนหนึ่งตัดสินใจจะเปลี่ยนที่นั่ง เนื่องจากผู้โดยสารที่นั่งติดกับตนเองส่งเสียงไอ แต่ผู้โดยสารชายอีกคนคัดค้าน เนื่องจากที่นั่งที่ผู้โดยสารชายคนแรกจะเปลี่ยนไปนั่งนั้นไม่ได้ว่าง เพราะมีเจ้าของที่นั่งอยู่แล้ว จึงเกิดปากเสียงและมีการชกต่อยกันเกิดขึ้น

ในคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวความยาวราว 1 นาที ที่มีการโพสต์ลงแพลตฟอร์มเอ็กซ์ จะได้ยินเสียงกรีดร้องบอกให้ “หยุด” “ขยับไป” และ “อย่าจับ” ท่ามกลางหมัดที่ถูกปล่อยออกมาซัดกันนัว ก่อนที่ผู้โดยสารชายคู่กรณีทั้งสองจะสงบลง หลังเหล่าแอร์โฮสเตสเข้าห้ามทัพและผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้าช่วยยื้อยุดฉุดห้ามด้วย หลังสถานการณ์คลี่คลายลงทั้งคู่ได้ถูกจับให้นั่งแยกห่างจากกัน

หลังนักบินประเมินสถานการณ์ว่าไม่ได้อยู่ในภาวะอันตรายแล้ว จึงนำเที่ยวบินมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางเดิมที่นครซานฟรานซิสโกต่อไป โดยไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นอีก

เมื่อเครื่องบินลงจอดถึงสนามบินในนครซานฟรานซิสโก ผู้โดยสารที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันทั้งคู่ถูกส่งมอบตัวให้กับตำรวจสหรัฐและการสอบสวนได้ดำเนินต่อไป จากการเปิดเผยของสายการบิน EVA Air ที่บอกกับสื่อไต้หวันในภายหลังด้วยว่า ทางบริษัทไม่มีนโยบายอดกลั้นต่อเหตุการณ์ในลักษณะนี้ พร้อมกับชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่าแอร์โฮสเตสสาวบนเที่ยวที่ทำได้อย่างดีในการเข้าแทรกแซงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ได้อย่างทันท่วงที โดยทางบริษัทยังจะพิจารณามอบรางวัลให้อีกด้วย

‘มาย บาย เคทีซี’ ปักธงผู้นำลอยัลตี้ แพลตฟอร์ม เดินหน้าขยายฐาน โหลดแอปฯ ครั้งแรก ลุ้นบินเวียดนาม

(11 พ.ค.67) นางสาวอุษณีย์ เลาหะวรนันท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานสื่อสารการตลาดและธุรกิจ MAAI BY KTC ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า มาย บาย เคทีซี (MAAI BY KTC) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล ลอยัลตี้ แพลตฟอร์ม (Digital Loyalty Platform) แบบครบวงจร มอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิก MAAI BY KTC ผ่านแคมเปญ ‘โหลด แลก ลุ้น เที่ยวฟิน บินเวียดนาม’ เชิญชวนผู้ที่ยังไม่มีแอปฯ MAAI BY KTC ดาวน์โหลด สมัครใช้งาน และใช้คะแนนมายแลกคูปองส่วนลดร้านค้าใดก็ได้บนแอปฯ MAAI BY KTC และกรณีการแลกคูปองรายการตกอยู่ในลำดับที่ 99 / 499 และ 1,299 สมาชิกจะได้รับรางวัลจากสกายฟันทราเวล Phu Quoc Fun & Easy Package มูลค่า 11,900 บาท ประกอบด้วย บัตรโดยสารสายการบินไทยเวียตเจ็ท (Thai Vietjet) 2 ที่นั่ง ไป – กลับ สุวรรณภูมิ – ฟู่โกว๊ก ประเทศเวียดนาม พร้อมที่พักโรงแรมวินฮอลิเดย์ส เฟียสต้า ฟู่โกว๊ก (Vinholidays Fiesta Phu Quoc) 2 คืน ผู้สนใจสามารถสมัครแอปฯ MAAI BY KTC และแลกคูปองได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลผ่าน Facebook Page: MAAI BY KTC ในวันที่ 7 มิถุนายน 2567 

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/maai/skyfun 

มาย บาย เคทีซี พร้อมต่อยอด ให้การสร้างความผูกพัน ผ่านคะแนนสะสมของธุรกิจพันธมิตรแข็งแกร่งขึ้น ด้วยเครือข่ายพันธมิตรคูปองร้านค้าชั้นนำกว่า 40 ร้านค้า มากกว่า 8,000 จุดรับแลกคะแนน และสมาชิกสามารถใช้คะแนนมาย สแกนจ่ายที่ร้านถุงเงินกว่า 1.8 ล้านร้านค้าทั่วประเทศ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง กิน ช้อป เที่ยว สำหรับสมาชิกใหม่ที่ไม่มีคะแนนมายสามารถโอนคะแนนจากพันธมิตรในหลากหลายธุรกิจอุตสาหกรรม ดังนี้
• คะแนน Bangchak (สมาชิกสถานีบริการน้ำมัน บางจาก)
• คะแนน J POINT (สมาชิกในเครือเจมาร์ท) 
• คะแนน KTC FOREVER (สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี)
• คะแนน M Point (สมาชิก M Card)
• ONESIAM Coin (สมาชิก ONESIAM)
• คะแนน Max Point (สมาชิก PT Max Card)
ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอป MAAI BY KTC ผ่าน App Store Google Play และ AppGallery สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 02 123 5678 หรือ https://www.ktc.co.th/maai/crm

หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

‘WHAUP’ โชว์ฟอร์มเด่น ธุรกิจ ‘น้ำ-ไฟฟ้า’ ดันกำไรปกติพุ่ง 62% เร่ง!! เดินหน้าต่อจิ๊กซอว์ ‘Green Logistics’ ผุดสถานีชาร์จรถ EV

(11 พ.ค.67) บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘WHAUP’ แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,047 ล้านบาท และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% และ 62% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรปกติมีสาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งจากในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่รับรู้ค่าความพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้นจากการหยุดซ่อมบำรุงที่ลดลง และจากในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ได้รับปัจจัยบวกจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรในส่วนของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำทั้งในประเทศไทยและเวียดนามยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ) ในไตรมาส 1/2567 มีปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณจำหน่ายและบริหารน้ำในประเทศเพิ่มขึ้น 14% ซึ่งมีการเติบโตขึ้นทุกผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำดิบ (Raw Water) จากปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added Product) จากปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายใหม่ที่ได้เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว

ในส่วนของธุรกิจน้ำในต่างประเทศ ในช่วงไตรมาส 1/2567 ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 8 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณยอดขายน้ำของโครงการ Duong River ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้โครงการ Duong River ยังมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในงวดไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Duong River จำนวน 18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนอยู่ที่ -11 ล้านบาท 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ปริมาณการผลิต 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) โดยคาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 

ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงลดลง ส่งผลให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้น และจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPPs ที่เพิ่มขึ้นจากการที่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้กำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้น ในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ประเภท Private PPA เพิ่มจำนวน 15 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 59 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีการลงนามในสัญญาโครงการ Private PPA สะสมทั้งสิ้น 242 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 125 เมกะวัตต์ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจำนวน 5 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์นั้น ปัจจุบันได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ EGAT และ PEA เสร็จสิ้นแล้ว 4 โครงการ จำนวนรวม 85 เมกะวัตต์ สำหรับอีก 1 โครงการที่เหลือคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้เร็วๆ นี้ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ราว 812 เมกะวัตต์  โดยบริษัทมีเป้าหมายในการเพิ่มสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นไปที่ระดับ 1,000 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดผ่านการพัฒนา นวัตกรรมและโซลูชั่นด้านพลังงานใหม่ๆ อาทิ การเปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สอดรับกับแผนการลงทุนใน Green Logistics แบบครบวงจรของ WHA Group โดยได้ตั้งเป้าขยายการให้บริการครบ 120 ตู้ชาร์จภายในปีนี้ 

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า WHAUP มีความมุ่งมั่นในการแสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group นอกจากนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.2525 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 จำนวน 0.0600 บาทต่อหุ้น และอนุมัติจ่ายปันผลเพิ่มเติมอีก 0.1925 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของ WHAUP  

เพจ ‘2475 Dawn of Revolution’ โพสต์พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗

(10 พ.ค. 67) เพจ ‘2475 Dawn of Revolution’ ได้โพสต์พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ระบุว่า…

“ในขณะนี้มีคนไทยประณามด่า ว่ากล่าวให้ร้ายป้ายสีฉันทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สักวันหนึ่งในอนาคต ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยจะจารึกไว้ว่า ฉันเป็นนักประชาธิปไตย ฉันรักและหวังดีต่อประเทศไทยสักเพียงใด”

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗

คุณหญิงมณี สิริวรสาร, ชีวิตนี้เหมือนฝัน ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 1 และ เล่ม 2/ นรุตม์ เรียบเรียง, พิมพ์ครั้งที่ 2-กรุงเทพฯ, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,/2558 ISBN 978-616-18-0915-7 หน้า 335

'อ.อุ๋ย-ปชป.' แนะรัฐบาลสั่ง 6 แบงก์รัฐ นำร่องลดดอกเบี้ย เดี๋ยวแบงก์พาณิชย์จะลดดอกเบี้ยตามเอง เพื่อไม่ให้เสียลูกค้า

เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ดอกเบี้ยนโยบายเป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้เงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงินต่อไป เป็นเครื่องมือหนึ่งของแบงก์ชาติ ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ไม่ให้เกินเป้าหมาย 3% ต่อปี ตามหลักเศรษฐศาสตร์

อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติไม่มีอำนาจสั่งธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียงการส่งสัญญาณว่าธนาคารพาณิชย์ควรจะขึ้นหรือลดดอกเบี้ยเท่าใด ส่วนแต่ละธนาคารจะตัดสินอย่างไร เป็นเรื่องของแต่ละธนาคาร โดยดูจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ดังที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือจาก 4 ธนาคารใหญ่ และสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 23 เม.ย.67 ซึ่งสุดท้ายสมาคมธนาคารไทยก็มีการปรับลดดอกเบี้ย MRR ลงร้อยละ 0.25 สำหรับผู้กู้บางส่วน ซึ่งไม่ตรงกับมติของแบงก์ชาติ (กนง.)  

ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับหลักความเป็นอิสระของแบงก์ชาติตามที่หลายฝ่ายกังวล รัฐบาลก็สามารถทำได้มากกว่าการขอความร่วมมือ โดยสั่งให้ธนาคารในกำกับดูแลของรัฐทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธกส., ธอส., ธอท., ธพว. และ ธนาคารกรุงไทย ให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะเกิดผลกระทบหลายฝ่าย และรุนแรงในระยะยาว และเมื่อธนาคารของรัฐเหล่านี้ ซึ่งมีฐานลูกค้าหลายสิบล้านคน หากลดดอกเบี้ยได้มากพอและนานพอ สุดท้ายธนาคารพาณิชย์ของเอกชนก็จะต้องลดดอกเบี้ยตาม เพราะมิเช่นนั้นก็จะเสียลูกค้าไป

การทำเช่นนี้แม้จะทำให้รายได้หรือกำไรของธนาคารลดลง แต่ในภาพรวมจะทำให้ประชาชนมั่นใจในการลงทุนและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น และรัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น และเอาเงินมาช่วยธนาคารเหล่านี้ภายหลังได้ โดยไม่ต้องไปกดดันแบงก์ชาติให้กระทบกับหลักความเป็นอิสระ ตามที่หลายฝ่ายท้วงติง 

ผมจึงขอฝากให้รัฐบาลนำวิธีนี้ไปพิจารณา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และหันมาร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเจริญเติบโตก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคงจะดีกว่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top