'อ.อุ๋ย-ปชป.' แนะรัฐบาลสั่ง 6 แบงก์รัฐ นำร่องลดดอกเบี้ย เดี๋ยวแบงก์พาณิชย์จะลดดอกเบี้ยตามเอง เพื่อไม่ให้เสียลูกค้า

เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ดอกเบี้ยนโยบายเป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้เงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงินต่อไป เป็นเครื่องมือหนึ่งของแบงก์ชาติ ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ไม่ให้เกินเป้าหมาย 3% ต่อปี ตามหลักเศรษฐศาสตร์

อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติไม่มีอำนาจสั่งธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียงการส่งสัญญาณว่าธนาคารพาณิชย์ควรจะขึ้นหรือลดดอกเบี้ยเท่าใด ส่วนแต่ละธนาคารจะตัดสินอย่างไร เป็นเรื่องของแต่ละธนาคาร โดยดูจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ดังที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือจาก 4 ธนาคารใหญ่ และสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 23 เม.ย.67 ซึ่งสุดท้ายสมาคมธนาคารไทยก็มีการปรับลดดอกเบี้ย MRR ลงร้อยละ 0.25 สำหรับผู้กู้บางส่วน ซึ่งไม่ตรงกับมติของแบงก์ชาติ (กนง.)  

ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับหลักความเป็นอิสระของแบงก์ชาติตามที่หลายฝ่ายกังวล รัฐบาลก็สามารถทำได้มากกว่าการขอความร่วมมือ โดยสั่งให้ธนาคารในกำกับดูแลของรัฐทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธกส., ธอส., ธอท., ธพว. และ ธนาคารกรุงไทย ให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะเกิดผลกระทบหลายฝ่าย และรุนแรงในระยะยาว และเมื่อธนาคารของรัฐเหล่านี้ ซึ่งมีฐานลูกค้าหลายสิบล้านคน หากลดดอกเบี้ยได้มากพอและนานพอ สุดท้ายธนาคารพาณิชย์ของเอกชนก็จะต้องลดดอกเบี้ยตาม เพราะมิเช่นนั้นก็จะเสียลูกค้าไป

การทำเช่นนี้แม้จะทำให้รายได้หรือกำไรของธนาคารลดลง แต่ในภาพรวมจะทำให้ประชาชนมั่นใจในการลงทุนและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น และรัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น และเอาเงินมาช่วยธนาคารเหล่านี้ภายหลังได้ โดยไม่ต้องไปกดดันแบงก์ชาติให้กระทบกับหลักความเป็นอิสระ ตามที่หลายฝ่ายท้วงติง 

ผมจึงขอฝากให้รัฐบาลนำวิธีนี้ไปพิจารณา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และหันมาร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเจริญเติบโตก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคงจะดีกว่า