Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

‘อรรถพล’ ส่งต่อภารกิจ CEO แก่ ‘ดร.คงกระพัน’ สานต่อ-ขับเคลื่อน ปตท. ทุกมิติ มุ่งสู่ความยั่งยืน

(10 พ.ค. 67) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ส่งต่อภารกิจ CEO ให้กับ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป 

โดย ดร.คงกระพัน จะสานต่อการขับเคลื่อน ปตท. ให้เป็นองค์กรแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ผ่านการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ สร้างเสถียรภาพทางพลังงาน เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ‘ในหลวง ร.9’ เสด็จฯ เปิด ‘เขื่อนภูมิพล’ เขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกในประเทศไทย

‘เขื่อนภูมิพล’ เป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งขนาดใหญ่ สร้างปิดกั้นลำน้ำปิงที่บริเวณเขาแก้ว อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เดิมเรียก ‘เขื่อนยันฮี’ ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระปรมาภิไธยให้เป็นชื่อเขื่อน และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2504 โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างตัวเขื่อน ระบบส่งไฟฟ้า อาคารโรงไฟฟ้า และองค์ประกอบต่าง ๆ

ทั้งนี้ เขื่อนภูมิพล ถือเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกในประเทศไทย รองรับน้ำได้สูงสุด 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งนอกจากจะใช้ระบายไปเพื่อการเกษตร อุปโภคบริโภค ตลอดจนคมนาคมขนส่งแล้ว ยังใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า 

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 นอกจากจะช่วยหล่อเลี้ยงพื้นที่การเกษตรกว่า 10 ล้านไร่ ส่งเสริมอาชีพประมงเป็นมูลค่ากว่า 400 ล้านบาทต่อปี ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 64,000 ล้านหน่วย ยังเป็นเขื่อนที่ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้แก่ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย

‘รัดเกล้า’ เผย ไทยเสนอกรอบประชุม WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ผลักดันด้านทรัพย์สินทางปัญญาฯ - คุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมไทย

(10 พ.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO) 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เอกสารที่ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการเจรจา WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม เพื่อจัดทำความตกลงหรือตราสารระหว่างประเทศมีการปรับปรุงสาระสำคัญไม่สอดคล้องกับกรอบเจรจา WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ที่ ครม. เห็นชอบไว้ 

โดยมีประเด็นที่แตกต่างจากกรอบเจรจาฯ เดิม หลายประเด็น รวมถึงมีการเพิ่มเติมประเด็นที่อยู่นอกเหนือการเจรจา พณ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้จัดประชุมคณะทำงานเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมเพื่อสรุปผลความตกลง

ซึ่งการประชุม WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-24 พฤษภาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ WIPO นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ที่ประชุมคณะทำงานฯ มีมติให้ปรับปรุงกรอบการเจรจา WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม และใช้กรอบการเจรจาเดิมที่ ครม. เห็นชอบไว้เป็นพื้นฐาน โดยคงหลักการและสาระสำคัญของกรอบเจรจาเดิม เนื่องจากหลักการดังกล่าวเป็นประโยชน์กับไทย และเพิ่มประเด็นใหม่ รวมถึงอาจพิจารณาลดประเด็น เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจา และได้รับประโยชน์จากการดำเนินการตามความตกลงหรือตราสารโดยเร็ว 

“ประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และอยู่ในฐานะประเทศที่เป็นแหล่งทรัพยากรพันธุกรรมที่สำคัญ การประชุม WIPO IGC ในด้านทรัพยากรพันธุกรรม จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการผลักดันให้เกิดความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ความคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมของไทย รวมถึงการได้รับประโยชน์ในอนาคต” รองโฆษกฯ กล่าว

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ โชว์รายได้รวม 1/67 แตะ 1.27 แสนลบ. ลุยขยายสาขา-พัฒนาทุกช่องทางขาย-เพิ่มสัดส่วนรายได้

บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า (บริษัทฯ หรือ CPAXT) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2567 กำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และมีรายได้รวม 127,020 ล้านบาท สูงขึ้นกว่า 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการเติบโตในทุกช่องทาง โดยเฉพาะยอดขาย Omni Channel ที่โตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงการขยายสาขาใหม่ และการปรับโฉมสาขา ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ 

เมื่อวานนี้ (9 พ.ค. 67) นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 (เดือนมกราคม-มีนาคม) เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมียอดรายได้รวม 127,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งผลมาจากการเติบโตของยอดขายภายในสาขาเดิม โดยเฉพาะจากการขายออนไลน์และการขายนอกร้านพร้อมการส่งสินค้าถึงลูกค้า (“Omni Channel”) และการขยายสาขาใหม่ที่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น”

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าสร้างการเติบโตของรายได้ปี 2567 อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขับเคลื่อนการเติบโตผ่านทุกช่องทางจำหน่าย  

-ยอดขาย Omni Channel มุ่งเพิ่มสัดส่วนเป็นอย่างน้อยร้อยละ 17 ของยอดขายรวมในปีนี้ โดยเน้นเพิ่มความหลากหลายของสินค้า พัฒนาบริการ และการขยายพื้นที่ให้บริการ รวมถึงใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายของทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกรวมกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า พร้อมกับการพัฒนาทีมนักขายนอกร้าน เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้อย่างครบวงจร 

-การขยายสาขาใหม่ และปรับโฉมสาขาทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ในห้างค้าส่งและค้าปลีกให้เป็นศูนย์กลางชุมชน รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น

-การผนึกจุดแข็งด้านอาหารสดของบริษัทฯ และบริษัทย่อย โดยเน้นการพัฒนาสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน รวมทั้งสร้างความแตกต่าง และเพิ่มกำไรด้วยการขยายสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label) 

“บริษัทฯ มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่องค์กรที่มีความยั่งยืนระดับโลก พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สะท้อนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สำหรับความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มบริษัทฯ หลังจากได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว คาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2567 โดยการควบบริษัทครั้งนี้ ตั้งเป้าสร้างยอดขายและอัตรากำไรที่ดีขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน” นายธานินทร์ กล่าวปิดท้าย

‘อนุทิน’ ยัน!! พรรคร่วมฯ ไม่ขัดแย้ง ปม ‘กัญชา’ ยกคำนายกฯ “ทุกฝ่ายต้องทำเพื่อ ปชช.”

(10 พ.ค. 67) ที่ จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนกัญชาออกมาคัดค้าน ทั้งที่สภาและจะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบด้วย ว่า คนกลุ่มนี้พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง เพราะลงทุนธุรกิจมากพอสมควร ถ้าการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ต้องให้โอกาสพวกเขาชี้แจงข้อมูลไว้ตัดสินใจ เป็นเรื่องปกติ

เมื่อถามว่า จะมีปัญหาหรือไม่ ที่มีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องมีกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กลุ่มที่เห็นด้วยกับกัญชา ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีข้อมูล ทำการศึกษา และไปรวมกลุ่มกับประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมพัฒนากัญชาให้เป็นผลิตภัณฑ์ ที่มีมาตรฐาน ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย

เมื่อถามว่า จะถึงขั้นสร้างความขัดแย้งหรือไม่ นายอนุทิน ย้ำว่า ความขัดแย้งไม่ควรจะมี นโยบายกัญชาอยู่ในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เน้นใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในทางปฏิบัติก็อยู่ในกรอบมาตลอด ทุกอย่างต้องมีการควบคุมตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน จะเปลี่ยนกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ เราต้องมีข้อมูลใหม่ ๆ 

“ตอนที่เราปลดกัญชาออกจากยาเสพติด นายสมศักดิ์กับตน อยู่ในกรรมการชุดนี้ มีมติในที่ประชุมเป็นเอกสาร ไม่ใช่มีมติเสียงข้างมาก-ข้างน้อย ตนก็ได้เรียนกับนายสมศักดิ์ไปว่า คงต้องรื้อรายงานการประชุม และมาดูว่าทำไมวันนั้นตัวท่านเอง ตน และกรรมการอีกหลายคน ถอดกัญชาออกจากยาเสพติด"

เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ลักษณะที่ว่าอาจจะยังมีความเห็นไม่ตรงกัน นายอนุทิน เผยว่า นั่นคือพาดหัวข่าว แต่ในเนื้อข่าวไม่ใช่ ได้คุยกับนายสมศักดิ์แล้ว มีหลายเรื่องที่เห็นตรงกันและไม่ตรงกัน ไม่ได้หมายความว่าขัดแย้งกัน ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขได้สัปดาห์เดียว เรื่องกัญชาตนทำมา 4 ปี ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว 

“มั่นใจว่าวินาทีนี้ ตนน่าจะมีข้อมูลที่ต้องให้ นายสมศักดิ์ นำไปประกอบพิจารณา ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์ ไม่ได้ทำด้วยทิฐิ นโยบายของพรรคภูมิใจไทยใครจะมายุ่งเกี่ยวไม่ได้ก็ไม่ใช่ ต้องดูประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก" 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า ทำไมคิดว่าเหตุการณ์นี้จะกระทบกับพรรคภูมิใจไทย เพราะเรายึดประโยชน์ของประชาชน นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกพรรคการเมืองต้องมองประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก พรรคการเมืองมีนายคือประชาชน นายกฯ พูดไม่ผิด เราต้องมองประโยชน์ประชาชน แต่เรื่องนโยบายของแต่ละพรรค เราอยู่รัฐบาลเดียวกัน ต้องพยายามผลักดันเกื้อกูลกันให้มากที่สุด ให้นโยบายของแต่ละพรรคไปถึงฝั่งฝัน ได้ก็จะวินวินกับทุกคน พรรคภูมิใจไทย ก็มีนโยบายกัญชา ตอนที่มาร่วมรัฐบาลถึงได้ถูกบรรจุไว้ในนั้น หลายคนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันแล้ว ต้องเคารพนโยบายของแต่ละพรรค พรรคภูมิใจไทยก็ทำมาตลอด

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะสร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ เป็นเรื่องความคิดฐานข้อมูลไม่เท่ากัน ใครมีข้อมูลมากกว่าต้องทำให้เกิดความเข้าใจ จะนำกัญชาไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ ถ้าอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากประกาศปัจจุบัน ต้องเข้าคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน 

“หากไปถึงจุดนั้น ตนในฐานะที่เป็นหนึ่งในกรรมการ หากฟังข้อมูลในที่ประชุมนำเสนอไม่ครบ ก็อาจจะต้องชี้แจง แต่ถ้าไปถึงขั้นลงคะแนนเสียง ทุกฝ่ายต้องยอมรับในมติของคณะกรรมการ พรรคภูมิใจไทยพูดได้ชัดเจนว่า เราจะยอมรับในมติของคณะกรรมการ แต่ขอให้เราได้ทำงานของเราก่อน" 

16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ‘หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ’ ละสังขาร สิ้นตำนาน เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด

วันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 คือวันที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ แห่งวัดบ้านไร่ ด่านขุนทด ได้ละสังขารจากโลกนี้ไป เหลือไว้แต่คำสอนอมตะ ให้จารึกจดจำและปฏิบัติไปตลอดกาล

พระเทพวิทยาคม นามเดิม คูณ ฉัตร์พลกรัง หรือที่รู้จักในนาม หลวงพ่อคูณ พระเกจิอาจารย์ดัง อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 และอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ที่ลูกศิษย์ยกย่องเป็น ‘เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด’

หลวงพ่อคูณ ถือกําเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ต.ค. 2466 มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณเสียชีวิตลงในขณะที่ลูก ๆ ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ได้เรียนหนังสือกับพระที่วัดบ้านไร่ ซึ่งเป็นสถานศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ยังได้สั่งสอนวิชาคาถาอาคมให้ด้วย

หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2487 โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอําเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า 'ปริสุทโธ' หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้วท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สํานักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หลวงพ่อคูณได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน หลังจากนั้นหลวงพ่อคูณได้ออกธุดงค์ จาริกอยู่ในเขต จ.นครราชสีมา รวมทั้งธุดงค์ไปไกลถึงประเทศลาว และกัมพูชา

หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากกัมพูชากลับมายังประเทศไทย เดินข้ามเขตด้าน จ.สุรินทร์ สู่ จ.นครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดําเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ. 2496 โรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านโดยรอบดีขึ้นด้วย

หลวงพ่อคูณเป็นพระที่มีชื่อเสียงเรื่องการสร้างวัตถุมงคล ซึ่งท่านได้สร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชได้ 7 พรรษา โดยเริ่มทําวัตถุมงคลซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคํา "ใครขอกูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน" เป็นคํากล่าวของท่าน

เมื่อปี 2556 หลวงพ่อคูณเคยอาพาธด้วยอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และมีอาการหลอดลมอักเสบติดเชื้ออย่างรุนแรง จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาจนอาการดีขึ้นก่อนจะกลับไปรักษาตัวที่วัดบ้านไร่ โดยมีคณะแพทย์เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณมีทั้งทรงตัวและแย่ลง จนกระทั่งมีอาการหมดสติเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2558

ต่อมาวันที่ 16 พ.ค. 2558 เมื่อเวลา 10.00 น. คณะแพทย์รายงานผลว่าการเฝ้าตรวจติดตามอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดออกในช่องอก ส่งผลให้ระบบการหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจหยุดเต้น คณะแพทย์ได้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ สำหรับภาวะไตไม่ทำงานได้ให้การรักษาโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ขณะนี้อาการโดยรวมทรุดลง จนกระทั่งเวลา 11.45 น. หลวงพ่อคูณ ได้มรณภาพด้วยอาการสงบ

เหตุผลที่ต้องขยับราคาดีเซลขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตร

กบน. ขยับราคาดีเซลขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตร ช่วยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ที่ยังติดลบกว่าแสนล้านบาท โดยลดการชดเชยดีเซลลงจาก 3.08 บาทต่อลิตร เป็น 2.58 บาทต่อลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประเภทน้ำมันดีเซลลดลงประมาณวันละ 35.42 ล้านบาท จากวันละ 216.99 ล้านบาท เป็น 181.57 ล้านบาท

(10 พ.ค. 67) นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว เห็นว่ายังมีรายจ่ายต่อวันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในขณะนี้ยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากสถานการณ์ด้านสงคราม และเศรษฐกิจ กบน. จึงมีมติลดอัตราเงินชดเชยประเภทน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 จาก 3.08 บาท/ลิตร เป็น 2.58 บาท/ลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประเภทน้ำมันดีเซลลดลงประมาณวันละ 35.42 ล้านบาท จากวันละ 216.99 ล้านบาท เป็น 181.57 ล้านบาท การลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันประเภทดีเซลในครั้งนี้ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.50 บาท/ลิตร เป็น 31.44 บาท/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ที่เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน โดยวางกรอบการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ถึง 31 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สิ้นสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ และการดำเนินการนี้เป็นไปตามมติ กบน. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่เห็นชอบในหลักการให้ปรับอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกเกินกว่า 30 บาทต่อลิตรได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม กบน.จะพิจารณาลดการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแบบค่อยเป็นค่อยไปให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไป และให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนให้น้อยที่สุด  

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ติดลบอยู่ 109,186 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 61,640 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,546 ล้านบาท

'รทสช.' ใช้ TikTok เชิงรุก 'รับฟัง-แก้ปัญหา' ให้ประชาชนได้จริง แม้ปัญหานั้นๆ จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ดูแลของ สส.พรรคก็ตาม

นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในประเทศไทยภายหลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ก็มีบุคคลจำพวกหนึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทย บุคคลจำพวกนั้นก็คือ ‘นักการเมือง’ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาล หรือเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมืองของพรรคการเมือง หรือเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งหรือแสวงหาตำแหน่งจากการเลือกตั้ง 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่เริ่มต้นในยุคสุโขทัยราว พ.ศ. 1781 รวมระยะเวลาร่วม 700 ปีที่ไม่เคยปรากฏมี ‘นักการเมือง’ เลยนั้น น่าคิดว่าทำไมบ้านเมือง ก็ยังสามารถดำรงคงอยู่รอดมาได้ 

กลับกัน 90 กว่าปีที่มีระบบเลือกตั้งเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น บ้านเมืองกลับกลายเป็นย่ำแย่ลง เพราะ ‘นักการเมือง’ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว' แทนที่จะเป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม'

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดการทุจริตโกงกินด้วยฝีมือนักการเมืองเกิดขึ้นมากมาย จนประชาชนที่มีใจรักชาติบ้านเมืองทนไม่ไหว พากันต่อต้านประท้วงจนที่สุดก็เกิดรัฐประหารหลายครั้ง 

ดังนั้นหากใช้สติปัญญาพินิจไตร่ตรองปัญหาของชาติบ้านเมืองแล้ว แน่นอนที่สุดว่า ‘นักการเมือง’ นี่แหละ ที่เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของชาติบ้านเมืองที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วนที่สุด

ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่การแก้ไขเป็นไปได้ยากมาก ด้วยปมหลักของปัญหาอยู่ที่ ‘จิตสำนึก’ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะ ‘จิตสำนึก’ ของ ‘นักการเมือง’ เท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึง ‘จิตสำนึก’ ของประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยเช่นกัน 

เพราะถ้าคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ มี ‘จิตสำนึก’ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนแล้ว ย่อมจะเลือกแต่ ‘นักการเมือง’ ที่เป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม' อย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาการทุจริตโกงกินเกิดขึ้น บ้านเมืองจะมีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเจริญเกิดขึ้นมากกว่าและดีกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม แม้ในเมืองไทยจะเต็มไปด้วย ‘นักการเมือง’ แย่ ๆ อยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทั้งหมด 

เราอาจจะไม่ใช้คำว่า ‘นักการเมือง’ น้ำดีแบบสุดโต่ง แต่อยากใช้คำว่า 'นักการเมืองที่มีจิตสำนึกดี' ต่อประเทศ ต่อสังคมไทย และต่อรากฐานความเป็นไทยที่กำลังถูกเซาะกร่อน กับพรรค ๆ นี้ พรรคที่มีชื่อว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ 'อุดมการณ์เดียวกัน' อุดมการณ์แห่ง ‘จิตสำนึก’ ถึงความรักใน ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ ด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงคงอยู่ได้ด้วยความเจริญก้าวหน้าและสงบร่มเย็น

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า Social Media มีส่วนอย่างสำคัญต่อความคิดของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะในมิติทางสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเราจะพบว่า พรรคการเมืองบางพรรคที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Social Media ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำลังอยู่ในสภาพของพรรคการเมืองที่ไร้ซึ่ง ‘จิตสำนึก’ ความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง โดยใช้ Social Media เป็นเครื่องมือในการ ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง สร้างความแตกแยก ด้วยการให้ร้ายและด้อยค่าสามสถาบันหลักของชาติ สถาบันที่นำพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยมาแล้วกว่า 800 ปี และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้น ต่างเชื่อข้อมูลผิด ๆ ด้วยความงมงาย ขาดสติสัมปชัญญะ และไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพินิจพิเคราะห์เพื่อแยกแยะความผิด ถูก ชอบ ชั่วดี แต่อย่างใด  

กลับกัน การนำ Social Media ของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ในปัจจุบัน เป็นการใช้งานอย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกที่รักหรือมักที่ชังอย่างใด 

ยกตัวอย่างเช่นกรณีของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ชาวบ้านปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ที่ประสบปัญหาจากการกู้หนี้นอกระบบจนกำลังจะเสียบ้านและที่ดินของพ่อซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้กับเจ้าหนี้ ด้วยยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นทบต้นทบดอก ซึ่งเธอได้เคยไปขอความช่วยเหลือมาแล้วจาก หลายหน่วยงาน หลายพรรคการเมือง แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด...แต่วันหนึ่งเธอเจอคลิปหาเสียงใน ‘Tiktok’ ที่มีข้อความ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เธอจึงตัดสินใจเข้ามาขอความช่วยเหลือ 

...และด้วยการช่วยเหลือของ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้การประสานงานของทีมงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่สุดก็สามารถแก้ไขปัญหาของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้ง ๆ ที่พรรคการเมืองนี้ไม่มี สส. อยู่ในพื้นที่ที่เธออยู่อาศัยและมีสิทธิเลือกตั้งแต่อย่างใดเลย

นับเป็นเรื่องและตัวอย่างที่ดียิ่งของการเมืองไทยที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกที่รักหรือมักที่ชังอย่างใด แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพรรคการเมืองนี้ที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเต็มความสามารถและไม่คำนึงถึงประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น 

ทั้งนี้ หากมองสิ่งที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ทำอยู่ ช่วยลบคำสบประมาทและการครหาที่ว่า “ชาวบ้านจะพบนักการเมืองได้ เฉพาะก่อนการเลือกตั้ง และนักการเมืองจะเข้าหากราบไหว้เพื่อขอคะแนน เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วชาวบ้านก็ไร้ค่า” หรือ “จะพบนักการเมืองหรือตัวแทนได้ เฉพาะงานแต่ง งานบวช งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ ที่มีคนมาร่วมงานเยอะ ๆ” ได้อย่างน่าสนใจ

เรียกได้ว่า คำกล่าวที่ว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ จึงเป็นเรื่องที่ทำจริง ไม่ใช่แค่ลมปาก จนกลายเป็นมิติใหม่ทางการเมืองที่มีคนเริ่มพูดถึง ภายใต้การใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ ผ่าน Tiktok เพื่อสร้างประโยชน์และความสุขให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ผ่าน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

ราคาน้ำมัน WTI ดีดแตะ 78 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสต็อกน้ำมัน ‘ลดลง’ มากกว่าคาดการณ์

(10 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมัน WTI พลิกดีดตัวทะลุระดับ 78 ดอลลาร์ใน (8 พ.ค. 67) หลังสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

ณ เวลา 22.41 น. ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนมิ.ย. บวก 0.47 ดอลลาร์ หรือ 0.6% สู่ระดับ 78.85 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันปรับตัวลงในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ซบเซาในตลาด

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 509,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 1.430 ล้านบาร์เรล

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเจ้าหน้าที่อิสราเอลรายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ยังคงไม่มีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสที่กรุงไคโรของอียิปต์ 

'คุณหมอ' เฉลย!! 'อะฟลาท็อกซิน' พิษร้ายจากเชื้อรา ต้ม 260 องศา ถึงจะตาย ฟาก WHO เตือน!! เป็นสารก่อมะเร็งตับ กินเพียงน้อยนิด ก็เสี่ยงมะเร็ง

(10 พ.ค.67) นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองระบบประสาท ผู้นำเสนอเกร็ดความรู้ด้านสุขภาพผ่านยูทูบช่อง 'Dr.V Channel' ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับ ‘ข้าวค้าง 10 ปี’ โดยระบุว่า…

ข้าว 10 ปี กินได้รึเปล่า? คําตอบสั้น ๆ ตอนนี้ สําหรับหมอที่เป็นห่วงทุกท่าน คือ ‘กินไม่ได้’ เหตุผลเพราะว่าข้าวที่เก็บมานาน ๆ มันจะมีความชื้นอยู่ และเมื่อมีความชื้น ‘เชื้อรา’ จะขึ้น ฉะนั้นถ้าเราเอาข้าวที่มีตัวเชื้อรามาล้าง มาต้ม หรือมาประกอบอาหาร โดยส่วนใหญ่บอกว่าเชื้อราตาย ซึ่งอันนี้ก็เรื่องจริง แต่ปัญหาก็คือเชื้อราจะ ‘ทิ้งพิษ’ เอาไว้…

ดังนั้น พิษของเชื้อราตัวนี้ เขาชื่อว่า ‘อะฟลาท็อกซิน’ (Aflatoxin) โดยเป็นพิษของเชื้อรา ซึ่งต้มไม่ตาย ต้มไม่หาย… และการจะทําลายพิษอะฟลาท็อกซินเราต้องใช้อุณหภูมิถึง 260 องศา ซึ่งการหุงข้าวหรือต้มข้าวธรรมดา ไม่มีทางที่อุณหภูมิจะถึง 260 องศา เพราะฉะนั้นบอกได้เลยว่าสารพิษนี้ยังอยู่

ทั้งนี้ สารพิษนี้มีเป็น ‘สารก่อมะเร็ง’ อย่างชัดเจน โดยองค์การอนามัยโลกได้มีการขึ้นทะเบียนอะฟลาท็อกซินว่าเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ เพราะฉะนั้นคนที่กินเข้าไปแม้แต่เพียงปริมาณเล็กน้อย ท่านจะมีความเสี่ยงมาก ๆ ที่จะเป็นมะเร็งตับ…

ฉะนั้นแล้ว อย่ากินข้าวค้าง 10 ปีเด็ดขาด ด้วยความปรารถนาดี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top