Thursday, 15 May 2025
TheStatesTimes

มุกดาหาร -ฉก.ทหารพรานมุกดาหาร ตรวจยึดรถยนต์ 2 คันขณะเตรียมนำขึ้นแพข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่ง สปป.ลาว

เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2105 (ร้อย.ฉก.ทพ.2105) ฉก.ทพ.21 กองกำลังสุรศักดิิ์มนตรี  บูรณาการร่วมกับ ร้อย.ฉก.ทพ.23 กองกำลังสุรนารี  และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ได้สนธิกำลังร่วมกันทำการลาดตะเวนเฝ้าตรวจการกระทำความผิดกฎหมายริมฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่บริเวณ บ.ตาลใหม่ รอยต่อระหว่าง บ.นาห้วยกอก  ต.ห้วยกอก  อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร กับ บ.นาสีดา ต.ชานุมาน อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคล จำนวนประมาณ 5 - 10 คน กำลังทำการลักลอบนำรถยนต์ ขึ้นเรือแพเตรียมนำข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่ง สปป.ลาว ชุดลาดตระเวนจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้กระโดดน้ำหลบหนีไป  จากการตรวจสอบพบรถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น d-max สีขาว ทะเบียน  กล 6810 ราชบุรี และรถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น d-max  สีเทา ทะเบียน บต 5130 พังงา จอดอยู่บนแพดัดแปลงขับเคลื่อนด้วยเรือเหล็กหางยาว 2 ลำ  เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดรถยนต์จำนวน 2 คัน  และเรือเหล็กพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ ไว้เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดอนตาล ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259777

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” พบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 โครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญในการสนับสนุนด้านการศึกษาเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชน

วันนี้ (9 พฤษภาคม 2567) เวลา 07.45 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมพบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ โซนซี ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ ปลาทอง ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 นำผู้เข้าร่วมโครงการ “เรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2” ระหว่างวันที่ 7-9 พฤษภาคม 2567 โดยมีนักเรียนจำนวน 61 คน และครู จำนวน 20 คน จากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จำนวน 53 แห่ง 

ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 กล่าวว่า การศึกษานับเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน การจัดการศึกษาของประเทศไทยได้มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ตามสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง จากประสบการณ์ของตนเองที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมุ่งเน้นการเรียนรู้ในลักษณะของการบูรณาการสาระความรู้ต่างๆอย่างสมดุล สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการศึกษานอกสถานที่เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง จะช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ศึกษาอย่างแท้จริง ถือเป็นวิธีการทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ และสามารถพัฒนาผู้เรียนในด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสติปัญญา และด้านสังคม ได้เป็นอย่างดี กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จึงจัดทำโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา เพื่อให้เด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ได้รับการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ปฏิบัติจริง และเกิดความพร้อมทั้ง 4 ด้านดังกล่าว และเพื่อเป็นการมอบโอกาสอันดี เป็นรางวัลให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในสังกัด ที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี หรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านที่มีผลงานดีเด่น

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ว่า นักเรียนทุกคนเป็นตัวแทนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในสังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 และเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตามโครงการพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดังนั้น เมื่อทราบว่าทางกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จัดโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ขึ้น จึงได้ขอให้ผู้จัดโครงการได้จัดตารางเวลาให้มีโอกาสมาพบปะ สนทนากับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการด้วย เพื่อแสดงความตั้งใจ และยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านการศึกษา และสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมในการเรียนรู้นอกสถานที่ เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของนักเรียนทุกคน ที่ได้พบ ได้ยิน ได้ฟัง รวมถึงมีข้อสังเกต มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นในใจ เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนรู้ การค้นคว้าเพิ่มพูนความรู้ต่างๆในชีวิตของนักเรียนทุกคน

จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ฯ ได้พูดคุยกับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ พร้อมจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ให้กับนักเรียนในเรื่อง การสังเกต จดจำลักษณะ ใบหน้า เพื่อการสเก็ตช์ภาพคนร้าย โดยมี พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ บูรณะ อดีตรอง ผบก.ศพฐ.1 ผู้ชำนาญการสเก็ตช์ภาพใบหน้าคนร้าย เป็นวิทยากร

นอกจากนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จะได้มีโอกาสไปเรียนรู้นอกสถานที่ ณ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร , ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ และชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร ณ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี , เรียนรู้เยี่ยมชมสวนนงนุช และฟังการบรรยาธรรมจากพระอาจารย์เอกชัย ศิริญาโณ ณ สวนนงนุช จ.ชลบุรี

ทั้งนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการต่างขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ที่เปิดโอกาสให้ได้เข้าร่วมโครงการดีๆ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่อยากเป็นตำรวจ และครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โดยส่วนใหญ่กล่าวว่า ได้เห็นตัวอย่างและได้รับแรงบันดาลใจที่ดีจากครูตำรวจตระเวนชายแดน และผู้บังคับบัญชาทุกท่าน

‘วิโรจน์’ ค้าน!! ‘สุทิน’ ปมจะซื้อข้าว 10 ปี ให้ทหารกิน ลั่น ‘ภูมิธรรม’ กินโชว์ช้อนสองช้อน ไม่การันตีคุณภาพ

(9 พ.ค.67) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กกรณีนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ระบุว่าพร้อมซื้อข้าว 10 ปี ให้กำลังพลกินนั้น ว่า “จะซื้อข้าว 10 ปีให้ทหารกิน ต้องตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก่อน แค่กินโชว์ช้อน สองช้อนเชื่อไม่ได้

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่านายสุทิน รมว.กลาโหม ประกาศว่าพร้อมซื้อข้าว 10 ปี มาให้กำลังพล โดยให้สัมภาษณ์ว่าการชิมของคุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ถือเป็นการรับรองคุณภาพระดับหนึ่ง

ผมถือว่าเป็นวิธีคิดที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะการชิมเป็นพิธีช้อนสองช้อนของคุณภูมิธรรม ไม่สามารถการันตีคุณภาพ และความปลอดภัยของข้าวได้

หากจะมีการจัดซื้อจริง ต้องมีการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ในจำนวนสุ่มที่มากพอ ที่จะสามารถการันตี ความปลอดภัยของกำลังพลได้

โดยอย่างน้อย ต้องมีการตรวจสอบยืนยัน ในรายการดังต่อไปนี้ 1.ต้องไม่มีสารรมควันข้าวตกค้าง ไม่ว่าจะเป็นสารเมทิลโบรไมด์ (methyl bromide) หรืออะลูมิเนียมฟอสไฟด์ (aluminium phosphide) หรือ ฟอสฟีน ตกค้างอยู่ในเมล็ดข้าวสาร

2.ต้องไม่มีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า ‘อะฟลาท็อกซิน’ เจือปนในเมล็ดข้าวสาร และ 3.ต้องมีการยืนยันจากห้องปฏิบัติการว่า การล้างน้ำ หรือซาวข้าว จะสามารถชะล้างสารรมควันต่าง ๆ ให้หมดไปได้ เนื่องจากมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งท้วงติงว่า สารเคมีหลายตัวหากสะสมอยู่ในข้าวสารเป็นระยะเวลานาน ต่อให้ล้าง 20 ครั้ง ก็ล้างไม่ออก

ผมต้องย้ำตรงนี้ว่า การชิมโชว์ไม่สามารถการันตีอะไรได้ ต่อให้นายสุทินออกมาชิมโชว์ด้วยตัวเอง ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนายสุทินไม่ได้กินข้าว 10 ปี ทุกมื้อ ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจจัดซื้อให้ทหารกิน ต้องตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น และต้องมีปริมาณการตรวจที่มากพอด้วย ไม่ใช่สุ่มจิ๊บ ๆ มาตรวจพอเป็นพิธี

“อย่าให้ทหารต้องถอนหายใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวังแบบตลกร้ายว่า “เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด” เลยครับ” นายวิโรจน์ ระบุ

“อลงกรณ์”เห็นตรง“ดร.ธรณ์”ไทยเผชิญวิกฤติโลกร้อนทะเลเดือด ชี้โลกรวน คือวิกฤตการณ์แห่งศตวรรษที่21

เร่งผนึกทุกภาคีเดินหน้าโครงการคาร์บอนสีน้ำเงิน(Blue Carbon)หวังฟื้นฟูป่าชายเลนลดคาร์บอน110 ล้านตันสู่เป้าหมายเน็ทซีโร่(Net Zero)

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท โพสต์บทความวันนี้เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตโลกร้อนกับผลกระทบต่อประเทศไทยและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงินในหัวข้อ“โลกรวน คือวิกฤตแห่งศตวรรษที่21 :ก้าวต่อไปของประเทศไทยในการลดโลกร้อนทะเลเดือด”โดยมีข้อความว่า

อ่านเรื่อง โลกเดือด ทะเลเดือดของดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น้องที่เคยร่วมงานขบวนการปฏิรูปประเทศก็เห็นตรงกัน100%และขอร่วมแชร์ปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแบบสุดขั้ว(Extreme)ที่ทำให้เกิดภาวะ“โลกรวน”ในหัวข้อ “โลกรวน คือวิกฤติการณ์แห่งศตวรรษที่21 :ก้าวต่อไปของประเทศไทยในการลดโลกร้อนทะเลเดือด”

ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้โลกร้อนทะเลเดือดเป็นวิกฤตแห่งศตวรรษที่21ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกทำให้มีความพยายามที่จะลดก๊าซเรือนกระจกด้วยมาตรการต่างๆภายใต้กรอบการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติหรือ (COP) เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตัวอย่างเช่นสหภาพยุโรปเริ่มใช้ระบบภาษีคาร์บอนในรูปมาตรการCBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป สำหรับประเทศไทยของเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 0.8 ของโลกมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิกว่า 240ล้านตันต่อปี เฉพาะด้านการใช้พลังงาน

โดยภาพรวมในปี 2565ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น1.5% “หากจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภาคพลังงานจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ปีละ 86 ล้านตันคาร์บอนฯ และป่าไม้ต้องดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 120 ล้านตันคาร์บอน” แต่ถ้าทำไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น องค์การสหประชาชาติคาดว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ ฯลฯ ที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งกว่านั้นคือจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติรุนแรงที่สุด10อันดับแรกของโลก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยทั้งการลดปริมาณการปล่อยและเพิ่มศักยภาพในการดูดกลับหรือกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งต้องผนึกความร่วมมือทุกฝ่ายทำงานเชิงรุกทุกหน้างาน

ดังนั้นการเดินหน้าเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)เช่นโครงการปลูกโกงกางในพื้นที่ป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยอธิบดีคนใหม่นายปิ่นสักก์ สุรัสวดีที่ช่วยปลดล็อคปมส่อทุจริตของโครงการนี้ในอดีตพร้อมกับขยายความร่วมมือทุกภาคส่วนทำให้เกิดเครือข่ายพันธมิตรโกงกางประเทศไทย(TMA: Thailand Mangrove Alliance)เป็นครั้งแรกถือเป็นตัวอย่างที่ดีของโครงการลดคาร์บอนเนื่องจากป่าชายเลนของประเทศไทยมีศักยภาพลดคาร์บอนได้ถึง 110 ล้านตันในระยะเวลา 10 ปี ทั้งนี้เป็นรายงานของดร.สนใจ หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญป่าชายเลนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งได้ศึกษาวิจัยเรื่องป่าชายเลนในหลายประเทศมากว่า 40 ปี ระบุว่า “…การสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ของป่าชายเลนโดยกระบวนการสังเคราะห์แสงที่ต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมา พบว่าป่าชายเลนของประเทศไทยสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหนือพื้นดินได้ 27.1 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) และสะสมในดิน 16.9 ตันต่อเฮกตาร์ รวมแล้ว 44.0 ตันต่อเฮกตาร์ ประมาณการณ์ได้ว่าป่าชายเลนของประเทศไทยประมาณ 1.5 ล้านไร่ หรือประมาณ 0.24 ล้านเฮกแตร์ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 11 ล้านตันต่อปี…“ เพื่อระดมพลังทุกภาคส่วนในการเร่งทำงานลดโลกร้อนลดคาร์บอน ทางมูลนิธิฯ.ได้หารือกับผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรโกงกางประเทศไทย(TMA: Thailand Mangrove Alliance)และกรมทช.เกี่ยวกับการจัดสัมนาเรื่อง  “ป่าโกงกาง สู่เป้าหมายซีโร่คาร์บอน(Zero Carbon)ของประเทศไทย”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy)ลดโลกร้อนในเร็วๆนี้

โดยต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามูลนิธิฯ.ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MoU)กับ32 องค์กรภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งนับเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตามหลักการ 3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ ในการปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าชายเลน ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ การจัดการป่าชายเลนอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) และการประกอบอาชีพที่ยั่งยืนของชุมชนป่าชายเลน ในพื้นที่เป้าหมาย 24 จังหวัดชายทะเลของประเทศไทยซึ่งจะมีการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) ในงานวันป่าชายเลนแห่งชาติ 10 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมช้างเผือก องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของไทยในการแก้ปัญหาโลกร้อน “มูลนิธิจะสนับสนุนการพัฒนาและการอนุรักษ์ป่าโกงกาง รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนและคนรุ่นต่อไปเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรป่าชายเลนและจะดำเนินการปลูกต้นโกงกางเพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การทำโครงการคาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) การพัฒนาองค์ความรู้ว่าด้วยเรื่องบลูคาร์บอน (Blue Carbon) รวมถึงการศึกษาและการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าชายเลนด้วยความร่วมมือระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หน่วยราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น รวมถึงชุมชนในพื้นที่ในการปลูกและขยายพันธุ์เมล็ดและฝักโกงกางในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย”

15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 วันคล้ายวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ‘ในหลวง ร.4’ กษัตริย์ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

วันนี้ในอดีต 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เมื่อครั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ จึงได้ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าเจ้าฟ้ามงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แต่พระองค์ตรัสว่า ถ้าจะถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์จะต้องอัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่มีพระชะตาแรง ต้องได้เป็นพระมหากษัตริย์

ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระองค์ได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า ‘พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ และมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฏว่า…

"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "

พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกและทรงรับพระบวรราชโองการ ให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนในฝ่ายสมณศักดิ์นั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส โดยมหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นต้น

ทั้งนี้ พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้…

>> 1. ด้านวรรณคดีศาสนา
1.1 พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงเป็นอย่างดี พระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อยแก้ว บทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ ได้แก่
1.1.1 มนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี โบราณคดี ธรรมคดี และตำรา
1.1.2 ตำนานเรื่อง พระแก้วมรกต เรื่องปฐมวงศ์
1.1.3 ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจาลึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ จารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหง และจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทย

>> 2. ด้านวิทยาศาสตร์ 
2.1. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ล่วงหน้า 2 ปี และได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้น นอกจากนี้ พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคมแห่งสหราชาอาณาจักรอีกด้วย
2.2. วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสุลานนท์ ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น ‘พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’ และอนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

>> 3.ด้านดาราศาสตร์
3.1. ทรงเป็นนักโหราศาสตร์อีกด้วย ทรงแต่งตำราทางโหราศาสตร์ที่เรียกว่า ‘เศษพระจอมเกล้า’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นยำและทรงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่าทรงเป็น ‘พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย’

‘รัฐบาล’ เล็งดัน NBT เป็นโทรทัศน์ซอฟต์พาวเวอร์ อาจปรับผังรายการ เพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น

(9 พ.ค. 67) น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการโทรทัศน์ซอฟต์พาวเวอร์ ว่า จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อรองรับการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ เมื่อเราต้องการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลก็จำเป็นต้องมีที่ปล่อยของสื่อสารกับประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยที่เล็งไว้คือสถานีโทรทัศน์ที่รัฐบาลกำกับดูแล เช่น ช่อง NBT ซึ่งต้องหารือในรายละเอียดอีกครั้ง และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่มีอยู่ 11 คณะ ว่าคณะไหน สาขาไหน มีศักยภาพ ต้องดึงขึ้นมาก่อนหรือไม่อย่างไร ยืนยันว่าเป็นการปรับผังรายการเท่านั้น ไม่ได้ตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาใหม่ จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรามีอยู่ เพื่อประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และเป็นประโยชน์ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล

ส่วนกรณีได้รับมอบงานให้กำกับดูแลบริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) และกรมประชาสัมพันธ์ มีนโยบายขับเคลื่อนอย่างไร น.ส.จิราพร กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเชิญหน่วยงานมาหารือ อยากให้เป็นสื่อฯ สะท้อนนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันอยากให้สื่อสารนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสื่อที่สะท้อนเสียงของประชาชน

ส่วนจะปรับเปลี่ยน 2 สถานีโทรทัศน์ดังกล่าวให้มีความเป็นคนรุ่นใหม่หรือไม่ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องคุยรายละเอียดที่มีค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม หากช่อง NBT สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับซอฟต์พาวเวอร์ได้ จะมีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งจากการพูดคุยกับคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ มีสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีที่ให้ความสนใจอยากจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะให้คอนเทนต์ เพราะเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล และมีหลายภาคส่วน เช่น ภาคเอกชนที่อยากร่วมมือด้วย

ส่วนจะจ้างงานใหม่หรือไม่นั้น น.ส.จิราพร กล่าวว่า เป็นการให้ภาพใหญ่ในทิศทางการทำงาน ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างมีระเบียบที่หน่วยงานต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ส่วนงบประมาณดำเนินโครงการนี้กำลังหารือรายละเอียดอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องดูงบประมาณเก่าว่า ส่วนที่ได้รับมาได้ใช้จ่ายไปในส่วนใดบ้าง หรือจะต้องหาความร่วมมือกับภาคเอกชนเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องดูก่อน

‘นายกฯ’ เผย!! กินข้าว 10 ปีแล้ว บอก!! เหมือนกินข้าวปกติทั่วไป

(9 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะนำข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ที่เก็บไว้ 10 ปี ในโกดัง จ.สุรินทร์ มาให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รับประทานในช่วงเที่ยงวันเดียวกันนี้นั้น

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังคณะทำงานของนายกรัฐมนตรี โดยคณะทำงานระบุว่า เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายกฯ ได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงกับคณะทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยได้นำข้าว 10 ปี จากโครงการรับจำนำข้าว ที่เก็บไว้ในโกดังข้าวใน จ.สุรินทร์ มาหุงพร้อมรับประทาน ซึ่งมีเมนูกับข้าว ประกอบด้วย ไข่ลูกเขย กะเพราไก่ แกงเขียวหวานไก่ หมูทอดกระเทียม แกงคั่วเนื้อ และผัดผัก โดยนายกฯ ได้พูดกับทีมงานว่า "ข้าวก็อร่อยดีครับ" 

ล่าสุดผู้สื่อข่าว ได้สอบถามไปยังนายกฯ ว่าหลังลองรับประทานข้าวแล้วเป็นอย่างไรบ้าง โดยนายกฯ ระบุว่า ได้ลองกินแล้ว ความรู้สึกเหมือนกินข้าวปกติทั่วไป แต่เรื่องของสีข้าวอาจไม่ขาวเหมือนข้าวใหม่ แต่โดยรวมไม่ได้แตกต่างอะไร ทานได้

‘รมว.ปุ้ย’ ห่วงสถานการณ์เพลิงไหม้สารเคมีมาบตาพุด สั่งการ ‘ผู้ว่าฯ กนอ.’ ตรวจสอบ-ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

(9 พ.ค. 67) น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บวัตถุดิบสารไพโรไลสีส แก๊สโซลีน ของ บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในช่วงสายของวันนี้ว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งตรวจสอบทุกระบบ และให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ในการเผชิญสถานการณ์และบัญชาการเหตุการณ์ในภาวะฉุกเฉิน

ขณะนี้มี นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่า กนอ.บัญชาการประจำวอร์รูม ประจำวอร์รูม เพื่อประสานเหตุการณ์และระงับเหตุ และมี นายคณพศ ขุนทอง รองผู้ว่าการ กนอ.สายงานปฏิบัติการ 3 อยู่หน้างาน

ส่วนการแก้ไขควบคุมเพลิงมีการระดมรถดับเพลิง เจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีทีมงาน EMCC มาบตาพุด และเจ้าหน้าที่ท่าเรือฯ มาบตาพุด นำรถตรวจการณ์ EMCC เข้าตรวจวัดคุณภาพอากาศบริเวณเหนือลม และท้ายลม รวมทั้งตรวจสอบผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศบริเวณพื้นที่ชุมชนพบว่าไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ ยังได้ประสานกับบริษัท SC เพื่อใช้เรือในการอพยพบุคลากรในพื้นที่

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า มีรายงานทางข้อมูลเทคนิคทราบว่าบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (MTT) ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการท่าเทียบเรือและคลังเก็บสินค้าเหลว (สารปิโตรเคมี, คลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์) ระหว่างการเดินระบบปกติ ได้เกิดกลุ่มควันบริเวณถังจัดเก็บสารไพรโรไลสิส แก๊สโซลีน (Pyrolysis Gasoline) หมายเลขถัง TK 1801 ขนาดบรรจุ 9,000 ลบ.ม. การเผชิญเหตุบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนตอบโต้สภาวะฉุกเฉิน และ กนอ.ได้จัดส่งรถตรวจสอบคุณภาพอากาศ เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศบริเวณรอบ พร้อมทั้งแจ้งปิดร่องน้ำทางเดินเรือท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด

‘จีน’ เดินหน้าปรับปรุง ‘บริการทางการแพทย์’ เพื่อผู้ป่วย ครอบคลุมขั้นตอนนัดหมาย - หนุนการดำเนินงานของรพ.

(9 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สิงรั่วฉี รองหัวหน้าสำนักบริหารการแพทย์ สังกัดคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า หน่วยงานสาธารณสุขของจีนให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วยขณะเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ และมีการดำเนินสารพัดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องนี้

สิงรั่วฉีกล่าวว่า มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ปรับปรุงกระบวนการนัดหมายทางการแพทย์เพื่อลดระยะเวลารอของผู้ป่วย และสนับสนุนโรงพยาบาลจัดสรรการบริการบำบัดรักษาแบบสหวิทยาการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ป่วย โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลให้บริการแบบสหวิทยาการกว่า 2,400 แห่ง

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลเหล่านี้กำลังใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการฯ ดำเนินโครงการปรับปรุงการบริการดูแลและรักษาพยาบาลเพื่อรับรองผู้ป่วยและตอบสนองความต้องการทางคลินิกได้ดียิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา

สิงรั่วฉีเสริมว่า ปัจจุบันมีสถาบันการแพทย์มากกว่า 3,000 แห่ง ให้บริการที่เกี่ยวข้องตามบ้านของผู้ป่วย ขณะหลายภูมิภาคอย่างปักกิ่ง ซานตง และเจียงซู ดำเนินการปฏิรูปและปรับใช้ทรัพยากรจากสังคมเพิ่มเติมเพื่อให้บริการดูแลรักษาพยาบาลแก่ประชาชนสูงอายุ

สมุทรปราการ- 'อิมพีเรียลเวิล์ด สำโรง' จับมือ VSPO กับ PUBG MOBILE แข่งขัน Esports ระดับ South East Asian ชิงเงินรางวัล กว่า 6 ล้านบาท!!

ศูนย์การค้าอิมพิเรียลเวิลด์สำโรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จัดแถลงข่าว โดยมี คุณโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง พร้อมด้วย นางสาวนิตยา สุพัฒน์เดชากุล ผู้อำนวยการศูนย์กีฬาของอิมพีเรียล และ นายกสมาคมส่งเสริมกีฬาอาชีพ จ.สมุทรปราการ Mr. Clement Hui, Business Development Director of South East Asia, VSPO Global Business Group และ Mr.Andrew Manugian, Country Head from PUBG ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมความพร้อมการจัดการแข่งขันที่มีชื่อว่า PMSL หรือ PUBG MOBILE SUPER LEAGUE SUMMER (2024 PMSL SEA Summer) 

ซึ่งเป็นการแข่งขัน Esports ระดับนานาชาติ จัดขึ้นที่อิมพีเรียลเวิล์ด สำโรง วันที่ 8 พ.ค. – 2 มิ.ย. 2567 โดยทางด้าน นางสาว นิตยา เปิดเผยว่า โครงการนี้สืบเนื่องจาก ตนได้รับคำแนะนำจาก คุณสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษา ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ว่าท่านสนใจในกีฬา Esports มาก เพราะทราบว่า นักเรียนและนักศึกษาของไทยให้ความสนใจในกีฬาประเภทนี้เป็นอย่างสูง จำนวนเยาวชนไทยที่ติดตามหรือลงแข่งขันในกีฬา Esports มีเกือบ 10 ล้านคน คุณสงคราม คิดว่ากีฬานี้มีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนาเยาวชนของไทยให้เกิดเป็นอาชีพได้หลายแขนง ทั้งด้านตัวกีฬาเอง, ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง, ด้าน Programming, ด้านการ Broadcasting, ด้านการตลาด, ด้านการสร้างสรรค์ Contents และด้านอื่นๆอีกมากมาย ตัวท่านเองต้องการจะส่งเสริมนักกีฬาให้สามารถสร้างฐานอาชีพที่เด็กสนใจและมีความรักได้ และจะหาทางให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนด้วย ตนเองสนใจในกีฬาประเภทนี้อยู่แล้ว และเมื่อทราบว่าทาง VSPO และ PUBG MOBILE อยากจะจัดการแข่งขัน Esports รอบที่ 2 ในประเทศไทย จึงได้ส่งชื่ออิมพีเรียลเวิล์ด สำโรง เข้าแข่งขันร่วมกับศูนย์การค้าและศูนย์กีฬาอีกหลายๆแห่ง จุดแข็งที่อิมพีเรียลเวิล์ดได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ความตั้งใจจริงที่จะพัฒนากีฬาไปสู่ความเป็นมือชีพ ไปสู่อนาคตทางด้านอาชีพที่หลากหลายของเยาวชนของเรา ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับทาง VSPO และ PUBG MOBILE“ สมาคมส่งเสริมกีฬาอาชีพ จ.สมุทรปราการ” ที่คุณนิตยาเป็นประธานมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมนักกีฬาตั้งแต่ระดับสมัครเล่นให้ไปสู่ระดับอาชีพ ทั้งในจังหวัดสมุทรปราการและในระดับประเทศ คุณนิตยาเห็นว่าการร่วมมือทำงานกับ VSPO และ PUBG MOBILE เป็นการทำงานแบบมีอุดมการณ์ร่วมกัน มี Passion ที่คล้ายคลึงกัน มีการทำงานอย่างสร้างสรรค์และมีพลังร่วม (Synergy) โดยมุ่งที่จะส่งเสริมกีฬา Esports ในประเทศไทยให้เป็นกีฬาที่มีคุณค่า และมีประโยชน์กับสังคม ให้เป็นกีฬาที่จะกลายเป็นอาชีพที่เชิดหน้าชูตาต่อไป

คุณโอฬาร กิจเลิศโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อิมพีเรียลเวิล์ด เห็นว่าการจัดการแข่งขัน PUBG Mobile Super League สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของอิมพีเรียลเวิล์ดที่จะสร้างศูนย์กิจกรรมทางด้านกีฬาขึ้นที่บริเวณชั้น 5-6-7 โดยมีโครงการ IMXerciety ที่จะรวมกีฬาสมัยใหม่ประเภทต่างๆไว้ให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นที่ฝึกซ้อมด้านกีฬาของเยาวชน คุณโอฬารต้องการที่จะสร้างโอกาสให้กับเยาวชนได้มาสัมผัส ได้มารู้จักกับกีฬาที่เขาสนใจ อิมพีเรียลจะพยายามสร้างสถาบันอบรมกีฬา (Academy) เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้พัฒนาศักยภาพด้านกีฬาไปตามความสามารถของตน ในการแข่งขันกีฬา Esports ครั้งนี้ ทางอิมพีเรียลจะเชิญนักเรียน นักศึกษา เข้ามาชมการแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบ Final ที่มีการเปิดให้เข้าชมกัน และจะมีการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับ Esports โดยจะมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการ Streaming, Broadcasting และเกี่ยวกับกีฬา Esports มาให้คำแนะนำกับนักศึกษาที่สนใจด้วย ในอนาคตเราวางแผนที่จะร่วมพัฒนากีฬา Esports ไปกับทีมงานของ VSPO และ PUBG MOBILE โดยมุ่งหน้าไปในทางการให้ความรู้เกี่ยวกับกีฬานี้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติ การส่งเสริมให้เกิดหลักสูตรต่างๆในโรงเรียนระดับมัธยม และระดับมหาวิทยาลัย โดยเน้นไปในทางการสร้างโอกาสทั้งด้านกีฬา และด้านอาชีพที่เกี่ยวข้องต่อไป ในปีนี้มีทีมสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน จากประเทศไทย 5 ทีม ประเทศอินโดนีเซีย 8 ทีม ประเทศมาเลเซีย 7 ทีม และประเทศเวียดนาม 4 ทีม       

โดยภายหลังจากการแถลงข่าว นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ได้พาสื่อมวลชน เข้าชมการซ้อมก่อนการแข่งขันจริงของแต่ละทีม ก่อนที่จะเริ่มแข่งขันอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พ.ค.นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top