Sunday, 8 June 2025
TheStatesTimes

ฝ่ายค้านมาเลเซียวิจารณ์ 'อันวาร์' ตั้ง 'ทักษิณ' นั่งที่ปรึกษาประธานอาเซียนปีหน้า ถามเหมาะสมแล้วหรือ?

(18 ธ.ค.67) เกิดความขัดแย้งในการเมืองมาเลเซียหลังจากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมประกาศแต่งตั้ง 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมาเลย์ในปีหน้าซึ่งเป็นช่วงที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน โดยเรื่องดังกล่าวบรรดาพรรคฝ่ายค้านและนักการเมืองหลายคนตั้งคำถามว่า การแต่งตั้งครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่ออาเซียนจริงหรือ และทำไมไม่เลือกนักการทูตหรือนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างประเทศแทน

นายอันวาร์เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมว่า การแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษานั้นเป็นข้อเสนอจากมาเลเซีย และได้รับการตอบรับจากฝ่ายไทย โดยเขามั่นใจว่าประสบการณ์ของทักษิณจะช่วยให้มาเลเซียได้มุมมองที่มีค่าท่ามกลางวิกฤตในภูมิภาค

แม้บางฝ่ายจะมองว่าแต่งตั้งทักษิณเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในพม่าและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่ก็มีหลายเสียงที่ตั้งคำถามถึงการเลือกนักการเมืองต่างชาติที่มีประเด็นถกเถียงหลายเรื่อง เช่น ทักษิณที่ถูกลงโทษในคดีคอร์รัปชันและใช้อำนาจโดยมิชอบในไทย

อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัดแสดงความสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดถึงเลือกทักษิณ ทั้งที่มีตัวเลือกอื่นๆ ที่ไม่มีปัญหาทางกฎหมาย และเน้นว่าการเลือกบุคคลที่มีข้อถกเถียงอาจจะเป็นความเสี่ยงสำหรับอันวาร์

ทักษิณซึ่งกลับไทยในปี 2023 และถูกตัดสินจำคุก 8 ปีในข้อหาคอร์รัปชัน ก่อนจะได้รับการลดโทษและทัณฑ์บน ได้รับการยอมรับในบางวงการ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้เขายังคงมีอิทธิพลทั้งในและต่างประเทศ ทักษิณเคยเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ในพม่า และยังคงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย แม้ว่าจะหลบหนีออกจากประเทศไปหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งผู้นำต่างชาติในตำแหน่งที่ปรึกษาอาเซียนนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ในระยะยาว

บช.ปส.เปิด ปฏิบัติการ 'สยบไพรีปราบสมุทร ep.3' จับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดทางเรือ พื้นที่ จว.สงขลา ยึดเรือทัก SUMBER OCEAN

ตามนโยบายของ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภา ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับแก้ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด นั้น 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ ,พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา  พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.  และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล บช.ปส. 

โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จตร.รรท.ผบช.ปส. ได้สั่งการให้ กองบังคับการข่าวกรองยาเสพติด(บก.ขส.) เปิดปฏิบัติการ 'สยบไพรีปราบสมุทร ep.3' ปิดล้อมตรวจค้น ยึด/อายัดทรัพย์สินกลุ่มเครือข่ายลักลอบขนยาเสพติดทางน้ำข้ามชาติ รายสำคัญในพื้นที่ จว.สงขลา

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ขส. กับ บก.ปส.3 จับกุม นายเอกวิชญ์ฯ กับพวก พร้อมของกลาง ไอซ์ 1 ตัน คีตามีน 1.2 ตัน ขณะกำลังขนยาเสพติดของกลาง ลงจากรถกระบะ ไปขึ้นเรือ ที่ท่าเทียบเรือ อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา จึงได้สืบสวนขยายผล ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ 4 ราย ในข้อหากระทำความผิดฐาน"ร่วมกันผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และประเภท 2 ฯ ,สมคบโดยการ ตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด" ประกอบด้วย  
1.นายชานนธ์ ฯ หมายจับ ที่ 471/2566  
2.นายนิรันดร์ ฯ หมายจับ ที่ 56/2567
3.นายชาญชัย ฯ หมายจับ ที่ 470/2566 (หลบหนีออกนอกประเทศ ออกหมายแดง) 
4.นายนพดล ฯ  หมายจับ ที่ 192/2567 (หลบหนีออกนอกประเทศ ออกหมายแดง)

สยบไพรีปราบสมุทร ep.1 วันที่ 9 – 20 ธ.ค.66  บก.ขส. ร่วมกับ บก.ปส.3 และ สำนักงาน ป.ป.ส. เปิดปฏิบัติการกดดัน ตัดท่อน้ำเลี้ยง ยึดอายัดทรัพย์สินของนายชาญชัยฯ กับพวก ประกอบด้วย  บ้านพร้อมที่ดิน, ร้านอาหารตำทะลวง, บริษัทประกอบธุรกิจการเดินเรือ, เงินสด, ทองรูปพรรณ,พระเครื่อง, และรถยนต์ จำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 140 ล้านบาท สยบไพรีปราบสมุทร ep.2  วันที่ 10 ส.ค.67 บก.ขส. ร่วมกับ บก.ปส.3 สืบสวนขยายผล อย่างต่อเนื่อง ทราบว่า กลุ่มนี้จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด โดยเรือสปีดโบ๊ท บริเวณท่าเรือ ในเกาะนกใหญ่รีสอร์ท ต.ตะกาดง้าว อ.ท่าใหม่ จว.จันทบุรี จึงได้วางแผนจับกุม นายอนันต์ฯ และพวกรวม 10 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ 1.5 ตัน  ทำการยึดอายัดทรัพย์สิน เป็น บ้านพร้อมที่ดิน และรถยนต์ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และติดตามจับกุม เครือข่ายได้ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคอีสาน เพิ่มเติมอีก 2 ราย คือ นายเด่นฯ ในพื้นที่ กทม. และ นายวัชรพงษ์ฯ ในพื้นที่ จว.อุบลราชธานี ออกหมายจับกลุ่มเครือข่ายเพิ่มเติมอีก 8 ราย 

จากการสอบสวน นายอนันต์ฯ ให้ข้อมูลว่า เมื่อประมาณเดือน ม.ค.67 นายนพดลฯ ได้สั่งการให้ตนไปซื้อเรือทัก (Tug Boat) หรือ เรือลากจูง ที่ใช้ลากจูงเรือใหญ่ ในการเข้า/ออกท่าเรือ จากเมืองบาตั้ม ประเทศอินโดนิเซีย ชื่อว่า SUMBER OCEAN  โดยให้นายสมคิดฯ ทำหน้าที่กัปตันเรือ เพื่อใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดออกนอกประเทศ บก.ขส. สืบทราบว่าวันที่ 17 ธ.ค.67 เรือ SUMBER OCEAN ที่มี นายสมคิดฯ กัปตันเรือ จะนำเข้ามาจอดซ่อมที่ท่าเรือเทพา อ.เทพาจว.สงขลา จึงได้รายงานให้ ผู้บังคับบัญชาทราบ 

วันนี้ (18 ธ.ค.67) พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จตร.รรท.ผบช.ปส. สั่งการให้ พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.ปส.  พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. ลงไปบัญชาการการปฏิบัติในพื้นที่ บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ประกอบด้วย  บก.ขส.(ศขส.สข.) บก.ปส.4 ตำรวจน้ำ สงขลา, ปปส. ภ.9, กรมเจ้าท่าสงขลา, สภ.เทพา จว.สงขลา เปิดปฏิบัติการ  สยบไพรีปราบสมุทร ep.3 จับกุม นายสมคิดฯ กัปตันเรือ SUMBER OCEAN ตามหมายจับที่ 674/2567 ในข้อหา สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำ ผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดโดยมีลักษณะเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม ได้ที่บ้านพักใน จว.ตรัง และเข้าตรวจยึดอายัดเรือทัก (Tug Boat) หรือ เรือลากจูง SUMBER OCEAN บ้านพร้อมที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

อนึ่ง เครือข่ายลำเลียงยาเสพติดทางเรือ ข้ามชาติขนาดใหญ่ นี้ สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการ แล้ว 19 ราย ยึดอายัดทรัพย์สินกว่า 170 ล้านบาท มีนายนพดลฯเป็นผู้สั่งการ ลำเลียงยาเสพติดเส้นทางจากทะเลอันดามัน และ อ่าวไทย ปลายทางจะเป็นน่านน้ำสากลของเกาะใต้หวัน และประเทศฟิลิปปินส์  บช.ปส.จะได้ทำการสืบสวนขยายผล จับกุม ขุดรากถอนโคน และ ยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายนี้ อย่างต่อเนื่อง และ เต็มกำลังความสามารถ ต่อไป

‘ผู้ประกอบการไทย’ ไม่ต้องกังวลขาดแคลนแรงงาน แม้รัสเซียเซ็น MOU ให้เมียนมาส่งแรงงานถึง 5 ล้านคน

มีรายงานไม่นานมานี้ว่า ทางรัสเซียได้ตกลงเซ็นต์ MOU กับเมียนมาในการที่จะส่งแรงงานให้แก่รัสเซียจำนวน 5 ล้านคน

ประเด็นขาดแคลนแรงงานเป็นผลมาจากความยืดเยื้อของสงครามในยูเครนทำให้แรงงานจำนวนหนึ่งต้องออกไปเป็นทหาร 

ทางรัสเซียเผยว่าแรงงานดังกล่าวจะเข้ามารับผิดชอบในส่วนการกสิกรรมและปศุสัตว์ โดยแรงงานทั้งหมดทางรัสเซียจะสอนภาษารัสเซียให้เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร

ที่ผ่านมาทางการเมียนมามีการทำ MOU ส่งคนงานไปหลายประเทศทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่นหรือแม้กระทั่งลาว แต่หลายประเทศทางผู้สมัครจะต้องมีการออกค่าใช้จ่ายก่อนหรือต้องมีผลทดสอบทางภาษาจึงสามารถไปทำงานได้

จากประเด็นนี้หลายฝ่ายคิดว่าอาจจะกระทบต่อแรงงานในไทย แต่สำหรับเอย่ามองว่า หากรัฐบาลไทยที่พยายามออกหนทางฟอกขาวให้แรงงานที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายก็ไม่ต้องกลัวว่าประเทศเราจะขาดแคลนแรงงานแน่นอน อีกอย่างแรงงานที่สมัครใจไปทำงานรัสเซียเป้าหมายชีวิตเขาก็แตกต่างจากคนที่มาทำงานในไทย ดังนั้นผู้ประกอบการไทยไม่ต้องกังวลอะไร เพราะอย่างไรก็ตามจำนวนคนที่ลักลอบเข้าประเทศไทยก็ไม่ได้ลดลง แต่อย่างใด

‘กรมอนามัย’ เผยมาตรการเฝ้าระวัง ‘โนโรไวรัส’ หลังพบการติดเชื้อใน จ.ระยอง กว่า 1,400 ราย

กรมอนามัย เผยมาตรการเฝ้าระวัง โนโรไวรัส หลังระบาดในสัปดาห์กีฬาสี รร. อ.แกลง จ.ระยอง นักเรียน ครู บุคลากร ติดเชื้อ 1,436 ราย ชี้ต้องตรวจประเมินคุณภาพน้ำดื่ม น้ำใช้ แนะล้างมือด้วยน้ำสะอาด สบู่ ก่อนและหลังทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

เมื่อวันที่ (16 ธ.ค.67) นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงกรณีเกิดการระบาดของโรคอุจจาระร่วงของนักเรียน ครู และบุคลากร 2 โรงเรียน ในอำเภอแกลง จังหวัดระยอง พบผู้ป่วยรวม 1,436 ราย เป็นนักเรียน 1,418 ราย ครูและบุคลากร 18 ราย อันเกิดจากการติดเชื้อโนโรไวรัสที่ปนเปื้อนมากับ 'น้ำและน้ำแข็ง' ที่บริโภคในช่วงสัปดาห์ของการจัดกิจกรรมกีฬาสี โดยโนโรไวรัส (Norovirus) มักจะแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว พบบ่อยตามโรงเรียน ภัตตาคาร โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็ก รวมไปถึงรถหรือเรือท่องเที่ยว

โนไวรัสเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน สามารถติดต่อได้ง่าย จากการสัมผัสทางอาหาร น้ำดื่ม อากาศ การสัมผัส และการหายใจ เช่น การสัมผัสผู้ป่วยที่ติดเชื้อโนโรไวรัสโดยตรง การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อโนโรไวรัส รวมถึงสภาพแวดล้อมไม่ถูกหลักสุขาภิบาล โดยโนโรไวรัสมีระยะฟักตัวสั้น 12-48 ชั่วโมงหลังการรับเชื้อ อาการที่พบส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ปวดมวนท้อง ท้องเสีย มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ บางรายอาจทำให้มีอาการขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่

ประชาชนควรมีมาตรการในการป้องกันตนเองจากโรโนไวรัสตามคำแนะนำ ดังนี้
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง
- ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด
- ล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ก่อนและหลังทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
- หลีกเลี่ยงดื่มน้ำที่ไม่สะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ไม่สะอาด

ส่วนหน่วยงานและสถานประกอบกิจการควรมีมาตรการควบคุมป้องกัน ดังนี้
- การเติมคลอรีนในถังพักน้ำดื่มและน้ำใช้
- การตรวจประเมินคุณภาพน้ำใช้ น้ำดื่มอย่างต่อเนื่อง
- จัดให้มีจุดล้างมือพร้อมสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ที่เพียงพอ
- การให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพและส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยส่วนบุคคลที่ดีสำหรับการป้องกันโรค

สตม. ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยากูซ่าญี่ปุ่น

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.ฯ รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท.ปรก.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หัวหน้ากลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กรณี มีกลุ่มคนร้ายลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงชาวญี่ปุ่น เป้าหมายเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยหลอกลวงว่าจะได้รับเงินประกันสุขภาพคืน ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ญี่ปุ่นนี้ จะทำงานตั้งแต่วันจันทร์ - วันเสาร์ โดยมีรูปแบบการหลอกลวงว่า “เป็นการขอคืนเงินค่ารักษาพยาบาล โดยใช้โทรศัพท์หลอกลวงผู้สูงอายุในญี่ปุ่น โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งคอลเซ็นเตอร์สายแรกจะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ โทรศัพท์ไปอธิบายกับเหยื่อที่ประเทศญี่ปุ่นว่าจะมีการคืนค่ารักษาพยาบาลสะสมจำนวนหลายล้านเยน และจะให้เหยื่อทำการเตรียมเงินไว้ในบัญชี ตั้งแต่จำนวน 500,000 เยน ขึ้นไป จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อไปทำรายการโอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มไปยังบัญชีของคนร้าย เมื่อเหยื่อโอนเงินให้แล้ว หัวหน้าแก๊งก็จะสั่งการให้ลูกน้องไปถอนเงินออกจากบัญชี โดยพบความเสียหายแล้วกว่าวันละหลายสิบล้านเยน

จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มคนร้ายได้ลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์อยู่ในพื้นที่ จว.ชลบุรี จำนวน 2 แห่ง จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดพัทยาเข้าตรวจค้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จุดที่ 1 บ้านพูลวิลล่าหรู (บ้านระดับหัวหน้าสั่งการ) จากการตรวจค้นพบคนต่างด้าว สัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายทากายูกิ (สงวนนามสกุล) และนายฮาจิเมะ (สงวนนามสกุล) พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์เป็นผู้ควบคุมและสั่งการพนักงานคอลเซ็นเตอร์ พร้อมพบพยานหลักฐานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมจำนวน 42 รายการ และพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ได้แก่ ภาพการสนทนากับสมาชิกคอลเซ็นเตอร์, สคริปและข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น 

จุดที่ 2 บ้านพูลวิลล่า (บ้านทำคอลเซ็นเตอร์) จากการตรวจค้นพบคนต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายเคนจิโระ (สงวนนามสกุล), นายทากาฮิโระ (สงวนนามสกุล) และ นายคัตสึฮิโตะ (สงวนนามสกุล) พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์ในการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ พร้อมพบพยานหลักฐานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กระดานรายชื่อ ข้อมูลของผู้เสียหาย รวมจำนวน 37 รายการ และพบพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ได้แก่ ภาพสคริป การสนทนากับเหยื่อ ข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น  

จากพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าว เป็นที่น่าเชื่อว่าคนต่างด้าวทั้ง 5 ราย เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากนั้นได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า หัวหน้าแก๊งเคยเป็นสมาชิกยากูซ่า แก๊งยามากูจิ ในประเทศญี่ปุ่น โดยตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายถูกหลอกลวง มูลค่าความเสียหายรวมเป็นเงิน 24,000,000 เยน/วัน หรือประมาณ 5 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้กระทำความผิดนำเงินไปฟอกโดยการเปิดธุรกิจมีลักษณะการใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลการกระทำความผิดต่อไป      

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ชาวเน็ตจี้ฟังเสียงผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากว่า 1 ล้านคน เอาบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นบนดินแทนการแบน

จากกรณีการเรียกร้องให้คงกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้าของเครือข่าย NGO ด้านสุขภาพโดยมีการยื่นรายชื่อ 5 แสนรายให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย (กมธ.) คงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป เนื่องจากคะแนนเสียงส่วนใหญ่ใน กมธ. ต่างเห็นด้วยที่จะนำบุหรี่ไฟฟ้าที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาควบคุมให้ถูกกฎหมาย เช่นเดียวกับ 82 ประเทศทั่วโลก นั้น
นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเพจเฟซบุ๊กและ X (ทวิตเตอร์) “มนุษย์ควัน” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุ “#โหวตนี้เพื่อบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ถ้าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าล่ารายชื่อกันเองได้ก็เป็นล้านเหมือนกัน! ในไทยขนาดแบนอยู่ยังใช้กันเป็นล้านคน เชื่อผม!”

โพสต์ดังกล่าวยังได้เผยแพร่ภาพโพลออนไลน์ที่จัดทำโดยเพจของสื่อออนไลน์ชื่อดังที่มีผู้ติดตามในเฟซบุ๊กกว่า 14 ล้านคนเมื่อปี 2565 สอบถามความคิดเห็นของสังคมว่าถึงเวลาหรือยังที่บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมาย ซึ่งผู้ตอบส่วนใหญ่ (ร้อยละ 64.91) ระบุว่าถึงเวลาแล้วที่บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมายเพื่อเป็นทางเลือก และหากบุหรี่ปกติถูกกฎหมายได้ บุหรี่ไฟฟ้าก็ควรถูกกฎหมายด้วย

พร้อมกล่าวปิดท้ายว่า “เรามันประชาชนจนๆ ตาดำๆ ไม่มีเงินจัดงานแบบเค้าหรอก แต่ก็อยากให้รู้ว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอีกเป็นล้านคนที่อยากให้ถูกกฎหมายสักที ฟังเสียงผู้ใช้บ้าง อย่าฟังความข้างเดียว”
นายสาริษฏ์ ยังได้แสดงความเห็นต่อว่าก่อนหน้านี้เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าก็เคยมีการยื่นรายชื่อผู้สนับสนุนให้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมายเกือบ 5 หมื่นราย พร้อมผลการวิจัยและแนวทางที่ต่างประเทศควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าไปให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กมธ. วิสามัญฯ เพื่อขอให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด เช่นเดียวกับ 80 กว่าประเทศทั่วโลกที่ไม่แบนบุหรี่ไฟฟ้า และเชื่อว่า กมธ วิสามัญนั้นมีตัวแทนจากหลายพรรคการเมือง หลายฝ่าย แม้กระทั่ง NGO สายสุภาพ และถือว่าเป็นผู้แทนของประชาชนทั้งประเทศ
 
ชาวเน็ตได้เข้ามากดถูกใจและแชร์โพสต์ดังกล่าวไปเป็นจำนวนมาก พร้อมคอมเม้นต์สนับสนุนว่า
“+1ขอใช้ สิทธิ์เลือก✅ =ถึงเวลาแล้วที่บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมายเพื่อเป็นทางเลือก”
“1+ เห็นด้วยกับการที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย”
“เห็นด้วยครับขอให้ถูกกฎหมายและเป็นตามหลักสากลครับ”
 
นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเชิญจาก กมธ. ในฐานะประชาชนผู้ใช้ ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายและถูกริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์และแนวทางการควบคุมผลิตภัณฑ์แบบไม่มีควันในต่างประเทศ ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทยที่แบนบุหรี่ไฟฟ้าแต่ก็ยังมีผู้ใช้ในประเทศถึงประมาณ 1ล้านคน

เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบแน่ เมื่อ ‘ทรัมป์’ คัมแบค ชี้!! หนัก - เบา อยู่ที่การสร้างสมดุล ‘ไทย - จีน – สหรัฐ’

สรุปสั้น ๆ จากนโยบายต่างประเทศและวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียของ ทรัมป์ในอดีต  เมื่อทรัมป์ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 จะมีผลกระทบที่สำคัญกับประเทศไทยยังไงบ้างในด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ พอสรุปได้กว้าง ๆ ในมิติสำคัญ ๆ ได้ประมาณนี้ครับ 

1. ความสัมพันธ์ด้านการค้าและผลกระทบกับไทยด้านเศรษฐกิจการส่งออก: 
ด้วยความที่ทรัมป์ชูนโยบาย 'America First' มาโดยตลอด ทำให้ดีลข้อตกลงการค้าขายกับประเทศต่างๆที่ผ่านมารวมถึงไทยด้วยนั้นคงจะโดนตรวจสอบใหม่ทั้งหมดโดยดีลไหนที่เห็นว่าทางอเมริกาเสียเปรียบหรือไม่ได้ประโยชน์ที่เหมาะสมในปัจจุบันก็คงต้องเจรจากันใหม่ ซึ่งภาคธุรกิจส่งออกไทยที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในอเมริกาก็คงจะโดนผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ ซึ่งที่ผ่านมาการส่งออกไทยไปอเมริกาก็เติบโตเกินดุล (ไทยส่งออกไปอเมริกามากกว่านำเข้า) มาโดยตลอด ซึ่งก็อาจจะไปเตะตาและดึงความสนใจจากคณะทำงานของทรัมป์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านอกเหนือจากจีนที่ ทรัมป์มองว่าเป็นภัยคุกคามเบอร์หนึ่งแล้วทรัมป์จะมองว่าประเทศไหนที่มีความสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับรอง ๆ ลงมาอีก 

2. ความร่วมมือทางด้านการทหารและความมั่นคง: 
ที่ผ่านมาไทยกับอเมริกามีความร่วมมือทางการทหารมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ที่ทุกคนคุ้น ๆ กันคือการฝึก Cobra Gold ซึ่ง ณ ตอนนี้คงต้องรอดูท่าทีว่าทรัมป์จะเอายังไงต่อ จะเพิ่ม, จะลด หรือคงความร่วมมืออยู่ในระดับเดิมก็คิดว่าทรัมป์น่าจะรอดูท่าทีในระดับภูมิภาคโดยมีตัวแปรสำคัญคือท่าทีของเราว่าจะเอายังไงกับจีน อาจมีการพยายามดึงให้ไทยมาอยู่ฝั่งอเมริกาในกรณีที่ความสัมพันธ์ อเมริกา-จีนมีความตึงเครียด (ซึ่งมีแน่ ๆ เมื่อทรัมป์กลับมาสมัยที่ 2) สรุปก็คือในด้านการทหารและความมั่นคง อเมริกาจะเอายังไงกับไทย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอายังไงกับจีนนั่นเอง (งูกินหางเลยทีเดียวเชียว ไม่งงเนอะ 😅)

3. การกดดันเรื่องความสัมพันธ์กับจีน: 
ต่อเนื่องจากข้อ 2 ด้วยความทรัมป์ ลุงแกก็อาจมีการกดดันไทยให้ลดความสัมพันธ์และจำกัดความร่วมมือต่างๆจากจีน ไม่ว่าจะด้านเทคโนโลยี, โครงสร้างพื้นฐานต่างๆและ ความร่วมมือทางทหาร ซึ่งอันนี้ทางเราก็ต้องหาทางบาล้านซ์และหลบหลีกหลีกหนีให้ดีว่าระหว่างอเมริกากับจีนเราจะเลือกใคร (แต่ถ้าให้เดา ทางเราคงอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ฝีมือของรัฐบาลเราครับ) 

4. ผลกระทบกับไทยในฐานะสมาชิก ASEAN: 
อันนี้ก็เหมือนกับข้อ 2,3 แต่ขยายขึ้นเป็นระดับทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ (ที่เน้นเรื่องการต่อต้านจีน) อาจจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในชาติสมาชิกของ ASEAN ซึ่งอาจนำมาซึ่งการต้อง “เลือกข้าง” ว่าจะไปทางจีนหรืออเมริกาของแต่ละประเทศ รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์แบบ “เฉพาะตัว” ของแต่ละประเทศกับอเมริกา ซึ่ง again อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลของประเทศเล็กๆ น้อยๆ ตะมุตะมิ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงแต่ละประเทศแถวนี้ๆ ว่าสุดท้ายจะเอายังไงกันดี 

5. ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และ การปกครอง: 
โดยทั่วไปทรัมป์ถือคติว่าจะ 'ไม่ยุ่ง' การเมืองภายในประเทศอื่นๆ แต่ก็ต้องขีดเส้นใต้หนัก ๆ ด้วยว่า “ที่ไม่ส่งผลเกี่ยวข้องกับอเมริกา” ซึ่งก็คงทำให้ไทยถูกจับตาน้อยลงในประเด็นเรื่อง ความเป็นประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน และการคุกคามเสรีภาพของประชาชน ซึ่งต่างจากรัฐบาลของไบเดนที่ผ่านมา ซึ่งไทยก็โดนตรวจสอบ โดนเตือน โดนแซะจากทำเนียบขาวเป็นระยะๆ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คงต้องรอดูผลกระทบในระยะยาวต่อไปครับ 

6. ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว: 
เมื่อทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวได้สำเร็จ จะมีการปรับนโยบายการเดินทางเข้า-ออกประเทศ, การขอ Visa และเพิ่มข้อจำกัดต่างๆ (เพื่อจัดการกับคนเข้า-ออกอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย) ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจส่งผลกระทบทางอ้อมกับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่มีนักท่องเที่ยวอเมริกันเป็นหนึ่งในลูกค้าสำคัญด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นนโยบายเศรษฐกิจของ ทรัมป์ ก็อาจส่งผลถึงเม็ดเงินที่ลดลงจากนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เดินทางมาเที่ยวในเมืองไทยด้วยในที่สุด

สรุปในสรุปอีกที ไทยจะได้รับผลกระทบยังไงถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับท่าทีและปฏิสัมพันธ์ของเรากับจีนในเรื่องต่างๆและฝีมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการแรงกดดันจากลุงทรัมป์กับลุงสี จิ้น ผิงโดยที่ต้องหาสมดุลของความสัมพันธ์ไทย-จีน และ ไทย-อเมริกาให้ได้เป็นที่น่าพอใจของทั้งสองลุงนั่นเองครับ

เพจดังเผย Norovirus ระบาดทุกปีเป็นปกติ ไม่ใช่โรคใหม่

(18 ธ.ค.67) จากกรณีที่มีข่าวพบการระบาดของเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus) ในจังหวัดภูเก็ตจนทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมาก เป็นเหตุให้เกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากไวรัสดังกล่าวเคยเป็นประเด็นที่เกิดการระบาดในประเทศจีน

ล่าสุดเพจ 'อ้ายจง' ซึ่งนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับประเทศจีน ได้โพสต์ข้อมูลที่ระบุว่า Norovirus เป็นโรคที่ระบาดในจีนทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากสื่อท้องถิ่นในปีที่ผ่านมา ที่กล่าวถึงการระบาดของไวรัสดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ซึ่งทำให้เห็นว่าโรคโนโรไวรัสไม่ใช่โรคใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปี 2024 นี้

ข้อมูลเพิ่มเติมจากการโพสต์ของเพจ 'อ้ายจง' ระบุเพิ่มเติมว่า  งานวิจัยเกี่ยวกับการระบาดของ Norovirus ในจีนช่วงปี 2016-2018 (ก่อนการระบาดของโควิด-19) พบว่า การระบาดมักเกิดในสถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียน และสถานศึกษาเกือบ 80% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดต่อระหว่างบุคคล

ข่าวการปิดโรงเรียนหรือสถานศึกษาชั่วคราวเนื่องจากการระบาดของโรคนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในจีนทุกปี ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในปี 2024

ตามรายงานของโกลบอลไทม์ สื่อของทางการจีน ในปี 2020 ช่วงปลายปีที่มีการระบาดของโควิด-19 ก็ยังมีข่าวโรงเรียนในหลายพื้นที่ของจีน เช่น ฝูเจี้ยน โดยเฉพาะโรงเรียนอนุบาล ต้องหยุดเรียนชั่วคราวเนื่องจากมีเด็กติดเชื้อหลายสิบคน

ในปี 2019 ก่อนการระบาดของโควิด-19 จีนได้อนุมัติการทดลองทางคลินิกสำหรับวัคซีนป้องกันโนโรไวรัส โดยคาดว่าจะใช้เวลา 5 ปีในการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิผลก่อนที่จะสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนยา

โรคโนโรไวรัสไม่เพียงแต่ระบาดในกลุ่มเด็ก แต่ยังสามารถติดเชื้อในกลุ่มผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยมีอาการอาเจียน ท้องเสีย ไข้ ปวดท้อง อ่อนเพลีย ตัวอย่างเช่นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา พบว่าศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยชิงฮว๋า หลายคนติดเชื้อหลังเข้าร่วมงานเลี้ยงครบรอบมหาวิทยาลัย ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าอาหารและสภาพแวดล้อมของร้านอาหารมีเชื้อโนโรไวรัสปนเปื้อน

สำหรับในประเทศไทย ข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่าเชื้อโนโรไวรัสมีการระบาดทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนและเด็กเล็ก

รมว.ต่างประเทศมาเลย์ยัน ทักษิณ เหมาะสมนั่งที่ปรึกษาประธานอาเซียน เชื่อทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์สองมหาอำนาจได้

นายโมฮัมหมัด ฮะซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวในการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเตรียมดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของมาเลเซียในปี 2025 โดยในตอนหนึ่งของการแถลง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม จะแต่งตั้งให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานอาเซียนในปีหน้า

โดยนายฮะซัน กล่าวถึงเหตุผลที่นายกฯมาเลย์เลือกนายทักษิณว่า “อดีตนายกฯทักษิณ เป็นผู้ทรงอิทธิพลในไทย ได้รับการยอมรับจากสหรัฐ และมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน นั่นทำให้เขาเหมาะสมในการทำหน้าที่สะพานเชื่อมอาเซียน ระหว่างสองมหาอำนาจ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"

อย่างไรก็ดี การแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยให้เป็น 'ที่ปรึกษาส่วนตัว' ของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในช่วงที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2025 นั่นได้สร้างข้อวิจารณ์มากมายจากทั้งฝ่ายค้านของมาเลเซีย ตลอดจนบรรดานักวิชาการของมาเลเซีย

โดยนายอาห์หมัด ฟัดห์ลี ชารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่าเป็นการกระทำที่ 'ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน' และตั้งคำถามว่า การแต่งตั้งครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออาเซียนหรือเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของนายอันวาร์ในระดับสากลกันแน่

เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ก็แสดงความสงสัยเกี่ยวกับการเลือกทักษิณ โดยกล่าวว่า “ผมไม่รู้ทำไมเขาถึงเลือกทักษิณ เรามีคนให้เลือกมากมาย และทักษิณมีปัญหาทางกฎหมายของตัวเอง แต่ก็เป็นสิทธิ์ของนายอันวาร์ในการเลือก”

ขณะที่นักวิชาการบางรายกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นข้อเสีย หากถูกมองว่าเป็นการขาดความมั่นใจในรัฐบาลของตัวเองในการบริหารจุดยืนของอาเซียนระหว่างสองขั้วมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ แต่นักวิชาการบางคนมองว่า การแต่งตั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้มีความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยแนะนำรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ที่อาเซียนจะเผชิญในอนาคต

JLL เผยบริษัทไทยแห่ปรับโฉมสำนักงาน สร้างที่ทำงานในอุดมคติ ดันดีมานด์เช่าออฟฟิศโตถึงปี 2573

(18 ธ.ค.67) เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก เปิดเผยผลการวิเคราะห์จากการสำรวจ Future of Work 2024 ซึ่งเน้นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับโลกการทำงาน ตั้งแต่เทคโนโลยี การออกแบบ ไปจนถึงแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environmental, Social, and Governance)

จากการวิเคราะห์พบว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้เช่าพื้นที่สำนักงานในประเทศไทยหันมาย้ายไปเช่าอาคารสมัยใหม่มากขึ้น โดยคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปี 2571 เนื่องจากมีอาคารสำนักงานระดับพรีเมียมเปิดตัวเพิ่มขึ้นในย่านธุรกิจสำคัญ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับองค์กรต่าง ๆ ในการทบทวนกลยุทธ์การทำงานแห่งอนาคต (Future of Work) เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงานและปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประเทศไทยและอินโดนีเซีย กล่าวว่า "พื้นที่สำนักงานสมัยใหม่ที่เข้าสู่ตลาดสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์การทำงาน ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับองค์กรในการปรับกลยุทธ์การออกแบบพื้นที่ให้สอดรับกับความยืดหยุ่นและความยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพและนวัตกรรมในการทำงาน"

ผลสำรวจ Future of Work 2024 ยังชี้ให้เห็นว่า องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญกับการออกแบบสถานที่ทำงานในฐานะปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แนวโน้มนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นในประเทศไทย จากความต้องการ 'สถานที่ทำงานในอุดมคติ' (Destination Workplaces) ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย การใช้งานที่หลากหลาย และแนวคิดด้านความยั่งยืน โดย 65% ขององค์กรทั่วโลกมีแผนเพิ่มการลงทุนในด้านความยั่งยืนของสถานที่ทำงาน และเกือบ 80% คาดว่าสำนักงานของตนจะใช้งาน AI ได้อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2573

นายอนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา เจแอลแอล ประเทศไทย กล่าวว่า "การออกแบบสถานที่ทำงานกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้บริษัทในประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย ทั้งในแง่การดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถและการส่งเสริมเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม พื้นที่สำนักงานที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการให้ลำดับความสำคัญ ซึ่งสถานที่ทำงานปัจจุบันต้องสะท้อนคุณค่าองค์กรและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่พนักงาน"

การออกแบบหมุนเวียน (Circular Design) การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการสร้างอาคารที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กลายเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในประเทศไทย ผลการสำรวจยังระบุว่า พื้นที่ทำงานที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความยั่งยืนได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดย 71% ของเจเนอเรชั่น Z และมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการเลือกที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงาน

นายสตีเฟน เทเลอร์ กรรมการผู้จัดการ บริการบริหารโครงการก่อสร้าง ออกแบบ และตกแต่ง เจแอลแอล ประเทศไทย กล่าวว่า "พื้นที่สำนักงานในปัจจุบันต้องทำมากกว่าแค่รองรับการทำงาน แต่ยังต้องสร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมการคิดค้นนวัตกรรม และแสดงถึงความรับผิดชอบขององค์กร การออกแบบที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นหลักช่วยเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมสุขภาวะ และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน"

ผลการสำรวจยังพบว่า 64% ขององค์กรคาดว่าจำนวนพนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2573 และมากกว่าครึ่งหนึ่งคาดว่าจะขยายพื้นที่สำนักงาน ซึ่งการมีสำนักงานที่ทันสมัยและปรับตัวได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายนี้

รายงาน Future of Work 2024 ของเจแอลแอลเน้นย้ำถึงความสำคัญของการออกแบบสถานที่ทำงานที่ส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายขององค์กร ตั้งแต่การเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานจนถึงการปฏิบัติตามข้อผูกพันด้าน ESG ในขณะที่ตลาดสำนักงานในประเทศไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจต่าง ๆ จึงมีโอกาสเป็นผู้นำด้านการสร้างสถานที่ทำงานแห่งอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top