Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

สังหาร 'พลโท อิกอร์ คิริลอฟ' หัวหน้าฝ่ายนิวเคลียร์ เผยคนร้ายขี่สกู๊ตเตอร์ซุกระเบิดจอดหน้าบ้าน สงสัยเอี่ยวยูเครน

(17 ธ.ค. 67) คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียเปิดเผยว่า เกิดเหตุระเบิดรุนแรงจากอุปกรณ์แสวงเครื่องซุกซ่อนในสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า บริเวณถนน Ryazansky Prospekt ในกรุงมอสโก ส่งผลให้ พลโท อิกอร์ คิริลลอฟ ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมีของกองทัพรัสเซีย พร้อมผู้ช่วยเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียระบุว่า ได้เปิดสอบสวนทางอาญาเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเจ้าหน้าที่สืบสวน นักนิติวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดกำลังปฏิบัติงานในจุดเกิดเหตุอย่างเร่งด่วน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและค้นหาผู้ก่อเหตุ

หน่วยฉุกเฉินของรัสเซียเปิดเผยว่า พลังระเบิดของอุปกรณ์มีความแรงเทียบเท่า TNT ประมาณ 200 กรัม ซึ่งส่งผลให้กระจกของอาคารใกล้เคียงแตกเสียหาย ขณะเดียวกัน กองกำลังความมั่นคงกำลังตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติม

หนึ่งวันก่อนหน้าเกิดเหตุ หน่วยความมั่นคงยูเครน (SBU) ได้ตั้งข้อหากับพลโทคิริลลอฟ โดยกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมีต้องห้ามจำนวนมากในแนวหน้า  ขณะที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ เนื่องจากคิริลลอฟมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการใช้อาวุธเคมีในยูเครน

ด้านนาง มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่าพลโทคิริลลอฟเป็นผู้ที่กล้าหาญในการเปิดโปงอาชญากรรมและยั่วยุของกลุ่มนาโต้อย่างต่อเนื่อง ด้านคอนสแตนติน โคซาเชฟ รองประธานสภาสูงของรัสเซีย กล่าวไว้อาลัยว่า “นี่คือการสูญเสียที่ไม่อาจทดแทนได้ ฆาตกรต้องถูกลงโทษอย่างไร้ความปรานี”

สมาชิกรัฐสภารัสเซีย อเล็กซี จูราฟเลฟ กล่าวกับสำนักข่าวสปุตนิกว่า หน่วยข่าวกรองยูเครนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ โดยอ้างว่ายูเครนอาจพยายามสร้างผลกระทบเชิงโฆษณาชวนเชื่อจากการเสียชีวิตของคิริลลอฟ พร้อมระบุว่า การดำเนินการในลักษณะนี้สะท้อนถึงการสนับสนุนการก่อการร้ายจากชาติตะวันตก

10 ประเทศพันธมิตรสหรัฐที่กำลังจะเผชิญความเสี่ยงจากทรัมป์มากที่สุด

(17 ธ.ค. 67) ในขณะที่ทั่วโลกกำลังหวาดหวั่นกับการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่เตรียมเดินหน้านโยบาย “America First” ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศพันธมิตรที่ทรัมป์มองว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ ในด้านการค้าและความมั่นคงทางการทหาร

ไทยเองเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับ 2 ในบรรดาประเทศที่ถูกจัดว่าเป็นพันธมิตรของสหรัฐ เพราะจากข้อมูลล่าสุดเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม (Information Technology & Innovation Foundation : ITIF) ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยนโยบายสาธารณะที่ไม่แสวงหากำไรของสหรัฐ ที่เผยแพร่รายงานออกมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาได้จัดทำดัชนีประเมินความเสี่ยงดัชนีต่อภาษีนำเข้า (Trump Risk Index) ของประเทศพันธมิตรที่อาจเผชิญกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

1. งบประมาณกลาโหม: ประเทศที่จัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมต่ำกว่า 2% ของ GDP อาจถูกมองว่าไม่ให้ความร่วมมือในด้านความมั่นคงร่วมกัน
2. ดุลการค้า: ประเทศที่มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงมาก อาจถูกกล่าวหาว่ามีการค้าที่ไม่เป็นธรรม
3. อุปสรรคทางการค้า: ประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีหรือนโยบายที่กีดกันสินค้าสหรัฐฯ อาจตกเป็นเป้าหมาย
4. ท่าทีต่อจีน: พันธมิตรที่มีนโยบายอ่อนข้อหรือไม่สนับสนุนท่าทีของสหรัฐฯ ต่อจีน อาจถูกเพ่งเล็ง 

โดยถ้าผลการประเมินวิเคราะห์ถูกจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง “ดัชนีความเสี่ยงจากทรัมป์ของ ITIF” (ITIF’s Trump Risk Index) ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปผลคะแนนรวมที่ต่ำหรือติดลบมาก โดยทั้ง 10 ประเทศประกอบไปด้วย

ในทางกลับกัน ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ ลิทัวเนีย เอสโตเนีย โปแลนด์ ลัตเวีย และ ออสเตรเลีย ซึ่งมีการใช้จ่ายด้านกลาโหมสูง ดุลการค้าที่สมดุล และนโยบายที่สนับสนุนสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ซึ่งถ้าแต่ละประเทศที่มีความเสี่ยงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องก็อาจช่วยให้พันธมิตรเหล่านี้สามารถรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงกับสหรัฐฯ ได้อย่างยั่งยืน พร้อมหลีกเลี่ยงความเสียหายจากมาตรการภาษีนำเข้าในอนาคตได้ค่ะ

ทัพรัสเซียตั้งกองกำลังโดรนพลีชีพ เสริมทัพแนวหน้าศึกยูเครน

เมื่อวันที่ (16 ธ.ค. 67) นายอังเดร เบโลโซฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยว่า ได้อนุมัติการจัดตั้งกองกำลังรบรูปแบบใหม่ที่ใช้การโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ภายใต้หน่วยที่ชื่อ 'Unmanned Systems Forces' โดยหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้นอกจากเป็นกองกำลังด้านการรบโดยใช้โดรนในแนวหน้าแล้ว ยังรับผิดชอบด้านการฝึกอบรม จัดหายุทโธปกรณ์ จัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านโดรนโดยเฉพาะต่อหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาลรัสเซียด้วย

Dmitry Kornev ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าวสารทางทหารของรัสเซียกล่าวกับสปุตนิก ว่า หนึ่งในวิธีการบริหารกองทัพที่มีประสิทธิภาพคือการจัดตั้งหน่วยงานที่เสมือนกองทัพขนาดย่อมๆ แยกต่างหาก เพื่อดำเนินการงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยที่ผ่านกองทัพรัสเซียเริ่มมีการใช้และจัดหาโดรนและอากาศยานไร้คนขับด้านการทหารมากขึ้น

Kornev ยังคาดการณ์กับสปุตนิกว่า โดรนที่คาดว่ากองทัพรัสเซียจะใช้ในภารกิจการรบและเฝ้าระวังในแนวหน้าแถบยูเครนมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่โดรนติดมิสไซส์ Ovod (Gadfly) และ Upyr ที่มามารถบรรทุกอาวุธ เช่น หัวรบจาก RPG-7 และระเบิดขนาดเล็กได้ ไปจนถึง โดรนสังหารแบบกามิกาเซ่ที่นอกจากใช้ลาดตระเวนแล้วยังสามารถเปลี่ยนให้เป็นโดรนทำลายเป้าหมายได้ด้วยเช่น 

Orlan-10 โดรนอเนกประสงค์สำหรับการลาดตระเวน ซึ่งสามารถบูรณาการกับระบบเรดาร์เฝ้าระวังอิเล็กทรอนิกส์แบบ RB-341V Leer-3 ได้ มีพิสัยการบินไกล 600 กม. และบินอยู่กลางอากาศได้นาน 18 ชั่วโมง 

โดรนแบบ  HESA Shahed 136 เป็นโดรนโจมตีระยะไกลแบบกามิกาเซ่ที่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร มีเครื่องยนต์ไอพ่น บินได้เร็วถึง 800 กม./ชม. มีพิสัยการบิน 2,500 กม. และบรรทุกวัตถุระเบิดได้มากถึง 50 กก.

และโดรนแบบZALA Kub-BLA  ซึ่งเป็นโดรนสำหรับ ภารกิจ ลาดตระเวนและโจมตีแบบพลีชีพ โดยสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม บินด้วยความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม. นาน 30 นาที ขณะที่รุ่นปรับปรุงใหม่สามารถโจมตีได้ไกลกว่า 50 กม. และสามารถโจมตีเป็นกลุ่มได้พร้อมกัน

ข่าวดีรับปีใหม่!! ครม. อนุมัติ ปลดล็อก ‘โซลารูฟท็อป’ ไม่ต้องขออนุญาตใบโรงงาน 4 ตามที่ ‘กระทรวงพลังงาน’ และ ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ เสนอ

(17 ธ.ค. 67) ระเบียบเก่า : หากติดตั้งโซลาร์บนหลังคาเพื่อใช้เอง เกิน 1000 เมกะวัตต์ เข้าข่ายเป็นโรงงานจำพวก 3 ต้องยื่นขออนุญาตใบ รง.4 ยุ่งยาก และไม่ส่งเสริมรายย่อยให้ใช้พลังงานสะอาด ระเบียบใหม่ : ติดตั้งใช้ได้เลย ไม่ต้องขออนุญาตกับกรมโรงงาน

พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
โพสต์เฟซบุ๊ก 17 ธ.ค. 67

ตัวเลขบ่งชัด!! ‘แรงงานต่างด้าว’ แห่ทะลักเข้าไทยฉ่ำ เหตุสวัสดิการเย้ายวนทั้งรักษาพยาบาล - การศึกษา

เอย่าเห็นคนมักพูดกันตอนนี้ว่าต่างด้าวครองเมืองแล้ว เพราะไปที่ไหนก็เจอแต่ต่างด้าวโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐที่คนไทยผู้รับบริการรู้สึกเหมือนกลายเป็นบุคคลชั้นสองไปแล้ว  มาดูจากข้อมูลย้อนหลังสิบปีจะพบว่าในปี พ.ศ. 2557 มีแรงงานต่างด้าวที่ลงในระบบอยู่ 1,444,747 คน แต่มาถึงปี 2567 พบว่าขนาดยังไม่ครบปีเรามีแรงงานต่างด้าวในระบบอยู่ถึง 3,289,536 คน ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนเมียนมานั่นเอง

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วอีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงคือการให้สวัสดิการกับแรงงานต่างด้าวเหล่านี้โดยแรงงานต่างด้าวเหล่านี้จะสามารถซื้อบัตรประกันสังคมได้  โดยราคาบัตรรักษาพยาบาลจะมีราคาตั้งแต่ 365 บาทต่อปีจนถึงราคา 3,200 บาทต่อปี ซึ่งเมื่อมาดูจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนบัตรประชากรต่างด้าวแล้วพบว่า ในปีงบประมาณ 2564-65 มีจำนวน 541,905 รายในขณะที่ปีงบประมาณ 2566-67 มีผู้ขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 551,662 ราย จากสถิติพบว่าเพิ่มขึ้น 1.8% โดยบัตรที่มีการขึ้นทะเบียนมากที่สุดคือบัตรราคา 3,200 บาทต่อปี ซึ่งมีอัตราผู้ขึ้นทะเบียนสูงสุดเป็นร้อยละ 30 ของทั้งกลุ่ม โดยจากผู้ขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาถึง 68% ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงได้เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมชาวเมียนมาถึงมาทำบัตรสวัสดิการนี้ได้มากมายเหลือเกิน จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยยังเผยอีกว่าจำนวนคนต่างด้าวที่มาแห่ทำบัตรสวัสดิการดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่และกรุงเทพ เป็นหลัก

สวัสดิการที่ต่างด้าวได้รับหากมีประกันสังคมคือ การประกันสุขภาพจะครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ การรักษา พยาบาล การควบคุมและป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพและ การฟื้นฟูสภาพร่างกายอันรวมถึงการฉีดวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กด้วย โดยจะไม่ครอบคลุมในรายการดังต่อไปนี้

1) โรคจิต 
2) การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพติด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด 
3) ผู้ประสบภัยจากรถที่สามารถใช้สิทธิตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ 
4) ผู้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน ที่สามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 
5) การรักษาภาวะมีบุตรยาก 
6) การผสมเทียม 
7) การผ่าตัดแปลงเพศ 
8) การกระทำใด ๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์

ก็เพราะสวัสดิการประเทศไทยมันดีอย่างนี้นี่เอง ต่างด้าวโดยเฉพาะชาวเมียนมาที่มีพวกหัวโจกเป็นพวกมาก่อนและสมอ้างว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แล้วได้บัตรสัญชาติไทยจึงพยายามแห่แหนกันมาเมืองไทยพร้อมกับตั้งตนเป็นตัวตั้งตัวตีนายหน้าทำบัตรพวกนี้ให้ด้วย สังเกตได้จากตามโซเชียลมีเดียจะเห็นได้ว่ามีการโฆษณากันอย่างโจ๋งครึ่มยังไม่พอแถมรู้อีกว่าหากถือบัตรไทยจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาฟรีของ สปสช. ยิ่งทำให้คนพวกนี้กระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นคนไทยถึงขั้นยอมติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ได้เป็นชาวชาติพันธุ์เพื่อสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้บัตรประชาชน

อีกอย่างที่ดังในกลุ่มคนพม่าก็คือเรื่องการได้รับการศึกษาภาคบังคับฟรี และหากลูกพวกเขาโตจนอายุ 20 ปีบริบูรณ์คนเหล่านี้จะขอสัญชาติไทยได้ ตามที่กฎหมายเปิดช่องไว้ และนั่นทำให้เป็นแผนระยะยาวที่พ่อแม่ชาวเมียนมาฝากความหวังไว้กับรุ่นลูกของเขา

เอย่าไม่ได้เป็นคนที่ต่อต้านการที่ต่างชาติอยากได้สัญชาติไทยแต่เราควรมีการคัดเลือกเอาแต่บุคคลที่มีคุณภาพและศักยภาพทั้งทางด้านการศึกษาและการเงินไม่ใช่เอาแค่คนที่มีเงินจ่ายเจ้าหน้าที่ เพราะอย่าลืมว่าเราได้พิสูจน์แล้วว่าคนเหล่านี้พอเวลาไทยเกิดปัญหากับชาวชาติพันธุ์เขา เขาเลือกชาวชาติพันธุ์ด้วยกันเองนะไม่ได้เลือกอยากเป็นคนไทย ดังนั้นการเป็นคนไทยเหล่านี้คือประตูแห่งความสะดวกสบายของพวกเขาเท่านั้น ผู้ที่เป็นรัฐบาลในขณะนี้ควรตรึกตรองไว้บ้างก็ดีนะคะ

โฮจิมินห์ผุดไอเดียเรียนฟรี ชงแผนยกเว้นค่าเทอม นร.อนุบาล ถึงม.ปลาย คาดเริ่มปีการศึกษาหน้า

(17 ธ.ค. 67) หน่วยงานด้านการศึกษาและการฝึกอบรบท้องถิ่นของนครโฮจิมินห์ เวียดนาม ได้เสนอแผนการยกเว้นการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่ในสังกัดท้องถิ่นนครโฮจิมินห์ซิตี้ ตั้งเป้าเริ่มต้นในปีการศึกษา 2025-2026 

รายงานระบุว่า แผนการนี้ระบุว่า การยกเว้นค่าเล่าเรียนจะเป็นของขวัญที่มีความหมายสำหรับนักเรียนทั่วทั้งเมือง แสดงให้เห็นถึงการลงทุนด้านการศึกษาอย่างจริงจังของหน่วยงานท้องถิ่นของเมือง

หากข้อเสนอนี้ได้รับการอนุมัติ นักเรียนทุกคนในโรงเรียนของรัฐตลอดจนโรงเรียนเอกชนบางแห่ง จะได้รับสิทธิยกเว้นค่าเล่าเรียน ยกเว้นเฉพาะโรงเรียนนานาชาติ

กรมการศึกษาฯ คาดการณ์ว่า จะต้องใช้งบประมาณจากเงินทุนสาธารณะประมาณ 653 พันล้านดอง หรือราว (880 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ในปีการศึกษา 2025-2026

ปัจจุบัน มี 7 เมืองและจังหวัดในเวียดนามที่ยกเว้นค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียน ได้แก่ กว๋างนาม เยนไบ๋ กว๋างนิงห์ คั้ญหว่า ไฮฟอง ดานัง และจังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่า ตามแนวทางการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

'ไก่ภาษิต' รับคบหา 'หมอปิแอร์' เผยสตอรี่หวานกลางรายการ ครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับรู้

(17 ธ.ค.67) ผู้ประกาศข่าวหนุ่มหน้าใส ไก่ ภาษิต อภิญญาวาท ได้โพสต์ภาพคู่กับ หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล นายแพทย์รูปหล่อจากโรงพยาบาลชื่อดัง ในชุดคลุมแบบญี่ปุ่น เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับหมอปิแอร์ โดยในโพสต์เขียนแคปชันว่า "แฮปปี้เบิร์ธเดย์คร้าบปิแอร์ แข็งแรง ร่ำรวย ร่าเริง ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง น่ารักเหมือนในรูปตลอดไปนะจ๊ะ5555 #รักมากเฟ่อ" ซึ่งทำให้คนใกล้ตัวเข้ามาคอมเมนต์แซวกันอย่างมากมาย

ล่าสุด ในช่วงไลฟ์ของรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ หลังไมค์ ตูน ปรินดา คุ้มธรรมพินิจ ผู้ประกาศสาวคู่กับไก่ ภาษิต ได้ถามถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน โดยไก่ ภาษิต ยอมรับว่า ตนคบหากับหมอปิแอร์มานานถึง 9 ปีแล้ว และไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงแต่ไม่ค่อยเผยแพร่เรื่องส่วนตัวออกสื่อ แต่คนรอบข้างทั้งสองฝ่ายทราบดีถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา

"ก็เป็นเวลา 9 ปีแล้ว ระหว่างผมกับคุณหมอปิแอร์ เมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณหมอ เราก็ไปทานข้าวกับครอบครัว ครอบครัวทั้งสองฝ่ายก็รับทราบ" ไก่ภาษิต กล่าวในช่วงหนึ่งของไลฟ์

ทั้งนี้ ไก่ ภาษิต ยังเผยว่า ปกติไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ดังนั้นครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเผยเรื่องราวส่วนตัวต่อสาธารณชน

'เผ่าภูมิ' ตรวจเตรียมพร้อม 3 พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ ร่วมเทศกาล Night at the Museum 2024

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจเยี่ยมเตรียมความพร้อมการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืน 2567 (Night at the Museum Festival 2024) ที่กรมธนารักษ์เข้าร่วม ณ พิพิธบางลำพู พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ พิพิธตลาดน้อย โดยเข้าร่วมเทศกาลดังกล่าว ในวันที่ 20-22 ธันวาคม 2567

พิพิธภัณฑ์ที่เข้าตรวจเตรียมความพร้อมในวันนี้ แห่งแรกคือ 'พิพิธบางลำพู' เป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชุมชนและสังคม รวมถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญด้านต่าง ๆ ของชุมชนย่านบางลำพูตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน กิจกรรมภายในงาน เช่น เข้าชมพิพิธบางลำพูยามค่ำคืน ชมนิทรรศการพิเศษตลาดอาหารไทยชูรส ร้านจำหน่ายสินค้าฝีมือคนไทย กิจกรรมสาธิตการทำขนมและเครื่องหอมไทย ชมวิวป้อมพระสุเมรุ และฉายหนังกลางแปลงบนดาดฟ้าพิพิธบางลำพู 

แห่งที่ 2 'พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์' จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณและเหรียญกษาปณ์ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และเหรียญต่างประเทศ รวมทั้งการผลิตเหรียญกษาปณ์ และการอนุรักษ์เงินตรา ภายใต้แนวคิด 'วิถีแห่งเงินตรา สินล้ำค่าของแผ่นดิน' ในงาน จัดให้มีการเข้าชมนิทรรการรอบพิเศษในยามค่ำคืน (รอบสุดท้ายเวลา 20.30 น.) ชมนิทรรศการพิเศษ จังหวะ-กะ-เหรียญ ในรูปแบบ Mix Art Media ร่วม Workshop ชุมทางงานศิลป์ และลุ้นของรางวัลจากกิจกรรมเกมลูกเล่น-ลูกทุ่ง 

แห่งที่ 3 'พิพิธตลาดน้อย' จัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนย่านตลาดน้อย ภายในงาน มีการจัดกิจกรรมเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน ชม ชิม ช็อป ตั๊กลักเกี้ย ไนท์มาร์เก็ต workshop ของเล่นกระดาษ ย้อนอดีตวันวาน ขนมมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และชมไฟแสงสีรอบอาคาร

โดยในช่วงเทศกาล Night at the Museum Festival 2024 จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าเข้าชม

20 ธันวาคม 2510 ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เปิด ม.ขอนแก่น มหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคอีสาน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างเป็นทางการ และทรงปลูกต้นกาลพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย

ในโอกาสนี้ พระองค์ทรงมีพระบรมราโชวาทว่า "...การตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นขึ้นอีกแห่งหนึ่งนั้น เป็นคุณอย่างยิ่ง เพราะทำให้การศึกษาชั้นสูงขยายออกไปถึงภูมิภาคที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก ความสำเร็จในการตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงเป็นความสำเร็จที่ทุกคนควรยินดี..."

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถือเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งแรก แม้แนวคิดในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยจะเริ่มขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แต่การเตรียมการจริงจังก็เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ. 2505 และเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2507 โดยมีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในด้านวิศวกรรมศาสตร์และเกษตรศาสตร์ที่บ้านสีฐาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น 'มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ' หรือ 'Khon Kaen Institute of Technology' (K.I.T.) ภายใต้การดูแลของสภาการศึกษาแห่งชาติ

ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นคือรูปองค์พระธาตุเต็มองค์ประดิษฐานบนขอนไม้แก่น สลักชื่อมหาวิทยาลัย โดยมีเทวดาอัญเชิญมิ่งมงคลสองข้าง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นมงคล ส่วนพื้นหลังแบ่งเป็น 3 ช่อง เพื่อแสดงถึงคุณธรรม 3 ประการ ได้แก่ วิทยา (ความรู้ดี), จริยา (ความประพฤติดี), และปัญญา (ความฉลาดที่เกิดจากการเรียนรู้และคิด)

การเลือกพระธาตุพนมเป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น เป็นการแสดงถึงการเคารพในพระธาตุพนม ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญของชาวไทยและลาว และมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็เป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางทางความคิดและสติปัญญาของสังคม รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็น 'มหาวิทยาลัยขอนแก่น' และในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2509 พระราชบัญญัติการก่อตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2510

มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 5,500 ไร่ บริเวณมอดินแดง ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินดินลูกคลื่นสีแดง โดยมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ให้บริการการศึกษาครบครันทุกสาขาวิชาและการดูแลทางการแพทย์ที่ทันสมัยในภาคอีสาน

ครม. เคาะงบกว่า 368 ล้านบาท รักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ช่วยเหลือชาวไร่มัน ลดต้นทุนเกษตรกร

(17 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (17 ธ.ค. 67) ที่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสําปะหลังตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังโดยไม่เร่งระบายผลผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกและสร้างศักยภาพการแปรรูปของเกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประกอบด้วย 4 โครงการ ดังนี้
 
1. โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 300 ล้านบาท โดยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้สามารถรับซื้อมันสำปะหลังและแปรรูปเก็บสต็อกในรูปแบบมันเส้นหรือแป้งมัน เป็นระยะเวลา 60 - 180 วัน เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เป้าหมาย 6 ล้านตันหัวมันสด รัฐชดเชยดอกเบี้ยแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต็อก และมีระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2568 ระยะเวลาเก็บสต็อก ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ – 31 ตุลาคม 2569

2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2567/68 วงเงิน 17.50 ล้านบาท

โดย ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร (สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้นจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรที่ดำเนินกิจการโดยมีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมาย วงเงินกู้ 500 ล้านบาท ผลผลิตประมาณ 200,000 ตัน อัตราดอกเบี้ยโครงการฯ ร้อยละ 4.5 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐสนับสนุนดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3.5 ต่อปี ระยะเวลา 12 เดือน ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ – 30 มิถุนายน 2569

3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 41.40 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และลดต้นทุนการผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมายเกษตรกร 3,000 ราย รายละไม่เกิน 230,000 บาท วงเงินกู้รวม 690 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยโครงการฯ เท่ากับ MRR และรัฐรับภาระดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี เกษตรกรรับภาระในอัตรา MRR – 3 ระยะเวลา 24 เดือน  กำหนดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ – 31 ตุลาคม 2570 

4. โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง (เครื่องสับมันฯ)  วงเงิน 10 ล้านบาท โดยเป็นการสนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มเกษตรกรเพื่อจัดหาเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กพร้อมเครื่องยนต์ และอุปกรณ์สำหรับตากมันเส้น เครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท เป้าหมาย 650 เครื่อง ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.อนุมัติ – 30 กันยายน 2568

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมของบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรชะลอการเก็บเกี่ยว มันสำปะหลังไปก่อนในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมากนี้ ให้ผลผลิตมีเชื้อแป้งและผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขายได้ราคา โดยจะสนับสนุนให้ใช้สินเชื่อจาก ธ.ก.ส. เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว โดยรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยให้ส่วนหนึ่ง คาดว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้ภายในสัปดาห์หน้า

“รัฐบาลนำโดยท่านนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง ก็จะเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา และขอให้เกษตรกรพัฒนาผลผลิตของตนเองให้มีคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง ในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน“นายพิชัย กล่าว

โดยก่อนหน้านี้นายพิชัยได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ขอให้ผู้นำเข้าจีนช่วยรับซื้อมันสําปะหลังของไทย ที่ผลผลิตกำลังจะออกมามากในช่วงนี้ ทั้งยังได้ประสานขอให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย ให้ช่วยกันใช้ส่วนผสมจากมันสำปะหลังในการผลิตเยอะขึ้นด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top