Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานการประชุม ศรชล. และหน่วยงานหลัก ร่วมมือจัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถและการปฏิบัติงานบูรณาการร่วมกัน

(16 ธ.ค. 67) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) จัดการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2567 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ 

โดยมีพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.ในฐานะ รอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมผู้บริหารจากหน่วยงานหลักใน ศรชล.ในฐานะ ผช.ผอ.ศรชล. ประกอบด้วย พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ รอง ผบ.ทร. นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์
รองอธิบดีกรมประมง ผู้แทนอธิบดีกรมประมง นายจักกฤช อุเทนสุต รองอธิบดีกรมศุลกากร ผู้แทนอธิบดีกรมศุลกากร ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พล.ต.ต.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้แทนผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจน้ำ และนางสาวสุนัน เพชรชู ผู้ตรวจราชการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมด้วยกรรมการบริหาร ศรชล. อีก 26 หน่วยงานเข้าร่วมการประชุมฯ 

โดยมี พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสธ.ทร. ในฐานะเลขาธิการ ศรชล. ดำเนินการประชุมฯ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ เป็นการประชุมระดับผู้บริหาร ศรชล. (Senior Officials Meeting: SOM) โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับแนวความคิดในการบูรณาการการเสนอโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถของ ศรชล. แนวทางการจัดหาที่ดินสำหรับก่อสร้างอาคาร ศคท.จังหวัด กรณีเรือประมงที่เข้าไปทำการประมงในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต และแนวทางปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของ ศรชล.

จากนั้น ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. ได้เข้ามาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2567 โดยมีสาระสำคัญในการประชุมฯ ได้แก่ การรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของ ศรชล. ประจำปีงบประมาณ 2567 และแผนการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2568 และรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2567 ที่ผ่านมา

โดยก่อนปิดการประชุม ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานหลักของ ศรชล. ที่ได้ให้ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของ ศรชล. ในมิติต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามความมุ่งหมาย “ศรชล. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชน”

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดประชุมเพื่อพัฒนาแนวทางการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน 

(16 ธ.ค. 67) นาวาเอกหญิง นงลักษณ์ สิงห์โกวินท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายบริการสุขภาพ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน โซน 4 และบ้านฉาง ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องประชุม 1 โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งจัดขึ้นโดย แผนกปฏิบัติการรถพยาบาล กลุ่มงานการพยาบาลอุบัติเหตุและฉุกเฉิน รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ 

โดยการประชุมในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม 24 คน จาก 14 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานเกี่ยวกับระบบการแพทย์ฉุกเฉิน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ในพื้นที่

บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันวางแผนและเสนอแนวทางการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ในปีงบประมาณ 2568

ทั้งนี้ ผลลัพธ์จากการประชุม จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ในพื้นที่ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ปลุกผู้นำยุคใหม่รวมพลังปกป้องไซเบอร์ เปิดหลักสูตรระดับผู้บริหาร ‘Executive CISO’ สร้างอนาคตมั่นคงดิจิทัล

(16 ธ.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิด ‘หลักสูตรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 2" (Executive Chief Information Security Officer : Executive CISO#2) ของสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพและความรู้ความเข้าใจด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แก่ผู้บริหารระดับสูงในภาครัฐและเอกชนว่า การพัฒนาความพร้อมผู้บริหารระดับสูงมีความสำคัญในการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในระดับประเทศ และการสร้างเครือข่ายระดับผู้บริหารระดับสูงเพื่อการขับเคลื่อนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ‘The Growth Engine of Thailand’ ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศ (Competitiveness) , 2. ความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล (Safety & Security) และ 3. การสร้าง พัฒนา ต่อยอด ทุนนุษย์ (Human Capital)

นายประเสริฐ กล่าวว่า หลักสูตร Executive CISO#2 มีวัตถุประสงค์ ในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะผู้นำในการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กร , สร้างเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ , พัฒนาเครือข่ายและศักยภาพผู้บริหารระดับสูงในการขับเคลื่อนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศในระดับประเทศ และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างองค์กร พร้อมทั้งสนับสนุนความเปิดกว้างและโปร่งใสในการบริหารจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์

จากนั้นนายประเสริฐ ได้กล่าวเปิดตัว กิจกรรมการแข่งขันทักษะทางไซเบอร์ (สำหรับผู้หญิงหรือผู้ที่มีเพศสภาพเป็นหญิง) Women Thailand Cyber Top Talent 2024 ของ สกมช. ซึ่งได้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่เป็นเพศหญิง หรือมีเพศสภาพเป็นหญิง ได้เพิ่มทักษะการเรียนรู้ พัฒนาประสบการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมทั้งเป็นการสร้างแรงงาน

ด้าน Cybersecurity สำหรับผู้หญิง หรือผู้ที่มีเพศสภาพเป็นหญิงของประเทศไทย ต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมในยุคดิจิทัล และมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนดังเจตนารมณ์  : ‘Team Thailand for Cybersecurity’ 

ทร.โดย ทรภ.1 จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางไอซ์ 483 กก.เตรียมส่งออกทางทะเล

กองทัพเรือ (ทร.) โดยทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) บูรณาการจับเครือข่ายยาเสพติดเตรียมนำส่งออกทางทะเล การจับกุมเครือข่ายยาเสพติดครั้งนี้ เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่าง สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, กองทัพเรือโดยทัพเรือภาคที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากสืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ ลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือผ่านพื้นที่ภาคกลาง โดยมีเป้าหมายกระจายในประเทศและลักลอบส่งออกทางทะเล ผ่านเส้นทางชายฝั่งภาคตะวันออกและอ่าวไทย เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ที่ซุกซ่อนในกล่องโฟมท้ายรถกระบะในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี 

ซึ่งในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 พลเรือโท เฉลิมชัย สวนแก้ว รองเสนาธิการทหารเรือ (สายงานกำลังพล) พลเรือตรี รังสรรค์ บัวเผือก รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 / รองผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทัพเรือภาค 1 พร้อมด้วย พลเรือโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ (เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางไอซ์ จำนวน 483 กิโลกรัม ณ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตพญาไท กรุงเทพฯ 

ในการนี้ เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายและประสานกับประเทศปลายทาง ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการบูรณาการข่าวสารและกำลัง จากทุกภาคส่วน ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการทดสอบความรู้ ของทหารใหม่ ผลัด 3/67

เมื่อวานนี้ (16 ธ.ค.67) พล.ร.อ.พิจิตต  ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการทดสอบความรู้ หัวข้อวิชาชีพทหารเรือ ของทหารใหม่ ผลัด 3/67 โดยมี  น.อ.ทิวา  อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ และคณะ ให้การต้อนรับ ณ​ กองบังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การทดสอบความรู้ หัวข้อวิชาชีพทหารเรือ ประกอบด้วย วิชาการเรือ , เชือกเงื่อน และ การป้องกันความเสียหาย (ปคส.) ของทหารใหม่ผลัด 3/67 ถูกบรรจุให้มีการอบรมแก่ทหารใหม่ทุกนาย เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ 'Navy-Safety 2025'

โอกาสนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้แนวทางแก่ทหารใหม่ ในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่กองทัพเรือ สังคม และในชีวิตประจำวันต่อไป

ปราจีนบุรี-ขุดรากถอนโคน! ตำรวจภูธรภาค 2 ล้อมปราจีนบุรี “ทลายรังนักเลง” EP1  ล็อกเป้า ลุยค้น 3 วัน 59 เป้าหมาย ยึดอาวุธเพียบ 

(16 ธ.ค. 67) ที่ ภ.จว.ปราจีนบุรี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท. ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี ประชุมติดตามการปฏิบัติการในยุทธการ “ทลายรังนักเลง” EP1 ปฐมบท .. ไล่ล่านักเลงปราจีน กวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี หลังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง สจ.โต้ง หรือ ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ ภายในบ้านพักของนายสุนทร วิลาวัลย์ อดีตนายก อบจ.ปราจีนบุรี เมื่อค่ำวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เข้าคลี่คลายสถานการณ์ และจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ 7 คน คุมตัวไว้ได้ ดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และส่งฝากขัง ขณะนี้คุมตัวที่เรือนจำปราจีนบุรี ขณะเดียวกันตำรวจ ภ.จว.ปราจีนบุรี ร่วมกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 และกองบังคับการปราบปราม ยังสืบสวนขยายผลนำไปสู่การเปิดยุทธการทลายรังนักเลง เพื่อขุดรากถอนโคนตัดเส้นเลือดเครือข่ายอิทธิพลในพื้นที่ ที่เป็นภัยต่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน

ผลจากการเปิดยุทธการ ทลายรังนักเลง ตั้งแต่วันที่ 14 – 16 ธันวาคม 2567 ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ปูพรมตรวจค้นเป้าหมายใน 12 อำเภอ ของจังหวัดปราจีนบุรี รวม 59 เป้าหมาย ตรวจค้นพบอาวุธปืน 79 กระบอก  อาวุธปืนไม่มีทะเบียน 2 กระบอก กระสุน 601 นัด  จับกุมดำเนินคดีผู้ต้องหา 8 ราย

“ตำรวจภูธรภาค 2 ไม่มีที่ยืนให้นักเลง ไม่มีที่ยืนให้บ้านไหนก็ตามที่สร้างความเดือดร้อนเป็นภัยสังคม ยุทธการนี้เริ่มต้นกวาดล้างผู้มีอิทธิพลอย่างเข้มข้นในภาค 2 คือก้าวแรกของการปลดแอกประชาชนจากเงาอิทธิพลมืด ไม่ใช่แค่คำขู่ แต่นี่คือการปฏิบัติการเพื่อผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงปราจีนจะไม่ใช่สนามของนักเลงอีกต่อไป รังอิทธิพลเถื่อนกำลังถูกทำลายลงแล้ว ยุทธการนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างสังคมปลอดภัย และให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตอย่างมั่นคง" รรท.ผบช.ภ.2 กล่าว 

‘พลังงาน’ จับมือ ‘อุตสาหกรรม’ เพิ่มศักยภาพประเทศ เร่งปลดล็อกอนุมัติด้านไฟฟ้าเร็วขึ้น - หนุนใช้พลังงานสะอาด

(17 ธ.ค. 67) ‘พลังงาน’ เดินเกมรุกจับมือ ‘อุตสาหกรรม’ เร่งปลดล็อกการอนุมัติด้านไฟฟ้าให้เร็วขึ้น หนุนใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve พร้อมผลักดันการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน มุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มศักยภาพธุรกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม

เปิดมิติใหม่ของการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งปลดล็อกลดขั้นตอนขออนุญาตด้านไฟฟ้ายกระดับสู่ One Stop Service ชูแนวทางผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่อุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่ารองรับการยกเลิกอุดหนุน และร่วมผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน คิดไกลดูแลเทคโนโลยีพลังงานตั้งแต่ผลิตถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่หมดอายุ นำระบบ Big Data ยกระดับการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมประสานพลังพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมรองรับพลังงานไฮโดรเจนและการลงทุนจากต่างประเทศ

เมื่อวันที่ (16 ธันวาคม 2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสำคัญระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ได้แก่

ประเด็นการดำเนินการ One Stop Service การอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้า เพื่อลดขั้นตอนกระบวนการและระยะเวลาการอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้าให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการยกเลิกขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4 ลำดับที่ 88) จาก พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 แล้ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายว่าด้วยการยกเลิกใบอนุญาต รง.4 ดังกล่าว รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับภาคประชาชนที่กระทรวงพลังงานเตรียมส่งเสริมในปีหน้า เพื่อลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

ที่ประชุมยังมีการหารือประเด็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อเพิ่มมูลค่า เนื่องจากมาตรการชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2569 ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นต้นทางของเอทานอลจะได้รับผลกระทบ กระทรวงพลังงานจึงเตรียมมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้ทดแทนเอทานอลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง การสกัดสมุนไพร สุราสามทับ พลาสติกชีวภาพ หรือการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง คาดว่าจะสามารถผลักดันให้สามารถจำหน่ายเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นเพื่อชดเชยบางส่วนได้ในทันที ส่วนปริมาณที่เหลือจะหารือเพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกรและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เอทานอลมากขึ้นต่อไป

ในส่วนของไบโอดีเซล จะร่วมกันผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เพื่อสร้างกรอบในการกำหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ของปาล์มน้ำมัน พร้อมไปกับการเพิ่มโอกาสนำเชื้อเพลิงชีวภาพให้สามารถผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนของสากลเพื่อนำไปผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) รองรับความต้องการที่สูงขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือแนวทางการรับซื้อใบอ้อย/ยอดอ้อยเพื่อผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องในฤดูเก็บเกี่ยวอ้อย โดยข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) พบว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลสามารถรองรับการใช้ใบอ้อย/ยอดอ้อยในสัดส่วน 10 - 30% พร้อมร่วมพิจารณาการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยไม่กระทบค่าไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินอัตรารับซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลจากใบอ้อย/ยอดอ้อยอยู่ในระดับ 2.67 บาท/หน่วย ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมรับข้อเสนอและคาดว่าในปีหน้าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้ใบอ้อยในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นหลังจากดำเนินนโยบายการรับซื้อในราคาที่จูงใจ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ลดการเผาแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในการลดฝุ่น PM2.5 ได้อีกด้วย

รวมทั้งประเด็นหารือความร่วมมือแนวทางการจัดการแผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ที่หมดอายุใช้งาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งทั้งสองกระทรวงเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงขอความร่วมมือจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำกับคุณภาพและความปลอดภัยของแผงโซลาร์เซลล์ และให้ทบทวนมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์ โดยเพิ่มเติมแนวทางการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ให้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดการแผงที่หมดอายุใช้งานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการร่างกฎหมายและจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารจัดการสำหรับแก้ไขปัญหาและชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากแผงโซลาร์เซลล์ ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงาน กกพ. มีฐานข้อมูล ปริมาณการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าทั้งในระบบและนอกระบบที่สามารถนำไปประเมินปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุในอนาคตได้ รวมทั้งจะร่วมมือพัฒนาส่งเสริมการนำแบตเตอรี่จากยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) มาใช้งานเป็น 2nd Life Battery คือนำไปใช้งานร่วมกับแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน หรือเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สำหรับบ้าน อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

ในด้านประเด็นการส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมนั้น ตามแผนการพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ซึ่งเชื่อมโยงกับร่างแผน PDP2024 มีการกำหนดสัดส่วนผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 5 ภายในปี 2573 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในภาคพลังงาน โดยขอความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันเตรียมการให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงพิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักร รองรับการใช้เชื้อเพลิงผสมดังกล่าว โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติ โดยทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้นี้ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐศาสตร์สำหรับการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างผลักดันการใช้ Factory Energy Code ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านการดำเนินนโยบาย BCG พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลโรงงาน เครื่องจักรของอุตสาหกรรม และข้อมูลการใช้พลังงานในโรงงานควบคุมและนอกข่ายควบคุม

“ผมถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้กำกับดูแลทั้งกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งโดยเนื้อหาของงานทั้งในภาคนโยบายและภาคปฏิบัติมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันอย่างมาก การได้หารือร่วมกับหน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมท่าน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นมิติใหม่ที่จะสร้างความร่วมมือให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญคือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมที่ส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งสร้างความชัดเจนในการพลิกโฉมการบริหารจัดการพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรมด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม ช่วยนำประเทศเข้าใกล้เป้าหมายที่ประกาศจะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กล่าวว่า “รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำงานกันอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าที่จะให้ภาคอุตสาหกรรมดัน GDP ของไทยให้เพิ่มขึ้น 1% โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ เน้นการเพิ่มมูลค่าในด้านการผลิต ด้านการเกษตร และผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อในการเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมแบบมีความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะส่งเสริมธุรกิจใหม่อย่างการนำขยะมาสร้างมูลค่า ซึ่งก็ต้องใช้กฎหมายเข้ามาเป็นตัวช่วยผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จให้เร็วที่สุด”

'โชว ชู' ซีอีโอ TikTok ดอดพบ 'ทรัมป์' สัญญาณบวกว่าที่ผู้นำสหรัฐใจอ่อนสั่งปลดแบน

(17 ธ.ค. 67) โชว ชู ซีอีโอของติ๊กต๊อก (TikTok) ได้เข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รีสอร์ตมาร์-อา-ลาโกในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพบปะก่อนที่ติ๊กต๊อกจะถูกแบนในสหรัฐฯ จากข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทรัมป์กล่าวว่าเขาอาจพิจารณายกเลิกคำสั่งแบนเพื่อสนับสนุนติ๊กต๊อก ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้เข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยหนุ่มสาวระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง "เราจะพิจารณาเรื่องติ๊กต๊อก" ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า "คุณรู้ไหม ผมมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับติ๊กต๊อก"

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยพยายามสั่งแบนติ๊กต๊อกในปี 2563 แต่ภายหลังเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับแอปนี้

แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการหารือระหว่างทรัมป์และโชว ชู โฆษกของติ๊กต๊อกก็ไม่ได้ตอบกลับการขอความคิดเห็นจากสื่อ

การสั่งแบนติ๊กต๊อกมีผลในวันที่ 19 มกราคม 2568 ตามกฎหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนาม ยกเว้นหากบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของติ๊กต๊อก ยอมขายแอปให้กับผู้ถือหุ้นชาวอเมริกัน

ถึงแม้ ByteDance จะพยายามต่อสู้กับกฎหมายนี้ แต่ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตันก็มีคำตัดสินให้คงคำสั่งแบนและปฏิเสธคำขอระงับคำสั่งแบนชั่วคราว โดยในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ติ๊กต๊อกได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อขอให้ทบทวนคำตัดสินดังกล่าว

โชว ชู เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เลือกเข้าพบทรัมป์ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมนี้ โดยก่อนหน้านี้มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตาแพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล (Apple) ก็เคยพบกับทรัมป์ที่มาร์-อา-ลาโกในโอกาสต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ศึกแบนติ๊กต๊อกยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ByteDance ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดเพื่อขอระงับคำสั่งแบนที่จะมีผลในวันที่ 19 มกราคม 2568 ทว่า ทรัมป์ก็ส่งสัญญาณว่าจะพิจารณายกเลิกคำสั่งแบนนี้ หากคำสั่งแบนยังคงอยู่ ทรัมป์อาจมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องนี้ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่

‘เปลว สีเงิน’ อ่านเกม ‘ทักษิณ’ ชี้ชัด อยากตะเพิด ‘พีระพันธุ์ – รทสชง’ พ้นรัฐบาล

(17 ธ.ค. 67) เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์การเมืองชื่อดัง เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนบทความในคอลัมน์ ‘คนท้ายซอย’ ว่า "พีระพันธุ์-เพชรแท้"
เห็นถามเชิงเถียงกันขรมเมืองทั้งวัน ว่า.....

ตกลง "ทักษิณไล่ใคร?"

ไล่ "อนุทิน-ภูมิใจไทย" หรือไล่ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ" ให้พ้นจาก "พรรคร่วมรัฐบาล"?

หรือไล่มันทั้ง ๒ พรรคนั่นเลย?

ผมตอบแทนทักษิณให้ก็ได้ "อยากเฉดหัวให้มันออกไปทั้ง ๒ พรรค" นั่นแหละ

แต่ที่อยากมากกกกก ถึงขั้นไล่ได้ ไล่ให้ออกไปวันนี้-วันพรุ่งเลย คือ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ"!

เพราะอะไร?

๑.ไล่พรรครวมไทยสร้างชาติ ๓๕-๓๖ เสียงออกไป ก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้มี "พรรคธรรมนัส" ร่วม ๒๕ เสียงเสียบเสริมอยู่แล้ว

๒.ทุกคนรู้-โลกรู้ "รวมไทยสร้างชาติ" ชาติกำเนิดคือพรรคของอดีต "นายกฯ ประยุทธ์"

พีระพันธุ์จึงมีภาพเป็นคนของ "ลุงตู่" ซึ่งเป็น "หนามปักคาใจ" ให้ทักษิณคลั่งในยิ่งนัก

๓.ขณะเดียวกัน พีระพันธุ์เป็นคนที่ชาวประชารับรู้ว่า เป็นนักการเมือง "เพื่อชาติและประชาชน" ของแท้ ๑๐๐%

พีระพันธุ์จึงเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" โดยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ "หมาในคอก" โดยหิวอาหารเม็ด จากมือคนคด!

๔.ด้วยคุณสมบัติ ไม่สน "อาหารเม็ด" ทำให้พีระพันธุ์ดูเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับใคร

ถ้าเรื่องนั้น ทำแล้ว "นักการเมืองได้-ประชาชนเสีย"!

ต่อให้เป็นนโยบายรัฐบาล.....

สั่งให้ตาย พีระพันธุ์ก็จะไม่ยอมไหลตามไปกับสิ่งไม่ถูกต้องนั้น

๕.พีระพันธุ์เป็นรัฐมนตรี "คุมพลังงาน" แล้วใครบ้างที่ไม่รู้ว่า พลังงาน "ขุมทรัพย์นับล้านล้าน" ของไทย ทุกวันนี้ อยู่ในกำมือใคร?

ชาวบ้านใช้ไฟแพงจากค่า ft ทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจากไหน ทุกคนรู้ เว้นแต่รัฐบาลของคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เท่านั้น ที่ไม่รู้?

พีระพันธุ์เข้าไปแก้ในดงขวากหนาม เท่ากับ "ขวางทางโจร" ที่มันกำลังปล้นประชาชนจนรวยติดอันดับ "มหาเศรษฐีโลก"

ตัวเจ้าพ่อและร่างทรงเจ้าพ่อ จึงเพิ่มแรงอยากไล่ให้พีระพันธุ์ออกไปเร็วๆ เป็น ๒ เท่า

ยิ่งเขากำลังจะขุดพลังงานในอ่าวไทยใต้เกาะกูดไปรวยแบ่งกันกับเขมรอยู่ด้วย

พีระพันธุ์และอนุทิน ดันเป็น "ไอ้เข้" เข้าไปนอนขวางทางขุดเขาอีก จึงต้องส่งสัญญาณ "กูไม่พอใจพวกมึง" แล้วนะโว้ย

แต่จังหวะและบรรยากาศที่จะไล่ทั้ง ๒ พรรค มันยังไม่ให้ ถึงแม้ล้วงประเป๋ากางเกง มี "พรรคประชาชน" ให้กระเดาะเล่นในมือก็ตาม

ที่ทำได้ทันที โดยไม่กระทบเสียงรัฐบาล ก็คือไล่รวมไทยสร้างชาติออกไป จะ "รวยแบ่งกัน" ได้สบายกว่า มีพีระพันธุ์อยู่ให้กระดากปาก ตอนซ้วบบบบ!

แต่ก็นั่นแหละ.....

ในจุดเด่นของคุณพีระพันธุ์ก็มีจุดด้อยด้วยเหมือนกัน คือในความเก่งเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

แต่คุณพีระพันธุ์เป็นคนปากกับใจตรงกัน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น บางเรื่องจึงกลายเป็นว่า คุณพีระพันธุ์ไม่รู้จัก "ถนอมน้ำใจคน"

นั่นทำให้การบริหารคนในฐานะ "หัวหน้าพรรค" มีปัญหา การใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรฐานวัดทุกคนในพรรค ทำให้รวมใจคนในพรรคให้เป็นหนึ่งไม่ได้

ห่านดิน ยังกินหญ้า ห่านฟ้า ยังกินยุง ฉันใด ลูกน้องในพรรค ก็ฉันนั้น คนเป็นหัวหน้าก็ต้องบริหารอาหาร

คนน่ะ...จริงอยู่ เป็นคนเท่ากัน แต่มันไม่เท่ากันในความสามารถด้านหน้าที่การงาน

แต่ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพที่มีแต่ละด้าน ช่วยให้พรรคเจริญเติบใหญ่ได้

มีเงินหมื่นล้าน ก็สร้าง "กระต๊อบ" หลังเดียวไม่ได้

ถ้าไม่มีคนไปตัดไม้ไผ่ ไม่มีคนขุดดิน ไม่มีคนตัดหวาย จักตอก ไม่มีคนมุงหลังคา

ฉะนั้น คนสำคัญกว่าเงิน แต่ต้องรู้จักใช้ทั้งเงิน-ทั้งคน              

ผู้บริหารที่ "รู้จักใช้คน" เขาจะไม่มองข้ามใครเลย ขณะเดียวกัน เขาจะมองเชิงวิจัยทะลุศักยภาพแต่ละคน

แล้วดึง "คุณภาพคน" ที่ต่างกันออกมาใช้ตามลักษณะงาน ตามจังหวะ-เวลา-สถานการณ์

"ชนะ" ที่เป็น "ชัยชนะ" แท้จริง มี ๒ อย่าง คือ

ชนะขั้นสามัญ ชนะใจคนอื่น

ชนะขั้นสูงสุด ชนะใจตัวเอง!

คุณพีระพันธุ์มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ดึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ในบทบาท "ผู้นำพรรค" ให้ถึงพร้อมเท่านั้น

ถ้าเปิดใจให้กว้างต่อมิตรสหายในเส้นทาง ทั้งที่คิดเหมือนและคิดต่างให้มากกว่านี้

คำสบประมาทที่ว่า "รวมไทยสร้างชาติ" เจ๊งแล้ว นายทุนแยกพรรคไปแล้ว

เลือกตั้งครั้งหน้า....

"รวมไทยสร้างชาติ" ใต้การนำพีระพันธุ์ ไม่ใช่พรรคต่ำสิบ แต่จะเป็นพรรคต่ำห้า มันจะกลายเป็นฝ่าตีนตบหน้าคนสบประมาททันที!

พูดถึงนายทุนน่ะ ตะแคงกระบุงแล้วเอาเท้าโกยก็ถมถืด หาไม่ยากหรอก

ที่หายาก คือ "นักการเมือง" ที่บริสุทธิ์-จริงใจ ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก

คุณพีระพันธุ์ คือ ๑ ในจำนวนที่หายากนั้น

แต่การดึงศักยภาพตัวเองออกมาแสดง "ภาวะผู้นำ" ที่ทั้งคนในพรรคและนอกพรรคยอมรับ

สู่ขั้นเปล่งประกายเข้าตาสังคมชาติ ว่า คนนี้ ฝากผี-ฝากไข้ ให้เป็น "ผู้นำประเทศ" ได้ ยังไม่สาดแสงทะลุตา

ทะลุวันไหน แค่ตะแคงกระบุงไว้หน้าพรรคเฉยๆ เงินอุดหนุนมาเต็ม บอกไม่เชื่อ!

เพราะเครดิตด้านคนทำงานเอางาน "เพื่อชาติบ้านเมือง" ไม่ใช่ "เอาเงินเข้ากระเป๋า" คุณพีระพันธุ์ทำให้เห็นมาแล้ว

จำตอม่อ "โฮปเวลล์"....

ที่ตำใจ ประจานไทย ว่าเป็นประเทศบริหารด้วยนักการเมือง "โกงชาติ-ผลาญเมือง" แต่ปี ๒๕๓๓ กันได้มั้ย?

ผ่านมากี่รัฐบาล ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแก้ปัญหา เพราะแดกเนื้อกันหมดแล้ว ทุกรัฐบาลจึงเมิน

เอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ยกเลิกสัญญาเขา คณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมและการรถไฟฯ ชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ร่วม ๓ หมื่นล้านบาท!

มาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์....

จะว่าไปต้องให้เครดิตและชม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคมตอนนั้น ไม่ยอม ฮึดสู้ จนชนะ เซฟค่าโง่ให้ประเทศร่วม ๓ หมื่นล้าน

มือกฎหมายที่พลิกจากแพ้ให้กลับมาชนะ ก็คือ "คุณพีระพันธุ์" ผู้นี้แหละ

อดีตท่านเป็นผู้พิพากษา เมื่อนายกฯ ประยุทธ์มอบให้เข้าไปดูเรื่องนี้ ท่านใช้เวลาร่วม ๓ ปี ขุดเอกสารต่างๆ มาดูตามแง่มุมกฎหมาย

ก็ไปสู้ในศาล....

ปรากฏว่า จากที่แพ้-จ่ายแน่ เพราะไม่มีรัฐบาลไหนสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ โดย "รมว.ศักดิ์สยาม" สู้

ปรากฏว่า ชนะ "พลิกล็อก-พลิกโลก"

"ศาลปกครองกลาง" มีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒.๔ หมื่นล้านบาท

พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ศาลเห็นว่า "บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด" ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ "พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด"!

เนี่ย....

ถ้าคุณพีระพันธุ์อยากได้ค่าโอเลี้ยงซักสี่ซ้าห้าพันล้าน แลกกับการไม่เป็นคานเข้าไปสอดหมูที่เขากำลังจะหามกัน

พูดได้คำเดียว "สบายมาก"!

เพราะเป็นคนไม่ชอบ "สบายมาก" นั่นแหละ จึงถูกเจ้าของคอกหมาไล่ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

คุยแล้วก็รากงอก ตั้งใจจะแตะนิดเดียว ดันเลี้ยวลงคู-ลงคลอง ที่ตั้งใจคุยเรื่อง "พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล" ก็เลยหมดเนื้อที่

เอาเป็นว่าเมื่อวาน (๑๖ ธ.ค.๖๗)" ศาลปกครองสูงสุด "มีคำสั่ง" ยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของบิ๊กโจ๊ก

นั่นคือ "สิ้นสุดทางเลื่อนของ แมว ๙ ชีวิต" ลงแค่นี้

เป็นไปตามคำสั่ง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์" และมติ "ก.พ.ค.ตร."

ที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ "ออกจากราชการไว้ก่อน"!

กรณีถูกกล่าวหา "ทำผิดวินัยร้ายแรง" จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์...

เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์  BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญา

และถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"

และ "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน"

ก็สู้ต่อไปนะ แพ้เป็นโจ๊ก ชนะเป็น "เทพโจ๊ก"!.

-เปลว สีเงิน

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗

คนปลายซอย

อังกฤษอาศัยช่วงเปลี่ยนขั้วรัฐบาล กล่าวหา 'หยาง เติ้งป๋อ' นักธุรกิจจีนเป็นสายลับให้ปักกิ่ง เอี่ยวโยงเจ้าชายแอนดรูว์

(17 ธ.ค.67) กลายเป็นเรื่องใหญ่ของสหราชอาณาจักร เมื่อมีรายงานข่าวว่า ศาลอังกฤษได้สั่งห้ามบุคคลต้องสงสัยชาวเอเชียที่ชื่อ หยาง เติ้งป๋อ เข้าประเทศ โดยอังกฤษอ้างว่านายหยางมีพฤติการณ์ต้องสงสัยแฝงตัวเป็นสายลับในคราบนักธุรกิจโปรไฟล์ดี สามารถเข้าถึงใกล้ชิดบุคคลระดับสูงทั้งในระดับรัฐบาลอังกฤษจนถึงพระราชวงศ์ระดับสูง

จากการเปิดเผยข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงอังกฤษได้กล่าวหาว่านาย หยาง เติ้งป๋อ วัย 50 ปี หรือที่รู้จักภายใต้โค้ดเนมว่า H6 เป็นสายลับจีนที่มีความใกล้ชิดต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน เคยปรากฏภาพเข้าร่วมประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในกรุงปักกิ่ง อังกฤษกล่าวหาว่านายหยางมีความเกี่ยวข้องกับแนวร่วม United Front Work Department (UFWD) ซึ่งเป็นหน่วยงานลับของรัฐบาลจีนที่จัดการกับการเผยแพร่อิทธิพลทางวัฒนธรรมของจีนในต่างประเทศ

สำหรับประวัติของ หยาง เติ้งป๋อ หรือชื่อที่รู้จักกันในนาม 'คริส หยาง' เกิดที่ประเทศจีนในปี 1974 เขามาอังกฤษครั้งแรกในปี 2002 และศึกษาที่กรุงลอนดอนเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านการบริหารราชการและนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัยยอร์ก

ในปี 2005 เขาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Hampton Group International ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจดทะเบียนบริษัทในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าบริษัทที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในสหราชอาณาจักร 

ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2013 เขาได้รับการอนุญาตให้ถือวีซ่าพำนักถาวรในสหราชอาณาจักร ช่วงที่โควิดระบาดใหญ่เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำธุรกิจที่อังกฤษ กระทั่งเมื่อการระบาดเริ่มลดน้อยลง จึงเดินทางไป-มา ระหว่างลอนดอนกับประเทศจีน

6 พฤศจิกายน 2021 หยางถูกเจ้าหน้าที่ตม.อังกฤษไม่อนุญาตเข้าประเทศ พร้อมกับถูกควบคุมตัว อีกทั้งเขายังถูกยึดและตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่พกติดตัว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หยางยื่นคำร้องต่อรัฐบาลอังกฤษเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศ ซึ่งเขาเคยชนะคดีในศาลชั้นต้น แต่ต่อมาแพ้ในการอุทธรณ์

ในคำตัดสินของศาลอุทธรณ์อังกฤษอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ยืนยันตามคำสั่งของกระทรวงกิจการภายในสั่งห้ามหยางเข้าประเทศ โดยชี้ว่าพบหลักฐานจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือของหยางที่มีการยึดในปี 2021 ตลอดจนเอกสารบางส่วนที่ชี้ว่าเขามีส่วนเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยอัยการอังกฤษชี้ว่า หยางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีความพยายามส่งต่อข้อมูลบางประการต่อรัฐบาลปักกิ่ง 

ในการพิจารณาคดีหยางได้ปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งยืนยันว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดใดๆ โดยว่าสหราชอาณาจักรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขา เขาเดินทางเข้าออกสหราชอาณาจักรมานานกว่า 20 ปีตั้งแต่เรียนหนังสือจนถึงตั้งตัวทำธุรกิจจนมีหน้ามีตาทางสังคม 

หยางปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและกล่าวว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองในจีน เขายืนยันว่าไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ ให้กับ UFWD ทั้งยังบอกว่า 'เขากลายเป็นเหยื่อของการเมืองอังกฤษ ที่มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลจากพรรคอนุรักษ์นิยมมาสู่พรรคแรงงานซึ่งมีจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีน เขาจึงถูกเพ่งเล็งทางการเมือง'

ด้านความเชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์ ฝ่ายสืบสวนของอังกฤษพบหลักฐานที่เชื่อมโยงเขากับเจ้าชาย คือจดหมายระหว่างเขากับโดมินิก แฮมป์เชียร์  ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของเจ้าชายแอนดรูว์ ซึ่งระบุว่าหยางสามารถทำหน้าที่แทนเจ้าชายในการติดต่อกับนักลงทุนชาวจีน โดยมีภาพถ่ายปรากฏเจ้าชายแอนดรูว์ดยุกแห่งยอร์กและนายหยางถูกรายงานผ่านสื่อ 

ต่อมาเลขาของเจ้าชายแอนดรูว์ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า พระองค์ทรงตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับนักธุรกิจจีนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับให้ปักกิ่งหลังได้รับคำแนะนำจากรัฐบาลอังกฤษ โดยสำนักพระราชวังกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า เจ้าชายแอนดรูว์ทรงพบกับชายผู้นี้ผ่าน 'ช่องทางการ'และไม่มีการหารือในประเด็นอ่อนไหวด้านความมั่นคง

จากการขุดคุ้ยของสื่ออังกฤษ ยังเผยอีกว่า นายหยาง เคยได้รับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันตรุษจีนในทำเนียบถนนดาวนิง ทั้งยังมีความใกล้ชิดกับ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษ์นิยม อีกทั้งยังเคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงภายในพระราชวังบักกิ้งแฮมในหลายครั้ง

นอกจากนี้หยางยังดำรงตำแหน่งระดับสูงในกลุ่มธุรกิจอังกฤษ-จีน ได้รับการยกย่องให้เป็นประธานบริหารของ China Business Council ในสหราชอาณาจักร และเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมธุรกิจจีน-อังกฤษที่เรียกว่า 48 Group Club ซึ่งมีบุคคลสำคัญชาวอังกฤษหลายคนเป็นสมาชิก ทางการอังกฤษมองว่า หยางอยู่ในตำแหน่งที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสำคัญของสหราชอาณาจักรกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน สามารถถูกนำไปใช้เพื่อแทรกแซงทางการเมือง จนสั่งห้ามเขาเดินทางเข้าประเทศตามรายงานข้างต้น  

อย่างไรก็ตาม ทางด้านโฆษกจากกระทรวงต่างประเทศจีน ได้ออกมาตอบโต้ประเด็นนี้แล้วโดยกล่าวว่า "บางคนในอังกฤษมักจะสร้างเรื่องราว 'สายลับ' ที่ไม่มีมูลความจริงเพื่อโจมตีจีน มันไม่คุ้มค่าเลยที่จะสร้างข่าวลืออันไม่เป็นธรรมเหล่านี้เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ" 

ทางการจีนยังตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินดดีของหยางมีความคืบหน้าผิดปกติในช่วงที่อังกฤษเปลี่ยนขั้วรัฐบาล อีกทั้งหน่วยราชการลับอังกฤษเพิ่งมาเปิดเผยรายละเอียดของหยางในช่วงที่อังกฤษมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคแรงงานที่มีจุดยืนแข็งกร้าวต่อปักกิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top