Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

ผู้ผลิต EV จีนบุกตลาดรถบรรทุกไฟฟ้า ชูเทคโนโลยีวิ่งไกล แบตเตอรี่ไม่ใหญ่

(16 ธ.ค. 67) บริษัทจีนที่ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังขยายตลาดเข้าสู่ธุรกิจขนส่งทางรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ก็เป็นตลาดแห่งอนาคตที่หลายฝ่ายมองว่าจะมีการเติบโตสูง  แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะเตือนถึงอุปสรรคจากภาษีนำเข้าและปัญหาด้านคุณภาพ ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคในการขยายตลาด 'รถบรรทุกไฟฟ้า' ของจีน

ในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV บรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่และบริษัทสตาร์ทอัพต่างใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานในประเทศและกลยุทธ์ราคาที่ต่ำ เพื่อผลักดันการขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนไปยังตลาดขนส่งทางรถบรรทุก

ปัจจุบัน รถบรรทุกไฟฟ้ายังคงมีสัดส่วนยอดขายไม่ถึง 1% ของยอดขายรถบรรทุกทั่วโลกตามข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) โดยจีนคิดเป็น 70% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2023 อย่างไรก็ตาม IEA คาดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า นโยบายและการพัฒนาเทคโนโลยีจะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย

หานเหวิน ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ Windrose เผย AFP ว่า "ผมเชื่อว่าอุตสาหกรรมนี้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" ขณะกำลังประกอบรถบรรทุกไฟฟ้าคันแรกของบริษัทเพื่อส่งมอบ

แม้ว่าในบางประเทศตะวันตกจะมีการคว่ำบาตรต่อรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน แต่รถบรรทุกไฟฟ้าจากจีนยังคงขยายตัวในตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทจีนอย่าง BYD และ Beiqi Foton ที่ได้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น อิตาลี โปแลนด์ สเปน และเม็กซิโก และเปิดโรงงานประกอบในหลายประเทศ

สตีเฟน ไดเออร์ จากบริษัทที่ปรึกษา AlixPartners กล่าวว่า "รถบรรทุกจีนมีต้นทุนที่แข่งขันได้ในตลาดเกิดใหม่ แต่สำหรับตลาดที่เติบโตเต็มที่แล้ว ประสิทธิภาพและความทนทานยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ได้ แต่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป"

อลิซาเบธ คอนเนลลี นักวิเคราะห์จาก IEA กล่าวถึงการลดมลพิษว่า "รถบรรทุกขนาดหนักถือเป็นกลุ่มการขนส่งที่ลดการปล่อยมลพิษได้ยากที่สุดกลุ่มหนึ่ง" เนื่องจากหนึ่งในความท้าทายใหญ่คือเรื่องของแบตเตอรี่และระยะทางวิ่ง "แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นทำให้ระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้น แต่ทำให้รถบรรทุกหนักขึ้นเช่นกัน" คอนเนลลีกล่าว

ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ผลิตสินค้าจากจีนจะถูกมองว่าผลิตสินค้าที่มีคุณภาพต่ำกว่าคู่แข่งจากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันบริษัทจีนกำลังพัฒนาขีดความสามารถอย่างรวดเร็ว เช่น Windrose ซึ่งสามารถผลิตรถบรรทุกที่วิ่งได้ถึง 670 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 

ขณะที่บริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่จากจีนยังได้เปิดตัวโรงงานสับเปลี่ยนแบตเตอรี่รถบรรทุก ซึ่งสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หมดได้ทันที โดยไม่ต้องรอการชาร์จ

หากเทียบกับรถยนต์สันดาปแล้ว การที่จีนครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทำให้ได้เปรียบด้านห่วงโซ่อุปทาน EV ที่แข็งแกร่งของจีนถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในการบุกตลาดรถบรรทุกไฟฟ้าในอนาคต

ในขณะที่สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีความไม่แน่นอน ตลาดรถบรรทุกไฟฟ้าของจีนกำลังเผชิญกับการคุกคามจากการกำหนดภาษีจากรัฐบาลในบางประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่จีนอย่าง BYD ได้มีการกระจายการผลิตไปยังประเทศต่างๆ เช่น เม็กซิโก ฮังการี และโรมาเนีย เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีและข้อจำกัดต่างๆ 

หานจาก Windrose กล่าวถึงกลยุทธ์ของบริษัทว่า "เรายอมรับว่าตลาดหลักทุกแห่งต้องการห่วงโซ่อุปทาน EV ในประเทศเป็นของตัวเอง แต่เราต้องเริ่มต้นในจีนก่อนแล้วค่อยขยายไปยังทั่วโลก"

ตำรวจเตือน 'เขากวางเรนเดียร์-ไฟหลากสี' เสี่ยงอุบัติเหตุ เจอที่ไหนแจ้งเบาะแสได้ทันที

(16 ธ.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความห่วงใยในเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สิน โดยพบว่ามีประชาชนบางส่วนประดับตกแต่งยานพาหนะในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนงดการประดับตกแต่งยานพาหนะตามแฟชั่นหรือเทศกาล เช่น การติดเขากวางเรนเดียร์ เนื่องจากลักษณะดังกล่าวยื่นออกมาเกินขอบเขตของตัวรถ หรืออาจหลุดร่วงระหว่างการขับขี่ การติดไฟหลากสี เพราะอาจทำให้เกิดความสับสนหรือทำให้ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตสัญญาณไฟจากรถของท่านได้อย่างชัดเจน

การตกแต่งยานพาหนะในลักษณะดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ประกอบมาตรา 60 ซึ่งอาจมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

นอกจากนี้ หากการกระทำดังกล่าวนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ผู้ขับขี่อาจถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับกรณี

หากประชาชนพบเห็นผู้ขับขี่ยานพาหนะที่ประดับตกแต่งในลักษณะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่น สามารถบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานและแจ้งเบาะแสการกระทำผิดได้ที่สายด่วน 191, สายด่วนตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง

แลนด์มาร์กสีเขียวแห่งใหม่ 'ปตท.' สานต่อพระราชปณิธาน พัฒนา 'สวนเปรมประชาวนารักษ์' เพื่อสังคมยั่งยืน

เมื่อวันที่ (10 ธ.ค. 67) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ “เปรมประชาวนารักษ์” ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ชลวิถีธีรพัฒน์” ที่ถนนกำแพงเพชร 6 แนวขนานคลองเปรมประชากร โดยมี คณะองคมนตรี  ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. และประชาชนทุกหมู่เหล่า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท. กล่าวว่า ปตท. ร่วมกับหน่วยราชการในพระองค์ ภาครัฐ เอกชน และประชาชนได้ร่วมกันพัฒนาโครงการคลองเปรมประชากรตามพระราชดำริ เพื่อพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อม โดยใช้พื้นที่ 10 ไร่ที่เคยเป็นพื้นที่รกร้าง มาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะพร้อมบอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ต่อประชาชน ใช้เวลาสร้างจนแล้วเสร็จประมาณ 5 เดือน ตั้งแต่ มีนาคม - กรกฎาคม 2567  ก่อนจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ พร้อมเชื่อมโยงระบบคมนาคมทั้งทางล้อ (ถนนวิภาวดีรังสิต) ราง (สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง-ทุ่งสองห้อง) และเรือ (คลองเปรมประชากร)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานชื่อสวนสาธารณะแห่งใหม่นี้ว่า “เปรมประชาวนารักษ์” ซึ่งหมายถึงสวนที่นำความสุขและความเบิกบานมาสู่ประชาชน โดยทรงปลูกต้นประดู่ป่าจำนวน 1 ต้น และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปลูกต้นพิกุล 1 ต้น เพื่อความเป็นสิริมงคล

หลังจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ชลวิถีธีรพัฒน์” การพัฒนาสายน้ำของผู้เป็นปราชญ์แห่งแผ่นดิน ที่เผยแพร่โครงการในการสืบสาน รักษา ต่อยอด การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต บรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ผ่านการนำเสนอโครงการพระราชดำริตามพระบรมราโชบาย โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 10 โครงการทั่วประเทศ ได้แก่ โครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร  โครงการพัฒนาถนนวิภาวดีรังสิต โครงการพัฒนาคูคลองในเกาะรัตนโกสินทร์และคลองรอบกรุง โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์  โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการพัฒนาบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร โครงการพัฒนาบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์  โครงการพัฒนาหุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี โครงการพัฒนาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่  และ โครงการพัฒนาเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี 

ต่อจากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการกลางแจ้ง “สายธารพระบารมีจักรีวงศ์” ร้อยเรียงเรื่องราวของ ปตท. บนเส้นทางการสนองแนวพระราชดำริ เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน และการแสดงละครเพลง “สายนทีแห่งราชัน เดอะ มิวสิคัล” ละครเพลงชีวิตริมสายน้ำที่ดีขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณ โดยความร่วมมือของ ศิลปินแห่งชาติ และ ศิลปินศิลปาธร ผสมผสานด้วยการบรรเลงจากวงดนตรี รอยัล แบงก์คอก ซิมโฟนี ออร์เคสตรา (RBSO) และนักแสดงกว่า 60 ชีวิต พร้อมด้วยมัลติมีเดียพิเศษ 3D Mapping เต็มรูปแบบ 

ปตท. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวพระราชดำริ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

ฝนสะสม 3 วัน มวลน้ำจากเทือกเขาหลวงทะลัก สุราษฎร์ธานีอ่วมประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ บางจุดสูง 1 เมตร

(16 ธ.ค. 67) จังหวัดสุราษฎร์ธานีประกาศพื้นที่ภัยพิบัติเพิ่มเป็น 8 อำเภอ หลังชาวบ้านประสบความเดือดร้อนหนักจากน้ำท่วม รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ ปภ. และฝ่ายปกครอง นำถุงยังชีพเยี่ยมชาวบ้าน โดยมีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 14,319 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย  ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดยังมีฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่

พื้นที่บ้านดอนหลวง ม.1 ต.ท่าอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดรับน้ำก่อนลงทะเล ประสบปัญหาน้ำท่วมสูงกว่า 80 เซนติเมตร บางจุดสูงถึง 1 เมตร โดยมวลน้ำจากเทือกเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช และมวลน้ำฝนที่ตกหนักต่อเนื่องมากกว่า 3 วัน ไหลมาสมทบ สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตของชาวบ้าน

นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่จาก ปภ. และฝ่ายปกครอง ได้นำถุงยังชีพมาเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ และประเมินสถานการณ์ในช่วงกลางคืน พบว่าชาวบ้านสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต โดยล่าสุดประกาศพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว 8 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี อ.กาญจนดิษฐ์ อ.ดอนสัก อ.ท่าชนะ อ.ท่าฉาง อ.เกาะสมุย อ.เกาะพะงัน และ อ.บ้านนาสาร

สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ มีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว 8 ตำบล 47 หมู่บ้าน 2,208 ครัวเรือน รวม 5,247 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มี 2 ราย โดยล่าสุดคือ นายวรกิตต์ อายุ 15 ปี ซึ่งเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อเช้าวันนี้ (16 ธ.ค.)

ในส่วนของเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้ถนนหลายสายถูกน้ำท่วมขังและเกิดการจราจรติดขัดจากถนนกาญจนวิถีไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลทักษิณ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มที่รับน้ำจากถนนอื่นๆ น้ำจึงท่วมสูงและการสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก ล่าสุดรักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้สั่งปิดการจราจรบนถนนเส้นดังกล่าวชั่วคราว และจัดการสูบน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ด้วยรถสูบน้ำของ ปภ.สุราษฎร์ธานี

นอกจากนี้โรงเรียนในเขตเทศบาลได้ประกาศปิดเรียนหลายแห่ง และปรับแผนมาเรียนออนไลน์เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ขณะเดียวกัน สายการบินหลายแห่งที่มีกำหนดการถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีในช่วง 19.00-19.30 น. ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินภูเก็ตจนกว่าสภาพอากาศจะดีขึ้น ก่อนจะบินกลับมายังสนามบินสุราษฎร์ธานีในช่วง 20.00-21.00 น.

'คอมเปค' ผู้ผลิต PCB เปิดโรงงานผลิตแผงวงจร ตั้งเป้าไทยเป็นฐานผลิตสำคัญ รองรับตลาดโลกโต

(16 ธ.ค. 67) บีโอไอร่วมเปิดโรงงาน "คอมเปค" (compeq) ผู้ผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน ลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าผลิตเพื่อรองรับตลาด PCB โลก ขยายตัวสูง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมพิธีเปิดโรงงานผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ของบริษัท คอมเปค (ประเทศไทย) จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ว่าอุตสาหกรรม PCB ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ได้รับการลงทุนจากผู้ผลิตรายใหญ่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น

บริษัท คอมเปค (Compeq) ซึ่งเป็นผู้ผลิต PCB อันดับ 5 ของโลกจากไต้หวัน ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเมื่อเดือนธันวาคม 2566 และได้ก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 112 ไร่ ด้วยเงินลงทุนในเฟสแรก 10,417 ล้านบาท โรงงานได้ติดตั้งเครื่องจักรและพร้อมเดินเครื่องผลิตตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 เป็นต้นไป

ผลิตภัณฑ์หลักของโรงงานคอมเปคในประเทศไทย คือ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชนิด Multilayer PCB ซึ่งสามารถสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์สูงสุดถึง 34 ชั้นในแผงวงจรเดียว รองรับการผลิตสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น ระบบสื่อสาร ดาวเทียม รถยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ สมาร์ทโฟน และเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศคิดเป็นกว่า 90% หรือประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี โรงงานนี้จะจ้างงานบุคลากรไทยจำนวนประมาณ 600 คนในเฟสแรก และคาดว่าจะขยายการจ้างงานเพิ่มเป็น 1,500 คนในปีหน้า

นายนฤตม์กล่าวว่า การลงทุนของคอมเปคในประเทศไทยซึ่งเป็นครั้งแรกนอกไต้หวันและจีน ถือเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในการเป็นฐานผลิต PCB ที่สำคัญในอาเซียน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซัพพลายเชนที่รองรับ และบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากนี้การลงทุนนี้ยังเสริมความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถเป็นฐานผลิตสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงอื่นๆ เช่น EV, Data Center, Digital และ AI ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566 - พฤศจิกายน 2567) มีการลงทุนจากผู้ผลิต PCB ชั้นนำจำนวน 107 โครงการ รวมมูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น รวมถึงการขยายการลงทุนจากกลุ่มผู้ผลิตเดิม เช่น Delta Electronics, Mektec, และ KCE Electronics ซึ่งทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการผลิต PCB ในอาเซียน และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

✨ประจำวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2567

รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท
097863

เลขท้าย 2 ตัว 1 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท
21

เลขหน้า 3 ตัว 2 รางวัล รางวัลละ 4,000 บาท
290 742

เลขท้าย 3 ตัว 2 รางวัล รางวัลละ 4,000 บาท
881 339

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1
มี 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท
097863 097864

ผลสลาก รางวัลที่ 2
มี 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท
885770    208137    142161    773959    077335

ผลสลาก รางวัลที่ 3
มี 10 รางวัล รางวัลละ 80,000 บาท
431928    346727    546762    232859    214955
132601    543369    882472    579783    164003

ผลสลาก รางวัลที่ 4
มี 50 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท
736296    997599    332505    934591    515844
940955    216600    112272    807271    785942
961926    351494    883128    009226    565216
665998    270861    821551    746765    142837
739701    467237    953159    624287    005170
555474    450486    325011    197755    807334
512221    829492    801458    658743    062558
142726    441853    239277    690417    194802
226962    090523    577454    699145    657613
896429    601662    610101    693110    486524

ผลสลาก รางวัลที่ 5
มี 100 รางวัล รางวัลละ 20,000 บาท
742608    005446    980861    000720    738784
254796    145400    321051    025790    178296
986987    844198    536880    173566    948959
804602    022294    488721    724824    589843
869600    924064    652077    840505    277818
859044    643234    815269    381363    076243
469805    435555    043888    126272    601202
721765    557342    403966    715352    326384
759966    026835    351317    587085    906805
216550    012690    520703    744745    267029
325180    263787    961592    558938    840150
120133    674832    933526    876705    370241
512588    403646    129244    160740    518176
171540    943132    095262    188327    251189
295057    384252    132312    760206    234386
963351    294466    901378    510444    720511
240986    836320    133265    995220    535868
761774    249618    350040    352605    780180
649102    864713    383136    892314    718628
957217    710802    521374    272076    179844

กระทรวง อว. แท็กทีม GISTDA ลงนามสหรัฐ ร่วมมือ 'Artemis Accords' กรุยทางนักวิจัยไทย สู่อวกาศระดับโลก

(16 ธ.ค. 67) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ GISTDA ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านอวกาศ โดยมีนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นตัวแทนจากฝั่งสหรัฐอเมริกา และ NASA เข้าร่วมในการร่วมลงนามครั้งนี้ ณ โรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ 

นางสาวศุภมาส กล่าวว่า การเข้าร่วม Artemis Accords นับเป็นก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมอวกาศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนโครงการสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในอวกาศอย่างยั่งยืน สร้างโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีระดับสูงจากชาติสมาชิกอื่นๆ ตลอดจนสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ นักวิชาการ และนักวิจัยไทยให้ได้เติบโตในเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต

“การลงนามในข้อตกลง Artemis Accords ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่เวทีอวกาศระดับโลก ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอวกาศของประเทศ และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัย นักศึกษา และผู้ประกอบการไทยในการเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมเสริมศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน”

สำหรับข้อตกลงอาร์เทมิส (Artemis Accords) เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสำรวจอวกาศ โดยเน้นภารกิจสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารเป็นหลัก ซึ่งริเริ่มโดยสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2020 ปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมแล้ว 47 ประเทศ ภายใต้โครงการอาร์เทมิส ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ และปูทางสำหรับภารกิจสำรวจดาวอังคารในอนาคต

หลักการสำคัญของข้อตกลงอาร์เทมิส ตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ 10 ข้อ เพื่อยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลการสำรวจอวกาศ คือ วัตถุประสงค์เชิงสันติ การสำรวจอวกาศต้องดำเนินการอย่างสันติและสอดคล้องกับสนธิสัญญาอวกาศ The Outer Space Treaty ที่ลงนามเมื่อปี 1967

ส่งเสริมการสื่อสารแบบเปิด การแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์, มาตรฐานและขั้นตอนร่วมกัน การกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อประกันความปลอดภัยระหว่างภารกิจ, ช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน วางแผนช่วยเหลือภารกิจอวกาศเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน, การลงทะเบียนวัตถุอวกาศ กำหนดให้ลงทะเบียนวัตถุอวกาศทั้งหมดเพื่อความรับผิดชอบที่ชัดเจน, การเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลเพื่อการพัฒนาร่วมกัน, การปกป้องสถานที่สำคัญในอวกาศ อนุรักษ์สถานที่ประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุอวกาศ, การใช้ทรัพยากรอวกาศอย่างรับผิดชอบ สกัดทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม, การยุติความขัดแย้ง ลดความขัดแย้งระหว่างภารกิจจากประเทศต่าง ๆ และสุดท้ายในด้านลดขยะอวกาศ ควบคุมการสร้างขยะอวกาศและลดผลกระทบจากเศษวัตถุที่ลอยอยู่ในอวกาศ

ข้อตกลงอาร์เทมิสมุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการสำรวจอวกาศ เปลี่ยนจากการแข่งขันเป็นความร่วมมือ เพื่อลดความขัดแย้งด้านดินแดนและทรัพยากรในอวกาศ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ เพื่อเพิ่มนวัตกรรมและประสิทธิภาพทางเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าข้อตกลงนี้อาจเอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาเป็นพิเศษ และยังขาดกลไกที่แข็งแกร่งในการแก้ไขข้อขัดแย้ง หรือรับรองการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกันระหว่างประเทศสมาชิก

ที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียนปีหน้า เผยคุณสมบัติประสบการณ์ระดับ 'รัฐบุรุษ'

(16 ธ.ค. 67) สื่อมาเลเซียรายงานว่า นายอันวาร์ อิบบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะแต่งตั้งให้ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาส่วนตัว" ให้กับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในขณะที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า

นายอันวาร์ เผยว่า คุณสมบัติของนายทักษิณ นอกจากมีประสบการณ์ระดับรัฐบุรุษแล้ว ยังเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพและสนับสนุนจากชาติสมาชิกหลายฝ่ายในอาเซียน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

“ผมตกลงแต่งตั้ง (ทักษิณ) เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในฐานะประธานอาเซียน ขอบคุณที่ยอมรับการแต่งตั้งนี้ เพราะเราต้องการประโยชน์จากประสบการณ์ของรัฐบุรุษแบบนี้” นายอันวาร์กล่าวกับนางสาวแพทองธาร ธิดาคนเล็กของนายทักษิณ

“ขอบคุณที่เขายอมรับการแต่งตั้งครั้งนี้ เพราะเราเห็นความสำคัญจากประสบการณ์ของนักการเมืองผู้มีประสบการณ์เช่นคุณพ่อของท่าน” อันวาร์กล่าวต่อนายกรัฐมนตรีแพทองธาร

นอกจากนี้ ในระหว่างการหารือแบบทวิภาคีระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับนายอันวาร์ อันวาอิบราฮิม เผยว่า มาเลเซียต้องการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองชาติ โดยตั้งเป้าหมายการค้าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

"อาจจะมองว่าเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน แต่เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยและมาเลเซีย เราก็มีสิ่งที่สามารถร่วมมือกันได้" นายอันวาร์ กล่าว นอกจากนี้นายกมาเลย์ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างไร้รอยต่อในอาเซียน เพื่อให้การค้าภายในภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตั้งคณะทำงาน 4 ด้าน ‘อาหาร-ค้าลงทุน-ท่องเที่ยว-มั่นคง’ ขอบคุณมาเลเซียต้อนรับอย่างอบอุ่น กระชับความร่วมมือ 2 ประเทศ

(16 ธ.ค. 67) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation: AC) ครั้งที่ 7 ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุม Bilik Mesyuarat Perdana ชั้น 3 ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อบรรลุ "สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" และมุ่งหวังที่จะร่วมมือกันเพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองชาติ

ในเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งกรุงเทพฯ ช้ากว่ามาเลเซีย 1 ชั่วโมง) ณ เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย น.ส.แพทองธาร และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้ร่วมกันตรวจแถวกองทหารเกียรติยศในพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในโอกาสการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ (Official Visit)

ในการประชุมหารือประจำปี (AC) ครั้งที่ 7 นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของสองประเทศในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการสนับสนุนด้านอาหารฮาลาล รวมถึงการเชื่อมโยงด้านคมนาคม พลังงาน และความมั่นคงในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวถึงการเป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะการค้า การศึกษา และการท่องเที่ยว โดยมาเลเซียชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย เช่น ภูเก็ต และสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศภายใต้แนวคิด "6 Countries, 1 Destination"

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มาเลเซีย เป็นมิตรประเทศ ที่ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์ อันดีมากอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นหุ้นส่วน ทางการค้า ที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน ขณะเดียวกัน มาเลเซียยังเป็น 1 ใน10 ประเทศ ที่มีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนมากอีกด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทั้ง2 ประเทศ มุ่งมั่น ในการประสานความร่วมมือ ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้กล่าวถึงการค้าระหว่างกัน เช่น การนำเข้ายางพาราจากไทย พร้อมทั้งลงนามบันทึกความเข้าใจด้านยางพาราระหว่างสองประเทศ

สำหรับมิติด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่า ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นประเด็นภายในของไทย โดยมั่นใจว่าไทยจะสามารถสร้างสันติภาพในพื้นที่ได้ โดยการพูดคุยและพัฒนา

ทั้งสองฝ่ายยังได้กล่าวถึงการร่วมมือในด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์ และจะร่วมกันจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมความร่วมมือด้านความมั่นคงในปีหน้า

ทั้งนี้ สองประเทศได้ตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างกันให้ได้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยการค้าชายแดนมีสัดส่วนถึง 30% ของการค้าทวิภาคี และเห็นควรผลักดันการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น

ในด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงโครงการถนนเชื่อมด่านสะเดาใหม่และสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่จะเสร็จตามกำหนด และคาดหวังว่าจะมีโครงการทางรางเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคในอนาคต

สุดท้าย นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในปีหน้า ซึ่งมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน ภายใต้หัวข้อ "Inclusivity and Sustainability" ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "Malaysia Madani" โดยเชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยในโอกาสต่อไป

18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ‘ไทยคม 1’ ดาวเทียมดวงแรกของไทย ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจร ปฏิวัติการสื่อสารไทยสู่ยุคใหม่

ดาวเทียมไทยคม (THAICOM) ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทย ได้ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรจากฐานปล่อยของบริษัท แอเรียนสเปซ (Arianespace) ที่เมืองคูรู (Kourou) ประเทศเฟรนช์ เกียนา (French Guiana) ในทวีปอเมริกาใต้

ดาวเทียมไทยคม ถูกสร้างโดยบริษัท ฮิวจ์ สเปซ แอร์คราฟท์ (Hughes Space Aircraft) จากสหรัฐอเมริกา เพื่อให้บริการสื่อสารผ่านช่องสัญญาณดาวเทียม รองรับการสื่อสารของประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถถ่ายทอดสัญญาณทั้งโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรศัพท์ และการสื่อสารข้อมูล โดยมีอายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (จนถึง พ.ศ. 2551)

ชื่อ "ไทยคม" ได้รับการพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยย่อมาจากคำว่า "Thai Communications" ซึ่งแปลว่า การสื่อสารของไทย หรือ "ไทยคม" (นาคม) เดิมดาวเทียมดวงนี้ถูกตั้งอยู่ที่พิกัด 78.5 องศาตะวันออก และเรียกว่า "ไทยคม 1" ต่อมาเมื่อย้ายมาอยู่ที่ 120 องศาตะวันออกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2540 จึงได้รับชื่อใหม่ว่า "ไทยคม 1A"

ดาวเทียมไทยคม 1 ถูกผลิตโดยบริษัท Hughes Space Aircraft และส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 โดยใช้จรวด Ariane 4 จากฐานปล่อยที่ศูนย์อวกาศกายอานา ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ปัจจุบันดาวเทียมไทยคม 1 ได้ปลดระวางแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top