Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

สื่อนอกปูดรัฐบาลทหารเตรียมจัดเลือกตั้งปีหน้า ส่ง 'ตาน ฉ่วย' หารือคุยรัฐบาลไทยก่อนถกมาเลย์

(19 ธ.ค. 67) ช่วงระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคมนี้ กระทรวงการต่างประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคเกี่ยวกับเมียนมาจำนวน 2 การประชุมด้วยกัน โดยการประชุมแรกมีชาติเพื่อนบ้านของเมียนมาเข้าร่วมรวมถึงจีน บังกลาเทศและอินเดีย ส่วนอีกการประชุมเป็นการประชุมในกรอบอาเซียน

รอยเตอร์รายงานว่า ในการประชุมดังกล่าวรัฐบาลทหารเมียนมาได้ส่งนาย ตาน ฉ่วย มาเข้าร่วมประชุมที่กรุงเทพฯในวงการประชุมทั้งสองวัน โดยแหล่งข่าวทางการทูตเผยว่า เมียนมามีแผนจะจัดการเลือกตั้งในประเทศขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลทหารผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้

ความคืบหน้าดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ปี 2025 มาเลเซียเตรียมรับตำแหน่งประธานอาเซียนในปีหน้า ซึ่งอาเซียนยังล้มเหลวในการผลักดันให้เมียนมาปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อ เพื่อลดความขัดแย้งภายในประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่กองทัพทำรัฐประหารในปี 2021 ส่งผลให้เกิดการสู้รบอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ

แม้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและแรงกดดันจากหลายฝ่าย แต่รัฐบาลทหารเมียนมายังคงเดินหน้าจัดการเลือกตั้งในปี 2025 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างภาพทางการเมือง

จีนซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารเมียนมา ได้แสดงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการเลือกตั้งปี 2025 ขณะที่ผู้นำไทยเรียกร้องให้มีการมีส่วนร่วมที่กว้างขวางขึ้นกับเมียนมา

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทย เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือด้านความมั่นคงชายแดนและอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสมาชิกอาเซียนจะพบกันเพื่อพิจารณาฉันทามติ 5 ข้อ ซึ่งถือเป็นแผนสันติภาพสำหรับวิกฤตเมียนมา

นอกจากนี้ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีหน้า ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวด้านอาเซียน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในเมียนมา ซึ่งถือเป็นความพยายามที่เมียนมาหารือกับรัฐบาลไทยก่อนที่จะหารือกับรัฐบาลมาเลเซียซึ่งจะเป็นเจ้าภาพอาเซียน

ทั้งนี้ ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นว่าการประชุมครั้งนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดและขาดความโปร่งใส เนื่องจากกลุ่มกบฏในเมียนมาไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมวงหารือ ซึ่งอาจทำให้การเจรจาแก้ไขปัญหายุ่งยากมากขึ้น

เหตุแผ่นดินไหว 7.3 เขย่าวานูอาตู สถานทูตไทยในออสเตรเลียเร่งช่วยเหลือ

(19 ธ.ค.67) กระทรวงการต่างประเทศแถลงการณ์ว่า ตามที่ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวในวานูอาตูเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 17 ธ.ค. 2567 ตามเวลาท้องถิ่น ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.3 ห่างจากกรุงพอร์ตวิลา ประมาณ 30 กม. และมีแผ่นดินไหวต่อเนื่อง (aftershock) ที่จุดเดิมอีกครั้งระดับ 5.5 ส่งผลให้เกิดดินถล่ม รถยนต์ และอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างมาก และท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพอร์ตวิลาได้ปิดทำการชั่วคราวเนื่องจากเกิดความเสียหายบริเวณรันเวย์ นั้น

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้คนไทยเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 3 ราย

กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งรับผิดชอบดูแลวานูอาตู ได้ติดต่อผู้แทนชุมชนคนไทยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ และได้ประสานกรมการกงสุลเพื่อติดต่อประสานกับญาติผู้เสียชีวิตแล้ว สถานเอกอัครราชทูตฯ จะประสานทางการท้องถิ่น เพื่อดำเนินกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมถึงได้ติดต่อสอบถามอาการผู้บาดเจ็บทั้ง 3 คนแล้ว ทราบว่ามีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และดีขึ้นแล้วเป็นลำดับ

ชุมชนไทยในวานูวาตูมีประมาณ 40 คน แต่มีหลายคนที่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในประเทศไทยในช่วงปลายปีไปบ้างแล้ว ในชั้นนี้ยังไม่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหารและน้ำ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมวันเดียว 9 จุด สั่งเร่งฟื้นฟูความเป็นอยู่ประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

เมื่อวันที่ (18 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดทางภาคใต้ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน  ตนในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบดูแลเขตตรวจราชการที่ 5 ซึ่งประกอบด้วย จ.ชุมพร  จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง และ จ. สงขลา จึงลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.ชุมพร  จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ในเขตตรวจราชการที่ได้รับมอบหมาย

ทั้งนี้  นายพีระพันธุ์ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ของทั้ง 3 จังหวัด รวม 9 แห่ง ได้แก่  1.โรงเรียนวัดปากด่าน ต. สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร 2.โรงเรียนครนพิทยาคม ต.ครน อ.สวี จ.ชุมพร 3. เทศบาลบ้านนาโพธิ์ ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร  4.โรงเรียนทุ่งตะโก ต.ทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร 5.ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยชั่วคราว บ้านบ่อน้ำร้อน ม.5 ต.กรูด อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี 6.วัดปากคู ต.ช้างซ้าย จ.สุราษฎร์ธานี 7.โรงครัวชั่วคราว สี่แยกกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี 8.โรงเรียนบ้านเผียน ต.เทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช 9.วัดคงคาเลียบ ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช  โดยได้สั่งการให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เร่งประสานงานให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า  นอกจากการทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแล้ว  ตนยังได้รับมอบหมายให้ดูแลเขตตรวจราชการที่ 5 ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด และขณะนี้ทุกจังหวัดกําลังประสบเหตุน้ำท่วมใหญ่จากฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนัก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนก็ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัด พัทลุง และสงขลา และได้พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

“มาลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมก็ได้เห็นสถานการณ์อย่างที่ได้รับรายงานมา  น้ำท่วมคราวนี้หนักมากนะครับ แม้จะเป็นลักษณะมาเร็วไปเร็ว แต่ก็มาหนัก มาแรง มาเยอะ  และมีปริมาณน้ำมากกว่าทุก ๆ ปี  ไล่ตั้งแต่ชุมพรลงไป  พื้นที่บางแห่งแม้วันนี้จะไม่มีน้ำท่วมแล้ว แต่ก็ทิ้งความเสียหายไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง บ้านเรือนที่อยู่อาศัย  รวมทั้งโรงเรียนของเด็กๆ  ที่ไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ และที่สำคัญคือมีผู้เสียชีวิต ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบและสูญเสียในครั้งนี้ด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราต้องช่วยกันวันนี้ก็คือ การฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน  และขอขอบคุณทุก ๆ ฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งทางด้านกองทัพที่ส่งทหารมาช่วยฟื้นฟู และ ทาง อบต. ที่พยายามจัดงบประมาณเร่งด่วนมาทําความสะอาดโรงเรียน ตลอดจน สส.ในพื้นที่และผู้ประกอบการหลายรายที่ได้จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค รวมไปถึงวัตถุดิบในการทําอาหารมาดูแลประชาชน

“ ในส่วนของกระทรวงพลังงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ ก็ต้องขอบคุณทาง ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ได้กรุณาจัดถุงยังชีพไปช่วยพี่น้องประชาชน น้ำท่วมครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าหนักมาก ในหลายพื้นที่ก็เคยรุนแรง แต่ก็ไม่รุนแรงเท่านี้ ถึงแม้จะไปเร็ว แต่สร้างความเสียหายทิ้งไว้เยอะ เหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่บริจาคสิ่งของมา  รวมทั้งหน่วยราชการทุกภาคส่วนที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ทำให้พี่น้องชาวภาคใต้ก็รู้สึกมีขวัญกําลังใจ  ซึ่งก็ต้องช่วยดูแลกันต่อไปครับ” นายพีระพันธุ์กล่าว

ศาลฎีกาสหรัฐฯ เตรียมเปิดไต่สวน ติ๊กต๊อก สู้กม.แบนกิจการ ลุ้นชี้ชะตา10 ม.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.67) ศาลสูงสุดสหรัฐฯ เห็นพ้องจะทบทวนคำร้องจากติ๊กต็อก (TikTok) และไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่ของติ๊กต็อก เพื่อระงับกฎหมายที่กำหนดการจำหน่ายกิจการของแอปพลิเคชันแบ่งปันคลิปวิดีโอยอดนิยมนี้ภายในวันที่ 19 ม.ค. 2025 หรือเผชิญการลงโทษแบนด้วยเหตุผลความมั่นคงของชาติ

รายงานระบุว่าศาลสูงสุดสหรัฐฯ กำหนดรับฟังข้อโต้แย้งในวันที่ 10 ม.ค. 2025 เพื่อตัดสินว่ากฎหมายดังกล่าวจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกอันขัดกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ของสหรัฐฯ หรือไม่ โดยศาลสูงสุดสหรัฐฯ ออกกำหนดการนี้หลังจากติ๊กต็อกยื่นคำร้องเป็นเวลาสองวันแล้ว

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกกฎหมายที่ให้เวลากับไบต์แดนซ์เพียง 270 วันในการจำหน่ายกิจการของติ๊กต็อก โดยอ้างอิงประเด็นความมั่นคงของชาติที่ไม่มีมูลความจริง ซึ่งหากไบต์แดนซ์ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ผู้ให้บริการร้านค้าแอปพลิเคชันอย่างแอปเปิลและกูเกิลต้องถอดติ๊กต็อกออกจากแพลตฟอร์ม

ต่อมาเดือนพฤษภาคม ติ๊กต็อกยื่นฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อระงับคำสั่งแบนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง และเมื่อต้นเดือนธันวาคม ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยกฟ้องคำกล่าวอ้างของติ๊กต็อกที่ว่าคำสั่งแบนขัดต่อรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิตามการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ของผู้ใช้งานในสหรัฐฯ 170 ล้านราย

เมื่อวันจันทร์ (16 ธ.ค.) ติ๊กต็อกเรียกร้องศาลสูงสุดสหรัฐฯ ระงับกฎหมายนี้ ชี้ว่าจะเป็นการปิดหนึ่งในแพลตฟอร์มแสดงออกทางคำพูดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอเมริกาก่อนวันสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี และปิดปากชาวอเมริกันจำนวนมากที่ใช้แพลตฟอร์มนี้สื่อสารเกี่ยวกับการเมือง การค้า ศิลปะ และประเด็นอื่น ๆ ที่สาธารณชนสนใจ

สวนนงนุชพัทยาต้อนรับปีใหม่ ร่วมกับชมรมลิ้นมังกรประเทศไทยทำพิธีเปิดแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ ณ สวนลอยฟ้า 

(19 ธ.ค.67) นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับนายบรรลือ ลดหวั่น ประธานชมรม นายปราโมทย์ โรจน์เรืองแสง รองประธานชมรมผู้ปลูกเลี้ยงลิ้นมังกรประเทศไทย และคณะ ร่วมกันทำพิธีเปิดแหล่งเรียนรู้ใหม่ในเรื่องของต้นลิ้นมังกร ภายในสวนลอยฟ้า เป็นการเก็บรวบรวมต้นลิ้นมังกรจากทั่วทุกมุมโลกและสายพันธุ์ใหม่ๆ เพื่อการศึกษาหาความรู้สำหรับผู้ที่สนใจ       

ปัจจุบันสภาพอากาศมีปัญหาฝุ่นละอองมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มีผลกระทบทางด้านสุขภาพ ทางสวนนงนุชพัทยาจึงให้ความสำคัญกับต้นไม้ทุกชนิดที่จะช่วยลดมลพิษและสภาวะโลกร้อน จากงานวิจัยของนาซ่า เคยศึกษาเรื่องอากาศสะอาดพบว่า ลิ้นมังกร (D. trifasciata) มีศักยภาพในการกรองอากาศภายในอาคารโดยขจัดสารพิษหลัก 4 ใน 5 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยโรคตึกเป็นพิษ SBS (sick building syndrome)[12] โดยเฉพาะถ้าวางไว้ในห้องนอนจะปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืน ช่วยให้หายใจได้ดีขึ้นขณะนอนหลับ  

ทางสวนนงนุชพัทยา ขอขอบคุณชมรมลิ้นมังกรประเทศไทย ที่จัดหาสายพันธุ์แปลก และใหม่ที่สุดในโลกมาให้ศึกษาเรียนรู้  นับว่าเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน นอกจากนี้สวนนงนุชพัทยายังมีพันธุ์ไม้มากกว่า18,000 ชนิด มาประดับตกแต่งเป็นสวนสวยต่างๆมากกว่า 60สวนเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติได้เที่ยวชมทุกวัน

‘ชูศักดิ์’ เล็งเช็กบิล ‘นักร้อง’ ปม ‘ทักษิณ’ ครอบงำพรรค เผยอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล ส่วนจะมีใครบ้างอีกไม่นานคงได้ยินข่าว

(19 ธ.ค.67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ส่งหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรี ให้ไปชี้แจงกรณี นานทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเดินทางไปชี้แจงด้วยตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำเช่นนี้มาตลอด โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายตนเองไปชี้แจง และก็ต้องไปยกร่างคำชี้แจงแค่นั้น 

เมื่อถามย้ำว่าครั้งนี้ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแทนใช่หรือไม่ ชูศักดิ์ ระบุว่า ก็แน่นอน ก็ต้องมอบหมาย และท้ายที่สุดก็คงไม่ต้องไป ทำหนังสือชี้แจงไปก็ได้ ซึ่งทำแบบนี้มาตลอด  

เมื่อถามว่าหากนายกรัฐมนตรีเดินทางไปด้วยตนเอง ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะดีกว่าหรือไม่ นายชูศักดิ์ มองว่า ไม่ใช่ดีกว่า หรือไม่ดีกว่าอะไร ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และข้อกฎหมายเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่กรณีเช่นนี้จะมอบหมายตนเอง และทำคำชี้แจงไปว่า ความจริงเป็นเช่นนี้ ที่ไม่ใช่การครอบงำ พร้อมกับนำพยานหลักฐานแนบไปด้วย  

ส่วนเห็นหนังสือจาก กกต. แล้วหรือไม่ ชูศักดิ์ ระบุว่า เห็นแล้วเมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.67) ซึ่งเป็นเรื่องเก่า ๆ ทั้งนั้น และท้ายที่สุด กกต. ก็ใช้วิธีรวบรวมมา ซึ่งมี 4-5 เรื่อง เพื่อที่จะได้ตอบชี้แจงไปทีเดียว 

ขณะที่คำร้องต่าง ๆ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกไป ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยระบุว่าจะมีการฟ้องร้องกลับเหล่าบรรดานักร้อง ขณะนี้ดำเนินการอย่างไรแล้ว ชูศักดิ์ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ เดี๋ยวก็คงได้ยินข่าว พร้อมกับหัวเราะ  

เมื่อถามว่า อยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานใช่หรือไม่ หลังทักษิณ ออกมาพูดในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยว่าจะมีการไล่เช็กบิล พวกนักร้อง ชูศักดิ์ ระบุว่า ที่ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ ก็เป็นคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง  

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่าหลังปีใหม่จะเริ่มเช็กบิลเลยหรือไม่ ชูศักดิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวคงได้ยินข่าว ส่วนจะกี่คนยังตอบไม่ได้ เดี๋ยวเวลานั้นก็รู้เอง พร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง 

รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันตามคำเชิญของเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย

 

เมื่อวันที่ (18 ธ.ค.67) เวลา 12.00 นาฬิกา ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันตามคำเชิญของนายเปโดร สวาห์เลน (H.E Mr. Pedro Zwahlen) เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดเห็นประเด็นการเรียนการสอนภาษาท้องถิ่นในภาคใต้และกลุ่มวัฒนธรรมที่หลากหลายของไทย กับการจัดการศึกษาแบบ

พหุภาษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐานของสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมผ่านภาษาท้องถิ่นควบคู่กับหลักแนวคิดทางความเชื่อและศาสนาที่แตกต่างกัน ในโอกาสนี้ นายวรวิทย์ บารู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะตัวแทนประธานสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย

'พิธา' ไม่หวั่นแม้ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี หวังกลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯอีกครั้ง

(19 ธ.ค. 67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่าเขาคาดหวังว่าจะได้กลับมาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยอีกครั้ง หลังจากถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

“ผมกำลังรอวันที่จะได้กลับมา ถ้าพรรคสนับสนุนและประชาชนต้องการ ผมพร้อมที่จะกลับมาเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” พิธากล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) ระหว่างเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยเน้นว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจส่วนตัว แต่เป็นทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับสังคมส่วนรวม

เว็บไซต์นิกเกอิเอเชียรายงานว่า ระหว่างการบรรยายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว พิธา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Senior Research Fellow ที่ Harvard Kennedy School กล่าวว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองในประเทศไทยถูกยุบถึง 34 พรรค และนักการเมือง 250 คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง "การยุบพรรคและการจำกัดสิทธิทางการเมืองกลายเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย" เขากล่าว "มันเป็นวงจรร้ายที่ควรยุติ"

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2570 พิธาแสดงความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาชนมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่าพรรคควรจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อสร้างการบริหารประเทศที่มีประสิทธิภาพ “การมีรัฐบาลที่ดีไม่ควรยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” เขากล่าว

ในประเด็นความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พิธาเตือนว่ารัฐบาลไทยต้องระวังไม่ให้สหรัฐฯ มองไทยเป็นทางลัดสำหรับการลงทุนจากจีน โดยคาดว่าจีนอาจถูกเก็บภาษีนำเข้า 60% สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนเลือกใช้เม็กซิโกหรือไทยเป็นฐานการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ

รรท.ผบช.สตม. บินด่วนตรวจความพร้อมสนามบินภูเก็ต ถก ผอ.ท่าอากาศยาน เตรียมรับนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเที่ยวเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ คาดผู้โดยสารสูงถึงวันละ 23,000 คน มั่นใจเจ้าหน้าที่มีความพร้อม ทั้งด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย

(19 ธ.ค.67) เวลา 12.00 น. พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รรท.ผบช.สตม., พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจความพร้อมการปฏิบัติงานของ ด่าน ตม.ท่าอากาศยานภูเก็ต มอบนโยบายแก่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมหารือแนวทางการบริหารงานร่วมกับ นายมนต์ชัย ตะโหนด ผอ.ท่าอากาศยานภูเก็ต เน้นการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2568 

พล.ต.ต.ภาณุมาศ กล่าวว่า ภูเก็ตเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลักในภาคใต้ตอนบนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ประกอบกับ รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายเร่งด่วนเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อยอดมาจากการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว (Visa Free) ให้กับ 93 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ ซึ่งส่งผลดีให้เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของไทยเป็นอย่างมาก

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานภูเก็ตมากเป็นอันดับสาม รองจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศช่วง High season คือ ต.ค.-มี.ค. เฉลี่ยต่อวันสูงสุด 23,000 คน โดยในช่วงเดือน พ.ย.67 นักท่องเที่ยวสัญชาติที่เดินทางเข้ามามากอันดับแรกยังคงเป็น รัสเซีย เฉลี่ย 4,100 คนต่อวัน รองลงมา จีน วันละ 1,800 คน อินเดีย เฉลี่ยวันละ 1,790 คน ออสเตรเลีย 780 คน และสหราชอาณาจักร 730 คนต่อวัน ตามลำดับ เฉลี่ยทั้งเดือนมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประมาณ 520,000 ราย เปรียบเทียบปริมาณนักท่องเที่ยวเฉลี่ยช่วงเวลาเดียวกันกับในปี62 ก่อนโควิด พบว่ามีปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 6%

ด้าน นายมนต์ชัย ฯ ผอ.ท่าอากาศยานภูเก็ต กล่าวว่า ในห้วงเวลาเทศกาลคริสต์มาส ถึงปีใหม่ มีผู้โดยสารจองตั๋วเข้ามาแล้ว มีเที่ยวบินเฉลี่ย 355 เที่ยวบินต่อวัน เป็นเที่ยวบินภายในประเทศ 210 เที่ยว และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 144 เที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารเข้าและออกประมาณ 60,000 คน ต่อวัน  ซึ่งคิดเป็น 110% ของก่อนสถานการณ์โควิด โดยเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 40,000 คน และเป็นผู้โดยสารภายในประเทศประมาณ 20,000 คน ในอดีตก่อนช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด สัญชาติที่เดินทางมากที่สุดได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย แต่ปัจจุบันกลับกัน โดยมีสัญชาติรัสเซีย จีน อินเดีย สูงที่สุดตามลำดับ 

รรท.ผบช.สตม.กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว สตม.จึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับ โดยมีแนวทางลดขั้นตอนการตรวจเข้าราชอาณาจักร อาทิ ลดขั้นตอนการสแกนเอกสารขาเข้า งดการลงลายมือชื่อกำกับในตราประทับขาเข้า การบริหาร Snake line เพื่อลดระยะเวลาการตรวจที่อาจเกิดจากเหตุปัจจัยอื่น มีการเพิ่มกำลังในวันหยุดราชการ เสริมกำลังพลระหว่างงานแบบ SWING โดยใช้ตราประทับกลาง ระดมอุปกรณ์เครื่องมือ ยานพาหนะ เพื่อให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ควบคู่ไปกับการคัดกรองกลุ่มคนต้องห้าม ไม่ให้แฝงตัวเข้ามารวมกลุ่มแก๊งก่ออาชญากรรมในประเทศได้ 

ทั้งนี้ได้กำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจโดยเฉพาะบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศเป้าหมาย จะต้องมีความเข้มงวดเป็นพิเศษ โดยได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเฝ้าระวังเหตุและสืบสวนหาข่าวโดยเฉพาะในสนามบิน โดยไม่ให้กระทบต่อการอำนวยความสะดวกในการตรวจหนังสือเดินทางแก่นักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าออกในช่วงเวลาดังกล่าว

ศาลสั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา’ 2 ปี 8 เดือน ผิด ม.112 และ 116 จากคดีม็อบ 'แฮร์รี่ พอตเตอร์' รวมโทษจำคุกหกคดี 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

(19 ธ.ค. 67) iLaw และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานคำพิพากษาศาลอาญาของอานนท์ นำภา จากการปราศรัยในการชุมนุม 'เสกคาถาผู้พิทักษ์ ปกป้องประชาธิปไตย' หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์เมื่อปี 2563 ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 ลงโทษจำคุก 4 ปี ให้การเป็นประโยชน์เหลือ 2 ปี 8 เดือน

วันที่ 19 ธ.ค. 2567 เว็บไซต์ iLaw รายงานอ้างศาลที่พิเคราะห์ว่า การที่กล่าวทำนองว่า มีการแทรกแซงรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ การเชิญชวนให้มาฟังความคิดเห็นของจำเลยไม่ได้กระทำในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การติชมโดยสุจริต  เพื่อสร้างความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง

เช่นเดียวกับเฟซบุ๊กศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ระบุว่า การปราศรัยทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ การกระทำของจำเลยไม่อยู่ในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 ให้ลงโทษบทหนักที่สุดคือมาตรา 116

คำพิพากษาล่าสุดเป็นคดีตามมาตรา 112 คดีที่ 6 ของอานนท์ นำภา ซึ่ง 5 คดีแรกอานนท์ถูกลงโทษจำคุกแล้ว 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ทำให้รวมโทษล่าสุด 6 คดีอยู่ที่จำคุก 18 ปี 10 เดือน 20 วัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top