Sunday, 8 June 2025
TheStatesTimes

แกร็บเปิดสถิติปี 67 เรียกรถไปดู ‘หมูเด้ง’ ฟีเวอร์พุ่ง 267% อาหารไทย-อเมริกาโน่เย็น ครองเมนูอันดับ 1

(19 ธ.ค.67) แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยข้อมูลสถิติ 'ที่สุดแห่งปี 2024' ครอบคลุมทั้งธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรีในประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมา บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะบริการใหม่อย่าง GrabCar SAVER ที่เติบโตขึ้นกว่า 400% พบกระแส 'หมูเด้งฟีเวอร์' ดันยอดเรียกรถไปสวนสัตว์เขาเขียวเพิ่มขึ้น 267% ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนและประเทศในอาเซียนติดท็อป 5 ใช้บริการมากที่สุด โดยเน้นเรียกรถไปห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้ง ฟากบริการฟู้ดเดลิเวอรี เมนู 'อาหารไทย' และ 'อเมริกาโน่เย็น' ยังครองใจผู้ใช้บริการเป็นอันดับหนึ่ง กระแสไวรัลของหมีเนยดันยอด Butterbear พุ่งเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ 'ดูไบช็อคโกแลต' 'ชาผลไม้พรีเมียม' และ 'สมูตตี้เพื่อสุขภาพ' เป็นเมนูมาแรงแห่งปี

ปี 2567 เรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงเติบโต รับอานิสงส์ 'ท่องเที่ยวคึกคัก-หมูเด้งฟีเวอร์-ไลน์อัพอีเวนท์' บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยและต่างชาติ โดยมียอดใช้บริการสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริการใหม่อย่าง GrabCar SAVER ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการเรียกรถในราคาที่ประหยัดลง โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 400% ในหัวเมืองหลัก

กระแส 'หมูเด้ง' ที่กลายเป็นขวัญใจของคนทั่วโลก ไม่เพียงช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวในประเทศ แต่ยังดันยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เดินทางไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวให้เติบโตขึ้นกว่า 267% 

นโยบายรัฐบาลที่ผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น 'World Class Event Hub' ทำให้ปีนี้เราได้เห็นความคึกคักของวงการอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็น งานประชุมและนิทรรศการ งานแฟร์ รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและเทศ ซึ่งส่งผลให้ยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไปงานเหล่านี้เติบโตขึ้นถึง 25% โดยเฉพาะการเดินทางไปราชมังคลากีฬาสถาน ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อิมแพ็คอารีนา และไบเทค บางนา 

ต่างชาติมั่นใจใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไป “สนามบิน แหล่งช้อปปิ้ง และเที่ยวเมืองรอง”  ด้วยบริการที่สะดวกสบายและราคาที่โปร่งใสทำให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว สะท้อนผ่านยอดใช้บริการที่สนามบินต่าง ๆ ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า 67% โดย 5 ชาติที่ใช้บริการมากที่สุด คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม ห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้งยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางไป โดย 5 สถานที่ยอดฮิต คือ ไอคอนสยาม (ICONSIAM) เซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) สยามพารากอน (Siam Paragon) ถนนข้าวสาร และตลาดนัดจตุจักร นอกจากนี้ อีกหนึ่งห้างที่มาแรงที่สุด คือ เอ็มสเฟียร์ (EMSPHERE) ไลฟ์สไตล์มอลล์ใจกลางสุขุมวิท ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมา

จังหวัดเมืองรองยังได้รับความนิยมต่อเนื่องจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล สะท้อนผ่านยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เติบโตขึ้นกว่า 90% โดยเฉพาะใน 5 เมืองน่าเที่ยวอย่างเชียงราย ตาก อุดรธานี อุบลราชธานี และพิษณุโลก

ฟีเจอร์มาแรง 'จองรถล่วงหน้า ใช้รถอีวี' ฟีเจอร์จองรถล่วงหน้า (Advance Booking) กลับมาได้รับความนิยมหลังแกร็บประกาศปรับโฉมใหม่ โดยสามารถจองรถล่วงหน้าได้ถึง 7 วันและมีประกันคุ้มครองสูงสุดถึง 800,000 บาท โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่นิยมใช้บริการเพื่อเดินทางไปสนามบิน ไม่ว่าจะเป็น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และกระบี่

คนไทยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนผู้ใช้บริการที่ใช้ฟีเจอร์เลือกใช้รถอีวี (Grab EV Rides) เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยฟีเจอร์ดังกล่าวพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสค้นหารถ EV ในพื้นที่และช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้บริการเป็นตัวเลือกแรก

'อาหารไทย' และ 'อเมริกาโนเย็น' ครองใจคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง อาหารไทยยังคงครองใจผู้ใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี โดยเฉพาะเมนูสั่งง่ายในราคาสบายกระเป๋า โดย 5 เมนูขายดีแห่งปี คือ ส้มตำ ไก่ทอด ข้าวมันไก่ หมูปิ้ง รวมถึงเมนูที่ทำจากหมูอย่าง 'ไข่พะโล้' และ 'ข้าวขาหมู' ซึ่งมียอดสั่งในเดือนกันยายนเติบโตขึ้นกว่า 38% จากอิทธิพลของ 'หมูเด้ง' ฟีเจอร์ ขณะที่กาแฟและชายังคงเป็นเมนูเครื่องดื่มขายดีตลอดปี นำโดย 'อเมริกาโน่เย็น' กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลที่ตอบโจทย์คอกาแฟสายสุขภาพ โดยมียอดสั่งรวมทั้งปีถึง 5 ล้านแก้ว รองลงมา คือ 'ชาไทย' โดยเฉพาะเมนู 'เสลอปี้ชาไทย' สุดฮิตที่แทบทุกแบรนด์ส่งมาชิงตลาด ตามมาด้วยเอสเพรสโซ่เย็น ชาเขียวเย็น และชานมไข่มุก

กระแส 'บัตเตอร์แบร์' แรงไม่หยุด 'ดูไบช็อคโกแลต ชาผลไม้ สมูตตี้' เมนูมาแรงแห่งปี กระแสไวรัลของหมีเนยขวัญใจโซเชียลมาแรงไม่แผ่วตลอดทั้งปี ทำให้ยอดสั่งเมนูต่าง ๆ ของบัตเตอร์แบร์ (Butterbear) พุ่งเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่า 1,200% ชาผลไม้พรีเมียมแบรนด์ดังจากประเทศจีนที่ตบเท้าเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น เจี้ยนชา (JIAN CHA) ชาจี (CHAGEE) และ ไนซือ (NaiXue) ได้รับกระแสความนิยมจากคนไทยไม่ขาดสาย โดยมียอดขายเฉลี่ยเติบโตขึ้นถึง 10 เท่า โดยเฉพาะ 'ชาองุ่นปั่นครีมชีส' ที่กลายเป็นไอเทมที่มาแรงที่สุดในปีนี้

เมนูเพื่อสุขภาพยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มฟู้ดดี้สายเฮลท์ตี้ ไม่ว่าจะเป็น อาซาอิโบลว์ที่ดังต่อเนื่องข้ามปี สลัดแร็ปผักล้น ไปจนถึงสมูตตี้เพื่อสุขภาพที่เป็นกระแสจาก 'น้ำปั่น Erawon' จนกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูฮิตติดลมบน โดยเฉพาะ Oh! Juice แบรนด์น้องใหม่จากโอ้กะจู๋ ที่ปั่นทั้งกระแสและยอดขายไปอย่างถล่มทลายจนเติบโตขึ้นกว่า 400% ภายในระยะเวลา 3 เดือน 

ฟากของหวานอย่าง 'ดูไบช็อกโกแลต' รวมถึงเมนูขนมหวานที่มีส่วนผสมของถั่วพิตาชิโอ กลายเป็นไอเทมสุดฮอตแห่งปี โดยเฉพาะแบรนด์ The Rolling Pinn ที่มียอดขายถล่มทลายในช่วงครึ่งปีหลัง และทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า 

ฟีเจอร์มาแรง 'สั่งเป็นกลุ่ม กินที่ร้าน' ฟีเจอร์คำสั่งซื้อกลุ่ม (Group Order) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นโดยมียอดสั่งอาหารเติบโตขึ้นสองเท่าหลังแกร็บฟู้ดอัปเกรดฟีเจอร์ให้สามารถสั่งอาหารร่วมกันได้สูงสุดถึง 10 คนและเพิ่มทางเลือกในการแบ่งจ่ายได้ถึง 3 ออปชัน เทรนด์การกินข้าวนอกบ้านดันให้ฟีเจอร์กินที่ร้าน (Dine Out) เติบโตขึ้น โดยมียอดใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 11 เท่าในไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในร้านบุฟเฟต์ ซึ่ง 3 ร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ โม โม่พาราไดซ์ (Mo-Mo-Paradise) โคเอ็น (Kouen) และซูกิชิ (Sukishi)  

เชียงใหม่-สัมมนาสื่อมวลชนกรมประชาสัมพันธ์ เขต 3 และ 4 เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า

(19 ธ.ค.67) มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) ร่วมกับ กรมประชาสัมพันธ์ และ ศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ (พศย.) สนับสนุนโดย สสส. จัดสัมมนาสื่อมวลชนสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ เขต 3 และ 4 เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า โดยมี นางปาญณิสา ไชยพรหม ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 กรมประชาสัมพันธ์ กล่าวเปิดการสัมมนา ณ โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความตระหนักและร่วมกันสื่อสารเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าให้กับกลุ่มสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และเพื่อเชื่อมประสานองค์กรสื่อของภาครัฐเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนสังคมปลอดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง  มีกลุ่มเป้าหมาย นักจัดรายการ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สังกัดสำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 และ 4 นักจัดรายการ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สังกัดสำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 และ 4 ผู้อำนวยการ ส่วนข่าวและรายการภูมิภาค สังกัดสำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 และ 4

นางปาญณิสา ไชยพรหม ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 กรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า สื่อมวลชนทุกท่าน มีภารกิจที่ยิ่งใหญ่  ที่จะช่วยกันปกป้องเด็กและเยาวชนไม่ให้เสพติดบุหรี่ไฟฟ้า หรือแม้แต่บุหรี่ธรรมดา เพราะสารพิษ นิโคติน ในบุหรี่ทำลายระบบประสาทและสมอง และมีสารก่อมะเร็งจำนวนมาก

และปัจจุบันนี้ ได้มีการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของชาติที่น่าเป็นห่วง เราพบกลุ่มผู้เสพหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนอายุเพียง 13 ปี และยังสืบทราบมาว่ามีการนำไปขายในโรงเรียน สถานศึกษา โดยเด็กและเยาวชนเป็นคนรับไปจำหน่ายเอง ซึ่งรูปลักษณ์ตัวการ์ตูนที่หลากหลาย สีสันสดใส มีกลิ่นหอม ราคาถูกและหาซื้อง่ายผ่านออนไลน์ เป็นสาเหตุของการเข้าถึงในเด็กและเยาวชนได้ง่าย

ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสำคัญถือเป็นปัญหาในระดับประเทศ และมีข้อสั่งการ แจ้งในที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2567 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปราบปรามผู้ที่ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในช่องทางต่าง ๆ บูรณาการความร่วมมือ เพื่อกวาดล้างอย่างจริงจัง รวมทั้งให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เผยแพร่ความรู้และรณรงค์เรื่องโทษและอันตรายอย่างรุนแรงของบุหรี่ไฟฟ้า

กรมประชาสัมพันธ์ ได้ร่วมกับ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ศูนย์พัฒนา ศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ (พศย.) และภาคีเครือข่ายด้านการควบคุมยาสูบแต่งตั้งคณะทำงานด้านการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนจากการเสพติด บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของพลังการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบ ต่าง ๆ ทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อออนไลน์ และสื่อบุคคล อย่างเป็นรูปธรรม และต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้ถึง มหันตภัยพิษร้ายจากบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเป็นเกราะป้องกันได้อีกทางหนึ่ง 

การจัดสัมมนาครั้งนี้ ต่อเนื่องจากการสัมมนาคณะทำงานด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ข้อมูล ความรู้กับบุคลากรและสื่อมวลชนใน สังกัดของกรมประชาสัมพันธ์ ในส่วนภูมิภาค ภาคเหนือ เพื่อเป็นกลไกสำคัญนำข้อมูลสื่อสารเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ส่งต่อถึงเด็กและเยาวชน ผู้ปกครอง รวมถึงประชาชนในพื้นที่ ที่จะเป็นพลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนร่วมกันปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 

เปิดปมปลิดชีพ 'อิกอร์ คิริลลอฟ' นายพลรัสเซีย ผู้แฉตะวันตกหนุนยูเครนใช้อาวุธชีวภาพ

(19 ธ.ค. 67) เป็นข่าวน่าสนใจอีกครั้งในรัสเซียเมื่อพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ (генерал-лейтенант Игорь Кириллов) หัวหน้ากองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ (РХБЗ) ของกองทัพรัสเซีย พร้อมด้วยนายอิลยา โปลิการ์ปอฟ (Илья Поликарпов) ลูกน้องคนสนิทถูกลอบสังหารจากเหตุระเบิดในเช้าวันที่ 17 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมาด้วยระเบิดในเขตของอาคารที่พักอาศัยบริเวณถนนเรียซานสกี้ โพรสเปคทางตะวันออกเฉียงใต้ของมอสโก โดยอุปกรณ์ระเบิดถูกติดตั้งไว้ในสกู๊ตเตอร์ที่จอดอยู่บริเวณทางเข้าอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณ 6 นาฬิกา พลังของอุปกรณ์ระเบิดแบบทำเองนั้นมีพลังของ TNT ประมาณ 300 กรัม เป็นไปได้มากว่าระเบิดดังกล่าวจะเปิดใช้งานด้วยสัญญาณวิทยุหรือการโทรจากโทรศัพท์มือถือ การสืบสวนของทางการรัสเซียสงสัยว่าหน่วยข่าวกรองหลักของกระทรวงกลาโหมหรือหน่วยรักษาความปลอดภัยของยูเครนเป็นผู้จัดวางระเบิด หลายคนถามว่าทำไมพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ จึงเป็นเป้าหมายการลอบสังหารของทางหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศยูเครน ผมพิจารณาแล้วพบว่าเหตุผลการลอบสังหารพลโทอิกอร์ คิริลลอฟมีเหตุผลสำคัญ 2 เหตุผลดังนี้

1) พลโทอิกอร์ คิริลลอฟ เป็นนายทหารชั้นสูงของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อาวุธทำลายล้างสูง จากประวัติพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1970 ในเมืองโคสโตรม (Kostroma) ซึ่งเขาได้รับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่นั่น เขารับราชการในกองทัพสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1987 ในปี 1991 เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกองบัญชาการทหารระดับสูงด้านการป้องกันสารเคมีในโคสโตรมา ตั้งแต่ปี 1991 เขารับราชการในเยอรมนีในกลุ่มกองกำลังตะวันตก หลังจากกลับจากเยอรมนีในปี 1994 เขาก็รับราชการในเขตทหารมอสโก คิริลลอฟเริ่มรับราชการในกองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ (РХБЗ) ในปี 1995 โดยเริ่มจากผู้บังคับหมวด ในปี 2007 เขาจบการศึกษาจากสถาบันการทหารป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ ตั้งชื่อตามจอมพลทิโมเชนโก ในปี 2014 เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสถาบันการศึกษาแห่งนี้ และในปี 2017 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากองกำลังฯ ทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้อาวุธรังสี เคมี และชีวภาพคนสำคัญของทางรัสเซีย

โดยกองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ (РХБЗ) เป็นกองกำลังพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องประชากรทหารและพลเรือนจากการปนเปื้อนของรังสี สารเคมี หรือชีวภาพ ผลที่ตามมาของการใช้อาวุธทำลายล้างสูง และภัยคุกคามอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังภาคพื้นดิน ภารกิจหลักของกองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ มีอยู่ด้วยกัน 4 ภารกิจ ได้แก่ การประเมินสถานการณ์ทางรังสี เคมี และชีวภาพ ตลอดจนขนาดและผลที่ตามมาของการทำลายรังสี วัตถุอันตรายทางเคมี และชีวภาพ การป้องกันการผลกระทบของอาวุธทำลายล้างสูง การทำความสะอาดผลที่ตามมาจากอุบัติเหตุที่โรงงานรังสีเคมีและชีวภาพที่เป็นอันตราย การสร้างความเสียหายแก่ศัตรูโดยใช้เครื่องพ่นไฟและเพลิงไหม้ กองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ เป็นกองกำลังที่มีวัตถุประสงค์สองวัตถุประสงค์ 1) พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาทางทหารและ 2) มีส่วนร่วมในการกำจัดผลที่ตามมาจากอุบัติเหตุและภัยพิบัติในยามสงบ กองกำลังนี้มีบทบาทสำคัญเข้าร่วมในการทำความสะอาดผลที่ตามมาจากอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และหลังจากการระบาดใหญ่กองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการต่อสู้กับการแพร่กระจายของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขามีส่วนร่วมในการฆ่าเชื้อในศูนย์การแพทย์ต่าง ๆ ของรัสเซีย 2) พลโทอิกอร์ คิริลลอฟเป็นผู้เปิดเผยแผนการใช้อาวุธเคมีและชีวภาพของสหรัฐฯ และยูเครนต่อชาวโลก โดยพบว่าหลังจากสงครามเต็มรูปแบบปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 พลโทอิกอร์ คิริลลอฟเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการออกมาเปิดโปงและกล่าวหาสหรัฐฯ และยูเครนว่าใช้อาวุธชีวภาพที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการชีวภาพบางแห่งในเคียฟ 

ในเดือนมีนาคม 2022 เขากล่าวหาสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรว่าพยายามสร้าง "สารชีวภาพที่สามารถเลือกแพร่เชื้อไปยังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ" โดยเฉพาะชาวสลาฟ และย้อนกลับไปในปี 2021 กระทรวงกลาโหมยูเครนได้มีคำสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ชาวยูเครนรวบรวมเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคสูง ซึ่งสามารถข้ามกำแพงสายพันธุ์ได้ ทำให้เกิดการระบาดของไข้หวัดนกและการตายของนกจำนวนมากในภูมิภาค Kherson สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่กระทรวงกลาโหมรัสเซียเกี่ยวกับอุบัติการณ์ของโรคไข้หวัดนกที่เพิ่มขึ้นในรัสเซีย และในการบรรยายสรุปครั้งแรกซึ่งจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2022 พลโทอิกอร์ คิริลลอฟได้กล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่ากำลังพัฒนาโครงการชีววิทยาการทหารในดินแดนของยูเครนโดยกำลังศึกษาไวรัสที่สามารถแพร่เชื้อโดยยุงที่เป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก ไข้ซิกาและไข้เหลือง ตามข้อมูลของพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ กล่าวว่าสหรัฐฯ วางแผนที่จะใช้โดรนเพื่อส่งยุงที่ติดเชื้อไปยังพื้นที่ที่ต้องการและปล่อยยุงออกจากภาชนะเพื่อแพร่เชื้อให้กับกองทัพรัสเซีย ในเดือนสิงหาคม 2023 พลโทอิกอร์ คิริลลอฟ ได้ออกมากล่าวหาสหรัฐฯ ว่าได้สร้าง "แผนกเตรียมรับมือกับการแพร่ระบาด" และกำลังเตรียมการแพร่ระบาดใหญ่ครั้งใหม่ "ด้วยการกลายพันธุ์ของไวรัส" ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน คิริลลอฟระบุว่าพบเอกสารใหม่ในห้องทดลองของยูเครนในเมือง Rubezhnoye, Severodonetsk และ Kherson ที่ "บ่งบอกถึงลักษณะที่เป็นอันตรายของกิจกรรมทางชีวภาพของเพนตากอน" และยืนยันว่าพนักงานของเขตสงวนชีวมณฑลยูเครนกำลังศึกษาสายพันธุ์ของไข้หวัดนกอยู่ 

นอกจากนี้พลโทอิกอร์ คิริลลอฟยังกล่าวหาว่ายูเครนมีความตั้งใจที่จะสร้าง "Dirty Bomb" และรับรองว่าเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้แล้วสามารถนำมาใช้สำหรับสิ่งนี้ได้ ซึ่งถูกกล่าวหาว่านำเข้าจากยุโรปมาในประเทศเพื่อกำจัด และโครงการนี้ได้รับการดูแลเป็นการส่วนตัวโดยนายอังเดร เออร์มัค (Андрей Ермак) หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดีแห่งยูเครน แหล่งข่าวภายในกระทรวงกลาโหมฯ ของรัสเซียยังระบุว่าในวันที่เกิดการฆาตกรรมพลโทอิกอร์ คิริลลอฟจะจัดให้มีการบรรยายสรุปอีกครั้งแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นหัวข้อใด

ในเดือนตุลาคม 2024 คิริลลอฟกล่าวหากองทัพยูเครนว่าใช้อาวุธเคมีของตะวันตกในเมือง Sudzha ภูมิภาคเคิร์สต์ ส่งผลให้ทหารรัสเซียมากกว่า 20 นายได้รับบาดเจ็บ “สาเหตุของการบาดเจ็บต่อบุคลากรคือการเข้าไปในร่างกายผ่านทางทางเดินหายใจของละอองลอยที่มีคลอรีนจำนวนมาก รวมถึงสารพิษที่ทำให้หายใจไม่ออก” หนึ่งวันก่อนการลอบสังหารหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศยูเครน (SBU) ได้ออกมาตั้งข้อหานายพลอิกอร์ คิริลลอฟของรัสเซียว่าเป็นผู้ "สั่งการใช้อาวุธเคมี" จำนวนมหาศาลต่อกองทัพยูเครนและอ้างว่าข้อเท็จจริงของการใช้อาวุธดังกล่าวได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการอิสระสองแห่งขององค์กรเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (OPCW) นายพลคิริลลอฟยังถูกสงสัยในการกระทำผิดทางอาญาเกี่ยวกับอาชญากรรมสงคราม แหล่งข่าวทางตะวันตกและยูเครนหลายสำนัก เช่น “Ukrainian Pravda”, “BBC Russian Service” และ Reuters กล่าวว่าการสังหารคิริลลอฟเป็นปฏิบัติการพิเศษของ SBU “คิริลลอฟเป็นอาชญากรสงครามและเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเขาสั่งให้ใช้อาวุธเคมีต้องห้ามกับกองทัพยูเครน” ทำให้พลโทอิกอร์ คิริลลอฟยังได้ถูกมาตรการคว่ำบาตรจากทางยูเครนและสหราชอาณาจักร แต่สหรัฐอเมริกาไม่ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ นายมิคาอิล โปโดลยัคที่ปรึกษาหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดีแห่งยูเครน ออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว โดยกล่าวว่ายูเครนมุ่งเน้นการทำงานในทิศทางทางกฎหมาย และยังกล่าวว่ายูเครนไม่ได้ใช้ “วิธีการก่อการร้าย” “การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือนายพลนั้นจะเกิดขึ้นในสนามรบ ไม่ใช่ที่อื่น” เขาเชื่อว่า "ความขัดแย้งที่สะสมภายใน" นำไปสู่การฆาตกรรมของนายพลคิริลลอฟ 

นายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าสหรัฐฯ ไม่ทราบเกี่ยวกับการลอบสังหารนายพลคิริลลอฟที่กำลังจะเกิดขึ้น “ผมไม่มีข้อมูลการระเบิดครั้งนี้ ผมสามารถพูดได้ว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ทราบเรื่องนี้ล่วงหน้าและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” เมื่อถูกถามว่าคิริลลอฟเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ นายแมทธิว มิลเลอร์ ตอบว่านายพลรายนี้เกี่ยวข้องกับ “ความโหดร้ายหลายประการ” รวมถึงการใช้อาวุธเคมีต่อกองทัพยูเครน มาเรีย ซาคาโรวาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ให้ความเห็นว่า “พลโท อิกอร์ คิริลลอฟเปิดเผยอาชญากรรมของแองโกล – แอกซอนอย่างเป็นระบบเป็นเวลาหลายปีและมีข้อเท็จจริงต่าง ๆ อยู่ในมือ เขาทำงานเพื่อมาตุภูมิ เพื่อความจริงอย่างไม่เกรงกลัวต่อการยั่วยุของ NATO ด้วยอาวุธเคมีในซีเรีย การจัดการกับสารเคมีต้องห้ามของอังกฤษ และการยั่วยุในซอลส์บรีและเอมส์เบอรี กิจกรรมที่อันตรายถึงชีวิตในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาของอเมริกาในยูเครน และอื่นๆ อีกมากมาย เขาเปิดหน้าชก ไม่ได้ซ่อนอยู่หลังคนอื่น...” รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ กล่าวว่า “การโจมตีของผู้ก่อการร้ายครั้งนี้เป็นความเจ็บปวดของระบอบการปกครองบันเดรา ด้วยความแข็งแกร่งสุดท้ายของเขาเขาพยายามที่จะพิสูจน์การดำรงอยู่อันไร้ค่าของเขาต่อชาวตะวันตเพื่อยืดเวลาสงครามและความตาย เพื่อพิสูจน์สถานการณ์หายนะในแนวหน้า เมื่อเขาตระหนักถึงความพ่ายแพ้ทางทหารของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เขาจึงโจมตีเมืองที่สงบสุขอย่างขี้ขลาดและเลวทราม” นายเวียเชสลาฟ โวโลดิน ประธานสภาดูมา กล่าวว่า “ เรารู้จัก พลโทอิกอร์ คิริลลอฟ เป็นอย่างดีจากการทำงานร่วมกันของเราในระหว่างการสอบสวนของรัฐสภาในห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาของยูเครน หลังจากงานเสร็จสิ้น ปฏิสัมพันธ์ยังคงดำเนินต่อไปภายในกรอบการทำงานของคณะทำงานดูมาเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพ อิกอร์ อนาโตลีเยวิชซึ่งเป็นทหารอาชีพ ผู้รอบรู้ ผู้รักชาติรัสเซียได้ทำอะไรมากมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกองทหารป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพ เพื่อให้มั่นใจในความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศของเรา” นายอันเดรย์ คาร์ตาโปลอฟ หัวหน้าคณะกรรมาธิการกลาโหมดูมาแห่งรัฐกล่าวว่า “ผู้จัดให้มีการก่อการร้ายและผู้กระทำความผิดจะถูกพบและลงโทษ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครและอยู่ที่ไหนก็ตาม”

นายอเล็กซานเดอร์ โซโคลอฟผู้ว่าการภูมิภาคคิรอฟ กล่าวว่า“เราเป็นเพื่อนบ้านในโคสโตรมามาเป็นเวลานาน อิกอร์เป็นเจ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์และเหมาะสมมาโดยตลอด ผมยังจำวันที่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพของกองทัพรัสเซีย หน่วยของเขาได้ทำอะไรมากมายเพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนา เขาอยู่ในที่ที่มาตุภูมิต้องการเขาเสมอ เขาเปิดเผยการปฏิบัติงานของสายลับพิเศษต่างประเทศในซีเรียและยูเครน” นับตั้งแต่เริ่มสงครามมีการระเบิดหลายครั้งในรัสเซียโดยมีเป้าหมายคือบุคลากรทางทหารหรือบุคคลสาธารณะที่สนับสนุนสงคราม เช่นในเดือนเมษายน ปี 2023 แม็กซิม โฟมิน “นักข่าวทหาร” หรือที่รู้จักในชื่อวลาดเลน ทาทาร์สกี ถูกสังหารในเหตุระเบิดในร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโดยดาเรีย เตรโปวาผู้อาศัยในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมซึ่งตามการสืบสวนเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยบริการพิเศษของยูเครน ในเดือนกรกฎาคม 2024 รถยนต์คันหนึ่งเกิดระเบิดในมอสโกทำให้นายอังเดร ทอร์กาชอฟ เจ้าหน้าที่เสนาธิการกองทัพรัสเซียได้รับบาดเจ็บ ในเดือนพฤศจิกายน 2022 การระเบิดของรถ SUV ในโดเนตสค์ได้คร่าชีวิตนายเซอร์เกย์ เอฟซูคอฟ (Sergei Evsyukov) อดีตหัวหน้าเรือนจำโอเลฟนิกา ในสาธารณรัฐประชาชนโดเนสต์ที่ประกาศตัวเองเป็นเอกราช และกรณีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดกรณีหนึ่งคือการเสียชีวิตของนางดาเรีย ดูกินาลูกสาวของนายอเล็กซานเดอร์ ดูกิน นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ทางการเมือง ในเดือนสิงหาคม 2022 จากเหตุระเบิดในรถยนต์โดยเคียฟปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมดูจินาและเหตุระเบิดอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน เราต้องจับตาดูว่าทางรัสเซียจะตอบโต้การเสียชีวิตของ67

'หมอเดชา ศิริภัทร' ทวงสัญญา 'แอ๊ด คาราบาว' ซัด! อย่าทำไม่แยแสงานที่คุยกันไว้ โทรไปไม่รับให้โทรกลับก็เฉย

(19 ธ.ค. 67) นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Deycha Siripatra’ ว่า ช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ มีข่าว(ฉาว)เกี่ยวกับ คุณแอ๊ด คาราบาว (ภาพบน) ซึ่งยังไม่ตัดสินว่าร้านถูกดีฯ (โชห่วย) ที่คุณแอ๊ดฯ เป็นพรีเซนเตอร์ นั้น กดขี่คู่ค้าด้วยสัญญาทาส หรือไม่

เช่นเดียวกับที่ มีผู้มาแจ้งข่าวให้ผมทราบ (เป็นนัยๆ) ว่า คุณแอ๊ดฯ ไม่สนับสนุนกัญชาแล้วด้วยเหตุนี้ จึงไม่สนับสนุนการสร้างโรงพยาบาลทางเลือก ที่ร่วมทำกับผม มาตั้งแต่ปี 2562

เมื่อได้ฟังข้อมูลนี้ครั้งแรกๆ ผมก็ไม่สนใจ แต่ยิ่งนานวัน ข้อมูลคล้ายๆกัน ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมจึงพยายามติดต่อสอบถาม จากคุณแอ๊ดฯโดยตรง ปรากฏว่าคุณแอ๊ดฯไม่รับการติดต่อ เช่น โทรศัพท์ไปหาหลายครั้ง ก็ไม่รับสาย ขอให้โทรฯกลับเมื่อสะดวก ก็ไม่เคยโทรฯกลับ จนถึงการเขียนจดหมาย ให้คนใกล้ชิดของคุณแอ๊ดฯ นำไปส่งให้โดยตรง ก็ยังเงียบเฉย

ครั้งนี้ ผมจึงแจ้งไปในจดหมายฉบับล่าสุดว่า ขอให้มาร่วมทอดผ้าป่า ในวันที่ 19 ธ.ค. 67 นี้ ถ้าคุณแอ๊ดฯไม่มาร่วม หรือไม่ส่งตัวแทนมาร่วม โดยไม่ชี้แจงเหตุผล ผมจะถือเป็นคำตอบว่า คุณแอ๊ดฯไม่ยินดีร่วมสร้างโรงพยาบาลทางเลือกกับผมอีกแล้ว และจะไม่ร่วมงานกันอีก

ถ้าหาคนมาร่วมงานไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้ติดต่อส่งข้อมูลเหตุผลมาบ้าง อย่าทำแบบไม่แยแส เพราะคุณแอ๊ดฯยังมีเรื่อง ที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยและโปร่งใส อยู่อีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องบัญชีธนาคารที่เปิดร่วมกันกับผม เพื่อรับเงินบริจาคมาสร้างโรงพยาบาลทางเลือก เงินยังอยู่ในบัญชีนั้น คุณแอ๊ดฯต้องปิดบัญชีฯและนำเงินทั้งหมด มอบให้คณะกรรมการฯ

ผมจะให้โอกาสคุณแอ๊ดฯครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปผมจะมอบหน้าที่ให้คณะกรรมการฯ ซึ่งมีทั้งนักบัญชีมืออาชีพ และทนายความเป็นกรรมการอยู่ด้วย คงเป็นเรื่องที่จะไม่จบง่ายๆ

ผมจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังต่อ หลังจากงานทอดผ้าป่าเสร็จสิ้นลงแล้ว ว่าจะทำอะไรต่อไป คงสนุกแน่... หากคุณแอ๊ดฯ "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไป กลายเป็นบ้องกัญชา"

มสส.ร่วมกับ สสส.ประชุมความเสี่ยงและสถานการณ์สุขภาพสื่อมวลชน ปี 67

(19 ธ.ค. 67) มสส.ร่วมกับ สสส.ประชุมความเสี่ยงและสถานการณ์สุขภาพสื่อมวลชน ปี 67 เห็นตรงกันอาชีพสื่อไม่มีความมั่นคง ถูกเลิกจ้าง คนที่ยังอยู่ทำงานหนักเกิดความเครียด ซึมเศร้า เสนอตั้งคณะทำงานหาแนวทางแก้ปัญหาและผลกระทบ มสส. เปิดผลสำรวจสุขภาพสื่อไทยปี 67 พบคนทำสื่อทำงานหนักพักผ่อนน้อยมีความเครียดสูง โรคประจำตัวมากขึ้นทั้งความดันและเบาหวาน แต่ยังมีข่าวดีดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าลดลง บอร์ดสสส.ห่วงปี 2568 สื่อออนไลน์เกิดภาวะฟองสบู่เพราะแข่งขันสูง ด้านเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.สายสื่อเสนอแก้ปัญหา 4 ส.คือ เสรีภาพ สวัสดิภาพ สวัสดิการและสหภาพแรงงาน ส่วนนักวิชาการห่วงอุตสาหกรรมบันเทิงที่มีความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2567 มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)  โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  ได้จัด ประชุมโฟกัส กรุ๊ป เรื่อง  “ความเสี่ยงและสถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทย ปี 2567 ” เพื่อนำเสนอผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาวะของสื่อมวลชน ณ ห้องไดมอน 4 ชั้น 3 โรงแรมอวานี  รัชดา กรุงเทพฯ
นายวิเชษฐ์  พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ด้านการสื่อสารมวลชน  กล่าวเปิดการประชุมว่าภาพรวมการทำงานของสื่อมวลชนไทยในปี 2567เต็มไปด้วยความยากลำบากแค่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2567 มีธุรกิจสื่อปลดออกพนักงานไปแล้วไม่ต่ำกว่า 300 คน เช่น Voice TV เลิกจ้างพนักงาน 200 กว่าคน PP TV เลิกจ้างพนักงาน 90 คน ส่วนครึ่งปีหลังล่าสุดสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพิ่งเลิกจ้างพนักงานกว่า 300 คน แม้จะมีการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแต่ในอนาคตก็ยังยากลำบาก ส่วนคนที่ยังอยู่ก็มีความไม่แน่นอนเนื่องจากรายได้สปอนเซอร์น้อยลงทุกสื่อต้องแย่งเม็ดเงินโฆษณากัน นอกจากนั้นในอนาคตอันใกล้ภาวะฟองสบู่ของวงการสื่อออนไลน์กำลังจะแตกเพราะปริมาณมากเกินจนล้นตลาด สื่อที่ยังอยู่ก็ปรับลดขนาดองค์กรทำให้คนทำงานสื่อต้องทำงานหนักขึ้นค่าล่วงเวลาไม่ได้เบี้ยเลี้ยงไม่มี วันหยุดก็น้อยจนเกิดความเครียดแทบไม่มีเวลาพักผ่อน สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพของสื่อมวลชนอย่างมาก จึงหวังว่าผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทยปี 2567 ที่ทางมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะโดยการสนับสนุนของสสส.จะนำมาเป็นข้อมูลร่วมกันแสวงหาแนวทางในการดูแลสุขภาพของสื่อมวลชน และในเวทีการประชุมครั้งนี้มีนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภาสายสื่อมวลชนมาร่วมเสนอแนะมุมมองด้วยจะได้นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนเชิงนโยบายระดับชาติต่อไป

​รศ.ดร.ณัฐนันท์  ศิริเจริญ  เลขาธิการมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานการณ์ ปัญหาสุขภาวะของสื่อมวลชนไทย ปี 2567 โดยมีการสอบถามกลุ่มตัวอย่างสื่อมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน  372 คน แบ่งเป็นเป็นเพศชาย 61% เพศหญิง 38.0% เพศทางเลือก 1 % คำถามแรกสื่อมวลชนทำงานหนักมากน้อยแค่ไหนพบว่าส่วนใหญ่ 44.09%ทำงาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน แต่จำนวน 19.35%ไม่มีความแน่นอนในชั่วโมงทำงาน ขณะที่ 13.98% ทำงาน 9-10 ชั่วโมงต่อวันและที่มากกว่านั้นมีสื่อมวลชน 8.60%ต้องทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน สรุปว่าเกินครึ่งทำงานหนักมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังพบว่าส่วนใหญ่ 41.94%ไม่มีวันหยุดที่แน่นอน 31.18% หยุด 2 วันต่อสัปดาห์ 10.75% หยุด 1 วันต่อสัปดาห์ และ8.60 % ไม่มีวันหยุดเลย ส่วนเรื่องโรคประจำตัวส่วนใหญ่ 56.99% ไม่มีโรคประจำตัว 43.01%มีโรคประจำตัว คนที่มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงและเบาหวานในสัดส่วนที่พอๆกันคือ 24.14% โดยภาพรวม 77.58% เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือNCDs ส่วนการตรวจสุขภาพประจำปีส่วนใหญ่ 74.19%มีการตรวจสุขภาพประจำปี อีก25.81%ไม่ได้ตรวจ  ประเด็นสุดท้ายเรื่องปัญหาความเครียดจากการทำงานพบว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่41.13%มีความเครียดสูงกว่าปกติเล็กน้อย รองลงมา 23.39%มีความเครียดปานกลาง ตามมาด้วยปกติไม่เครียด 18.28% และสุดท้ายเครียดมาก 5.38% เมื่อดูโดยภาพรวมมีความเครียดสูงถึง 69.9%

ส่วนพฤติกรรมเสี่ยงสุขภาพสื่อมวลชนส่วนใหญ่ 83.60% ไม่สูบบุหรี่ ส่วนอีก16.40%ยังสูบบุหรี่อยู่ สำหรับเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 96.77%ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีเพียง 3.23%เท่านั้นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า สำหรับคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 58.33%ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนอีก41.67%ซื้อจากร้านค้าทั่วไป ส่วนเหตุผลของคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นระบุว่ากลิ่นไม่เหม็นและคิดว่าเลิกได้ง่าย ประเด็นพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์นั้นพบว่า 43.01%ยังดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ส่วนอีก 48.12% ไม่ดื่มแอลกอฮอล์  ส่วนเหตุผลที่ดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ 43.66% เพราะยังสังสรรค์และเข้าสังคมอยู่ รองลงมา26.76% ดื่มเพื่อความสนุกสนาน  สำหรับสื่อมวลชนที่ยังดื่มแอลกอฮอล์อยู่นั้น 58.55% มีความเสี่ยงต่ำ 22.80%มีความเสี่ยงสูงหรือเสพติดแอลกอฮอล์แล้วและ18.65% เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้  คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ 57%ไม่คิดจะเลิก ส่วนอีก43%คิดจะเลิกดื่ม

ด้านความปลอดภัยทางถนน ปรากฏว่าสื่อมวลชนมีการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง 60.22%   สวมบางครั้ง 35.48% และไม่สวมเลย 4.30% ในขณะที่การคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่รถยนต์ 84.95% คาดทุกครั้ง มีเพียง 15.05%ที่คาดบางครั้ง  สื่อส่วนใหญ่ 42.53%ไม่เคยประสบเหตุจากการดินทาง 23.54%เคยประสบอุบัติเหตุจากรถยนต์และ 24.81% เคยประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยายนต์  ในขณะที่พฤติกรรมฝ่าฝืนกฎจราจร 51.08% ไม่เคยฝ่าฝืน ส่วน48.92% นั้นเคยฝ่าฝืนส่วนใหญ่เป็นการฝ่าฝืนสัญญาณไฟและการขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด ด้านปัจจัยเสี่ยงเรื่องการพนันและการพนันออนไลน์นั้นพบว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ 65.59% เคยเล่นการพนัน ส่วนอีก34.41%ไม่เคยเล่นการพนัน  สำหรับคนที่เคยเล่นการพนันส่วนใหญ่ 80.47% เล่นในสถานที่ที่จัดให้มีการเล่น ส่วนอีก 17.19%เล่นผ่านออนไลน์ เมื่อถามถึงประเภทการพนันที่เล่นว่าเล่นพนันชนิดไหน ส่วนใหญ่ 46.84% ตอบว่าซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล รองลงมา 20.53%ซื้อหวยใต้ดินและอีก20.53 % เล่นไพ่

เลขาฯมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) กล่าวสรุปและวิเคราะห์ผลการสำรวจในปี 2567ว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อทำให้สื่อมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงในการทำงานและต้องทำงานหนักขึ้น วันหยุดต่อสัปดาห์ลดน้อยลงส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ สื่อมวลชนมีโรคประจำตัวเพิ่มขึ้น16.01%เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 โรคประจำตัวที่เป็นกันมากที่สุดคือเป็นความดันโลหิตสูงและเบาหวาน การเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีปริมาณที่สูงขึ้น และยังพบว่าส่วนใหญ่มีความเครียดจากการทำงานสูงมาก ดังนั้นผู้บริหารองค์กรสื่อควรให้ความสำคัญในการป้องกันปัญหานี้โดยเร่งด่วน ส่วนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ มีการสูบบุหรี่น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ลดลงไป7.13%  และพบว่าสื่อมวลชนที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566  เช่นเดียวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พบว่าดื่มลดลง8.99%เมื่อเปรียบกับปี 2566   ส่วนความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยทางถนนพบว่ามีการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งนั้นมีตัวเลขเพิ่มขึ้น 2.82% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566   ส่วนการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งลดลง2.26% เมื่อเทียบกับปี 2566  พฤติกรรมการพนัน ยอมรับว่าเคยเล่นพนันซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2566  ประเภทการพนันที่เล่นมากที่สุดคือสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่แตกต่างไปจากปี 2566 ซึ่งเป็นไปได้ว่าสื่อมวลชนมองว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ได้เป็นการพนันแต่เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายเพราะรัฐบาลเป็นเจ้าของ ดังนั้นการปรับมุมมองของสื่อว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นการพนันจึงไม่ใชเรื่องง่าย

นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย  สมาชิกวุฒิสภา  กลุ่ม18 สายสื่อสารมวลชน อดีตบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวประชาไท กล่าวว่าผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อทำให้สื่อมวลชนต้องทำงานหนักมาก เกิดความเครียดมีภาวะซึมเศร้าจำนวนมาก ควรจะมีทีมที่ปรึกษาเข้าไปช่วยเหลือโดยเฉพาะคนทำงานที่อยู่เบื้องหลังต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษ จากประสบการณ์การทำงานด้านสื่อสารมวลชนของตัวเอง สรุปได้ว่ามีประเด็นที่สื่อมวลชนไทยต้องเผชิญขอเรียกว่า 4 ส. คือ เสรีภาพที่สื่อมวลชนไทยยังคงมีข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นหรือการนำเสนอข่าวสาร เพราะยังมีการฟ้องร้องปิดปากโดยใช้กฎหมายความมั่นคงและกฎหมายหมิ่นประมาทอยู่ ส.ที่สองคือสวัสดิภาพของคนทำงานด้านสื่อสารมวลชนมีอยู่หลายครั้งนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมากลับถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอิทธิพล ส.ที่3 คือ สวัสดิการในการทำงาน ในอดีตการจ้างงานของธุรกิจสื่อจะเป็นพนักงานประจำมีสวัสดิการดูแลแต่ทุกวันนี้มีการแข่งขันสูงทำให้ต้องลดต้นทุน ลดสวัสดิการลง จากพนักงานประจำเป็นการทำงานชั่วคราวทำให้ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน สื่อต้องทำงานหนักมากขึ้น มีความเสี่ยงทั้งด้านสุขภาพเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ และส.สุดท้ายคือสหภาพแรงงาน ปัจจุบันมีองค์กรธุรกิจสื่อจำนวนไม่มากนักที่มีสหภาพแรงงานซึ่งเป็นองค์กรที่ลูกจ้างรวมตัวกันจัดตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องเรียกร้องสวัสดิการและสวัสดิภาพต่อนายจ้าง

ดร.กฤษฎา  ธีระโกศลพงศ์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการศึกษารูปแบบการจ้างการงานของคนที่ทำงานในวงการสื่อมวลชนพบว่าเป็นรูปแบบการจ้างงานที่ผิดปกติ มีการจ้างงานที่ไม่มีมาตรฐานการทำงานมากขึ้น เช่น จ้างทำงานบางเวลาหรือจ้างทำงานแค่ 11 เดือน มีการต่อสัญญาการทำงานเป็นรายปีหรือการจ้างงานเหมาช่วง เป็นสถานการณ์ที่มีการแปรสภาพจากการทำงานมั่นคงไปสู่ความไม่มั่นคง ส่งผลกระทบต่อปัญหาความเครียดและสุขภาพจิตมีผลต่อพลังของสื่อจากเดิมที่มีพลังมากไปสู่การมีพลังน้อยลงเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อ เรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะสื่อดั้งเดิมที่จะได้รับผลกระทบเท่านั้นแม้แต่คนรุ่นใหม่ Gen Z หรือ Gen Alpha ที่ต้องการเป็น Youtuber Tiktoker ที่มุ่งหารายได้และเห็นว่าเป็นงานชนิดหนึ่ง ก็จะได้รับผลกระทบเพราะไม่มีความมั่นคงในการทำงานและไม่มีระบบสวัสดิการต่างๆในการดูแลเช่นเดียวกัน 
จากข้อมูลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ธุรกิจสื่อ วัฒนธรรมและกราฟฟิก เป็นภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนรูปของรูปแบบธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ การแสดง และสื่อสิ่งพิมพ์ รวมทั้งมีประเด็นที่น่ากังวลในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ความรุนแรงและล่วงละเมิดทางเพศ ขาดการทำงานที่มีคุณค่า และการเข้าไม่ถึงระบบการคุ้มครองทางสังคม  ส่งผลให้ต้องมีการประเมินผลกระทบของการจ้างงานใหม่

ด้านสื่อมวลชน นายเสด็จ บุนนาค ผู้จัดการสภาการสื่อสารมวลชนแห่งชาติ ยอมรับว่ามีการจ้างงานหลายรูปแบบแต่สรุปว่าไม่ว่าจ้างงานแบบไหนการทำงานก็เหนื่อยเหมือนกันหมด เพราะทำงานเหมือนเป็นพนักงานประจำทุกอย่างแต่ไม่ค่อยมีลูกจ้างลุกขึ้นมาเรียกร้อง เคยมีการตั้ สหภาพแรงงานสื่อมวลชนการแห่งประเทศไทยแต่เจ้าของธุรกิจสื่อก็ไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้มากนัก ขณะที่สื่อมวลชนอื่นๆต่างได้แสดงความคิดเห็นสอดคล้องกันและเห็นร่วมกันว่า สภาการสื่อสารมวลชนแห่งชาติ สมาคมวิชาชีพสื่อ นักวิชาการ สมาชิกวุฒิสภา และมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะควรจะจับมือกันเพื่อหาข้อสรุปในการผลักดันแนวทางแก้ปัญหาทั้งเรื่องสภาพการจ้างในการทำงาน สวัสดิภาพ สวัสดิการ และการช่วยเหลือสื่อมวลชน ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อโดยการตั้งเป็นคณะทำงานเพื่อเร่งรัดผลักดันเรื่องนี้ต่อไป

“พิชัย”  เร่งช่วยเกษตรกรชาวไร่มัน ประสานจีนรับซื้อมันสำปะหลัง ดันผู้ประกอบอาหารสัตว์ใช้มันเส้นเพิ่ม พร้อมสั่งการทูตพาณิชย์เปิดตลาดใหม่

(19 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีหลายท่านได้ให้ความห่วงใยต่อปัญหาราคามันสำปะหลังอย่างมาก ตนจึงได้สั่งการไปยังกรมการค้าภายใน และกรมการค้าต่างประเทศ ให้เร่งช่วยเหลือพี่น้องเกษตรชาวไร่มันผ่านหลายมาตรการ  และตนยังได้เร่งประสานให้ทางการจีนเข้ามาช่วยรับซื้อผลผลิตจากมันสำปะหลังเป็นการเร่งด่วน พร้อมขอให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเพิ่มจำนวนรับซื้อมันเส้น และสั่งการทูตพาณิชย์ให้หาตลาดล่วงหน้า เน้นเปิดตลาดใหม่ให้แก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากกรมการค้าภายในว่าสัปดาห์หน้า ช่วงก่อนปีใหม่ ทางกรมฯ เตรียมของบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สำหรับโครงการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2567/68 เพื่อให้เกษตรกรชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังไปก่อน ในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมาก สนับสนุนให้ใช้สินเชื่อจาก ธ.ก.ส. และรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยให้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งได้เตรียมหารือร่วมกับสมาคมมันสำปะหลังทั้ง 4 สมาคม กลุ่มผู้ประกอบการอาหารสัตว์ ผู้เลี้ยงสุกร เพื่อให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ หรือผู้เลี้ยงปศุสัตว์ช่วยดูดซับปริมาณมันสำปะหลังในประเทศ ผลักดันการใช้มันเส้นในประเทศในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปริมาณไม่น้อยกว่า 5 แสนตัน ซึ่งมากกว่าปริมาณการใช้ในอดีตที่ผ่านมา

ในส่วนของกรมการค้าต่างประเทศ ตนได้รับแจ้งว่า ได้เร่งเดินหน้าขยายตลาดส่งออกมันสำปะหลังไปต่างประเทศ โดยมีการหารือร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง ซี่งเมื่อวันที่ 4 และ17 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาได้หาแนวทางการจัดกิจกรรมขยายตลาดร่วมกัน พร้อมกำหนดตลาดเป้าหมายที่มีศักยภาพในการนำเข้ามันสำปะหลังเพิ่มเติม อาทิ เม็กซิโก ชิลี ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียรวมทั้งให้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มการส่งออกสินค้าให้สูงขึ้น

ทั้งนี้ จะมีแผนงานจัดกิจกรรมขยายตลาดมันสำปะหลังร่วมกับภาคเอกชน เช่นที่ จีน ระหว่างวันที่ 5 – 9 มกราคม 2568 จะนำคณะเดินทางทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไปจัดกิจกรรมขยายตลาดผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทยในอุตสาหกรรมขั้นปลายที่มีศักยภาพต่างๆ ที่หลากหลาย ณ นครเซี่ยงไฮ้ และ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยคาดว่าจะสามารถสร้างความต้องการล่วงหน้าในตลาดก่อนเทศกาลตรุษจีนให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยได้กว่า 1 ล้านตัน และเร่งผลักดันผลผลิตมันสำปะหลังสู่ตลาดจีน โดยดึงผู้ค้ารายใหม่ที่ไม่เคยใช้มันสำปะหลังมาก่อน เข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆนอกเหนือจากอุตสาหกรรมเดิมของจีน อาทิ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ กาว กระดาษ สารให้ความหวาน กรดซิตริก ให้นำเข้ามันสำปะหลังไทย 

นายพิชัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตนได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ขอให้ผู้นำเข้าจีนช่วยรับซื้อมันสําปะหลังของไทยที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดมากในช่วงนี้ และได้ประสานไปยัง นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูตจีนให้เร่งช่วยดำเนินการในขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อดูแลพี่น้องเกษตรกรชาวไร่มันให้ทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งได้ประสานขอให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย ให้ช่วยกันใช้ส่วนผสมจากมันสำปะหลังในการผลิตเยอะขึ้นด้วย ซึ่งทางสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ยินดีช่วยรับซื้อมันเส้นตามที่กรมการค้าภายในขอความร่วมมือ โดยพี่น้องเกษตรกรชาวไร่มันสามารถติดต่อกับโรงงานอาหารสัตว์แต่ละแห่งได้โดยตรง และให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกช่วยประชาสัมพันธ์และเดินหน้าหาตลาดล่วงหน้าให้สินค้ามันสำปะหลัง ตลอดจนผลักดันให้มีการนำเข้าสินค้าแปรรูปจากมันสำปะหลังที่มีมูลค่าสูง เพื่อกระตุ้นตลาดและยกระดับการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศให้กับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยโดยเร็วต่อไป

10 หน่วยงาน เปิดปฏิบัติการกลางทะเล เข้มปัญหาแรงงานต่างด้าว ป้องกันการค้ามนุษย์ด้านประมง  

(19 ธ.ค. 67) พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี บูรณาร่วมกับกระทรวงแรงงาน, ศรชล.จ.ชลบุรี, กรมประมง, กรมเจ้าท่า, อีเอสไอ, หน่วยปราบปรามประมงทะเล, ตำรวจน้ำ กว่า 30 นาย ร่วมกันจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านประมง และประชาสัมพันธ์ ณ อ่าวทะเลใกล้กับเคียงท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

โดยปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำเรือยนต์ขนาดใหญ่ ออกลาดตระเวน ก่อนจะเทียบข้างเรือประมงที่กำลังลอยลำอยู่กลางทะเล จากการตรวจสอบส่วนใหญ่เป็นเรือประมง จำนวน 7 ลำ พบคนต่างด้าว จำนวน 115 คน ตรวจสอบทั้งหมดมีเอกสารพาสปอร์ต และใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่พบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ฝากประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างกลุ่มเรือประมงในน่านน้ำไทย หากต้องรับแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงาน ควรจัดให้มีการยื่นขอเอกสาร และขอใบอนุญาตให้ครบถ้วนตามที่ภาครัฐ ได้ตั้งระเบียบเอาไว้ พร้อมทั้งสั่งห้ามรับบุคคลต่างด้าวลักลอบเข้ามาทำงานแบบเถื่อนๆ เป็นอันขาด หากตรวจพบทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

“มนพร” มอบหมาย บวท. เตรียมความพร้อมรองรับปริมาณเที่ยวบินช่วงปีใหม่ 68 

(19 ธ.ค. 67) “มนพร” มอบหมาย บวท. เตรียมความพร้อมรองรับปริมาณเที่ยวบินช่วงปีใหม่ 68 รวม 7 วัน กว่า 1.8 หมื่นเที่ยวบิน โต 14% ด้าน “วิทยุการบินฯ” ชู I-SMART ใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการ เพิ่มขีดความสามารถทางวิ่ง หวังอำนวยความสะดวก ประชาชน-ไฟลท์บินไม่ล่าช้า-ปลอดภัย คาดปีหน้า อุตสาหกรรมการบินโตต่อเนื่อง แตะ 1 ล้านเที่ยวบิน
 
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะถึงนี้ คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยจากการรายงานของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) คาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินในช่วงระหว่างวันที่ 27ธันวาคม 2567 - 2 มกราคม 2568 รวม 7 วัน ระบุว่า จะมีเที่ยวบินรวม 18,280 เที่ยวบิน เฉลี่ย 2,611 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในปี 2568อุตสาหกรรมการบินในประเทศจะฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่า จะมีเที่ยวบินทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านเที่ยวบิน จากปี 2567 ที่ให้บริการเที่ยวบินรวม 981,270 เที่ยวบิน และยังเตรียมที่จะพัฒนาท่าอากาศยานและระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อรองรับการเติบโตสอดคล้องกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  
 
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน ภายใต้แนวคิด I-SMART ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม พร้อมทั้งประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีมาบริหารจัดการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวให้มีรวดเร็ว และปลอดภัยและรองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อไม่ให้เที่ยวบินมีความล่าช้า และลดความแออัดของเที่ยวบิน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลสภาพการจราจรทางอากาศและข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สายการบินอย่างรวดเร็วและทั่วถึง 
 
ด้านนายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. กล่าวว่า วิทยุการบินฯ ได้เตรียมมาตรการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยได้ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานทางวิ่ง (High Intensity Runway Operation) หรือ HIROs ซึ่งจะจัดระยะห่างของอากาศยานขาเข้าและขาออกให้กระชับตามกฎเกณฑ์มาตรฐานและสัมพันธ์กับค่าการใช้เวลาบนทางวิ่งของอากาศยาน (Runway Occupancy Time) เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้มากที่สุด สามารถใช้ทางวิ่งร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเพิ่มข้อกำหนดทางขับ (Preferred-Exit Taxiway) ที่เหมาะสมให้อากาศยานใช้ในการออกจากทางวิ่ง เพื่อใช้เวลาบนทางวิ่งน้อยที่สุด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจราจรทางอากาศ
 
 ทั้งนี้ การดำเนินโครงการ HIROs นั้น จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากเดิมรองรับได้ 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ขณะที่ ท่าอากาศยานดอนเมือง จะเพิ่มเป็น 57-60 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากเดิม 52 เที่ยวบินต่อชั่วโมง อีกทั้ง ยังขยายขีดความสามารถด้านการปฏิบัติการบินและการกำหนดความเร็วของอากาศยานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และคำแนะนำการให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศ เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างอากาศยานบนแนวร่อนให้คงที่และสามารถทำการลงได้อย่างปลอดภัย
 
นายณพศิษฏ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ บวท. ยังได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่เข้าดูแลทั่วทุกบริเวณอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ การควบคุมการจราจรทางอากาศและวิศวกร รวมถึงเตรียมมาตรการรองรับในกรณีสถานการณ์ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อต้องการให้ประชาชนผู้ใช้บริการ เดินทางอย่างปลอดภัย ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ และดำเนินการตามแผนของกระทรวงคมนาคม ภายใต้แนวคิด I-SMART ที่ประกอบด้วย I - Inclusive ระบบขนส่งที่เข้าถึงทุกคน , S - Safe, Security and Sustainable ความปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืน, M - Multimodal Transport การคมนาคมขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ, A - Approachable สะดวก, R - Reasonable Price ราคาสมเหตุสมผล, T - Timely and Technology ตรงเวลาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี                                    

เผย ‘ดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่’ โฉมใหม่ พร้อมเปิดบริการ ‘ดุสิตดีทู ฟากู’ ในอินเดีย

(19 ธ.ค. 67) กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าเปิดรับฤดูกาลท่องเที่ยว ด้วยการเปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่” อย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม หลังจากปรับปรุงครั้งใหญ่ เผยกลับมาพร้อมลุคใหม่ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมภาคเหนือของไทยกับความสะดวกสบายสมัยใหม่ ด้วยห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว พร้อมยกระดับประสบการณ์การเข้าพักใจกลางเมือง พร้อมกันนี้ กลุ่มดุสิตธานียังเปิดให้บริการโรงแรม “ดุสิตดีทู ฟากู” ในอินเดีย ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2567 เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกที่หลงใหลการผจญภัย และแสวงหาความเงียบสงบท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันเลื่องชื่อ 

บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีพร้อมต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นไฮซีซั่น ด้วยการเปิดให้บริการโรงแรมในทำเลที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและในต่างประเทศ โดยในประเทศไทย ล่าสุด โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ ได้กลับมาเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2567 หลังได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ด้วยห้องพักที่ได้รับการออกแบบใหม่ผสมผสานศิลปะชาวเหนือและความสะดวกสบายทันสมัย รวมถึงล็อบบี้ที่ตกแต่งด้วยงานศิลปะท้องถิ่นและโคมไฟเซมา ธรรมจักร ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมล้านนา รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ประชุมที่ทันสมัย, สระว่ายน้ำ และยิมที่มีอุปกรณ์ครบครัน

ทั้งนี้ โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ตั้งอยู่บนถนนช้างคลาน ย่านใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางและการสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ โดยการกลับมาครั้งนี้ โรงแรมได้เข้าร่วมโครงการ “แคมเปญแอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เหนือพร้อม...เที่ยว” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2567 ด้วยการมอบส่วนลด 50% สำหรับการใช้จ่ายสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 10,000 สิทธิ์ โดยมีวงเงินสูงสุด 400 บาทต่อท่าน ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาให้บริการ โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่มอบโปรโมชั่นพิเศษเริ่มต้นที่ 1,600 บาท++ ต่อห้อง/คืน พร้อมอาหารเช้าฟรีและส่วนลด 20% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยสามารถจองได้ถึงวันที่ 6 มกราคม 2568 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือการจองห้องพักได้ที่ dusit.com/dusitprincess-chiangmai 

สำหรับการให้บริการในต่างประเทศ ล่าสุด กลุ่มดุสิตธานี พร้อมเปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิตดีทู ฟากู” ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2567 โดยโรงแรมดุสิตดีทู ฟากู ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันงดงามตระการตา เหมาะต่อการพักผ่อนสำหรับนักเดินทางที่แสวงหาความเงียบสงบพร้อมความหรูหรา รวมถึงยังตอบโจทย์นักเดินทางกลุ่มรักสุขภาพและกลุ่มที่รักการผจญภัย ภายในโรงแรม ประกอบด้วย ห้องพักจำนวน 80 ห้อง  มีขนาดตั้งแต่ 38 ตร. ม. ถึง 86 ตร. ม. แต่ละห้องยังได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อผสมผสานความสะดวกสบายแบบทันสมัยให้เข้ากับกลิ่นอายท้องถิ่น โดยห้องพักทุกห้องมาพร้อมทิวทัศน์อันสวยงามของหุบเขาและภูเขาที่โอบล้อม ช่วยให้ผู้เข้าพักผ่อนคลายไปกับความงามของธรรมชาติได้ตลอดเวลา

บังกลาเทศแห่มาไทย หลังอินเดียคุมเข้มวีซ่า ใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว-รักษาพยาบาลมากสุด

(19 ธ.ค.67) ข้อมูลจากธนาคารกลางบังกลาเทศเผยว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในอินเดียลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่การใช้จ่ายในไทยและสิงคโปร์กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลอินเดียจำกัดการออกวีซ่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวและผู้ป่วยชาวบังกลาเทศที่เดินทางไปอินเดียลดลง

ในเดือนตุลาคมปีนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในอินเดียลดลงมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10.78% ของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งลดลงจาก 16.50% ในเดือนตุลาคม 2566

ในทางตรงกันข้าม การใช้บัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในไทยและสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ไทยได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ใหญ่เป็นอันดับสองสำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในต่างประเทศ โดยในเดือนกันยายนมีการใช้จ่ายมูลค่า 420 ล้านตากา (ราว 120 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้นเป็น 570 ล้านตากา (ราว 165 ล้านบาท) ในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ไทยแซงหน้าอินเดียขึ้นเป็นอันดับสอง

ขณะเดียวกัน สิงคโปร์ก็มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนตุลาคม ชาวบังกลาเทศใช้จ่าย 430 ล้านตากาในสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านตากาในเดือนกันยายน

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะ เดลี สตาร์ (The Daily Star) รายงานว่า หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการในบังกลาเทศเมื่อเดือนสิงหาคม อินเดียตัดสินใจระงับการออกวีซ่าท่องเที่ยวให้แก่ชาวบังกลาเทศ โดยอนุญาตเฉพาะกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์เท่านั้น ส่งผลให้การใช้บัตรเครดิตในอินเดียลดลงอย่างมาก

ไซเอ็ด โมฮัมหมัด คามัล ผู้จัดการประจำประเทศบังกลาเทศของบริษัทมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) กล่าวว่าจำนวนชาวบังกลาเทศที่เดินทางไปอินเดียลดลงเกือบ 90% โดยนักท่องเที่ยวที่เคยไปมุมไบหรือเมืองอื่น ๆ ในอินเดีย เลือกเดินทางมาประเทศไทย สิงคโปร์ และเนปาลแทน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top