Sunday, 8 June 2025
TheStatesTimes

24 ธันวาคม 2483 ไทยประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตามสากล

24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของประเทศไทย แทนวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย

ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงนี้ ประเทศไทยเคยกำหนดวันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งในปฏิทินจันทรคติไทยมักเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ก่อนที่จะปรับมาใช้วันที่ 1 มกราคม ตามประกาศของรัฐบาลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

รัฐบาลระบุเหตุผล 4 ประการที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่ 1.สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา การนับวันเดือนและการเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญไม่ขัดกับหลักธรรมทางศาสนา 2. ลดอิทธิพลลัทธิพราหมณ์ เลิกการใช้คติพราหมณ์ที่เคยมีบทบาทในการกำหนดวันสำคัญของชาติ 3. มาตรฐานสากล ให้ประเทศไทยใช้ปฏิทินเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อความสะดวกในการติดต่อระหว่างประเทศ 4. ฟื้นฟูวัฒนธรรมไทย สอดคล้องกับคตินิยมและจารีตประเพณีดั้งเดิมของชาติ

ประกาศระบุว่า “นานาอารยประเทศตลอดจนประเทศใหญ่ ๆ ทางตะวันออก ได้ใช้งานวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นต้นปีมานานกว่า 2,000 ปี การเปลี่ยนแปลงนี้มิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนา จารีตประเพณี หรือการเมืองของชาติใด แต่เป็นผลจากการคำนวณทางดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นานาประเทศยอมรับ”

นับตั้งแต่การประกาศดังกล่าว ประเทศไทยได้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นวันเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่เรื่อยมา จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญในสังคมไทย

คู่รักสิงคโปร์โวยเครื่องเพชรของขวัญแต่งงานหาย หลังเช็คเอาท์โรงแรมหรู 5 ดาว ย่านนานา

(20 ธ.ค.67) กลายเป็นประเด็นร้อนในต่างประเทศ เมื่อคู่สามีภรรยาชาวสิงคโปร์เปิดเผยผ่านสื่อออนไลน์ในท้องถิ่นว่า เครื่องประดับมูลค่า 30,000 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 760,000 บาท) ของพวกเขาได้สูญหายระหว่างการเข้าพักที่โรงแรมหรู 5 ดาว ย่านนานา ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งคู่ระบุว่าลืมเครื่องประดับไว้ในห้องพักหลังเช็คเอาท์ไปเพียง 30 นาที เมื่อกลับมาตรวจสอบกับพนักงานโรงแรมกลับได้รับแจ้งว่าไม่มีสิ่งของหลงเหลืออยู่ในห้องพัก พวกเขาจึงให้เพื่อนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยช่วยแจ้งความก่อนบินกลับสิงคโปร์

นายเจิ้ง ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เครื่องประดับที่หายไปมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นของขวัญแต่งงานที่เพิ่งมอบให้กันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ของที่หายประกอบด้วยแหวนแต่งงานจากแบรนด์ทิฟฟานี แหวนเพชร 2 วง และสร้อยข้อมือ 1 เส้น เขาเล่าว่าหลังจากเช็คเอาท์เวลา 14.30 น. ทั้งสองรอรับกระเป๋าเดินทางที่ล็อบบี้นานกว่า 15 นาที แต่เมื่อกระเป๋ายังมาไม่ถึงจึงออกไปชอปปิ้งก่อนกลับมาอีกครั้ง ภรรยาจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมเครื่องประดับไว้ในห้องพัก แต่เมื่อขอให้พนักงานช่วยตรวจสอบ กลับไม่พบสิ่งของดังกล่าว

ทั้งคู่ได้แจ้งให้โรงแรมตรวจสอบกล้องวงจรปิด ซึ่งพบว่าพนักงานยกกระเป๋าคนหนึ่งมีพฤติกรรมที่ดูผิดปกติ โดยเฉพาะการมองไปที่กล้องในลักษณะที่น่าสงสัย ทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของพนักงานรายนี้

โฆษกของกลุ่มแบรนด์ดัง ยืนยันว่า โรงแรมรับทราบเหตุการณ์และกำลังดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียด พร้อมติดต่อผู้เสียหายโดยตรงเพื่อให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเพิ่มเติมไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวและมาตรฐานภายในของโรงแรม

ขณะนี้ทางตำรวจไทยอยู่ระหว่างการสืบสวน โดยคู่สามีภรรยาหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้เข้าพักระมัดระวังทรัพย์สินของตนมากขึ้น ทั้งนี้ผลการสอบสวนจะต้องรอติดตามความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ต่อไป

อินโดนีเซียเปิดตัวใช้ 'ไบโอดีเซล B40' สะท้อนชาติเบอร์หนึ่งผลิตปาล์มน้ำมัน

(20 ธ.ค.67) ยูลิออต ตันจุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียเริ่มผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซล บี40 (B40) ที่ประกอบด้วยน้ำมันปาล์ม 40% และน้ำมันดีเซล 60% ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มมากกว่าปัจจุบันที่ใช้น้ำมันปาล์มเพียง 35% โดยไบโอดีเซล บี40 จะเริ่มนำมาใช้จริงในปี 2025

ตันจุงกล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายการผลิตไบโอดีเซล บี40 ไว้ที่ 15.62 ล้านกิโลลิตรภายในปี 2025 และคาดว่าจะสามารถจำหน่ายให้กับผู้บริโภคได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 โดยหลังจากนั้นจะมีการพัฒนาไบโอดีเซลที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มถึง 50% ต่อไปในอนาคต

ด้านเอเนีย ลิสเตียนี เดวี อธิบดีฝ่ายการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนของกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ ยืนยันว่า การผลิตไบโอดีเซล บี40 ได้เริ่มต้นแล้วและผ่านการทดสอบการใช้งานทั้งในยานยนต์และการใช้งานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยานยนต์

แผนการเพิ่มการใช้ปาล์มน้ำมันเพื่อพลังงานสะอาดได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากการผลิตน้ำมันปาล์มในปริมาณมากของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลก

สำหรับน้ำมัน B40 ประกอบด้วยไบโอดีเซล 40% และดีเซล 60%

25 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ในหลวงร.9 เสด็จฯเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่ามูเซอ พร้อมพระราชทานเหรียญที่ระลึกแทนบัตรประชาชน

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่ามูเซอ ณ หมู่บ้านผาหมี หมู่ที่ 15 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

การเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทรงส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชต่าง ๆ เช่น กาแฟ ลิ้นจี่ แมคคาเดเมีย รวมถึงพระราชทานวัวให้ชาวเขาเลี้ยง พร้อมกับหาจุดรับซื้อผลิตผล เพื่อให้ชาวเขาเหล่านั้นไม่ต้องปลูกฝิ่นหรือทำไร่เลื่อนลอย และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ยังทรงยืนยันว่า ชาวเขาเผ่ามูเซอทุกคนคือคนไทย ไม่ใช่คนเร่ร่อนไร้สัญชาติ

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงพระราชทาน ‘เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา’ ซึ่งมีตัวย่อ ‘ชร’ (หมายถึงจังหวัดเชียงราย) และหมายเลขโค้ด 6 หลักที่ใช้แทนหมายเลขบัตรประชาชน ให้แก่ชาวเขาบ้านผาหมี โดยทรงพระราชทานเหรียญที่ระลึกนี้แก่ชาวเขาในหลายจังหวัดทั่วประเทศประมาณ 20 จังหวัดในปี พ.ศ. 2506 รวมกว่า 200,000 เหรียญ ทุกเหรียญจะมีอักษรย่อของจังหวัดและหมายเลขประจำเหรียญ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการสำรวจสำมะโนประชากรและการพิสูจน์สัญชาติในการทำบัตรประชาชนให้แก่ชาวเขา

‘มูลนิธิเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ – มูลนิธิสถาบันแสงสว่างในพระอุปถัมภ์ฯ’ ฉลองวันคริสต์มาส!! เปิดตัวหนังสือนิทานเรื่อง ‘ผองเพื่อนของบิ๊กและดุ๊กดิ๊ก’

(21 ธ.ค. 67) มูลนิธิเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ โดย เคานต์เจรัลด์ แวน เดอ สตราเทน พอนโธส ประธานมูลนิธิเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ เป็นเจ้าภาพร่วมกับมูลนิธิสถาบันแสงสว่างในพระอุปถัมภ์ฯ จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส เปิดตัวหนังสือนิทานเรื่อง ‘ผองเพื่อนของบิ๊กและดุ๊กดิ๊ก’ ในฉบับภาษาไทยแปลจากบทพระนิพนธ์หนังสือนิทานของ ‘เจ้าหญิงเลอาแห่งเบลเยียม’ ประกอบด้วย 7 เรื่องสั้น สะท้อนถึงสถานการณ์ที่เด็กพิเศษต้องพบเจอในชีวิตจริง และคำแนะนำวิธีรับมือกับความรู้สึก พร้อมมอบให้แก่น้อง ๆ เด็กพิเศษที่มาร่วมงาน และเตรียมจัดส่งไปให้แก่ น้อง ๆ เด็กพิเศษ ทั่วประเทศไทย เพื่อมอบเป็นของขวัญในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวนอกจากการเปิดตัวหนังสือนิทานแล้วยังจัดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์สำคัญคือเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในสังคม ถึงการทำงานและการอุทิศตนของบุคลากรผู้ดูแลกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และเพื่อมอบความสุขให้กับเด็กๆ 

ภายในงานได้รับเกียรติจาก เจ้าหญิงเลอาแห่งเบลเยียม ทรงร่วมงานเลี้ยง ผ่านทางออนไลน์จากประเทศเบลเยียม พร้อมด้วยบุคคลสำคัญ อาทิ ดร. จิรายุและท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร ณ อยุธยา ท่านผู้หญิงภรณี มหานนท์ ดร.ศักดิ์ทิพย์และม.ร.ว.เบญจภา ไกรฤกษ์ คุณหญิงขวัญตา เทวกุล หม่อมบงกชปริยา ยุคล ณ อยุธยา ม.ร.ว.มาลินี จักรพันธุ์ คุณสุทธิภัค จิราธิวัฒน์ คุณวิลเลียมและคุณเคธี ไฮเนค เข้าร่วมงาน โดยมี เคานต์เจรัลด์ แวน เดอ สตราเทน พอนโธส ประธานมูลนิธิเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ ให้การต้อนรับ และร่วมชมโชว์ชมชุดพิเศษจากน้องๆ มูลนิธิสถาบันแสงสว่างในพระอุปถัมภ์ฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ณ แกรนด์ ฮอลล์ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก

‘เกรียงยศ’ จี้!! กทม. ให้คำตอบ สะพานลาดกระบังถล่ม เร่ง!! เดินหน้าโครงการ คืนวิถีชีวิตให้ประชาชน

(21 ธ.ค. 67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 เกิดเหตุการณ์สะพานอ่อนนุช-ลาดกระบังถล่ม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับผลกระทบทั้งบาดเจ็บและขาดรายได้ 356 ราย 

จนถึงขณะนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนานกว่า 1 ปีแล้วแต่กรุงเทพมหานครโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังไม่มีการสรุปผลถึงสาเหตุของเหตุการณ์อันน่าสลดดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แม้หลังเหตุการณ์จะมีการให้คำสัญญาว่าจะได้รับคำตอบถึงสาเหตุภายใน 7 วัน

ซึ่งประชาชนบริเวณนั้นได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก และได้มีการร้องเรียนมายังตน และจากการลงพื้นที่พร้อมกับสมาคมวิศวกร พบว่าสาเหตุสำคัญเกิดจากรอยต่อระหว่างแท่งคอนกรีตไม่ได้มาตรฐาน จึงมีการหักโค่นและถล่มลงมา นอกจากนี้แม้โครงการดังกล่าวจะมีมูลค่าโครงการมหาศาลแต่ไม่มีการว่าจ้างบริษัทควบคุมงาน 

นอกจากนี้แล้วโครงการดังกล่าวผ่านไปนานกว่า 2 ปีแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน ตอม่อของโครงการที่จะมีการตั้งอยู่ในพื้นที่กรมชลประทานยังไม่มีการขออนุญาตจากกรมชลประทาน และยังไม่มีการลงโทษหรือการปรับผู้รับเหมาของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะมีความล่าช้ามาไม่น้อยกว่า 8 เดือนแล้ว

ดังนั้นจึงขอฝากไปยังกรุงเทพมหานครให้มีการเร่งรัดการดำเนินการโครงการดังกล่าว และชี้แจงถึงความคืบหน้าในโครงการดังกล่าว

'พิชัย' ลุยญี่ปุ่น ถกหอการค้า-อุตสาหกรรมญี่ปุ่น และนักลงทุนยักษ์ใหญ่ ชวนขยายการลงทุนไทยพร้อมให้คำมั่น พาณิชย์ พร้อมอำนวยความสะดวกเต็มที่  

(21 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น นักลงทุนญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และนักลงทุนญี่ปุ่นหลายบริษัท ประกอบด้วย GS Yuasa International , Extrabold Corporation , Hitachi , Scheme Verge , SIIX , Mitsubishi Electric Corporation  และ Softbank เป็นต้น รวมถึง JETRO, JICA, แบงค์กรุงเทพในญี่ปุ่น สำนักงาน BOI โตเกียว โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วม ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

นายพิชัย ระบุว่า ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2566 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทย และเป็นประเทศศักยภาพที่สำคัญของไทยในด้านการลงทุน โดยเป็นนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในไทยมานานกว่า 50 ปี และมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีลงทุนสะสมในไทยมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 1 ใน 4 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ขอขอบคุณนักลงทุนญี่ปุ่นที่เล็งเห็นว่าไทยมีศักยภาพในการเติบโตและมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด อยากให้มีความมั่นใจและมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทางรัฐบาลโดยการนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และทางกระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

สำหรับ JETRO ซึ่งเป็นเสมือนกัลยาณมิตรของคนไทยมายาวนาน ตนได้ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในไทยมาโดยตลอด และขอให้ทำงานใกล้ชิดกันต่อไป ส่วน JICA ได้ขอบคุณที่สนับสนุนโครงการพัฒนาคุณภาพกล้วยหอมที่ปลูกบนเนินสูงของไทย จนสามารถทำให้กล้วยหอมไทยเข้าไปจำหน่ายในญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ถึง 5,000 ตัน มูลค่า 100 ล้านบาท และหวังว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต

ต่อมา นายพิชัยได้นำคณะ หารือกับ NTT Corporation ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านไอทีและให้คำปรึกษาธุรกิจระดับโลกมีสำนักงานบริการทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ ว่าตอนนี้มีแผนงานที่ชัดเจนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยในการทำ Data Center และหวังที่จะขยาย Data Center เพิ่มขึ้น ถ้ามีความต้องการมากขึ้น 

นอกจากนั้น ตนยังได้หารือกับผู้บริหารของ Nippon Steel Corporation (NSC) บริษัทผู้ผลิตเหล็กแบบครบวงจรที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก โดยไทยเป็นประเทศที่ทาง NSC มาลงทุนเป็นอันดับสาม รองจาก อเมริกาและอินเดีย NSC ยังสนใจที่จะมาลงทุนเพิ่มในไทย

ซึ่งระบบการผลิตเหล็กของเขาเป็นแบบครบวงจร แม้ว่ายังมีปัญหาเรื่องการถูกดั๊มราคาสินค้าและมีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาเยอะจนอาจเป็นปัญหาได้ แต่ทางบริษัทฯมั่นใจว่าจะลงทุนที่ไทย ซึ่ง NSC ลงทุนที่ไทยมาแล้ว 60 ปี และจะมาลงทุนอีกหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงให้ความมั่นใจว่ารัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยให้ได้ 

“การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ ผมมั่นใจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ว่า จะสามารถดูแลและลดข้อกังวลต่างๆ จากที่ได้พบปะพูดคุย ผมเชื่อว่าจะเกิดเม็ดเงินลงทุนใหม่ในไทยอีกกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ในเร็วๆ นี้ และญี่ปุ่นยืนยันมุ่งเป็นเบอร์หนึ่งของต่างชาติเข้าลงทุนในไทย  ซึ่งรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุนในทุกด้าน” นายพิชัย กล่าว

เชียงใหม่-คณะพยาบาล มช.ฉลองปีใหม่ รื่นเริงสดใสรับปี 2568

คณะกรรมการที่ประชุมอาจารย์และบุคลากรสมัยที่ 8 ร่วมกับ สโมสรนักศึกษา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานสานสัมพันธ์อาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา "Happy New Year 2025: New Year New You, Together We're Happy" สวัสดีปีใหม่ 2568: ปีใหม่สุขสดใสรับสิ่งใหม่ไปด้วยกัน โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภารัตน์ วังศรีคูณ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นประธานกล่าวเปิดงานและอวยพรปีใหม่ ณ บริเวณสนามกีฬาด้านหลังหอพักนักศึกษาพยาบาล  เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2567

วัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา รวมทั้งเพื่อให้ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน กิจกรรมประกอบด้วย การรับประทานอาหารเย็น การแข่งขันเกมส์มหาสนุก การแสดงโชว์สุดพิเศษ และ จับฉลากมอบของขวัญปีใหม่ 2568 ช่วงท้ายร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์ 'พรปีใหม่' ก่อนปิดงานอย่างมีความสุข

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ บีบให้ยุโรปซื้อ ‘น้ำมัน - ก๊าซ’ จากสหรัฐฯ หากไม่อยากเจอ!! มาตรการลงโทษ ขึ้นภาษีศุลกากร

(21 ธ.ค. 67) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเองว่า เขาได้แจ้งกับสหภาพยุโรป (อียู) ว่าอียูจะต้องลดช่องว่างการขาดดุลการค้ากับสหรัฐด้วยการซื้อน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้น อียูอาจต้องเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐเป็นรายต่อไป 

"ผมบอกกับสหภาพยุโรปว่าพวกเขาต้องชดเชยการขาดดุลมหาศาลกับสหรัฐ ด้วยการซื้อน้ำมัน และก๊าซในปริมาณมาก มิฉะนั้นจะต้องเจอภาษีศุลกากร” ทรัมป์โพสต์ข้อความทาง Truth Social 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของทางการสหรัฐระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าสินค้า และบริการกับอียูถึง 1.313 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2022

ทางด้านนักการทูตอาวุโสรายหนึ่งในอียูเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับท่าทีของทรัมป์ในครั้งนี้ และมองว่าพลังงานเป็น ‘ทางเลือกที่ดี’ หากจะต้องซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น  

ขณะที่แหล่งข่าวนักการทูตอีกรายหนึ่งเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอล์ซ ของเยอรมนี ได้พูดคุยกับทรัมป์ในเรื่องนี้เมื่อคืนวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา หลังจากที่บรรดาผู้นำประเทศในอียูได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้เกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอียู

‘ฮุนได’ ชวน!! ตรวจเช็กสภาพรถ ฟรี!! เพื่อความปลอดภัย ก่อนเดินทางไกล

(21 ธ.ค. 67) เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว เพื่อให้ทุกการเดินทางของคุณและคนที่คุณรักเต็มไปด้วยความมั่นใจ ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย มอบความห่วงใยผ่านแคมเปญพิเศษ ‘ฮุนไดมอบโปรฯ ให้ ใส่ใจทุกการเดินทาง’ ฟรี!! ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ พร้อมรับส่วนลดสุดพิเศษสำหรับอะไหล่ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้รถของคุณพร้อมในทุกเส้นทาง

เตรียมรถให้พร้อมก่อนออกเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดยาวได้ที่ ศูนย์บริการฮุนไดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 - 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพราะความปลอดภัยบนท้องถนนคือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ทีมงานมืออาชีพของฮุนไดพร้อมดูแลคุณและรถทุกคันด้วยความใส่ใจ เพื่อให้ทุกการขับขี่ราบรื่น และทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความสุข ฮุนไดใส่ใจ เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกเส้นทาง

ฟรี!! ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ 40 รายการ ดูแลรถยนต์ของคุณอย่างละเอียดโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบระบบหลัก ๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมออกเดินทางได้อย่างปลอดภัย

รายการตรวจเช็ก 40 รายการ มูลค่า 496 บาท ได้แก่:
1. ไฟเตือนแบตเตอรี่ 
2. ไฟเตือนน้ำมันเครื่อง 
3. ไฟเตือนเครื่องยนต์ 
4. ไฟเตือน ABS 
5. ไฟเตือน AIR BAG 
6. ไฟเตือนเบรกมือ 
7. สัญญาณบอกตำแหน่งเกียร์ออโต้ 
8. ไฟเลี้ยว 
9. ไฟฉุกเฉิน 
10. ไฟหรี่ 
11. ไฟสูง 
12. แตร 
13. การทำงานของใบปัดน้ำฝน 
14. กระจกประตูไฟฟ้า 
15. ระบบล็อกประตูไฟฟ้า 
16. กระจกมองข้างไฟฟ้า 
17. เข็มขัดนิรภัยด้านคนขับ 
18. ระบบปรับอากาศ 
19. เบรกมือ 
20. เข็มขัดนิรภัยด้านผู้โดยสาร 

21. แบตเตอรี่ 
22. ระดับน้ำในถังพักหม้อน้ำ 
23. ระดับน้ำในถังพักน้ำล้างกระจก 
24. ไส้กรองอากาศ 
25. น้ำมันเครื่อง 
26. น้ำมันเบรก 
27. น้ำมันคลัทช์หรือน้ำมันเกียร์ออโต้ 
28. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ 
29. สายพานด้านหน้าเครื่องยนต์ 
30. ยางปัดน้ำฝน 
31. ไฟหน้า 
32. ไฟเลี้ยว 
33. ไฟเบรก ไฟถอยหลัง 
34. ลูกหมากเหล็กกันโคลง 
35. ลูกหมากคันชักคันส่ง 
36. ปีกนกและบู๊ช 
37. โช้คอัพหน้าและหลัง 
38. ยางหุ้มเพลาขับในและนอก (ถ้ามี) 
39. ยางหุ้มแร็คพวงมาลัย 
40. การรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์-เฟืองท้าย และน้ำมันเพาเวอร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top