Monday, 19 May 2025
TheStatesTimes

'ม.แม่ฟ้าหลวง' ออกแถลงการณ์ กรณีฟ้อง 'ดร.เค็ง' ชดใช้ทุนคืน  เปิดปม!! เจ้าตัวไม่เคยส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ให้ มฟล.

(4 ธ.ค. 66) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จ.เชียงราย ออกแถลงการณ์เรื่อง ‘การยื่นฟ้องคดีกับอาจารย์เพื่อให้ชดใช้ทุนการศึกษา’ ระบุว่า ได้มีอาจารย์ที่เคยเป็นพนักงานมหาวิทยาลับแม่ฟ้าหลวง สังกัดสำนักวิชาการ ทราบชื่อว่า ดร.เค็ง เข้าปฏิบัติงานที่ มฟล. เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2548

ต่อมาได้รับทุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ไปศึกษาในระดับปริญญาเอก ที่ University of Kent ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 จากนั้นได้กลับไปปฏิบัติงานต่อที่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2556

แต่เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2557 ได้ลาออกโดยแสดงเจตนาสมัครใจและได้รับทราบเงื่อนไขการชดใช้ทุนดังกล่าวแล้ว ทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงอนุญาต โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2557 ดังนั้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยเรียกให้ชดใช้ทุนจากกระทรวงฯ จำนวน 630,207.48 บาท และ 194,730 ปอนด์ ส่วนของ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีจำนวน 726,305.94 บาท

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แถลงอีกว่า ตามเงื่อนไขสัญญาและหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลังกำหนดให้ผู้รับทุนไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามสัญญาหากว่าเป็นบุคคลวิกลจริต จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบโดยให้แสดงหลักฐานทางการแพทย์จากโรงพยาบาลของรัฐโดยมีแพทย์ที่รักษาระบุยืนยัน

อย่างไรก็ตามขณะที่ ดร.เค็ง ลาออกไม่เคยส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ดังกล่าวให้ มฟล.ทราบ แต่ได้ยื่นในชั้นพิจารณาของศาลปกครองเชียงใหม่ เมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว ทำให้ศาลเคยพิพากษาให้ ดร.เค็ง ชดใช้ทุนมาแล้ว ปัจจุบันมีการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาทำให้ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้

แถลงการณ์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า ได้ปฏิบัติต่ออดีตอาจารย์คนนี้ด้วยความเมตตาและมีคุณธรรมมาโดยตลอด โดยสนับสนุนและส่งเสริมให้ได้รับโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ดังนั้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ยืนยันว่าเป็นไปตามขั้นตอน หลักเกณฑ์ กฎหมาย และระเบียบของทางราชการ กระนั้นหากศาลปกครองสูงสุดพิจารณาและพิพากษาเป็นอย่างไร ทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก็จะปฏิบัติตามนั้นทุกประการ

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ ดร.เค็ง ได้ออกมาเปิดเผยตามสื่อต่าง ๆ ว่าได้เริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีอาการวิตกกังวลเหมือนมีคนติดตามและมีการคลุ้มคลั่งเป็นบางครั้งทำให้เข้ารับการักษาที่โรงพยาบาลแต่เมื่ออาการดีขึ้นจึงอยู่ที่ประเทศอังกฤษอีก 1 ปี จนทำวิทยานิพนธ์และงานวิจัยแล้วเสร็จก็กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แต่กลับมีอาการหลอนโดยที่ไม่ได้กลับเข้าสู่ระบบการรักษาอีก ดังนั้นจึงขอลาออกในวันที่ 19 ส.ค. 2557 ซึ่งก็ได้รับอนุญาต

แต่ต่อมา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ส่งจดหมายทวงหนี้ค่าทุนการศึกษาเพราะทำงานให้ไม่ครบตามสัญญาและ ดร.เค็ง ได้แจ้งกลับว่าไม่ได้ทำผิดจึงไม่ควรต้องชดใช้ ต่อมาจึงมีการฟ้องร้องกระทั่งคดีถึงศาลปกครองและ ดร.เค็ง ได้เริ่มปรากฏเป็นข่าวโดยระบุว่าถูกเรียกทุนคืนจำนวน 16 ล้านบาท แม้แต่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ออกมาเผยแพร่ทั้งข้อความและภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทั่งเรื่องถึงศาลปกครองสูงสุดและทาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้มีแถลงการณ์ดังกล่าว

๗ ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี  กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชันษา 45 ปี

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในหลากหลายด้าน ทางด้านกฎหมาย ทรงส่งเสริมหลักการยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะสตรีและผู้ต้องขังหญิง อีกทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ โดยทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมและระบบงานยุติธรรมทางอาญา สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

อีกหนึ่งพระราชกรณียกิจอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย โดยทรงเป็นองค์ประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ด้วยวัตถุประสงค์ในการบรรเทาความเดือดร้อน ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนคนไทย ทั้งในยามประสบภัยพิบัติ และส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันประสูติ ขอพระองค์ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของประชาชนคนไทยสืบไป ทรงพระเจริญ

5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ

๏ ความคิดถึงเวียนครบจบอีกปี
ความภักดียังมีมิเลือนหาย
ความจงรักห่วงหาไม่คลาคลาย
ความอาลัยมีถวายให้ทุกวัน

๏ ความโศกาเบาบางใช่ห่างเหิน
ความรู้แจ้งดำเนินใช่เพ้อฝัน
ความจริงปรากฏเห็นเช่นทุกวัน
ความเป็น 'พ่อ' ของท่านมั่นในใจ

ผู้ประพันธ์: พรชัย นวการพิศุทธิ์

‘วิโรจน์’ เหน็บ!! คอร์รัปชันจะกลายเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์ไทย’ ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ เน้นจ่ายส่วยเรื่องจบ ไม่สนกฎหมาย

(4 ธ.ค.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า…

คอร์รัปชัน มาเฟียข้ามชาติ และธุรกิจสีเทา คือ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ประเทศมี กม.อาญา แต่คุกมีไว้ขังคนจน มี กม.ห้ามคอร์รัปชันแต่ก็มีอยู่ทุกอณู ผิดกม.จ่ายส่วยก็เคลียร์ได้ ยอมให้ ตร.ไถ ก็ทำธุรกิจผิดกฎหมายได้

นี่มัน Soft Power ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ ให้มาลงทุนในธุรกิจสีเทาชัดๆ

8 ธันวาคม พ.ศ. 2484  ญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบก เหยียบแผ่นดินไทย  ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปตีพม่าและมลายู

การยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่น เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ.1941) ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00 น. เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ปัตตานี และบางปู สมุทรปราการ และบุกเข้าประเทศไทยทางบกที่อรัญประเทศ กองทัพญี่ปุ่นสามารถขึ้นบกได้โดยไม่ได้รับการต่อต้านที่บางปู ส่วนทางภาคใต้และทางอรัญประเทศมีการต่อสู้ต้านทานอย่างหนักของทหารไทย ประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครที่เป็นเยาวชน ที่เรียกว่า ยุวชนทหาร ในบางจังหวัด เช่น การรบที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร

โดยกลุ่มยุวชนทหารและกองกำลังผสมทหารตำรวจซึ่งกำลังจะต่อสู้ปะทะกันอยู่ที่สะพานท่านางสังข์ โดยที่กลุ่มยุวชนทหารนั้นมีผู้บังคับการคือร้อยเอกถวิล นิยมเสน ในระหว่างการสู้รบร้อยเอกถวิลนำกำลังยุวชนทหารออกมาปะทะกองทหารญี่ปุ่น แม้ร้อยเอกถวิลจะถูกทหารญี่ปุ่นยิงเสียชีวิต แต่ยุวชนทหารยังคงสู้ต่อไปจนกระทั่งรัฐบาลสั่งหยุดยิง เมื่อเวลา 11.00 น. โดยประมาณ

และในที่สุดรัฐบาลไทยโดยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ได้ประกาศอนุญาตให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยได้

และในวันที่ 8 ธันวาคม ของทุกปี ยังถือเป็น ‘วันนักศึกษาวิชาทหารอีกด้วย’

คนใช้รถเฮ!! ‘ปตท.-บางจาก’ ปรับลดราคา ‘เบนซิน-แก๊สโซฮอล์’ ลงอีก 40 สตางค์/ลิตร

(5 ธ.ค. 66) ปั๊มน้ำมันแจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลด 40 สตางค์ กลุ่มดีเซลคงเดิม 

ด้าน PTT Station ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 5 ธ.ค. 2566 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้…

- ULG = 43.54 บาท
- GSH95 = 35.65 บาท
- E20 = 33.54 บาท
- GSH91 = 33.88 บาท
- E85 = 33.69 บาท
- พรีเมี่ยม GSH95 = 43.44 บาท
- HSD-B7 = 29.94 บาท
- HSD-B10 = 29.94 บาท
- HSD-B20 = 29.94 บาท
- พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาท

***ทั้งนี้ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร***

ด้าน บางจากฯปรับราคาน้ำมันเฉพาะกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม…

- GSH95S EVO 36.05 บาท
- GSH91S EVO 34.28 บาท
- GSH E20S EVO 33.94 บาท
- GSH E85S EVO 34.09 บาท
- Hi Premium 97 (GSH95++) 47.74 บาท
- Hi Diesel B20S 29.94 บาท
- Hi Diesel S 29.94 บาท
- Hi Diesel S B7 29.94 บาท
- Hi Premium Diesel S B7 43.64 บาท

(ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม.)

‘ท่านอ้น’ เข้ากราบ ‘เสด็จปู่’ น้อมรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมร่วมกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ 66 หลังกลับไทยครั้งที่ 2

ท่านอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์ โอรสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว ซึ่งการมาครั้งนี้ ถือเป็นการเดินทางกลับไทยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี โดยท่านอ้น เดินทางมาเป็นการส่วนตัว ตั้งใจร่วมทำกิจกรรมน้อมรำลึกพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และทำกิจกรรมเนื่องในวันพ่อ 5 ธันวาคม รวมถึงเดินทางท่องเที่ยวตามจังหวัดต่าง ๆ โดยจะไปแบบเรียบง่าย โดยมีกำหนดการจะอยู่ประเทศไทยนาน 14 วัน หรือประมาณ 2 สัปดาห์

(5 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ท่านอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์’ ได้นำพานพุ่มมาถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2566

จากนั้นได้ทักทายและถ่ายภาพร่วมกับประชาชน ก่อนเดินทางกลับพร้อมคณะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมา ท่านอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเพจ ‘Vacharaesorn Vivacharawongse’ ระบุว่า…

“ไปกราบทูลกระหม่อมปู่

ถวายราชสักการะ พระบรมราชานุเสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน วันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม”

‘ป๋องแป๋ง’ เคลื่อนไหวแล้ว ยอมรับด่าทอรุนแรง  แต่ยืนยันไม่เคยล่วงละเมิดทางเพศใคร

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Plai Fon Bys’ เปิดเผยเรื่องราวช็อกวงการวิทยาศาสตร์ อ้างว่า ชายรายหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมาก หรือ ‘ไอดอลวิทยาศาสตร์’ มีพฤติกรรมคุกคามทั้งร่างกายและจิตใจกับผู้หญิงหลายๆ คน มีผลกระทบรุนแรง ส่งผลให้คนคนหนึ่งถึงกับสูญเสียความมั่นใจ สูญเสียตัวตน จนคิดจะจากไป ทั้งนี้ THE STANDARD ซึ่งเป็นต้นสังกัดของรายการที่ ‘ไอดอลวิทย์’ คนดังกล่าวได้ร่วมงานด้วย ได้ออกแถลงการณ์ยุติร่วมงานและระงับการเผยแพร่รายการในทันที

เช่นเดียวกับ ‘ฟาง รัฐโรจน์’ พิธีกรคู่กับ ‘ไอดอลวิทย์’ ในรายการ ‘ใดๆ ในโลกล้วนฟิสิกส์’ ก็แจ้งยุติบทบาท พร้อมปิดรายการ ขณะที่ WiTcast รายการคุยเรื่องวิทย์อย่างอารมณ์ดี ดำเนินรายการโดย ‘แทนไท ประเสริฐกุล’ และ ‘อาบัน’ แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนพฤติกรรมของชายรายดังกล่าว ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในทีมงานของรายการ ยืนยันลบคลิปรายการทุกชิ้นที่มีชายคนดังกล่าวร่วมด้วย

ล่าสุด เช้าวันนี้ (5 ธ.ค. 66) อาจวรงค์ จันทมาศ หรือ ‘ป๋องแป๋ง’ นักเขียน นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้นักวิทยาศาสตร์ เคลื่นไหวทางเพเฟซบุ๊ก ‘อาจวรงค์ ป๋องแป๋ง จันทมาศ’ ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนี้

“เนื่องด้วยเหตุการณ์ call out มากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
สืบเนื่องจากที่น้องผู้หญิงคนหนึ่งพูดถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผม เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบออกไปในวงกว้างทั้งในสังคมออนไลน์และในสังคมรอบตัวผมขณะนี้

ผมจะใช้ช่องทางนี้เพื่ออธิบายให้ทุกคน ทั้งที่รักผม หรือเกลียดผมเข้าใจนะครับ ผมก็แค่คนคนหนึ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีความบกพร่องในเรื่องต่างๆ โดยที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาทั้งชีวิตผม สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักได้ในวินาทีนี้ว่ามันส่งผลกระทบกับคนอื่นมากๆ คือ ‘คำพูด’ ของผมเอง

ผมเป็นคนพูดจาไม่ดี เวลาผมใช้อารมณ์ หรือด่าทอใคร ผมมักจะใช้พูดที่รุนแรงมาก
มากเกินไปจริงๆ แม้จะรู้ว่ามันทำให้คนฟังรู้สึกแย่ แต่ผมไม่ได้ตระหนักว่ามันจะทำให้คนฟังรู้สึกถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถูกทำลายตัวตน หรืออัตลักษณ์ของคนคนนั้น จนทำให้รู้สึกไม่เหลือความเป็นคน จนสิ่งที่ผมทำมาตลอดกลับมาสะท้อนและส่งผลกับตัวผมเองในวันนี้

หลายคนรอบตัวผมที่ยังเป็นห่วงผม ยังคอยให้กำลังใจผม คอยปลอบโยนผม ต่างคอยบอกว่ามันไม่ใช่ขนาดนั้น แต่ผมยืนยันครับว่า วันนี้ผมรู้ดีว่าสิ่งเลวร้ายเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริง ส่งผลกับคนอื่นจริงๆ และผมต้องยอมรับผลของมันให้ได้

ผมรู้ดีว่าการขอโทษมันอาจไม่ได้ช่วยให้คนหลายๆ คนที่ผมเคยพูดจาทำร้ายจิตใจ กลับมารู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ผมก็หวังว่าเค้าเหล่านั้นจะรับรู้ว่าผมได้รับผลจากสิ่งที่ผมทำแล้ว ผมอยากกล่าวขอโทษจากใจจริงถึงสิ่งที่ผมเป็น สิ่งที่ผมทำ ทั้งที่ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจกับคนเหล่านั้น

อยากขอโทษเพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบันที่การกระทำของผมทำให้ทุกคนต้องเดือนร้อน อยากขอโทษน้องผู้หญิงคนนั้นและอีกหลายคนที่คำพูดของผมมันทำร้ายและส่งผลเสียอย่างที่สุดต่อเค้าเหล่านั้น และสุดท้ายผมอยากขอโทษสังคมที่เคยตั้งความหวังไว้กับคนอย่างผม แต่ก็ถูกผมเองนี่แหละที่ทำลายความหวังเหล่านั้น บรรดาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมขอโทษจากใจจริงครับ

อีกเรื่องที่ผมไม่สามารถปล่อยให้มันเงียบหายไปได้เหมือนที่ใครหลายคนแนะนำหรือที่ผมถูกกล่าวหาในตอนนี้คือ พฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศ ลวนลาม หรือการข่มขืนกระทำชำเรา ผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่าผมไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้กับใครทั้งสิ้น และไม่เคยกระทำเช่นนั้นกับใคร แต่ผมก็ยอมรับครับว่าที่ผ่านมาผมก็ชอบใช้คำพูดคำจาที่ไม่เหมาะสม หรือมีพฤติกรรมที่ชวนให้เข้าใจไปในทางที่ว่าผมกำลังจีบ หรือกำลังชอบพอใครหลายๆ คน ไปบ้าง แม้ระยะหลังมันก็ค่อยๆ ลดลงตามคุณวุฒิและวัยวุฒิของเรา

ผมเข้าใจว่ามันไม่ได้ทำให้สิ่งที่เราเคยทำผิดพลาดไปในอดีตเลื่อนหายไปได้

ผมจึงขอใช้โอกาส ณ ที่นี้ กล่าวขอโทษทุกคนจากใจจริงครับ และผมยืนยันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก

ในวินาทีนี้ ผมได้ตระหนักรู้จากตัวผมเองถึงผลกระทบของสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง ถึงแม้ผมต้องสูญเสียงานที่ผมรัก ต้องสูญเสียคนใกล้ตัวหลายคนที่รับมันไม่ได้ ต้องสูญเสียโอกาสหลายอย่างในชีวิต ผมก็รับรู้และเข้าใจมันเป็นอย่างดีครับว่ามันเทียบไม่ได้จริงๆ กับสิ่งที่บรรดาคนเหล่านั้นเคยสูญเสียเพราะคำพูดของผม แต่อย่างน้อยมันก็ได้ทำให้ผมได้รู้ว่าผมผิดจริงๆ ในเรื่องนี้

ในวันนี้ผมทราบดีครับว่า แม้ผมจะรับรู้ยังไง หรือรู้สึกผิดแค่ไหนมันก็อาจไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นมาเลย สิ่งเดียวที่ผมอาจทำได้ตอนนี้อาจไม่ใช่การขอโทษ แต่คือการปรับปรุงคำพูดและแนวความคิดของผมให้ดีขึ้น เพื่อไม่ทำให้ต้องมีใครถูกทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดของผมอีก และสิ่งนี้จะเป็นเป้าหมายในชีวิตผมต่อไป

ใดๆ ก็ตามที่ผมผิดไป
ผมขอกราบขอโทษจากใจจริงครับมา ณ ที่นี้ครับ

อาจวรงค์”

‘รมว.ปุ้ย’ เดินหน้าปักธง ‘นครศรีฯ’ ดันสู่โกโก้ฮับภาคใต้ หนุนชูเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก คาด สร้างมูลค่า 4,000 ลบ.

‘พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ทั่วประเทศสู่การเป็นโกโก้ฮับเมืองไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ดันพื้นที่ภาคใต้ชูจังหวัดนครศรีธรรมราช สู่โกโก้ฮับ ‘นครศรีฯ เมืองโกโก้’ พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ ผลักดันสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 66 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ทั่วประเทศสู่การเป็นไทยโกโก้ฮับ โดยจะนำร่องการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ไทยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สู่ ‘โกโก้ฮับ’ (THAI COCOA HUB) ภายใต้ชื่อ ‘นครศรีฯ เมืองโกโก้’ เพื่อเป็นศูนย์กลางรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมโกโก้ในไทย อีกทั้งเป็นแหล่งความรู้และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีศักยภาพขีดความสามารถในการส่งออกสู่ตลาดโลกได้ในอนาคต

“กระทรวงฯ ได้จัดกิจกรรมสนทนากลุ่ม (Focus group) กับผู้ประกอบการ รวมถึงศึกษาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมโกโก้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมอย่างมีระบบ เป็นคลัสเตอร์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ่านการสร้างเอกลักษณ์ในแต่ละพื้นถิ่น (Single Origin) ช่วยสร้างจุดเด่นและมูลค่าเพิ่มของโกโก้ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น ตลอดจนการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมตลาดทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนให้มีการจัดโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อให้โกโก้ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมโกโก้ให้เป็นหนึ่งในพืชแห่งอนาคต (Future Crop) และยกระดับสู่การเป็นไทยโกโก้ฮับ (THAI COCOA HUB) ของอาเซียนในอนาคต คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ทั้งนี้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พืช ‘โกโก้’ ถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจใหม่และได้รับกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้น สะท้อนได้จากการเติบโตของร้านคาเฟ่ ขนมหวาน ช็อกโกแลตพรีเมียม รวมถึงเทรนด์รักสุขภาพ เนื่องจากโกโก้สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพชั้นดีเยี่ยม (Super Food) ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกโกโก้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต โดยจากข้อมูลปี 2565 ไทยส่งออกโกโก้และของปรุงแต่งจากโกโก้ไปตลาดโลกมีมูลค่ากว่า 69.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 64.32 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมี ญี่ปุ่น อาเซียน และเกาหลีใต้เป็นตลาดหลักส่งออกที่สำคัญ

สำหรับประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านพื้นที่สามารถปลูกโกโก้ได้ทุกภาค โดยที่น่าจับตามอง คือ ภาคตะวันออกในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ที่มีพื้นที่การปลูกโกโก้และเป็นพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะมุ่งเน้นการตั้งโรงงานแปรรูปโกโก้ขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนให้มีการปลูกโกโก้ให้มากขึ้น รวมถึงภาคใต้ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ปลูกโกโก้มากกว่า 1,600 ไร่ เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ

โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่ปลูกโกโก้ทั้งสิ้นกว่า 3,000 ครัวเรือน ถือว่าได้เป็นแหล่งผลิตโกโก้คุณภาพดีของไทย การันตีด้วยรางวัลระดับโลก อย่างแบรนด์ ‘ภราดัย’ คว้ารางวัลพิเศษระดับทองสำหรับช็อกโกแลตบาร์ 75 เปอร์เซ็นต์ จากจังหวัดนครศรีธรรมราช ประเภท ‘Bean to Bar’ หรือ ‘ช็อกโกแลตที่ผู้ผลิตมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว’

เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ ผู้เขย่าสถาบันการเงินเวียดนาม โกงมโหฬาร 4 แสนล้านบาท มหาศาลที่สุดในอาเซียน!!

‘เวียดนาม’ ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ยังฉุดรั้งเศรษฐกิจของเวียดนาม นั่นก็คือ ‘การคอร์รัปชันในระบบ’

และเมื่อไม่นานมานี้ ก็เกิดคดีอื้อฉาวเขย่าภาพลักษณ์เวียดนามอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดโปงคดีคอร์รัปชัน ยักยอกทรัพย์ในสถาบันการเงินของเวียดนาม ด้วยยอดเงินสูงถึง 1.24 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 4.4 แสนล้านบาท) ทุบสถิติทุกคดีคอร์รัปชันในเคยเกิดขึ้นในย่านอาเซียน ซึ่งมากกว่าคดีอื้อฉาวการยักยอกเงินจากกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ที่มีมูลค่าความเสียหายราว 4 พันล้านเหรียญ ชนิดไม่เห็นฝุ่น

ซึ่งวงเงินมหาศาลนี้ ถูกยักย้ายถ่ายเทโดยเศรษฐินีผู้ทรงอิทธิพลของเวียดนามเพียงคนเดียว และทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี โดยไม่มีใครตรวจสอบจนกระทั่งวันนี้

ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้ เกิดจากความฉลาดมากของเจ้าสัวหญิง หรือความฉลาดน้อยของเจ้าหน้าที่รัฐฯ แต่วันนี้ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้ออกคำสั่งจับกุม ‘Trương Mỹ Lan’ (เจือง หมี ลาน) อภิมหาเศรษฐินีเวียดนาม ประธานบริษัท Van Thinh Phat Group หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ในข้อหายักยอกเงินจากธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) กว่า 1.24 หมื่นล้านเหรียญ มาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี

‘Trương Mỹ Lan’ ถือเป็นนักธุรกิจสาวชาวเวียดนาม เชื้อสายจีน ปัจจุบัน อายุ 67 ปี เคยขึ้นทำเนียบเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเวียดนาม ครอบครัวของเธอประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งร้านอาหาร โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทจดทะเบียนในเครือกว่า 1,000 แห่ง และได้ทำสินเชื่อไว้กับ Saigon Commercial Bank ในวงเงินสูงถึง 4.3 หมื่นล้านเหรียญ 

แต่ทั้งนี้ Trương Mỹ Lan และ บริษัทของเธอเริ่มมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชัน และให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐฯ หลายครั้ง โดยเริ่มตัังแต่ปี 2014 มีข่าวว่าเธอได้จ่ายสินบนให้แก่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงความมั่งคงสาธารณะถึง 1 ล้านเหรียญ เพื่อขอสิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่ท่าเรือแห่งใหม่ในไซง่อน 

ต่อมาปี 2016 ชื่อของเธอ และ ‘Eric Chu Nap Kee’ สามีชาวฮ่องกงของเธอ มีชื่ออยู่ในเอกสาร ‘Panama Paper’ แฟ้มคดีเปิดโปงการฉ้อโกง และหลบเลี่ยงภาษีระดับโลก จากการจดทะเบียนบริษัทแต่ในนามชื่อ ‘EurAsia ID Concept Group’ ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน

และเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2022 Trương Mỹ Lan ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีฉ้อโกง พร้อมกับเหล่าผู้บริหารด้านการเงินของบริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group อีกจำนวนหนึ่ง จากกรณีการออกหุ้นกู้ของบริษัท Van Thinh Phat Group ตั้งแต่ช่วงปี 2008 - 2020 จำนวน 25 ฉบับให้แก่นิติบุคคล และประชาชนทั่วไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางการเวียดนามก็ได้ตั้งข้อหาอภิมหาเศรษฐินีแห่งเวียดนามอีกหลายกระทงในข้อหาฉ้อโกง และยักยอกเงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank 1.24 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเวียดนามถึง 6% และถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในย่านอาเซียน

มหากาพย์การยักยอกเงินจากธนาคารของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2011 เมื่อ Trương Mỹ Lan เริ่มซื้อหุ้นของธนาคารเวียดนาม 3 แห่งมาสะสมไว้ ได้แก่ Saigon Commercial JSC, Vietnam Tin Nghia และ De Nhat ผ่านนอมินีถึง 27 ราย และถือครองในนามของตนเองเพียง 4% ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า “บุคคลธรรมดาสามารถถือหุ้นของธนาคารได้ไม่เกิน 5%”

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอควบรวมกิจการ 3 ธนาคารเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) โดยรักษาระดับหุ้นในนามตัวเองเพียง 4% แต่หากรวมหุ้นในส่วนที่ถือผ่านนอมินีแล้ว เท่ากับว่า Trương Mỹ Lan ถือหุ้นของ SCB ไว้ถึง 91.5% 

หลังจากนั้น เธอเริ่มใช้อำนาจผ่านหุ้นที่เธอมีแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ที่ทำให้บริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group ของเธอได้วงเกินกู้จากธนาคารอย่างไม่จำกัด และไม่มีการตรวจสอบเอกสารใดๆ แม้กระทั่งการเบิกเงินจากเช็คที่ไม่มีที่มา หรืออนุมัติวงเงินกู้เกินกว่าราคาประเมินโครงการก่อสร้าง หรือออกเงินกู้ให้แก่บริษัทผี ที่จดทะเบียนแต่ในนาม ทั้งในและต่างประเทศหลายแห่ง

ว่ากันว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอต้องการเงินก้อนใหญ่ เธอจะเรียกผู้บริหารระดับสูงออกมาประชุมนอกสำนักงานใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หรือเพียงแค่ต่อสายตรงไปที่ผู้จัดการธนาคาร ก็สามารถกู้เงินฉุกเฉินได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐานใดๆ 

และพบว่า ช่วงปี 2012 - 2022 เธอได้กู้เงินจากธนาคารที่เธอเข้าไปถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนถึง 93% ของวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารปล่อยกู้ในช่วงเวลานั้น โดยเธอได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเวียดนาม เพื่อให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ กับรายงานบัญชีอันผิดปกติของธนาคาร SCB

แต่แล้วพฤติกรรมของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ก็ถูกขุดคุ้ยและเปิดโปง จากผลพวงของแคมเปญกวาดล้างคอร์รัปชันของรัฐบาลเวียดนาม มีการสั่งปลด ลงโทษข้าราชการระดับสูง และคนระดับรัฐมนตรีมากมายในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดี Trương Mỹ Lan ด้วยข้อหาคอร์รัปชันและฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนและความหละหลวมของระบบธนาคาร และการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยภาครัฐ จนเกิดความเสียหายหลักแสนล้านบาท แต่ที่เสียหายหนักกว่านั้น คือความศรัทธาต่อสถาบันการเงินทั้งระบบของเวียดนาม ที่อาจต้องชำระและล้างบางเป็นการด่วน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top