Sunday, 18 May 2025
TheStatesTimes

อีอีซี ชูศักยภาพพลังคนรุ่นใหม่ ร่วมโครงการ “อีอีซี สแควร์” เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชน พร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วนผลักดันสร้างโอกาสขยายผลโครงการจริง

​เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชน สกพอ. หรือ อีอีซี เป็นประธานพร้อมมอบรางวัลในงานประกาศรางวัลโครงการ อีอีซี สแควร์ ประจำปี 2566 (EEC2 : Environmental Empowerment CAMP & CONTEST) ณ โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน อาทิ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านพื้นที่และชุมชน นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายชัยพร  แพภิรมย์รัตน์ ปลัดจังหวัดชลบุรี 

นายฉัตรชัย ทิมกระจ่าง นายกเทศมนตรีเมืองศรีราชา นายณัฏฐ์ธน สาตรจีนพงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ผศ.ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล ผู้รักษาการแทนรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยบูรพา ธนาคารกรุงไทย จำกัดบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้าร่วมชมผลงานและแสดงความยินดีแก่เยาวชน โดยโครงการ อีอีซี สแควร์ ประจำปี 2566 ได้สร้างการมีส่วนร่วม และสิ่งเสริมให้เยาวชนใน อีอีซี แสดงศักยภาพผ่านการประกวดการสร้างสรรค์โครงงานนวัตกรรม และการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยพัฒนาสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นในมิติต่างๆ ตามบริบทของพื้นที่ พร้อมสร้างโอกาสการขยายผลจริงในชุมชน 

​ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการประเมินผลงานเยาวชนซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจาก EECi. NECTEC สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพื้นที่ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศิลปากร PTTGC และธนาคารไทยพาณิชย์ โดยผลงานดีเด่น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ โรงเรียนเซนต์หลุยส์ฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา กับการออกแบบและพัฒนาถังดักไขมันในน้ำเสียเพื่อใช้ในครัวเรือน รองชนะเลิศอันดับ 1 โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา กับโครงการ Smart farm feeding เครื่องให้อาหารปลาอัตโนมัติและติดตามอุณหภูมิน้ำผ่าน Application และรองชนะเลิศอันดับ 2 โรงเรียนหมอนทองวิทยา จังหวัดฉะเชิงเทรา กับผลงานโครงการกระถางจากธรรมชาติ โดยนำฟางข้าวมาแปรรูปเป็นกระถางเพื่อลดมลภาวะทางอากาศจากการเผาฟางข้าว  
​นอกจากนี้ ยังมีรางวัลพิเศษแห่งความประทับใจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทย อีก 5 รางวัล ได้แก่ รางวัล Best Content Creator ได้แก่ โรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย จังหวัดระยอง รางวัล Best Impact ได้แก่ โรงเรียนแปลงยาวพิทยาคม จังหวัดฉะเชิงเทรา รางวัล School Supporter ได้แก่ โรงเรียนบ้านสวน (จั่นอนุสรณ์) จังหวัดชลบุรี รางวัล Young EEC Square Courage ได้แก่ โรงเรียนวัดป่าประดู่ จังหวัดระยอง และรางวัล Start Up DNA ได้แก่ โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จังหวัดระยอง 

​สำหรับโครงการ อีอีซี สแควร์ นับเป็นโครงการสำคัญที่ อีอีซี สร้างการมีส่วนร่วมและพัฒนาศักยภาพเยาวชน ซึ่งได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 โดยในปี 2566 นี้ได้เปิดรับสมัครเยาวชนระดับมัธยมศึกษาในพื้นที่อีอีซี มีเยาวชนเข้าร่วมจำนวน 17 โรงเรียน และได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับ อีอีซี การนำเทคโนโลยีนำเทคโนโลยี board Kidbright มาปรับใช้ในการทำโครงงาน ซึ่งตั้งใจให้เยาวชนที่เรียนเรื่อง coding ในโรงเรียนอยู่แล้วได้เข้าใจว่าสิ่งที่เรียนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลงานที่เป็นประโยชน์ได้อย่างไร รวมถึงมีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ เช่น การทำงานเป็นทีม การศึกษาดูงานกระบวนการผลิตแบตตารีลิเทียมในอุตสาหกรรมจริง เป็นต้น และที่สำคัญ อีอีซี ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนหลายหน่วยงาน ให้ความสนใจนำผลงานเยาวชนไปพัฒนาต่อยอดขยายผลจริงในชุมชน ในโรงงาน และสร้างโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อีกด้วย

ไทย สมายล์ บัส มอบหมวกกันน็อค ในกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ปี 2566

วันที่ 4 ธันวาคม 2566 

คุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย
นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  และ ทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) ไทย สมายล์ บัส 

ได้ร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานต่างๆ จัดกิจกรรมจิตอาสา แจกหมวกกันน็อค  ในนามของ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด 
เพื่อสนับสนุนงานด้านจราจรและความปลอดภัย เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2566 ณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร

ซึ่งบรรยากาศของการจัดกิจกรรมจิตอาสาในจุดนี้มีพี่น้องประชาชน นักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่างๆ และชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

'แบงก์ชาติ' เปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน 'ไทย-ฮ่องกง' ผ่าน QR เอื้อประโยชน์ผู้ที่เดินทางระหว่าง 2 ประเทศกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี

(4 ธ.ค.66) ธนาคารกลางฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority: HKMA) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดตัวการให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่าน QR ระหว่างฮ่องกงและประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่เดินทางระหว่างฮ่องกงและประเทศไทยได้รับบริการชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่าย

บริการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่าน QR ดังกล่าว จะทำให้ผู้ที่เดินทางระหว่างฮ่องกงและประเทศไทยสามารถทำรายการชำระเงินกับร้านค้าได้โดยง่าย โดยผู้ใช้บริการที่มาจากฮ่องกงสามารถใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือสแกน QR มาตรฐานของไทย (Thai QR code) และผู้ใช้บริการที่มาจากไทยสามารถใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือสแกน QR ของฮ่องกง (Hong Kong FPS QR code) ที่ร้านค้าได้แสดงไว้ ทำให้ผู้ใช้บริการมีช่องทางชำระเงินที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ ขณะที่ร้านค้าจะได้รับเงินค่าสินค้าในทันที ทั้งยังเป็นการสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของฮ่องกงและประเทศไทยด้วย

นาย Eddie Yue ผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกง กล่าวว่า ธนาคารกลางฮ่องกงมีความยินดีอย่างยิ่งต่อความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาช่องทางการชำระเงินข้ามพรมแดนรายย่อย ที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ โดยการเปิดตัวบริการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของระบบ Fast Payment System ในการขยายบริการชำระเงินข้ามพรมแดนในภูมิภาค

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ความร่วมมือกับฮ่องกงในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทย และสะท้อนความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการชำระเงินข้ามพรมแดนในภูมิภาค ให้มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เดินทางระหว่างฮ่องกงและไทยจำนวนประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี และต่อร้านค้าที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม

โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งการผลักดันจากธนาคารกลาง คือ HKMA และ ธปท. ผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน ได้แก่ Hong Kong Interbank Clearing Limited (HKICL) และ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการชำระดุลระหว่างประเทศ ได้แก่ HSBC Hong Kong และธนาคารกรุงเทพ รวมทั้งผู้ให้บริการชำระเงินหลายรายที่เข้าร่วมให้บริการแอปพลิเคชัน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ 7 แห่ง และ Non-bank 2 แห่งของฮ่องกง และธนาคารพาณิชย์ 3 แห่งของไทย และอีกหลายแห่งของทั้งสองฝ่ายที่ร่วมให้บริการ QR แก่ร้านค้า โดยมีรายชื่อตามเอกสารแนบ

ธนาคารกลางทั้ง 2 แห่งเชื่อว่าการเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดนครั้งนี้ ให้ทางเลือกการชำระเงินที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และจะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้านนวัตกรรมทางการเงินในภูมิภาคมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต

5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และภายหลังการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เรื่อง กำหนดวันสำคัญของชาติไทย มีใจความสำคัญให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย ดังนี้ 

1. เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 

2. เป็นวันชาติ 

3. เป็นวันพ่อแห่งชาติ

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป 

‘5 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร’ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ประชาชนคนไทยยังคงน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันประเสริฐ และเทิดทูนพระองค์ด้วยความรัก ความศรัทธา โดยตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

‘5 ธันวาคม เป็นวันชาติไทย’ แม้โดยทั่วไปมักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้น ๆ ได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของกษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง ‘วันชาติ’ ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใดขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้น ๆ โดยความเป็นมาของวันชาติไทยนั้น แต่เดิมกำหนดให้เป็นวันที่ 24 มิถุนายน โดยวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติไทยได้ 21 ปี ต่อมาในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 รัฐบาลในขณะนั้นมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศ และเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติ จึงให้ถือวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็น ‘วันชาติ’ มาจนถึงปัจจุบัน

‘5 ธันวาคม เป็นวันพ่อแห่งชาติ’ วันพ่อแห่งชาติ มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เนื่องจากพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ และเพื่อให้ผู้เป็นพ่อสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน ดังนั้นจึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันพ่อแห่งชาติ’

‘ซีพีเอฟ’ ขับเคลื่อนกิจกรรมสร้างสมดุลเพื่อธรรมชาติ ปลูกจิตสำนึก ‘พนักงาน-คู่ค้า’ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

(4 ธ.ค. 66) นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสุงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า วันที่ 4 ธันวาคม เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก  ทาง ซีพีเอฟ ซึ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกันลดผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  (Climate Change) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การเติบโตบนพื้นฐานของความยั่งยืน ตามแนวทาง ESG (Environment Social Governance) และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคที่ประชาชนทุกคนในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้งทรัพยากรป่า ไม้ น้ำ และได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน  สนับสนุนความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

"เราตระหนักดีว่า ในการดำเนินธุรกิจ ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซีพีเอฟ มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Business) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งน้ำ อากาศต้นไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างธรรมชาติที่ดีให้กับสังคม และสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ " นางกอบบุญ กล่าว

ซีพีเอฟ กำหนดประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางสู่ความยั่งยืนของบริษัทฯ อาทิ  การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (Water Management) การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ( Biodiversity and Ecosystem) การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate Change Management and Net-Zero)

การดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต พัฒนามาตรฐานฟาร์มสีเขียว (Green Farm) บริหารจัดการฟาร์มสุกรรักษ์โลกที่เน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิดที่ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำหรือระบบอีแวป (EVAP) ใช้ระบบบำบัดน้ำด้วยไบโอแก๊ส (Biogas) ช่วยลดกลิ่น กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ลดผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย และระบบอัตโนมัติมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตอาหารสัตว์ กระบวนการผลิตอาหาร ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน โดยร่วมมือกับ กลุ่ม SCG พัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นอกจากนี้  บริษัทฯได้จัดทำนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืน  โดยตั้งเป้าหมายร้อยละ 100 ของการจัดหาวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ข้าวโพด  ปลาป่น น้ำมันปาล์ม กากถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง ต้องไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยึดแนวทาง ‘ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ’ พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดมาใช้ในการจัดหาผลผลิต รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเพิ่มผลผลิต ปลอดการเผาตอซัง แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5  บรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความปลอดภัย

ซีพีเอฟ ยังได้ส่งเสริมความตระหนักของพนักงาน รู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ปกป้องและดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป๋าชายเลน โครงการปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการทั้งกิจการในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ กิจกรรมกับดักขยะทะเล ในโครงการ CPF Restore the Ocean  ที่นำแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ ด้วยการนำฝาขวดน้ำพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วมาแปรรูปเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ อาทิ  กระถางต้นไม้ และถาดใส่ของ ซึ่งโครงการดังกล่าว สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจ คือ สร้างรายได้เสริมให้กับชุมชน จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ด้านสังคม สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขยะ และด้านสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหามลพิษจากขยะพลาสติก รักษาระบบนิเวศทางทะเล

นางกอบบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ส่งเสริมให้คู่ค้าตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความรู้ให้คู่ค้า SMEs ช่วยพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบการนำส่วนของผลประหยัดที่เกิดขึ้น  มาลงทุนกับโครงการลดการปล่อยคาร์บอนฯของตัวเอง ขณะเดียวกัน ได้จัด โครงการ ‘ปันรู้ ปลูกรักษ์’ โดยร่วมมือกับโรงเรียนในพื้นที่ที่ซีพีเอฟเข้าไปดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมให้ความรู้กับเยาวชนเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมมือกันอนุรักษ์และดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

นักเคลื่อนไหว 'แอกเนส โจว' หนีประกันไปเรียนต่อที่แคนาดา  ลั่น!! 'เครียด-ซึมเศร้า' อาจไม่กลับฮ่องกงอีก 'ตลอดชีวิต' 

(4 ธ.ค. 66) แอกเนส โจว (Agnes Chow) หนึ่งในแกนนำนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกง ประกาศว่าตัวเธอเองได้หนีการประกันตัว และเดินทางไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่แคนาดาแล้ว

โจว ถูกศาลฮ่องกงสั่งจำคุก 10 เดือนเมื่อปี 2020 ในความผิดฐานเข้าร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 2021 โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเข้ารายงานตัวกับตำรวจอย่างสม่ำเสมอ

สถานีโทรทัศน์ TVB ของฮ่องกงรายงานวันนี้ (4 ธ.ค.) ว่า ตำรวจฮ่องกงได้แถลง ‘ประณามอย่างรุนแรง’ ต่อการละเมิดเงื่อนไขประกันตัวของ โจว และเรียกร้องให้เธอ ‘อย่าเลือกเดินเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับในการเป็นผู้ลี้ภัยตลอดชีวิต’

ก่อนหน้านั้น โจว ได้โพสต์อินสตาแกรม 2 ครั้งในวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) เพื่อฉลองวันเกิดปีที่ 27 ของเธอ พร้อมเปิดเผยว่ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองโทรอนโตของแคนาดารับเธอเข้าศึกษาต่อแล้ว และเธอตัดสินใจเดินทางออกจากฮ่องกงไปยังแคนาดาเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

โจว เล่าว่าเพื่อที่จะได้หนังสือเดินทางคืน เธอต้องยอมถูกตำรวจ 5 นายคุมตัวไปยังจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเดือน ส.ค. โดยไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้

“ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา” เธอโพสต์ข้อความ

โจว ถูกนำตัวไปเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของจีนภายหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศเมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1970 ก่อนจะถูกพาไปที่สำนักงานใหญ่ของเทนเซนต์ (Tencent) และถูกขอให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย

“ถ้าฉันไม่ออกมาพูดอะไร ภาพถ่ายเหล่านั้นอาจจะถูกใช้เป็นหลักฐานแสดงความรักชาติ (patriotism) ของฉันไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันกลัวจริง ๆ” เธอกล่าว

โจว เล่าต่อว่า เมื่อเดินทางกลับถึงฮ่องกงเธอถูกบังคับให้ลงนามในจดหมายแสดงความ ‘สำนึกผิด’ ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ‘ขอบคุณ’ ตำรวจที่ช่วยจัดทริปให้เธอได้เดินทางไปเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘การพัฒนาอันแสนยอดเยี่ยมของประเทศบ้านเกิดเมืองนอน’

โจว มีกำหนดต้องเข้ารายงานตัวกับตำรวจอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ธ.ค. เนื่องจากเธอยังคงถูกสอบสวนฐานสมคบคิดต่างชาติบ่อนทำลายความมั่นคงจีน โดยเชื่อมโยงกับคดีของ จิมมี ไล (Jimmy Lai) มหาเศรษฐีและเจ้าพ่อวงการสื่อที่สนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยฮ่องกง

สาวนักเคลื่อนไหวรายนี้บอกว่า เธอได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเกี่ยวกับ ‘สถานการณ์ในฮ่องกง รวมถึงความปลอดภัยและสุขภาพจิตของตัวเอง’ ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อที่แคนาดา

“บางทีฉันอาจไม่กลับไปฮ่องกงอีกเลยตลอดชีวิต” โจว กล่าว

โจว ยอมรับว่า แรงกดดันจากการถูกดำเนินคดีทำให้เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (depression) และยังมีอาการของโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะทือนขวัญ หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder)

แอกเนส โจว เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวฮ่องกงซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุด และถึงขั้นได้รับฉายาว่า ‘มู่หลานตัวจริง’ โดยอ้างอิงกับตำนานวีรสตรีจีน ‘ฮวา มู่หลาน’ ที่ปลอมตัวเป็นชายออกไปจับอาวุธปกป้องครอบครัวและชาติบ้านเมือง

โจว เคยได้รับคัดเลือกจาก BBC ให้เป็นหนึ่งใน 100 ผู้หญิงทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2020

ทางการฮ่องกงยังคงเดินหน้าปราบปรามนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ในปี 2019 ซึ่งนำมาสู่การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี 2020

เริ่มแล้วประชุมครม.สัญจรหนองบัวลำภูโมเดล "นายกเศรษฐา" เล็งจัดงบประมาณซอฟพาวเวอร์ 5,164 ล้านบาท

วันที่ 4 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่โรงแรมณัฐพงษ์ แกรนด์ จ.หนองบัวลำภู สถานที่ประชุมครม.สัญจร ครั้งที่ 1 "หนองบัวลำภูโมเดล"  3 ก. แก้จน แก้ยาเสพติด และแก้สารเคมี  โดยมีนักการเมือง ส่วนราชการ เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก ท่ามกลางความสนใจของประชาชน ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บริเวณรอบนอก ขณะที่ผู้ประกอบการสินค้าโอทอปในพื้นที่ จ.หนองบัวลำภู โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพผู้ผลิต และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าฝ้าย ผ้าไหม ที่ได้จากภูมิปัญญาและเป็นชิ้นงานหัตถกรรมที่ชึ้นชื่อ หลายแบรนด์  ต่างนำผลิตภัณฑ์ มาจัดบูธแสดง และจำหน่าย บรรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก

ทั้งนี้ บริเวณสถานที่จัดประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 เป็นครั้งแรกในภูมิภาคอีสานตอนบน หรือกลุ่มจังหวัด "สบายดี" ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน คือ เลย อุดรธานี หนองคาย และหนองบัวลำภู โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยทุกหน่วยงาน ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ  ตรึงกำลังอารักขาเข้มข้น บรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

ทั้งนี้ สำหรับการประชุม ครม.สัญจรครั้งที่ 1 นี้ ฝ่ายดำเนินการประชุมได้ออกแบบให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงการคลัง   พร้อมคณะ สวมเสื้อ ครม.สัญจร สีชมพู "ลายขอ" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดเย็บจากผ้าลายบัวลุ่มภู ของดีขึ้นชื่อของกลุ่มผู้ผลิต จ.หนองบัวลำภู เพื่อแสดงอัตลักษณ์ และประชาสัมพันธ์ของดีที่โดดเด่น ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น 
สำหรับวาระการประชุม ครม.สัญจร ครั้งนี้ มีวาระสำคัญคือ เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัด เสนอโครงการเพื่อขออนุมัติงบประมาณจังหวัดเพิ่มอีกจังหวัดละ 100 ล้านบาท เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาด้านการท่องเที่ยว ด้านยาเสพติด แก้ปัญหาทางการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รวมทั้งผลักดันให้ จ.หนองบัวลำภู เข้าร่วมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย
โดยหลังการประชุมครม.สัญจร ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ในส่วนโครงการซอฟพาวเวอร์ที่กำลังขับเคลื่อนนั้น  จะใช้งบประมาณดำเนินการจำนวน 5,164 ล้านบาท ให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ และต้องเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนมากที่สุด

"ขณะที่ความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเลตนั้น จะมีการส่งเรื่องถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาภายในสิ้นเดือนนี้" นายเศรษฐากล่าวในที่สุด

อดห่วงสังคมไทย ‘ปวกเปียก-เบาหวิว-ผิวเปลือก’   เมื่อมีคนดัง ‘โง่’ สังคมไทยจึงได้แต่ความ ‘ง่อย’

สังคมไทย เวลาจะดูว่า ‘คนดัง’ ในแวดวงต่าง ๆ เช่น ดารา นักร้อง หรือเซเลบที่มีชื่อเสียงในวงสังคมคนไหนฉลาดปราดเปรื่อง หวังพึ่งพา คิดดีต่อส่วนรวม หรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมได้หรือไม่นั้น วิธีง่ายที่สุด ให้ดูการให้สัมภาษณ์ออกสื่อในแต่ละครั้ง…

แม้คำถามที่ถูกถามจากนักข่าว หรือผู้ดำเนินรายการต่าง ๆ จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คนดังที่มี ‘สำนึกดี’ หรือ ‘คิดเป็น’ จริง ๆ จะสามารถพูดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความห่วงใยต่อสังคมที่เป็นไปได้ตลอดเวลา หรือจะดูการเขียน Facebook สำหรับคนที่เล่น Facebook อยู่เป็นประจำก็พอจะเห็นตัวตนจริง ๆ ได้ชัดในระดับหนึ่ง 

และนั่นก็รวมถึงนักการเมืองด้วย!!

นักการเมืองไทยยุคใหม่มักแสดงออกถึงการเป็นคนที่มีการศึกษาสูง แต่ทุกวันนี้บางคนยังเขียนคำว่า ‘คะ’ กับ ‘ค่ะ’ หรือ ‘ครับ’ เป็น ‘คับ’ โชว์ออกโซเชียลเน็ตเวิร์กรายวัน เห็นถึงการเป็นคนขาดความรู้ ขาดความละเอียดในการดำเนินชีวิต ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อมีสำนึกที่ต่ำเตี้ยเช่นนี้ ก็ยากที่ประชาชนจะหวังพึ่งพาอาศัยในเรื่องที่ถูกต้องได้ 

เรื่องการไปให้สัมภาษณ์สื่อต่าง ๆ บางคนอาจจะคิดว่าก่อนที่คนดังจะตอบ ก็ต้องกลับมาที่คำถามจากสื่อก่อน ด้วยสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ก็มักจะถามในสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์กับสังคม หรือถามแต่สิ่งที่ชาวบ้านนิยมชมชอบ แต่ขาดความลุ่มลึกในการถาม ขาดคำถามที่มีประสิทธิภาพ 

แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ว่าใครจะถามมาแบบไหน คนดังที่มีความฉลาดหลักแหลมในการตอบ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่สูงมากพอ คำตอบนั้น ๆ ก็จะมีแง่มุมให้คิดตามในทุก ๆ คำถามเสมอ เรียกว่าสามารถใช้ทุกโอกาส ทุกช่องทางที่มี ผลักดัน และต่อยอดไปในทางสร้างสรรค์ได้ในทุก ๆ สถานการณ์ แต่เรื่องเช่นนี้เราจะไม่มีทางได้เห็นในกลุ่มคนดังที่บ้องตื้น โง่เขลาเบาปัญญา แสวงหาแต่ชื่อเสียงและเงินทองไปวัน ๆ ซึ่งจะมีเป็นส่วนใหญ่ ๆ ในสังคมไทย 

บางที ที่เด็ก ๆ สมัยนี้ ขาดความลึกซึ้ง ขาดสามัญสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคม และหยาบกระด้าง นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราขาด ‘แบบอย่างที่ดี’ ยุคนี้เราจะเจอแต่ประเภทป่วยเปียก เบาหวิว และผิวเปลือก ฉายโชว์ออกสื่อ ปลิวว่อนบนโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา แล้วแก่นแกนที่ดีงาม ความแข็งแรงทางความคิดที่ตั้งอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องจากใครไหนเล่า จะมีให้ยึดเกาะหรือเดินตาม? มีแต่เลวร้ายลงจนยากจะฉุดดึงให้กลับมาสูงสง่าเท่าเดิม 

คำตอบที่ช่วยพยุงได้ในทันทีคือ ‘ตัวเรา’ 

ถ้าคิดว่าพึ่งพาใครไม่ได้ ก็อย่าพยายามเป็นในแบบที่มักง่าย และทำในสิ่งที่มันดูไม่งาม ผลักให้สังคมมันล้มตามกันไป

6 ธันวาคม พ.ศ. 2443  ในหลวง ร.5 อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ 33 รูป มาจำวัดที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

วันนี้เมื่อ 123 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาพระสงฆ์จำนวน 33 รูป มาจำวัดที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เพื่อทำให้เป็นวัดที่สมบูรณ์

วัดเบญจมบพิตรเดิมเป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งสมัยใด ชาวบ้านเรียกว่า วัดแหลม หรือวัดไทรทอง

เมื่อถึงปี 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสน เพื่อสร้างที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์ โดยพระราชทานนามว่า ‘สวนดุสิต’ ซึ่งก็คือพระราชวังดุสิต ในปัจจุบัน ซึ่งบริเวณที่ดินที่ทรงซื้อนั้นมีวัดโบราณ 2 แห่ง คือ วัดดุสิตซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมโดยถูกใช้เป็นที่สร้างพลับพลา และวัดร้างอีกแห่งซึ่งจำเป็นต้องใช้ที่ดินของวัดสำหรับตัดเป็นถนน พระองค์จึงทรงกระทำผาติกรรม สร้างวัดแห่งใหม่เพื่อเป็นการทดแทนตามประเพณี โดยทรงเลือกบริเวณที่เป็นวัดเบญจมบพิตรปัจจุบัน เป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่และทำโดยฝีมือประณีตจะดีกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงครามเป็นนายช่างก่อสร้าง

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังวัด ก็มีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคามสีมาของวัด พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตร อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และเพื่อแสดงลำดับรัชกาลในราชวงศ์จักรี

และ พระองค์ก็ได้ถวายที่ดินซึ่งพระองค์ขนานนามว่า ดุสิตวนาราม ให้เป็นที่วิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร ครั้นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ ทรงโปรดให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์จำนวน 33 รูป ซึ่งโปรดให้คัดเลือกไว้แล้ว และให้รวมฝึกอบรมอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ มาจำวัดที่วัดเบญจมบพิตรทำให้วัดเป็นวัดที่สมบูรณ์ และในคราวนี้เองได้พระราชทานที่วัดเพิ่มเติม และสร้อยนามต่อท้ายชื่อวัดว่า ‘ดุสิตวนาราม’ เรียกรวมกันว่า ‘วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม’ เช่นในปัจจุบัน

‘จีน’ บริจาค ‘ห้องเรียนอัจฉริยะ’ แห่งที่ 2 ให้ ‘บังกลาเทศ’ หวังส่งเสริมวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีแก่ ‘นร.-นศ.’ ในท้องถิ่น

(4 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตจีนในบังกลาเทศได้บริจาคห้องเรียนอัจฉริยะแก่บังกลาเทศเป็นแห่งที่ 2 ภายใต้โครงการการพัฒนาผู้มีความรู้ความสามารถมิตรภาพจีน-บังกลาเทศ โดยมีการจัดพิธีเปิดห้องเรียนดังกล่าวที่โรงเรียนมัธยมปลายและวิทยาลัยโซฟีร์ อุดดิน ในเมืองซิลเหต เมื่อวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) ที่ผ่านมา

เหยาเหวิน เอกอัครราชทูตจีนประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า ฝ่ายจีนหวังว่าห้องเรียนอัจฉริยะนี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น พร้อมเรียกร้องนักเรียนนักศึกษาตั้งใจเล่าเรียนเพื่อมีส่วนส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายสมาร์ต บังกลาเทศ (Smart Bangladesh) ตามที่รัฐบาลบังกลาเทศคาดหวัง

ดร. โรชิด อาเหม็ด ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ กล่าวขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตจีนสำหรับการบริจาคห้องเรียนอัจฉริยะนี้ รวมถึงการสนับสนุนฉันมิตรจากประชาชนชาวจีนแก่นักเรียนนักศึกษาของโรงเรียน

รายงานระบุว่า ห้องเรียนอัจฉริยะนี้มีระบบจัดการการเรียนรู้ขั้นสูงด้วยหัวเหว่ย ไอเดียฮับ (Huawei IdeaHub) ซึ่งจะช่วยให้ครูและนักเรียนมีแพลตฟอร์มการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและทางออนไลน์ขั้นสูง โดยหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ (Huawei South Asia) เป็นหุ้นส่วนทางเทคนิคในโครงการนี้

พานจวิ้นเฟิง ประธานหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ และซีอีโอหัวเหว่ยประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า หัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้จะเดินหน้าช่วยเหลือการสร้างความเป็นดิจิทัลแก่ภาคการศึกษาของบังกลาเทศต่อไป

อนึ่ง ก่อนหน้านี้สถานเอกอัครราชทูตจีน และหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ ได้บริจาคห้องเรียนอัจฉริยะแห่งแรกแก่โรงเรียนและวิทยาลัยเทคนิครัฐบาลจันทปุระของบังกลาเทศ เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top