Tuesday, 29 April 2025
TheStatesTimes

‘โรงเรียนนายเรือ’ เปิดรับสมัครนักเรียนเตรียมทหาร อายุ 16-18 ปี เข้าร่วม ‘โครงการฉลามขาว ปี 67’ พร้อมสิทธิประโยชน์เพียบ!!

‘กองทัพเรือ’ โดย ‘โรงเรียนนายเรือ’ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครเข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ ใน ‘โครงการฉลามขาว ประจำปีการศึกษา 2567’ 🛳️⚓🦈

โดยต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นนักเรียนชายที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ม.4) ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ

ต้องมีผลการศึกษาดังต่อไปนี้
- ภาคเรียนที่ 1 คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.75 และมีคะแนนเฉลี่ยวิชาพื้นฐาน ดังนี้
- วิชาคณิตศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 3.50 
- วิชาวิทยาศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 3.50 
- วิชาภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า 3.0  
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี และไม่เกิน 18 ปี ในปีที่จะเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ

**ซึ่งการนับอายุให้นับตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหาร คือ ผู้ที่เกิดตั้งแต่วันที่  1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551**

สิทธิประโยชน์ของนักเรียน ‘โครงการฉลามขาว’ 🦈 ได้รับทุนการศึกษาเป็นค่าใช้จ่าย ขณะศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ และมีสิทธิ์สอบคัดเลือกไปศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ กลุ่มประเทศยุโรป/ สหรัฐอเมริกา/ ออสเตรเลีย รวมทั้งได้รับการพิจารณาให้ศึกษาในระดับปริญญาเอก ในสาขาวิชาที่กองทัพเรือต้องการ 🛳️⚓

***สมัคร ทางไปรษณีย์เพียงช่องทางเดียวเท่านั้นโดยสามารถ/Download ใบสมัคร/ทางเว็บไซต์โรงเรียนนายเรือ http://www.rtna.ac.th หรือ http://www.admission-rtna.net หรือ เว็บไซต์กองทัพเรือ https://www.navy.mi.th 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ : 0-2475-3995, 2475-7435 ระหว่างเวลา 08.00 น. ถึง 16.00 น.ทุกวันราชการ หรือ email : [email protected]

Spot ประชาสัมพันธ์ การรับสมัคร ‘โครงการฉลามขาว’ นักเรียนเตรียมทหาร ในส่วนของกองทัพเรือ ปี 2567 รับชมได้ที่นี่ >> https://youtu.be/zbRm4c2NmDE

‘เปปเปอร์ เอ็กซ์’ ทุบสถิติกินเนสส์บุ๊ก ขึ้นแท่นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ค่าความ ‘เผ็ด’ แซงหน้า ‘แคโรไลนา รีเปอร์’ เจ้าของสถิติเดิมถึง 2 เท่า!!

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ‘กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด’ (Guinness World Records) รับรองสถิติอย่างเป็นทางการของพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกอย่าง ‘เปปเปอร์ เอ็กซ์’ (Pepper X) ด้วยคะแนนระดับ 2.693 ล้านสกอวิลล์ ซึ่งเป็นหน่วยวัดระดับความเผ็ด แซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมอย่างพริกสายพันธุ์ ‘แคโรไลนา รีเปอร์’ ที่มีระดับความเผ็ดอยู่ที่ 1.64 ล้านสกอวิลล์

โดยเจ้าของพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก คือ นายเอ็ด คูร์รีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท พัคเกอร์บัตต์ เปปเปอร์ ในเซาท์ แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายเอ็ด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกและดัดแปลงสายพันธุ์พริกที่มีความเผ็ดในระดับโลก และยังเป็นผู้ดัดแปลงและพัฒนาพริกสายพันธุ์แคโรไลนา รีเปอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติเดิมด้วย

‘เปปเปอร์ เอ็กซ์’ เป็นพริกที่มีสีเหลือง เกิดจากการดัดแปลงสายพันธุ์ที่ใช้ต้นแบบของพริกสายพันธุ์แคโรไลนา รีเปอร์ พร้อมใช้เวลากว่า 5 ปี ในการพิสูจน์ว่าเปปเปอร์ เอ็กซ์ เป็นพริกชนิดใหม่ที่ไม่ซ้ำกับพริกใด ตัวพริกให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนในปากและใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงกว่าอาการเผ็ดจะลดลง ทำให้พริกทรินิแดด มอรูก้า สกอร์เปี้ยน เจ้าของสถิติพริกที่เผ็ดสุดในโลกก่อนหน้าพริกสายพันธุ์แคโรไลนา รีเปอร์ ที่มีความเผ็ดระดับ 2.009 ล้านสกอวิลล์ จึงหล่นลงมาอยู่อันดับ 3 ส่วนพริกเซเว่น พอต ดักลาห์ ที่มีความเผ็ดระดับ 1.853 ล้านสกอวิลล์ ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 4 ตามลำดับ

‘รมว.กก.’ ปลื้ม!! ยอดต่างชาติแห่เที่ยวเมืองไทย แตะ 21 ล้านคน โกยเม็ดเงินเข้าประเทศ 8.8 แสนล้าน พบ ‘นทท.มาเลฯ’ ยืนหนึ่ง!!

(17 ต.ค. 66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประเมินเบื้องต้น พบว่า จากสถิติประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-16 ตุลาคม 2566 รวมกว่า 21,019,800 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 882,450 ล้านบาท

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6.71% หรือเพิ่มขึ้น 5,227 คน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) ประกอบกับสายการบินเริ่มปรับเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซีย ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 470,299 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 67,186 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 27,226 คน หรือลดลง 5.56%

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด จำนวน 74,233 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% รองลงมา ได้แก่ จีน 61,094 คน ปรับลดลง 18.64%, อินเดีย 30,170 คน ปรับลดลง 11.32%, เกาหลีใต้ 27,264 คน ปรับลดลง 11.31% และรัสเซีย 22,018 คน ปรับลดลง 2.88%

โดยในสัปดาห์ถัดไป คาดว่านักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากสิ้นสุดวันหยุดยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคโอเชียเนีย อีกทั้งมีความกังวลต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย รวมถึงการเข้าสู่ภาวะสงครามของอิสราเอล นอกจากนั้น การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเหตุความขัดแย้ง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

‘นายกฯ เศรษฐา’ หวังเพิ่มความร่วมมือ BRI กับจีน ปั้น ‘โครงสร้างพื้นฐาน-พลังงานสีเขียว’ ดึงทุนใหญ่เข้าไทย

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผยบทสัมภาษณ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ระบุว่า แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ได้ส่งเสริมการร่วมสร้างการเชื่อมต่อระดับชาติ และไทยมุ่งหวังเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนในด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสีเขียว รวมถึงขยับขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ขณะสัมภาษณ์พิเศษก่อนเดินทางเยือนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 ในกรุงปักกิ่ง นายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา แผนริเริ่มฯ ได้พัฒนาการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ และไทยหวังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังล้าหลังของประเทศผ่านความร่วมมือตามแผนริเริ่มฯ

“ถ้าไม่มีวิธีการขนส่งที่ทันสมัย ย่อมไม่สามารถหมุนเวียนสินค้าได้ดี” นายเศรษฐากล่าว โดยหลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกฯ แล้ว เศรษฐาได้เดินทางเยือนจังหวัดหนองคายเพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และเผยว่าสถานะจุดเปลี่ยนผ่านของหนองคายบนทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย จะส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมาก

นายกฯ ให้สัมภาษณ์อีกว่า ไทยจะขยับขยายการเชื่อมต่อระหว่างทางรถไฟภายในประเทศกับทางรถไฟจีน-ลาว พร้อมกับเดินหน้าการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ยกระดับทางรถไฟที่มีอยู่เดิมและกระตุ้นการเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงปรับปรุงท่าอากาศยานและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการอำนวยความสะดวกอื่นๆ

“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังมีสิ่งที่สามารถทำได้และควรทำให้สำเร็จอยู่อีกมาก” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกันการร่วมสร้างแผนริเริ่มฯ มีบทบาทส่งเสริมการพัฒนาพลังงานสีเขียวอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ โดยนายเศรษฐาสำทับว่าไทยหวังยกระดับการพัฒนาพลังงานสีเขียว ดึงดูดการลงทุนระดับสูงเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวภายใต้แผนริเริ่มฯ

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนที่กำลังเติบโต นายเศรษฐากล่าวว่า มีบริษัทจีนเข้าลงทุนและก่อสร้างโรงงานในไทยไม่น้อย ทำให้ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน โดยไทยและจีนควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะสร้างงานในไทย รวมถึงยกระดับการผลิตและการส่งมอบยานยนต์

นอกจากนั้น นายเศรษฐา ยังแสดงความหวังว่าไทยและจีนจะเสริมสร้างความร่วมมือทางเทคโนโลยี โดยชี้ว่าการจัดตั้งโรงงานในไทย บริษัทจีนย่อมต้องนำทีมวิศวกรชั้นนำมาด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ความก้าวหน้าของจีน ขณะเดียวกันหวังว่าบุคลากรของไทยจะมีโอกาสเดินทางไปฝึกอบรมที่จีนด้วย

ส่วนการดำเนินนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลา 5 เดือน นายเศรษฐากล่าวว่า จีนเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดของไทย การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าจะเกื้อหนุนนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทย รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศ วางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับความร่วมมือเพิ่มเติม

เมื่อเอ่ยถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน นายเศรษฐา เผยว่า ไทย-จีน มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยและหนึ่งในแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งเขาจะนำคณะผู้แทนชุดใหญ่ที่ร่วมเยือนจีนครั้งนี้เข้าหารือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางการเกษตร การค้า การลงทุน และอื่นๆ

“ผมตั้งตารอการเดินทางเยือนครั้งนี้อย่างมาก” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

ส่องจุดยืนนานาชาติต่อสงคราม ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ ภายใต้เสียงแบ่งขั้ว ที่มองทั่วๆ แล้ว มีมากกว่าปัญหาแก่งแย่งดินแดน

(17 ต.ค. 66) มีคำกล่าวว่า ต่อให้เราไม่ยุ่งกับการเมือง เดี๋ยวการเมืองก็จะมายุ่งกับเราเอง เช่นเดียวกันกับสงคราม ที่ต่อให้เราไม่ได้เป็นคนก่อ และไม่ใช่คู่กรณี แต่สุดท้ายก็จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

ไม่ต่างจากสงครามระหว่างอิสราเอล และ กองกำลังฮามาส ณ ขณะนี้ ที่ทั่วโลกกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในหลายประเทศ แม้ไม่ได้อยู่เขตพื้นที่สงครามแต่อย่างใด

ซึ่งต้องยอมรับว่าการโจมตีของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมเป็นต้นมา ถือเป็นการโจมตีชุมชนชาวอิสราเอลที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังถือเป็นหนึ่งในเหตุก่อการร้ายช็อกโลกที่สุดครั้งหนึ่งเช่นกัน และทำให้ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ ผู้นำอิสราเอลประกาศภาวะสงครามในอิสราเอลเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และใช้ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ โจมตีฉนวนกาซาอย่างหนัก ทำลายอาคาร บ้านเรือนย่อยยับ และทำให้ชาวปาเลสไตน์นับล้านพลัดถิ่นกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย

ท่ามกลางวิกฤติสงครามในฉนวนกาซา โลกก็ได้แบ่งขั้วเป็น 2 ฝั่ง โดยชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และอีกกว่า 40 ประเทศออกมาประณามกลุ่มก่อการร้ายฮามาส และสนับสนุนฝ่ายอิสราเอล โดยมองว่าอิสราเอลมีความชอบธรรมตามกฎหมายในการป้องกันตนเอง

แต่ในขณะเดียวกัน โลกมุสลิมในตะวันออกกลาง นำโดย อิหร่าน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต ซีเรีย และอิรัก มองว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีต้นเหตุเกิดจากอิสราเอล ที่สร้างความขัดแย้ง และความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซา มานานนับ 10 ปี รวมถึงการก่อเหตุรุนแรงของทางการอิสราเอลในมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ ‘อัล-อัคซอร์’ และการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาที่ผ่านมา ได้สังหารชีวิตพลเรือนชาวปาเลสไตน์ไปเป็นจำนวนมาก และต้องไม่ลืมว่า การรุกไล่ที่ดิน และครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ของรัฐบาลอิสราเอลเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แต่ทั้งนี้ ก็มีหลายชาติมหาอำนาจที่พยายามชูนโยบายสายกลาง โดยมองว่า ไม่ใช่เวลาที่จะออกมาเลือกข้าง หรือประณามการกระทำของใครว่าเป็นฝ่ายผิดทั้งหมด ซึ่งกลุ่มพันธมิตรสายกลาง นำโดย จีน รัสเซีย ตุรกี กลุ่มประเทศสหภาพแอฟริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดความรุนแรงลง เพื่อสามารถถอยกลับไปสู่จุดที่สามารถเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพได้ และยังเชื่อว่า ‘การแก้ปัญหาแบบสองรัฐ’ (Two-state Solution) สามารถยุติความขัดแย้งได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้ก็ต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับพลเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม

แต่หากมองมาทางฟากฝั่งเอเชียแปซิฟิก ก็จะพบว่าประเทศที่เป็นพันธมิตรอันดีกับสหรัฐอเมริกา มักแสดงท่าทีออกมาประณามกลุ่มฮามาส หรือสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งไทยด้วย แต่ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ มักเลือกที่จะสนับสนุนปาเลสไตน์ หรือ เลือกนโยบายเป็นกลางที่ประณามความรุนแรงจากทุกฝ่าย อาทิ เกาหลีเหนือ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น

ในขณะที่ ประเทศในโซนอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แสดงท่าทีไปในทางสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน แต่โซนอเมริกาใต้กลับเสียงแตก มีทั้งสนับสนุนอิสราเอล และขอยืนเป็นกลาง หรือประณามความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย ส่วนกลุ่มทวีปแอฟริกาค่อนข้างชัดเจนว่า ส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงในกาซา และไม่ขอออกตัวประณามกลุ่มฮามาสแต่เพียงฝ่ายเดียวด้วยเช่นกัน

เมื่อทั่วโลกมีความเห็นที่แตกต่างกันชัดเจน 2 กลุ่ม ความรุนแรงในกาซา จะยกระดับไปสู่สงครามตัวแทน หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้หรือไม่?

‘เจเรมี โบเวน’ ผู้สื่อข่าวนานาชาติ ของสำนักข่าว BBC มีความเห็นว่า สงครามครั้งนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นหากมีการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก อาทิ อิหร่าน กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน รวมถึง กองทัพสหรัฐฯ เช่นกัน และจำนำความเสียหายใหญ่หลวงมาสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลของชาติในตะวันออกกลางรู้ดี และเชื่อว่าไม่น่าจะชาติใดกล้าแบกรับความเสี่ยงนี้  ดังนั้น การสู้รบในฉนวนกาซาน่าจะถูกจำกัดวงไม่ให้กระจายออกไปสู่พื้นที่อื่นๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มฮามาส ต้องการบรรลุเป้าหมายใดจากการใช้กำลังทหารโจมตีอิสราเอล แม้จะรู้ว่าเป็นการสงครามแบบอสมมาตร

เรื่องนี้ ‘โมฮัมเหม็ด อัล-เดอิฟ’ โฆษกกลุ่มฮามาส เคยออกมาประกาศว่า “ความอดทนสิ้นสุดแล้ว” ดังนั้น เหตุผลหลักของการขับเคลื่อนยุทธวิธีของกลุ่มฮามาส คือ ตอบโต้นโยบายกดขี่ของรัฐบาลอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ ที่สั่งสมเป็นปัญหามานานหลายสิบปี

แต่ทั้งนี้ ‘อับดุลาซิส เซเกอร์’ หัวหน้าศูนย์วิจัย Gulf Research Center แห่งซาอุดีอาระเบีย มองว่า สิ่งที่ถือว่าฮามาสบรรลุเป้าหมายจากสถานการณ์นี้ คือ สามารถเปิดเผยจุดอ่อนด้านความมั่นคงของอิสราเอล และทัศนคติของรัฐบาลอิสราเอลที่มีต่อปาเลสไตน์อย่างหมดเปลือก

อีกทั้งยังทำให้ทั่วโลกหันกลับมามองปัญหาในดินแดนปาเลสไตน์ และถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก แทนที่จะถูกมองเป็นประเด็นรองๆ หรือ ถูกลดทอนความสำคัญโดยสื่อตะวันตกอย่างที่แล้วมา ซึ่งนั่นทำให้ปัญหาด้านสันติภาพในดินแดนแห่งนี้ถูกซุกไว้ใต้พรมที่เขียนด้วยคำสวยหรูว่า “แผนสันติภาพ” มาโดยตลอด

และทำให้วันนี้ มีการขุดคุ้ย ตีแผ่ ไล่เรียง ประวัติศาสตร์เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างชาวอิสราเอล และชาวปาเลสไตน์ กันอย่างกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และมองสถานการณ์ครั้งนี้ด้วยใจที่เป็นธรรมมากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกข้าง หรือกล่าวประณามฝ่ายใด

'พิมพ์ภัทรา' สั่งเคลียร์ของเสีย 1.3 หมื่นตัน โรงงาน 'แวกซ์ กาเบ็จ' หลังพบปัญหายืดเยื้อ 20 ปี ลั่น!! ต้องจบภายใน มี.ค.67

เมื่อวันที่ 17 ต.ค.66 น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่โรงงาน บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ว่า ได้เร่งรัดให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ติดตามปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการประกอบกิจการโรงงานที่เป็นปัญหายืดเยื้อยาวนานมากกว่า 20 ปี

แม้ว่าจะสั่งการตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังคงมีกากอุตสาหกรรมและของเสียเคมีวัตถุตกค้างในพื้นที่ของบริษัทฯ ซึ่งกระทบกับประชาชนและชุมชนรอบโรงงานในภาคเกษตรกรรมและน้ำอุปโภค บริโภค

"การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อให้เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจริงจังและตระหนักถึงปัญหาของประชาชนโดยรอบโรงงาน โดยกรณีนี้ได้รับงบกลางปี 2566 วงเงิน 59.8 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหากากของเสียทั้งระบบ 13,439 ตัน ภายในวันที่ 29 มีนาคม 2567" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้านนายศุภเวศ ทองประยูร ผู้อำนวยการสำนักน้ำบาดาล เขต 8 (ราชบุรี) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ได้เร่งเตรียมแผนโครงการศึกษาฟื้นฟูทรัพยากรน้ำบาดาลที่ปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยง่าย บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงโรงงาน และโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการของโรงงาน คาดว่าจะดำเนินการครอบคลุมได้ในพื้นที่หมู่ 1 และหมู่ 2 ของตำบลน้ำพุ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี

ระเบิด 'โรงพยาบาลฉนวนกาซา' ดับครึ่งพัน ส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก 'ฮามาส' ชี้!! นี่คืออาชญากรรมสงคราม ฟากอิสราเอลปัดเอี่ยว

(18 ต.ค. 66) เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่โรงพยาบาลในฉนวนกาซาซึ่งเต็มไปด้วยผู้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงชาวปาเลสไตน์อื่น ๆ ที่หาพี่พักพิงเพื่อหลบหนีความรุนแรง เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขกาซา ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 500 ราย

เหตุระเบิดโรงพยาบาลที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นที่อัล-อะห์ลี ซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากโรงพยาบาลอื่น ๆ ในฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยชาวปาเลสไตน์จำนวนมากซึ่งพากันลี้ภัยไปอยู่ในโรงพยาบาล โดยหวังว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากการทิ้งระเบิด หลังจากอิสราเอลได้สั่งให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหมดรวมถึงพื้นที่โดยรอบทางตอนเหนืออพยพลงไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา

ภาพวิดีโอที่ได้รับการยืนยันว่า มาจากโรงพยาบาลที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นเพลิงไหม้ลุกท่วมอาคาร ขณะที่บริเวณโรงพยาบาลเต็มไปด้วยศพผู้คนที่ฉีกขาดจากแรงระเบิด ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นเพียงเด็กเล็ก ซึ่งรอบศพของพวกเขาที่อยู่บนพื้นหญ้ามีผ้าห่ม เป้สะพายหลังของโรงเรียน และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ กระจัดกระจายอยู่

หลังเกิดเหตุระเบิดทั้งรถพยาบาลและรถยนต์ส่วนตัวได้เร่งนำผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 350 คนไปยังโรงพยาบาลอัล-ชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในฉนวนกาซาที่เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บจากการโจมตีจากที่อื่นๆ อยู่แล้ว โดยสภาพภายในโรงพยาบาลผู้บาดเจ็บต่างนอนจมกองเลือดบนพื้นและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ด้าน อิสราเอลและปาเลสไตน์ ต่างกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นฝ่ายยิงจรวดใส่โรงพยาบาลดังกล่าว โดยฮามาสอ้างว่าเป็นการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล และเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการสังหารหมู่ที่น่าสยดสยอง

ขณะที่ กองทัพอิสราเอล ก็กล่าวโทษว่าโรงพยาบาลถูกโจมตีจากจรวดที่ยิงพลาดเป้าของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตล์ ที่ได้ทำการยิงจรวดจำนวนมากใกล้กับโรงพยาบาลในขณะนั้น โดยอ้างข่าวกรองจากหลายแหล่งที่อิสราเอลมีในมือซึ่งบ่งชี้ว่า กลุ่มญิฮาดอิสลามเป็นผู้รับผิดชอบต่อการยิงจรวดที่ล้มเหลวครั้งนี้

ในเวลาต่อมาฝ่ายสื่อของรัฐบาลฮามาสได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีโรงพยาบาลในฉนวนกาซาถือเป็นอาชญากรรมสงคราม เพราะโรงพยาบาลเป็นที่พักพิงของผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคน รวมถึงผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากบ้านเรือนของตนเอง และขณะนี้มีเหยื่อหลายร้อยคนยังคงติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังของโรงพยาบาลดังกล่าว

ขณะที่โฆษกของกองทัพอิสราเอลไม่สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้น หรือไม่โดยบอกเพียงว่ากำลังตรวจสอบอยู่

นอกจากเหตุโจมตีโรงพยาบาลแล้ว องค์กรบรรเทาทุกข์และจัดหางานแห่งสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยสำหรับขาวปาเลสไตน์ของยูเอ็นยังระบุด้วยว่า รถถังของอิสราเอลได้ยิงจรวดโจมตีโรงเรียนของยูเอ็นในตอนกลางของฉนวนกาซา ซึ่งมีชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยอยู่ราว 4,000 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายและได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานของยูเอ็นในพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างน้อย 24 แห่งที่ถูกโจมตีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 14 ราย

สมาคมแม่บ้านตำรวจประกาศผลการตัดสินการประกวดแต่งคำกลอนและบทความ "ความภาคภูมิใจในครอบครัวตำรวจ" เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2566

วันนี้ (18 ต.ค.66) คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิดเผยว่า หลังจากสมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดกิจกรรมประกวดคำกลอน และบทความ “ความภาคภูมิใจในครอบครัวตำรวจ” เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2566 เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในการเป็นครอบครัวตำรวจ โดยเปิดรับผลงานของบุตรหลานข้าราชการตำรวจนั้น

สมาคมแม่บ้านตำรวจได้พิจารณาคัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวัลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ประกาศรางวัลการประกวดคำกลอนสำหรับระดับกองบัญชาการหรือเทียบเท่า และกองบังคับการในสังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานละ 3 รางวัล ประกอบด้วยรางวัลชนะเลิศ จำนวนเงิน 5,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1  จำนวนเงิน 3,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2  จำนวน 2,000 บาท 

ส่วนการประกวดการบทความ “ความภาคภูมิใจในครอบครัวตำรวจ” รางวัลการประกวด ประกอบด้วยรางวัลชนะเลิศ จำนวนเงิน 10,000 บาท  รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 จำนวนเงิน 3,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 2,000 บาท 

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดโครงการดังกล่าว เพื่อเปิดโอกาสให้บุตรหลานข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ได้แสดงความสามารถ และแสดงออกถึงความรักความภาคภูมิใจในความเป็นตำรวจของบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจได้ร่วมกันคัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวัล ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคน ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจจะมอบเงินรางวัลให้กับหน่วยต่างๆ เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลต่อไป ทั้งนี้ สามารถติดตามประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลได้ทางเว็บไซต์สมาคมแม่บ้านตำรวจ policewives.police.go.th หรือเพจเฟซบุ๊ก “สมาคมแม่บ้านตำรวจ”

ผบ.ตร. มอบ “แหวนอัศวิน” ให้ รอง สวป.เข้าระงับเหตุกราดยิง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สืบต่อประเพณี พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มอบแหวนอัศวิน เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานโดดเด่นเป็นประจักษ์ สร้างคุณประโยชน์

วันนี้ (18 ต.ค.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีมอบ “แหวนอัศวิน” ให้กับ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สว.สส.ปฏิบัติหน้าที่ รอง สวป.สน.ปทุมวัน ที่เข้าระงับเหตุคนร้ายกราดยิง  เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจ ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น สร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังคม และประเทศชาติ  วานนี้ (17 ต.ค.66) หลังพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของข้าราชการตำรวจและนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ลานฝึกศรียานนท์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม  

สำหรับความเป็นมาของ “แหวนอัศวิน” สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ต้องการจะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจ ที่ทำงานเสี่ยงตาย ทำชื่อเสียงในด้านปราบปราม และงานอื่น อันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายภูธร หรือฝ่ายนครบาล / จึงได้มอบเป็นแหวนทองลงยา ที่หัวแหวนเป็นตราหน้าหมวกตำรวจสีแดง โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้ตั้งชื่อแหวนนี้ว่า “แหวนอัศวิน”

“แหวนอัศวิน” ถือเป็นของอันทรงเกียรติ ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับ และเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมา ทั้งนี้ ผบ.ตร. มีแนวคิดที่จะรื้อฟื้นประเพณีการมอบ “แหวนอัศวิน” เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานโดดเด่นและสร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังคม และประเทศชาติ จนเป็นที่ประจักษ์ ตามแนวทางของ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ให้กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะการ  “เชิดชูคุณความดีตอนมีชีวิตดีที่สุด” ซึ่ง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจคนที่ 14 และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 เช่นเดียวกัน

โดย “แหวนอัศวิน” วงแรกมอบให้ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จนสามารถหยุดสถานการณ์ได้อย่างเรียบร้อย จากเหตุการณ์ในวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เพื่อเป็นเกียรติแก่ ร.ต.อ.ธัญอมรฯ และครอบครัว

‘ต้องเต’ ผู้กำกับ ‘สัปเหร่อ’ ขอบคุณทุกเสียงสนับสนุน หลังภาพยนตร์กวาดรายได้ทั่วไทยทะลุ 300 ลบ.แล้ว

(18 ต.ค.66) แม้จะเข้าฉายสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว ทว่าความนิยมในภาพยนตร์ไทยเรื่อง สัปเหร่อ หนังเรื่องใหม่ของจักรวาลไทบ้าน ฝีมือกำกับของ ต้องเต ธิติ ศรีนวล พุ่งทะยานต่อเนื่อง ล่าสุดตัวเลขรายได้ของเช้าวันนี้ จากการฉายทั่วประเทศไทยมากกว่า 300 ล้านบาทแล้ว

‘ต้องเต ธิติ’ เปิดเผยทางเฟซบุ๊กของเขาว่า “ขอบคุณหลายๆ เด้อครับ ผมขอบคุณอีหลี 💚🙏🏻

หนังมันเดินทางมาไกลเกินฝันหมู่เฮาแฮง มันเกิดขึ้นได้เพราะมีแฟนคลับทุกคนที่คอยสนับสนุน คอยมาเป็นกำลังใจให้หมู่เฮา ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top