Tuesday, 29 April 2025
TheStatesTimes

ระทึก!! ‘อิหร่าน’ ขู่ชิงโจมตีอิสราเอลก่อน ใน ‘อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’ หลังรัฐยิวตั้งท่าบุกฉนวนกาซา โหมกระพือความขัดแย้งลุกลามหนัก

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะชิงโจมตีเล่นงานอิสราเอลก่อน ‘ในอีกไม่ชั่วโมงข้างหน้า’ ส่งสัญญาณแข็งกร้าวถึงอิสราเอล ในขณะที่รัฐยิวเตรียมพร้อม สำหรับเปิดปฏิบัติการจู่โจมทางภาคพื้นบุกเข้าไปยังฉนวนกาซา

เตหะรานส่งเสียงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าการรุกรานทางภาคพื้นฉนวนกาซา ที่ถูกปิดล้อมมาช้านาน จะต้องเจอกับการตอบโต้จากแนวหน้าอื่นๆ โหมกระพือความกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ ฮามาสอาจลุกลามขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ลากประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมวงด้วย

“ความเป็นไปได้ของปฏิบัติการชิงโจมตีก่อนของเครือข่าย ‘Axis of Resistance’ (กลุ่มซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างกลุ่มก๊กมุสลิมชีอะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในอิรัก กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน) คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” ‘ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ อ้างถึงการประชุมระหว่งเขากับ ‘ฮัสซัน นาสรัลเลาะห์’ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.)

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (16 ต.ค.) ‘ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ และ ‘อิบราฮิม ไรซี’ ประธานาธิบดีอิหร่าน ต่างบอกว่าเวลาสำหรับการหาทางออกทางการเมืองใกล้หมดลงแล้ว และเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสจะลุกลามสู่แนวหน้าอื่นๆ

‘อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ ประกาศกร้าวว่าพวกผู้นำ Axis of Resistance จะไม่ยอมให้อิสราเอลทำอะไรตามอำเภอใจในฉนวนกาซา “ถ้าเราไม่ปกป้องฉนวนกาซาในวันนี้ วันพรุ่งนี้เราคงจำเป็นต้องป้องกันสกัดระเบิดฟอสฟอรัสเหล่านี้ จากการพุ่งใส่โรงพยาบาลเด็กทั้งหลายในประเทศของเราเอง”

อิสราเอล ประกาศสงครามกับกลุ่มนักรบ ‘ฮามาส’ ในดินแดนปาเลสไตน์หนึ่งวัน หลังจากพวกนักรบส่งสมาชิกระลอกแล้วระลอกเล่าจากฉนวนกาซา บุกฝ่าแนวป้องกันอันหนาแน่นเข้าไปโจมตีภายในอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เข่นฆ่าพลเรือนไปกว่า 1,400 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

ทางอิสราเอล ตอบโต้กลับด้วยการทิ้งบอมบ์ถล่มฉนวนกาซาเป็นชุดๆ แบบไม่มีหยุด ทั้งจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ ทำย่านต่างๆ พังราบเป็นหน้ากลอง สังหารชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 2,750 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน

เบื้องต้น อิหร่านออกมาแสดงความยินดีปรีดาต่อปฏิบัติการจู่โจมของฮามาส แต่ยืนกรานว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

คำเตือนของอิหร่านในวันจันทร์ (16 ต.ค.) มีขึ้นในขณะที่อิสราเอลได้เตรียมการสำหรับเปิดฉากรุกรานทางภาคพื้นเข้าไปยังฉนวนกาซา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีพลเรือนปาเลสไตน์ติดอยู่ในฉนวนที่ถูกทิ้งบอมบ์อย่างหนักแห่งนี้เป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ

อนึ่งนับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามปี 1979 อิหร่านหยิบยกการสนับสนุนปาเลสไตน์เป็นหนึ่งในเสาหลักของอุดมการณ์ของพวกเขา

ตำรวจไซเบอร์ เตือนประชาชน CF สินค้าผ่านไลฟ์สดเฟซบุ๊ก ระวังถูกเพจปลอมสวมรอยหลอกให้โอนเงิน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าที่ผ่านมายังคงมีผู้เสียหายหลายรายตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จากการถูกหลอกลวงขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า เนื่องจากผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพใช้เพจร้านค้าปลอมที่สร้างเลียนแบบเพจร้านค้าจริงติดต่อมาหลังจากที่ผู้เสียหายได้ทำการสั่งซื้อสินค้าในระหว่างการไลฟ์สดของเพจร้านค้าต่างๆ โดยผู้เสียหายจะพิมพ์รหัสสินค้าที่ต้องการจะจองสั่งซื้อ (CF, Confirm) หากผู้เสียหายเป็นผู้ได้รับสิทธิในการซื้อสินค้าดังกล่าว จะมีข้อความจากระบบตอบรับอัตโนมัติของเพจจริงแจ้งมายังกล่องข้อความ (Inbox) บัญชีเฟซบุ๊กของผู้เสียหาย เพื่อยืนยันคำสั่งซื้อสินค้า แจ้งรหัสการสั่งซื้อ ราคา และช่องทางการชำระเงิน ซึ่งก่อนหน้านี้มิจฉาชีพได้แฝงตัวอยู่ในเพจจริงดังกล่าว เมื่อเห็นผู้เสียหายสั่งซื้อสินค้าแล้วจะฉวยโอกาสใช้เพจปลอมติดต่อไปยังบัญชีเฟซบุ๊กผู้เสียหาย โดยแอบอ้างเป็นร้านค้าจริง ส่งหมายเลขบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ที่เตรียมไว้ให้ผู้เสียหายทำการโอนเงิน เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ระมัดระวัง เพราะเห็นว่าเป็นชื่อเพจ รูปโปรไฟล์เพจใกล้เคียงหรือเหมือนกับเพจจริง จึงทำให้หลงเชื่อว่าเป็นเพจร้านค้าจริง จึงทำการโอนเงินชำระค่าสินค้าไปให้มิจฉาชีพ กระทั่งภายหลังทราบว่าถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ จากสถิติศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 - วันที่ 14 ต.ค.66 พบว่า การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์กว่า 137,719 เรื่อง หรือคิดเป็น 40.12% จากเรื่องการรับแจ้งความทั้งหมด สูงเป็นลำดับที่ 1 โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท สูงเป็นลำดับที่ 4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด รองลงมาจากการหลอกลวงให้ลงทุน การข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center) และการหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงาน

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. โดยกำชับการขับเคลื่อนนโยบายในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า การหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว มิจฉาชีพมักจะมองหาเพจขายสินค้าที่มีชื่อเสียง หรือมีผู้ติดตามจำนวนมาก แล้วคัดลอกภาพโปรไฟล์ ตั้งชื่อเลียนแบบ หรือตั้งชื่อคล้ายกับเพจจริง เพื่อหลอกลวงประชาชน ที่ผ่านมา บช.สอท. ได้เร่งปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง มีคดีสำคัญๆ หลายคดี สามารถทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้หลายราย ตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงแม้จะมีข้อดีหลายๆ ประการ แต่ก็เป็นช่องทางหนึ่งให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ หลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชนโดยมิชอบ

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ พร้อมแนวทางการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนี้

1.พึงระมัดระวังการซื้อสินค้าผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าที่ไม่มีหน้าร้าน ควรติดต่อซื้อจากบริษัท หรือตัวแทนจำหน่ายโดยตรง
2.ระวังการได้รับแจ้งว่าเป็นผู้โชคดี ได้รับสิทธิพิเศษ หรือได้รับรางวัลต่างๆ แต่มีการให้โอนเงินไปก่อนถึงจะได้รับสินค้า โดยมีการอ้างว่าเป็นค่าภาษี ค่าธรรมเนียม ฯลฯ อย่าได้โอนเงินเด็ดขาด
3.ระวังช่องทางขายสินค้าปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพจเฟซบุ๊กปลอม หรือเพจลอกเลียนแบบเพจจริง โดยเพจจริงควรจะมีผู้ติดตามสูง มีการสร้างขึ้นมานานแล้ว มีรายละเอียดการติดต่อร้านชัดเจนสามารถโทรศัพท์ไปสอบถามได้
4.หากต้องการซื้อสินค้ากับเพจเฟซบุ๊กใด ให้ไปที่ความโปร่งใสของเพจ เพื่อตรวจสอบก่อนว่าเพจนั้นมีการเปลี่ยนชื่อมาก่อนหรือไม่ มีผู้จัดการเพจ หรือผู้ดูแลอยู่ในประเทศหรือไม่
5.เมื่อสนใจต้องการซื้อสินค้ากับเพจใดๆ ควรจะส่งข้อความไปยังเพจจริงนั้นก่อน ระหว่างหรือหลังการไลฟ์สดหากมีเพจใดๆ ติดต่อมาแล้วไม่มีประวัติการสนทนา เชื่อได้ว่าเป็นเพจปลอมของมิจฉาชีพอย่างแน่นอน
6.ทุกครั้งก่อนโอนชำระเงินค่าสินค้า ให้ตรวจสอบประวัติของร้าน และชื่อหมายเลขบัญชีธนาคารที่รับโอนเงิน ว่าเป็นช่องทางการรับเงินจริงหรือไม่ มีประวัติไม่ดีหรือไม่ โดยตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ค้นหาทั่วไป เช่น Google, Blacklistseller เป็นต้น
7.กดรายงานบัญชี หรือเพจในเฟซบุ๊กปลอม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อ

ก.แรงงาน รับแรงงานชุดที่ 5 จากอิสราเอลกลับถึงไทยแล้ว พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯ

วันที่ 16 ตุลาคม 2566 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในอิสราเอลกลับถึงประเทศไทย จำนวน 244 คน โดยมี ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศที่ได้มาตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกให้คำแนะนำการยื่นคำร้องขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ณ บริเวณชั้น 2 ประตู 10 อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยแรงงานไทยทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในอิสราเอลในครั้งนี้และท่านได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ในวันนี้ผมจึงได้มอบหมายให้ นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ไปรับแรงงานไทย จำนวน 244 คน ที่เดินทางกลับมาด้วยสายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ LY 085 โดยแรงงานไทยกลุ่มนี้ถือเป็นแรงงานชุดที่ 5 ที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้กับสถานทูตฯ และเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 21.15 น.ของวันนี้ ทันทีที่มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กระทรวงแรงงานได้จัดเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะให้บริการคำแนะนำเกี่ยวกับการยื่นคำร้องขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อให้แรงงานไทยได้รับเงินสิทธิประโยชน์ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

“แรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และอยู่ในความคุ้มครอง มั่นใจได้เลยว่าเบื้องต้นมีสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯ กรณีประสบปัญหาต้องเดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากภัยสงคราม รายละ 15,000 บาท อย่างแน่นอน หรือกรณีที่มีการรับรองจากแพทย์ว่าทุพพลภาพ จะได้รับการสงเคราะห์  เป็นจำนวน 30,000 บาท หรือกรณีเสียชีวิตในต่างประเทศ จะสงเคราะห์จำนวน 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการศพในต่าง ประเทศเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาทด้วย นอกจากนี้ประเทศอิสราเอลยังมีสวัสดิการตามกฎหมาย (ประกันการทำงาน + นายจ้างจ่าย) กรณีบาดเจ็บ/ พิการตามการรับรองของแพทย์ แบ่งเป็น บาดเจ็บ 10-19% ได้รับเงินก้อนเดียว ประมาณ 1,440,000 บาท บาดเจ็บเกิน 20% ได้รับเงินเดือนทุกเดือน จนกว่าจะเสียชีวิต โดยประเมินจากความสูญเสีย กรณีเสียชีวิต ภรรยาและบุตร ได้รับเงินเดือนทุกเดือน จนกว่าภรรยาจะแต่งงานใหม่ และบุตรอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ (ภรรยาเป็นเงิน 34,560 บาทต่อเดือน /บุตร เป็นเงิน 5,760-11,520 บาทต่อเดือน)” ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว 

ด้าน นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์
การให้ความช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยในประเทศอิสราเอล เพิ่มเติมว่า ล่าสุดได้รับรายงานว่ามี แรงงานไทยที่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน จำนวน 17 ราย เสียชีวิต จำนวน 29 ราย (รอยืนยัน) บาดเจ็บ 16 ราย (ยังไม่สามารถระบุชื่อได้ 1 ราย) มีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทยกับทางสถานทูตฯ จำนวน 7,696 ราย จำแนกเป็น ผู้ที่ขอเดินทางกลับประเทศไทย จำนวน 7,596 ราย และ ไม่ประสงค์กลับ จำนวน 100 ราย ขณะนี้ เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้วกว่า 500 ราย

'ศศิกานต์' ฉายผลลัพธ์อีกด้าน หากไฟเขียวสถานบันเทิงเปิดถึงตี 4 หนีไม่พ้น 'อุบัติเหตุ-พิการ' ตามฤทธิ์ความเมาที่เพิ่มขึ้นตามเวลาปิด

(17 ต.ค. 66) ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตผู้สมัคร สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกรณี ผู้ว่าฯ ขานรับนโยบายนำร่องเปิดผับถึงตี 4 และคาดว่าในกรุงเทพฯ จะเริ่มทดลอง ธ.ค.นี้ ไว้ว่า...

ขอแชร์ข้อมูลเล็ก ๆ จากประสบการณ์ที่น่าสนใจ จาก #คุณหมอใกล้ตัว นะคะ

- ปกติหลังตี 2 ใกล้ ๆ ตี 3 จะมีเคสอุบัติเหตุเข้ามาเยอะ โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด เคสจะเยอะขึ้นผิดตา (เทียบกับช่วงโควิด)

- เคสอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากรถมอเตอร์ไซค์ รถชนคน รถชนรถ รถชนเสาไฟ ชนรั้วกั้นทาง ฯลฯ

- เคสบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากการทะเลาะวิวาท ต่อยกัน เตะกัน ยิงกัน เกิดบาดแผลต่าง ๆ แล้วแต่อาวุธที่ใช้ ทั้งศีรษะ ช่องอก ช่องท้อง   

- เคสบาดเจ็บ - คนไข้ไม่ตาย แต่วุ่นวายทั้งโรงพยาบาล…บางครั้ง หนักหน่อย คู่กรณีก็ตามมาทะเลาะกันต่อที่โรงพยาบาล ลำบากเจ้าหน้าที่ และตำรวจอีก อย่าหาทำกันนะคะ…เพราะนอกจากความเสียหายที่เกิดกับโรงพยาบาลและคนไข้คนอื่นแล้ว (คนกำลังจะตาย แต่หมอพยาบาลต้องมาวุ่นวายกับคนตีกัน) มันเป็นการผิดมารยาทสากล และเป็นคดีอาญา

- ความอันตรายบนท้องถนน จะเกิดขึ้นเมื่อ คนเมาขับรถย้ายร้าน ขับรถกลับบ้าน ...ง่ายๆ คือ #เมาแล้วขับ ในทุกกรณี

#ถ้าผับปิดตี4…

- คนจะเมาเยอะขึ้น และเมานานขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์สะสมในกระแสเลือดนานขึ้น สติสัมปชัญญะลดลง ซึ่งอาจทำให้อุบัติเหตุจะเยอะขึ้น ความรุนแรงของแต่ละเคสมากขึ้น เคสผ่าตัดอาจจะเยอะขึ้น 

- การใส่หมวกกันน็อกควรใส่แบบเต็มใบจะดีกว่าหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ (ที่พี่วินฯ ชอบให้ใส่) เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา หมวกกันน็อกหลุดไปก่อน สมองกระจายไม่ต่างกัน

- สมองคนเราคล้าย ๆ กับเต้าหู้ที่อยู่ในกล่องไม้ - นุ่มนิ่ม ๆ ประมาณนั้น และถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเยื่อหุ้มสมอง กะโหลก และหนังศีรษะ ...แค่นั้นเอง

- ถ้ากะโหลกแตก หรือเกิดความคมขึ้นจากรอยร้าว อาจทำให้เยื่อหุ้มสมองฉีกขาด เนื้อสมองหรือเจ้าก้อนเต้าหู้ของเราก็อาจเสียหายได้

- เนื้อสมองที่ฉีกขาดหรือกระจายออกมาแล้ว แปลว่าเสียหายถาวร ไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้

- แต่บางกรณี การบาดเจ็บที่กะโหลกไม่ร้าวหรือแตกหัก หรือเยื่อหุ้มสมองไม่ฉีกขาด สมองไม่ได้กระจายออกมา แต่ถูกเขย่า ๆ จากแรงกระแทก ทำให้เกิดการบาดเจ็บอยู่ในสมอง (เซลล์สมอง เส้นประสาทสมอง หลอดเลือดสมอง) กรณีนี้ สมองก็บาดเจ็บ หรือขาดเลือดเหมือนกัน

- 'ความตาย' ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดค่ะ ความพิการ บาดเจ็บทุพพลภาพ และนอนติดเตียง ต่างหากที่น่ากลัวค่ะ ...เพราะมันจะกระทบกับทุกคนในบ้านตลอดไปในทันที...

**ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้จะมาต่อต้านนโยบาย เปิดผับถึงตี 4 นะคะ แค่อยากจะให้เห็นอีกมุมของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ ...เท่านั้นเองค่ะ

สื่อนอก เผย ‘บอดี้การ์ดเทย์เลอร์ สวิฟต์’ ทิ้งเงินเดือน 18 ลบ./ปี เดินทางกลับบ้านเกิด เข้าร่วมกองทัพอิสราเอลสู้รบกลุ่มฮามาส

(17 ต.ค. 66) สื่ออิสราเอลรายงานว่า โซเชียลเตรียมเมลท์ดาวน์ได้เลย..เพราะหนึ่งในบอดี้การ์ดของนักร้องชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ในทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ที่โด่งดังและราคาบัตรเข้าชมสุดแพงเดินทางจากสหรัฐฯ กลับเข้าบ้านเกิดอิสราเอลร่วมกับกองกำลังทหาร IDF สู้กับฮามาส และทิ้งเงินเดือน 18 ล้านบาท/ปีไว้ข้างหลัง

สกายนิวส์ของอังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) ว่า นักร้องอเมริกันขวัญใจคนทั้งโลก เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ต้องสูญเสียบอดี้การ์ดคนสำคัญไปหนึ่งคนอย่างช่วยไม่ได้

บิสซิเนสอินไซเดอร์เคยรายงานเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ราคาเฉลี่ยของบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต Eras Tour ที่ถูกนำกลับมาขายต่ออยู่ที่ราว 3,801 ดอลลาร์ หรือราว 137,913 บาท

สื่ออิสราเอลรายงานว่า หนึ่งในบอดี้การ์ดของนักร้องชื่อดังในทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ที่มากรอบและบัตรค่าเข้าชมสุดแพงและหายากยอมตัดใจสละเงินเดือนสูงถึง 500,000 ดอลลาร์/ปี หรือ 18,127,000 บาท/ปี (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันที่ 16 ต.ค.66 สำหรับ 1 ดอลลาร์ต่อ 36.25 บาท) เดินทางออกจากสหรัฐฯ กลับไปอิสราเอลบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังทหาร IDF สู้รบกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส

บอดี้การ์ดที่ไม่เปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์กับสื่ออิสราเอล Hayom ว่า “ผมมีชีวิตที่ดีมากในสหรัฐฯ งานในฝัน เพื่อนที่ดีมาก และบ้านที่มีความสะดวกสบาย”

และเสริมต่อว่า “ผมไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ แต่ผมไม่สามารถอยู่เฉยในขณะที่ครอบครัวกำลังโดนสังหารหรือถูกเผาทั้งเป็นในบ้านของคนเหล่านั้น”

บอดี้การ์ดเทย์เลอร์ สวิฟต์ กล่าวอีกว่า “อย่าอยู่เฉยแต่ไม่ทำอะไร อย่างยืนผิดข้างของประวัติศาสตร์”

ทั้งนี้พระแรบไบยิว ชมูเอล ไรช์มาน (Shmuel Reichman) ได้โพสต์ภาพของบอดี้การ์ดและได้เปิดเผยว่า พ่อหนุ่มรายนี้ยอมตัดใจทิ้งเงินค่าตอบแทนก้อนโตถึง 500,000 ดอลลาร์/ปีทิ้งไป ยังไม่รวมถึงการได้พบกับนักร้องสาวชื่อดังอย่างใกล้ชิดแบบตัวเป็น ๆ

ไรช์มานกล่าวว่า บอดี้การ์ดปัจจุบันได้อยู่ในหน่วยของกองกำลัง IDF และกำลังฝึกฝนเพื่อจัดการกับปิศาจฮามาสที่ชั่วร้าย

‘ดาเนียล โนโบอา’ นักธุรกิจวัย 35 ชนะเลือกตั้ง ปธน.เอกวาดอร์ ท่ามกลางความหวัง ปชช. ช่วยขจัดความรุนแรง-อาชญากรรม

เมื่อวานนี้ (16 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเอกวาดอร์ รอบ 2 เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 66 ตามเวลาท้องถิ่น โดยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ที่นับแล้วร้อยละ 90 ชี้ให้เห็นว่า นายดาเนียล โนโบอา นักธุรกิจชื่อดังวัย 35 ปี ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งเป็นการคว้าชัยชนะเหนือ น.ส.ลุยซา กอนซาเลซ คู่แข่งจากพรรคขบวนการปฏิวัติพลเมือง พรรคประชานิยมฝ่ายซ้ายและตัวแทนของอดีตประธานาธิบดีราฟาเอล กอร์เรอา ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อเดือน ส.ค. 66 ที่
ผ่านมา

และส่งผลให้นายโนโบอา ขึ้นแท่นเตรียมเป็นผู้นำประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเอกวาดอร์ โดยประชาชนตั้งความหวังว่าผู้นำคนใหม่จะแก้วิกฤตอาชญากรรมและความรุนแรงในประเทศที่อัตราการฆาตกรรมเพิ่มขึ้นไปกว่า 4 เท่าในช่วง 61-65

‘นายกฯ เศรษฐา’ เยือนจีน ชักชวน บ.เอกชนจีนลงทุนในไทย ปักหมุด 5 อุตฯ ยุทธศาสตร์ เน้น ‘พลังงานสะอาด รถยนต์ EV’

(17 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในการเข้าร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Coperration- BRF) ครั้งที่ 3 และการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 16 - 19 ตุลาคม ตามคำเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่งซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม.) Mr. Zhu Hexin, Chairman CITIC Group Corporation เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดย CITIC เป็นบริษัทใหญ่ของจีนที่ดำเนินธุรกิจ ทั้งในส่วนของการบริการทางการเงินแบบครบวงจร และใช้เทคโนโลยีระดับสูง กลุ่ม CITIC ได้รับการจัด อันดับอยู่ใน Fortune's Global 500 เป็นเวลา 15 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2552 และอยู่ในอันดับที่ 100 ในปี 2566 โดย CITIC สนใจลงทุนใน PPP Projects ขนาดใหญ่ของไทย มีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในไทยในหลากหลายธุรกิจ

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเชิญชวนให้ CITIC มาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy (โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงาน สะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ (โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะต้นน้ำและ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ) อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนเชิญชวนให้มาตั้ง Regional Headquarter โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่

ขณะที่ฝ่ายบริษัทฯ ระบุว่ามีความประสงค์ขยายความร่วมมือกับไทยในอีกหลายด้าน บริษัทมีธุรกิจครอบคลุมและมีบริษัทในเครือจำนวนมาก และมีศักยภาพการแข่งขันระดับโลก รวมทั้ง ด้านพลังงานสะอาดที่ไทยสนใจ ไทยและ CITIC จะร่วมมือกันเพื่อต่อยอดและให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล บริษัทต้องการขยายความร่วมมือและการลงทุนในไทย โดยเฉพาะสาขาที่ไทยสนใจ เช่น พลังงานสะอาด การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชวนมาขยายธุรกิจด้านการเงินในไทย ซึ่ง CITIC มีธุรกิจเกี่ยวข้องการเงินอยู่ด้วยแล้ว เช่น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ มีใบอนุญาตทางการเงินการธนาคารครบถ้วนและอยู่ในอันดับต้น ๆ ในจีน จึงมีศักยภาพที่จะลงทุนในไทยได้ จะได้หารือในขั้นตอนต่อไป โดยไทยส่งเสริมการผลิตรถยนต์ EV 

"จึงขอเชิญบริษัทฯ เข้ามาลงทุนลักษณะ supply chain เช่น ล้อแม็กซ์ฯ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยไทยสนับสนุนมาตรการและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนที่น่าสนใจด้วยมาตรการของ BOI และเพื่อการพัฒนาขอเสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการลงทุนในไทยให้เกิดผล" นายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังหารือกับนาย Zhu Hexin, Chairman บริษัท CITIC แล้ว วันเดียวกันนี้นายกรัฐมนตรีจะหารือกับนาย Sun Yongcai, Chairman บริษัท CRRC Group ดำเนินธุรกิจด้านขนส่งทางราง

จากนั้นหารือกับนาย Xie Yonglin, Executive Director, President and Co-CEO บริษัท Ping An Group ดำเนินธุรกิจประกันภัย, หารือนาย Alain Lam, Vice President, CFO บริษัท Xiaomi ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ต่อด้วยการหารือกับนาย Fan Jiang, CEO บริษัท Alibaba International Digital Commerce Group ดำเนินธุรกิจ e-commerce และ การหารือกับผู้บริหารบริษัท Norinco ดำเนินธุรกิจด้านยุทโธปกรณ์

ทั้งนี้กำหนดการที่น่าสนใจนอกจากพบภาคเอกชนของจีนแล้ว นายกรัฐมนตรีจะได้พบกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน 

‘UNSC’ ตีตกข้อเสนอ ‘รัสเซีย’ ไม่ผ่านมติหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม หลังเรียกร้องให้ ‘อิสราเอล-ฮามาส’ ปล่อยตัวประกัน-อพยพ ปชช.

(17 ต.ค. 66) จากกรณีที่รัสเซียยื่นร่างข้อเสนอ เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 66 ซึ่งเรียกร้องให้ปล่อยตัวตัวประกัน การเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการอพยพพลเรือนที่ต้องการอย่างปลอดภัย ในพื้นที่ฉนวนกาซา ระหว่างการสู้รบของกองทัพอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส เข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) นั้น ล่าสุด มติดังกล่าวไม่ผ่านการรับรองจากที่ประชุม

รายงานข่าว Russia push for UN Security Council action on Israel, Gaza fails จากสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ในการประชุม UNSC เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา มติซึ่งต้องการคะแนนเสียงขั้นต่ำ 9 จากกลุ่มสมาชิก 15 ชาติ ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบเพียง 5 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง

'Qualcomm' จ่อปลดพนักงาน 1,258 ตำแหน่ง  เซ่น 'รายได้หด-หัวเว่ยหนีซบพันธมิตรในท้องถิ่น'

(17 ต.ค. 66) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ควอลคอมม์ (Qualcomm) บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ สัญชาติอเมริกา เตรียมจะปลดพนักงานประมาณ 1,258 คน ในสำนักงาน 2 แห่งในแคลิฟอร์เนีย ตามเอกสารที่ยื่นกับแผนกพัฒนาการจ้างงานของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้ บริษัทมีพนักงานประมาณ 51,000 คน ณ เดือนกันยายน 2565 ตามเอกสารการเงินประจำปีครั้งล่าสุด ดังนั้นจำนวนนี้ จึงถือเป็น 2.5% ของพนักงาน สาเหตุหลักของการลดตำแหน่งงานคือ รายได้ลดลงหลังจากธุรกิจชิปที่ซบเซาในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท

ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายนี้ แจ้งกับรัฐว่า จะเลิกจ้างพนักงานในซานดิเอโกประมาณ 1,064 คน และพนักงานในซานตาคลารา 194 คน จะมีผล 13 ธันวาคม ทั้ง 2 แห่ง

ควอลคอมม์ ระบุกับ ซีเอ็นบีซี ว่า บริษัทชี้ไปที่รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด โดยระบุว่า คาดว่าจะมีการลดจำนวนสถานที่ทำงานและค่าธรรมเนียมในการปรับโครงสร้าง

เมื่อเดือนที่แล้ว นักวิเคราะห์ หมิงชื่อ กัว เปิดเผยว่าควอลคอมม์ อาจสูญเสียลูกค้ารายใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับหัวเว่ย ผู้ผลิตชาวจีนซื้อ SoC มากกว่า 40 ล้านตัวในปี 2566 แต่กำลังเปลี่ยนไปสู่พันธมิตรในท้องถิ่นในปี 2567 และต่อ ๆ ไป

‘ครม.’ รับทราบหลักการ ‘แลนด์บริดจ์’ มูลค่า 2.28 แสนลบ. เชื่อมท่าเรืออ่าวไทย-อันดามัน พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้

(17 ต.ค. 66) รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือโครงการแลนด์บริดจ์ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ในการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อนำมาประกอบในการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) ต่อไป

สำหรับแผนการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์นั้น กระทรวงคมนาคม จะดำเนินการ Road Show ในช่วง พ.ย. 2566 - ม.ค. 2567 จากนั้นจะจัดทำกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ภายในปี 2567 และจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและสำนักงานนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ในช่วง ธ.ค. 2567

ทั้งนี้ จะคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนใน เม.ย.-มิ.ย. 2568 ควบคู่กับการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดิน และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินในช่วง ม.ค. 2568 - ธ.ค. 2569 หลังจากนั้นจะเสนอ ครม.อนุมัติลงนามในสัญญาภายใน ก.ค. - ส.ค. 2568 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างใช้ระยะเวลา 5 ปี หรือ ก.ย. 2568 - ก.ย. 2573 และเปิดให้บริการใน ต.ค. 2573

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุต่อว่า โครงการแลนด์บริดจ์ รวมประมาณการลงทุนโครงการ วงเงิน 228,512.79 ล้านบาท มีรูปแบบการพัฒนาโครงการโดยเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ซึ่งให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งโครงการ ในลักษณะท่าเรือเดียวเชื่อม 2 ฝั่ง (One Port Two Sides) โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ ท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่า

ทั้งนี้ เป็นการให้สิทธิแก่เอกชนลงทุนในการก่อสร้างและการบริหารจัดการเป็นระยะเวลา 50 ปี โดยภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเวนคืนที่ดิน ลงทุนทางรถไฟขนาด 1.0 เมตร และกำหนดสิทธิประโยชน์ให้กับเอกชนผู้ร่วมลงทุนในโครงการ พร้อมทั้งกำหนดให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งโครงการฯ ประกอบด้วย ท่าเรือ ทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รวมถึงการพัฒนาพื้นที่หลังท่า

โดยแบ่งการลงทุนเป็นระยะ ได้แก่ การลงทุนท่าเรือฝั่งระนอง (อันดามัน) บริเวณแหลมอ่าวอ่าง อ.ราชกรูด จ.ระนอง ออกแบบให้สามารถรองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 21 เมตร แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้า จำนวน 6 ล้าน TEUs ในปี 2573 ระยะที่ 2 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 12 ล้าน TEUs ในปี 2577 และระยะที่ 3 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 8 ล้าน TEUs รวมเป็น 20 ล้าน TEUs ในปี 2579

อย่างไรก็ตามขณะที่ การลงทุนท่าเรือฝั่งชุมพร (อ่าวไทย) บริเวณแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร รองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 17 เมตร แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้า จำนวน 4 ล้าน TEUs ในปี 2573 ระยะที่ 2 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 4 ล้าน TEUs รวมเป็น 8 ล้าน TEUs ในปี 2577 ระยะที่ 3 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 14 ล้าน TEUs ในปี 2579 และระยะที่ 4 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 20 ล้าน TEUs ในปี 2582

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุอีกว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์นั้น มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) 17.43% มีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 8.62% ระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 อีกทั้งการพัฒนาโครงการฯ จะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ จำนวน 280,000 ตำแหน่ง แบ่งเป็น จ.ระนอง จำนวน 130,000 ตำแหน่ง และ จ.ชุมพร 150,000 ตำแหน่ง รวมทั้งเป็นส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปี

นอกจากนี้ โครงการแลนด์บริดจ์จะก่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดเบา เช่น การประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์อนาคต อาหาร กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ ศูนย์กระจายสินค้า เครื่องมือและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้โดยการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร โรงพยาบาล สถานบันเทิง ร้านค้าต่าง ๆ ระหว่างเส้นทางโครงการ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top