Wednesday, 30 April 2025
TheStatesTimes

'วราวุธ' หนุนช่วย 'คนพิการ' เข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างทั่วถึง เร่ง ‘แก้กฎหมาย-จ้างงาน-เพิ่มศูนย์บริการ’ ครอบคลุมทั่วประเทศ

(18 ต.ค.66) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยม กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ว่า 

ได้ดำเนินงานและทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการของประเทศ ภายใต้ Campaign 'EQUAL' เพื่อคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียมบนพื้นฐานความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อให้ 'คนพิการ' เข้าถึงสิทธิสวัสดิการอย่างทั่วถึง นำไปสู่ 'ความคุ้มครองทางสังคมที่เหมาะสมและครอบคลุม' 

ซึ่งได้มอบนโยบายให้ พก. ดำเนินงานอย่างเข้มแข็งในการส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้สิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการ และความช่วยเหลือต่าง ๆ ตามความต้องการและความจำเป็นที่เหมาะสม เร่งเพิ่มศูนย์บริการคนพิการทั่วไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศในทุกมิติทั้งประเภทความพิการและบริการ และยกระดับองค์กรด้านคนพิการให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน พร้อมทั้งนำฐานข้อมูล เทคโนโลยี นวัตกรรมที่ทันสมัย มาใช้ประโยชน์ เพื่อยกระดับศักยภาพคนพิการ

สำหรับการจ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนด ขอให้ พก. ตระหนักถึงศักยภาพของคนพิการและตำแหน่งงานที่เหมาะสม มุ่งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานตามมาตรา 33 และการส่งเสริมการประกอบอาชีพตาม มาตรา 35 อีกทั้งควรปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและให้ครอบคลุมคนพิการอย่างทั่วถึง ด้วยการใช้กลไกของคณะกรรมการด้านกฎหมาย ก่อนที่จะมีการรับฟังความคิดเห็น และควรบริหารจัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นต่อการทำงานและการใช้งบประมาณกองทุนฯ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของคนพิการเป็นสำคัญ

‘สุริยะ’ ปลื้มใจ!! ประชาชนชื่นชอบ 20 บาทตลอดสาย ยัน!! ไม่สุดแค่ 30 พ.ย.67 เตรียมเสนอต่ออายุมาตรการปีหน้า

(18 ต.ค. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อ 16 ต.ค. 66 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนนั้น ล่าสุดทาง รฟม. และ รฟท.ได้รายงานถึงผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ พบว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่ให้ผลตอบรับเป็นอย่างดี

นอกจากนั้นขอยืนยันว่า การที่ ครม.อนุมัติมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ที่ระบุจนถึงวันที่ 30 พ.ย. 2567 นั้น เมื่อครบกำหนดในช่วงวันดังกล่าว จะยังไม่ได้มีการยกเลิกมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย และจะใช้มาตรการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือและลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบาย ‘Transport Future for All : คมนาคมแห่งอนาคต เพื่อประชาชนทุกคน’

ส่วนการกำหนดระยะเวลาในวันที่ 30 พ.ย.2567 ตามที่เสนอเรื่องต่อ ครม. นั้นดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ที่กระทรวงคมนาคมจะต้องประเมินผลการดำเนินมาตรการเป็นรายปี อย่างไรก็ตาม การเสนอต่ออายุมาตรการ 20 บาทตลอดสายในปีหน้า รัฐจะชดเชยเงินรายได้ในจำนวนที่ลดลง เนื่องจากจะมีปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น จึงต้องประเมินผลมาตรการเป็นรายปี

‘X’ ลุยทดสอบเก็บค่าบริการผู้ใช้ใหม่ ‘อยากโพสต์–กดไลก์’ ต้องจ่าย หวังกำจัด ‘บอต-สแปม’ นำร่อง ‘นิวซีแลนด์-ฟิลิปปินส์’ ประเทศแรก

(18 ต.ค.66) สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ‘X’ (Twitter ในอดีต) เตรียมทดสอบการสมัครสมาชิกรูปแบบใหม่ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี 1 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 37 บาท) สำหรับฟีเจอร์มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ข้อความใหม่ (ทวีต), รีโพสต์ (รีทวีต), โควตข้อความ, กดถูกใจ และบุ๊กมาร์ก

ทั้งนี้ การทดสอบดังกล่าวใช้ชื่อว่า ‘Not A Bot’ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางในการต่อสู้กับบอต (bot-robot) และบัญชีที่เป็นสแปม โดยค่าธรรมเนียมจะต่างกันไปในแต่ละประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยน และจะเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ในนิวซีแลนด์และฟิลิปปินส์ก่อน

โดยผู้ใช้ที่มีบัญชีอยู่แล้วจะไม่ได้รับผลกระทบจากการทดสอบในครั้งนี้ แต่ผู้ใช้ใหม่ที่เพิ่งสมัครใช้งาน X จะสามารถดูและอ่านโพสต์ ดูวิดีโอ และติดตามบัญชีได้เท่านั้น หากไม่ได้ทำการสมัครสมาชิกในแพ็กเกจดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ‘บอต’ เป็นปัญหาที่ ‘อีลอน มัสก์’ (Elon Musk) เจ้าของแพลตฟอร์มคนปัจจุบันพยายามหาแนวทางการจัดการมาตลอด เช่น การจำกัดปริมาณการรับชมข้อความ และการปรับปรุงนโยบายการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) เพื่อยืนยันตัวตน เป็นต้น 

‘2 มหาเศรษฐีเชื้อสายยิว’ ประกาศงดให้ทุนสนับสนุน ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ อ้าง!! ผิดหวังต่อท่าทีของสถาบัน ปมสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 66 ‘เลส เว็กซ์เนอร์’ มหาเศรษฐีเชื้อสายยิวระดับพันล้าน และเป็นผู้ก่อตั้ง ‘วิกตอเรีย ซีเคร็ต’ (Victoria's Secret) บริษัทออกแบบและจำหน่ายชุดชั้นในระดับ Luxury ประกาศถอนเงินทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ

‘มูลนิธิเว็กซ์เนอร์’ ซึ่งมีแนวคิดสนับสนุนชาวยิว ก่อตั้งโดย ‘เลส เว็กซ์เนอร์’ เอง มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้แจงว่า การตัดสินใจดังกล่าวสืบเนื่องมาจากท่าทีของมหาวิทยาลัย ที่แสดงออกต่อการโจมตีพลเรือนอิสราเอลของกลุ่มฮามาส

ขณะเดียวกัน กลุ่มนักลงทุน ผู้บริหารและผู้บริจาครายสำคัญ ๆ ของสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ก็เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยในกลุ่ม ‘ไอวีลีก’ แสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น ในการสนับสนุนอิสราเอลและประณามพฤติกรรมต่อต้านชาวยิว

ในแถลงการณ์ของมูลนิธิเว็กซ์เนอร์ ที่มีผู้นำไปโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ได้กล่าวหาว่า กลุ่มผู้บริหารของ ‘ฮาร์วาร์ด’ นั้น แสดงท่าทีที่ ‘คลุมเครือ’ และ ‘ผิวเผิน’ ต่อประเด็นการโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส ซึ่งทางมูลนิธิได้ยืนยันว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นของจริง โดยในแถลงการณ์ระบุว่า…

“เนื่องจากฮาร์วาร์ดไม่แสดงความชัดเจนในการเลือกข้างทางศีลธรรม มูลนิธิเว็กซ์เนอร์จึงขอประกาศว่าขอยุติความร่วมมือต่าง ๆ ที่เคยมีกับวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดี เนื่องจากแนวทางและค่านิยมของแต่ละฝ่ายไม่สอดคล้องกัน”

ด้านโฆษกของวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดีก็ชี้แจงว่า ทางสถาบันยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้าย และการบุกโจมตีพลเรือนอิสราเอลอย่างโหดเหี้ยมของกลุ่มหัวรุนแรงฮามาส อย่างไรก็ตาม วิทยาลัยก็ขอแสดงความขอบคุณมูลนิธิเว็กซ์เนอร์ ที่ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่สถาบันมาตลอด

‘ดัก เอลเมนดอร์ฟ’ คณบดีของวิทยาลัยออกแถลงการณ์กล่าวประณามการโจมตีของกลุ่มฮามาส แต่ก็แสดงความกังวลเรื่องที่มีการข่มขู่ คำพูดแสดงความเกลียดชัง การกลั่นแกล้งออนไลน์และพฤติกรรมแสดงความบ้าคลั่งอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนใน ‘ชุมชนฮาร์วาร์ด’

ก่อนหน้ายุติความร่วมมือ มูลนิธิเว็กซ์เนอร์มอบทั้งทุนการศึกษาให้นักศึกษาจากวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดีมากว่า 3 ทศวรรษ และจัดให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลอิสราเอลเข้าอบรมด้านการบริหารจัดการและความเป็นผู้นำองค์กรจากทางสถาบัน

ด้าน ‘ไอแดน โอเฟอร์’ มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยลำดับที่ 81 ของโลก เจ้าของบริษัทควอนตัม แปซิฟิก กรุ๊ป และผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในอิสราเอล พร้อม ‘บาเทีย โอเฟอร์’ ภรรยาของเขา ก็ถอนตัวออกจากคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดี ซึ่งครอบครัวของเขามอบทุนการศึกษาแก่ทั้งชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ ให้เข้าเรียนที่นี่มาตั้งแต่ปี 2560

นอกจากนี้ สำนักข่าวของชุมชนชาวยิว ‘เดอะ มาร์เคอร์’ ยังระบุว่า สองสามีภรรยาโอเฟอร์ยังยกเลิกโครงการบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่สถาบันอีกด้วย

มีผู้แสดงความเห็นว่า การถอนตัวนี้อาจเป็นเพราะ ฮาร์วาร์ดปล่อยให้มีการแสดงออกอย่างอิสระจากกลุ่มนักศึกษาฝั่งปาเลสไตน์ โดย ‘คริสทีน เกย์’ อธิการบดีของฮาร์วาร์ด ชี้แจงว่า มหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยต่อการก่อการร้าย แต่ก็ไม่เห็นด้วยต่อการรังควานหรือข่มขู่ใคร โดยอ้างอิงจากพื้นฐานความเชื่อส่วนบุคคล

เกย์ ยังกล่าวว่า สถาบันยึดมั่นต่อเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด ซึ่งรวมถึงมุมมองที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย หรือแสดงความอุกอาจจนดูเหมือนการล่วงละเมิด

ด้าน โอเฟอร์ แสดงความเห็นว่าคณะผู้บริหารของฮาร์วาร์ด ได้ทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันของพวกเขาไปแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขาไม่อาจทำใจสนับสนุนสถาบัน และชุมชนของมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป

ครอบครัวโอเฟอร์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ถึงเหตุผลที่พวกเขาถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการบริหารของวิทยาลัยว่า สืบเนื่องมาจากท่าทีที่ไม่ชัดเจนของกลุ่มผู้บริหารของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนชาวอิสราเอล หลังจากเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในดินแดนอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งเจตนาที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘ไม่ยอมรับว่ากลุ่มฮามาสคือองค์การก่อการร้าย’

สองสามีภรรยาโอเฟอร์ระบุว่า ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จที่กระจายไปทั่วแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สถาบันศึกษาชั้นนำของโลกเหล่านี้ จำเป็นต้องแสดงตัวอย่างชัดเจนว่า คิดเห็นอย่างไรในช่วงเวลาอันวิกฤติเช่นนี้

‘นายอำเภอ’ ชี้แจง ปมชาวบ้านเจอ ‘กระสือ’ ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ที่แท้ ‘โจรแสบ’ ใส่หน้ากากขโมยไก่ วอนปชช.อย่าตื่นตระหนก

(18 ต.ค.66) ประเด็นในโลกโซเชียล ที่ระบุว่าชาวบ้านพบกระสือในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ออกอาละวาดเข้ากินเป็ดไก่ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งมีคนพบเห็นหลายตำบล และมีการส่งภาพแชร์กันจนมีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง

ผู้โพสต์ท่านหนึ่งได้เขียนข้อความระบุว่า "ไม่อยากจะเชื่อแต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ครับ กระสือที่โพธิ์ตรุ เข้ากินไก่ชาวบ้านถ่ายไว้ได้" สำหรับพื้นที่ที่พบเห็นคือที่ ต.โพธิ์ตรุ อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี

ขณะที่ล่าสุดในกลุ่มเฟซบุ๊ก ‘แจ้งเหตุลพบุรี’ เป็นเอกสารที่นายพิษณุ ประภาธานานันท์ นายอำเภอเมืองลพบุรี แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีโดยมีข้อความว่า วันที่ 17 ตุลาคม 2566 ปรากฏภาพกระสือ จากสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการพบเจอกระสือในพื้นที่ ต.โพธิ์ตรุ อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี สร้างความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ให้กับประชาชนในพื้นที่หลายตำบลของ อ.เมืองลพบุรี และต.บ้านเบิก อ.ทำวุ้ง

นายอำเภอเมืองลพบุรี จึงมอบหมายให้ปลัดอำเภอฝ้ายความมั่นคงร่วมกับนายก อบต.โพธิ์ตรู และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำบลโพธิ์ตรุ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่อง ‘กระสือ’ ดังกล่าวสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

จากการสืบข้อเท็จจริงผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.โพธิ์ตรุ ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับบ้านนายวิเชียร แจ้งว่าช่วงเช้าหลังเกิดเหตุวันที่นายวิเชียรพบกระสือ ตนได้วิ่งออกกำลังกาย ได้พบหน้ากากบริเวณหน้าบ้านของนายวิเชียร มีลักษณะตรงตามที่นายวิเชียรให้ข่าว จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นคนสวมหน้ากาก เพื่อมาขโมยไก่ชนของนายวิเชียร หรือทรัพย์สินมีค่าอื่น

ทั้งนี้ นายอำเภอเมืองลพบุรีขอความร่วมมือ อบต.โพธิ์ตรุ กำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลโพธิ์ตรู ช่วยประชาสัมพันธ์เสียงตามสายและขับรถ แจ้งเตือนประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวที่ปรากฏ พร้อมทั้งเฝ้าระวังทรัพย์สินของมีค่าและเครื่องมือการเกษตร

นราธิวาส-กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมกับ ห้างแว่นท๊อปเจริญ จักิจกรรม“แว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งที่ 3 ในพื้นที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

ที่ว่าการอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานเปิดโครงการ “แว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ครั้งที่ 3 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี พันเอก มานิตย์ เผ่าพงษ์จันทร์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ,พันเอก ณรงค์ ตันติสิทธิพร รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ , พันเอก อนุชา โนนคู่เขตโขง รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า , พันเอก ภาคิณ เกื้อกูล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 , นายอำเภอเจาะไอร้อง , ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากห้างแว่นท๊อปเจริญ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า “ในปี 2566 - 2570 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ บริษัทร่วมเจริญพัฒนา จำกัด หรือห้างแว่นท็อปเจริญ จัดโครงการแว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่น และมอบแว่นฟรีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีละ 2,000 อัน รวมทั้งสิ้น จำนวน 11,000 อัน และในวันนี้ได้คัดเลือกให้ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอเจาะไอร้อง เป็นเจ้าภาพจุดศูนย์กลางบริการประชาชน ที่ได้รับการคัดเลือกจากหน่วยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน 500 คน หลังจากนี้จะจัดกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งผลจากการจัดกิจกรรมเมื่อปี 2557 - 2562 สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างมาก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ประเมินโครงการและทำการสำรวจทราบว่า ยังมีพี่น้องประชาชนที่มีปัญหาด้านสุขภาพตา มีความต้องการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นในทุกพื้นที่ จึงได้เดินทางไปทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับผู้บริหาร

ห้างแว่นท็อปเจริญ ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ในนามของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ต้องขอขอบคุณบริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (ห้างแว่นท็อปเจริญ) ที่ได้จัดทำโครงการทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขอขอบคุณศูนย์ปฏิบัติการอำเภอเจาะไอร้อง และทุกภาคส่วนที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรม และคาดหวังว่าพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับบริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นอย่างครบถ้วน และสามารถเป็นส่วนหนึ่ง ในการช่วยส่งเสริมให้พี่น้องประชาชน สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข“

สำหรับ "โครงการแว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้" จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2566 - 2570 รวมระยะเวลา 5 ปีเต็ม จากความตั้งใจให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกหมู่เหล่า ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงและเป็นผู้ประสบปัญหาทางสายตาที่ยากไร้และขาดแคลน ให้สามารถเข้าถึงบริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นใหม่ฟรี นอกจากประชาชนจะได้มีสุขภาพดวงตา ที่ดีขึ้นมองเห็นชัดเจนแล้ว ยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประสบปัญหาทางสายตา ได้มีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น สามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงดูแลตนเองและครอบครัวได้ ทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย โดยห้างแว่นท็อปเจริญได้ยกขบวนทีมผู้เชี่ยวชาญ ระดับมีออาชีพ พร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมืออันครบครัน เพื่อลงพื้นที่ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นใหม่ฟรี ให้แก่พี่น้องชาว 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ครบทุกพื้นที่ รวมประชาชน เป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือจากโครงการฯ ทั้งสิ้น 10,000 ราย

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘ไทย’ ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ ‘อัลลิเกเตอร์ มูลเอนซิส’ ชี้ เป็นสายพันธุ์ใหม่ของโลก อายุ 230,000 ปี ที่จ.โคราช

เมื่อวานนี้ (18 ต.ค.66) เพจ กรมทรัพยากรธรณี รายงานการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ ‘อัลลิเกเตอร์ มูลเอนซิส’ (Alligator munensis) หรือ ‘อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล’ ซึ่งเป็นอัลลิเกเตอร์สายพันธุ์ใหม่ของโลก ที่ถูกค้นพบที่อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า...

นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบซากดึกดำบรรพ์อัลลิเกเตอร์สายพันธุ์ใหม่ของโลก จากจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย อายุกว่า 230,000 ปีก่อน ถูกศึกษาและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Scientific Reports

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทือบิงเกน ประเทศเยอรมนี นำโดย Dr.Gustavo Darlim ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณีและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์กะโหลกสภาพเกือบสมบูรณ์ของอัลลิเกเตอร์ จากบ้านสี่เหลี่ยม ตำบลใหม่ อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา และพบว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ของโลก โดยตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อัลลิเกเตอร์ มูลเอนซิส (Alligator munensis) หรืออัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล ซึ่งตั้งชื่อตามแหล่งที่ค้นพบใกล้กับแม่น้ำมูล

ทีมนักวิจัยได้ศึกษาตัวอย่างโดยเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่เคยศึกษามาก่อน 19 ตัวอย่าง ประกอบด้วยตัวอย่างชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว 4 ชนิด และตัวอย่างในปัจจุบัน อีก 2 ชนิด คือ อัลลิเกเตอร์อเมริกา (Alligator mississippiensis) และอัลลิเกเตอร์จีน (Alligator sinensis)

อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล (Alligator munensis) พบซากดึกดำบรรพ์อยู่ในชั้นตะกอนทรายลึกลงไปจากผิวดินประมาณ 2 เมตร คาดว่ามีอายุในช่วงไม่เกินสมัยไพลสโตซีนตอนกลาง หรือประมาณ 230,000 ปีก่อน หรืออาจมีอายุอ่อนกว่านั้น มีลักษณะเด่นเมื่อเทียบกับอัลลิเกเตอร์ชนิดอื่น คือ มีจะงอยปากกว้างและสั้นกว่า มีกะโหลกสูงกว่า มีตำแหน่งรูจมูกอยู่ห่างจากปลายจะงอยปาก มีการลดจำนวนเบ้าฟันลงและมีเบ้าฟันขนาดใหญ่ขึ้นบ่งบอกว่ามีฟันขนาดใหญ่ใช้สำหรับกินอาหารที่มีเปลือกแข็ง เช่น หอยน้ำจืดชนิดต่าง ๆ จากขนาดกะโหลกคาดว่ามีขนาดทั้งตัวยาวประมาณ 1 - 2 เมตร

นอกจากนี้ยังพบว่าลักษณะกะโหลกใกล้เคียงกับอัลลิเกเตอร์จีนในปัจจุบัน (Alligator sinensis) แสดงให้เห็นว่าอัลลิเกเตอร์ทั้งสองชนิดอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันระหว่างลุ่มน้ำแยงซีและลุ่มน้ำแม่โขง-เจ้าพระยา แต่การเกิดธรณีแปรสัณฐานทำให้เกิดการยกตัวของที่ราบสูงธิเบต ส่งผลให้เกิดการแยกประชากรทั้งสองชนิดออกจากกัน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูลเกิดการสูญพันธุ์ไปก่อน

อัลลิเกเตอร์มีลักษณะคล้ายกับจระเข้ แต่แตกต่างกันตรงที่อัลลิเกเตอร์มีจะงอยปากเป็นรูปตัวยู(U) ในขณะที่จระเข้มีจะงอยปากเรียวแหลมเป็นรูปตัววี (V) และเมื่อปิดปากจระเข้จะเห็นฟันทั้งบนและล่าง ในขณะที่อัลลิเกเตอร์จะเห็นเฉพาะฟันบนหรือแทบไม่เห็นเลย

โดยในปัจจุบันพบจระเข้มีหลายสายพันธุ์และพบได้เกือบทั่วโลก ในขณะที่อัลลิเกเตอร์พบเหลืออยู่เพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น คือ อัลลิเกเตอร์อเมริกา (Alligator mississippiensis) พบเฉพาะบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และอัลลิเกเตอร์จีน (Alligator sinensis) พบเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำแยงซี ประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก

ปัจจุบันข้อมูลด้านการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ของอัลลิเกเตอร์ระหว่างเอเชียและอเมริกายังคงเป็นปริศนาว่าเกิดขึ้นเมื่อใด และมีเส้นทางการอพยพเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม การค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของอัลลิเกเตอร์ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าถิ่นที่อยู่ของอัลลิเกเตอร์ในอดีตนั้นเคยกว้างขวางกว่าในปัจจุบันมาก

ถอดรหัสประโยชน์หลากเด้ง 'รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย' ความเหลื่อมล้ำคนเมืองที่ถูกเคลียร์ไปพร้อมๆ กับการลดราคา

หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนเลือกตั้ง นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย อย่างค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถูกปรามาสอย่างรุนแรง ว่าคงไม่สามารถทำได้จริง และมองนโยบายนี้เป็นเพียงนโยบายหาเสียงไว้เรียกคะแนนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากมองถึงวันที่นโยบายนี้ถูกเข็นออกมา…นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ยกเหตุผลประกอบที่พอฟังดี ๆ นี่ไม่ใช่แค่นโยบาย แต่จะเป็นหมัดเด็ดซื้อใจเพื่อโกยฐานคนกรุงและปริมณฑล หากมีโอกาสทำ ได้มากพอสมควร

ตอนนั้น เศรษฐา ร่ายยาวว่า ปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง เป็นปัญหายอดนิยมคู่กรุงเทพฯ มานานตั้งแต่รถไฟฟ้าเริ่มเปิดบริการตั้งแต่ปี 2542 โดยเป้าหมายแท้จริงตอนที่จะเริ่มสร้างนั้น ก็เพื่อสร้างระบบขนส่งมวลชนที่ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ในความเป็นจริง กลับตาลปัตรมิได้เป็นเช่นหวัง เพราะปัจจุบันรถไฟฟ้ากลายเป็นระบบขนส่งของชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น เนื่องด้วยค่าบริการที่คนในสังคมหลาย ๆ กลุ่มเข้าไม่ถึง 

ที่กล่าวว่าหลายกลุ่มในสังคมเข้าไม่ถึงก็เพราะว่า ถ้าเปรียบเทียบราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ ต่อเที่ยวคิดเป็น 11% ของค่าแรง (ไปกลับก็ 22%) ซึ่งแพงมากเทียบกับอัตราส่วนเพียงแค่ 1.5% ของค่าแรงที่เกาหลีใต้ 2.9% ที่ญี่ปุ่น หรือ 3.5% ที่สิงคโปร์ ซึ่งสังเกตได้ว่าในประเทศเหล่านั้นการขึ้นรถไฟฟ้าเป็นเรื่องปกติ จนเหมือนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน 

นอกจากนี้แล้ว ประเด็นอัตราค่าโดยสารที่แพงกว่าคนอื่นนี้ ถูกซ้ำเติมโดยสภาวะเงินเฟ้อและวิกฤตโควิดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาอีก ในเมื่อสินค้าจำเป็นแพงขึ้นและรายได้ลดลง รถไฟฟ้าก็กลายเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและเข้าไม่ถึงยิ่งไปกว่าเดิม ทำให้ประชาชนหลายคน ต้องยอมเสียเวลาเดินทางหลายต่อ นั่งรถตู้มาจากบ้าน ต่อรถเมล์ และเดินเพื่อให้ไปถึงที่หมาย เพียงเพราะไม่สามารถจ่ายค่ารถไฟฟ้าได้ เผลอ ๆ จะต้องเสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกเป็นชั่วโมง

เกมนี้ พรรคเพื่อไทย จึงฉลาดที่พยายามย้ำคำว่า “รถไฟฟ้าควรเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนชาวไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้” และเลือกสร้างนโยบายที่จะเข้าไปแตะราคาค่ารถไฟฟ้าให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งเตรียมเร่งเจรจากับทุกภาคส่วนเพื่อลดค่าโดยสารลงให้เหลือ 20 บาทตลอดสายกับเส้นสีอื่น ๆ ให้เป็นอัตราขั้นต่ำที่เข้าถึงได้ และเป็นสิ่งที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว (เช่น ฝรั่งเศส)

กล่าวโดยสรุป ประโยชน์จากนโยบายการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ก็เพื่อปลดล็อกรถไฟฟ้าให้เหมาะต่อกลุ่มคนเมืองจำนวนมาก ด้วยราคาที่ไม่เกินเอื้อม

ขณะเดียวกัน การเข้าถึงระบบการเดินทางที่มีคุณภาพ สะดวก ปลอดภัย ตอบโจทย์ จะทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องชาวเมืองดีขึ้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ถ้ามองเชื่อมไปถึงประโยชน์ภาพใหญ่ของประเทศ นโยบายนี้ก็จะเพิ่ม ‘ประสิทธิภาพของเมือง’ ซึ่งตีเป็นมูลค่าเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล ในทางตรง ขณะที่ในทางอ้อมนโยบายนี้ก็จะจูงใจให้คนเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น จนลดการใช้รถใช้ถนน ลดปริมาณจราจรบนท้องถนน ช่วยบรรเทาปัญหารถติด สามารถคืนเวลาทำมาหากินที่เสียไปเปล่า ๆ กับการเดินทางบนท้องถนน ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้มหาศาล และยังทำให้ประชาชนชาวไทย ไม่ต้องอดหลับอดนอน มีเวลากับตัวเอง กับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน

ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายนี้ยังจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในทางบวก จะช่วยลดการปล่อยมลภาวะอันเกิดจากการลดอัตราการใช้รถใช้ถนน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ก่อให้เกิดปัญหา PM 2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบของประชาชนอีกด้วย 

เรียกได้ว่า ถ้าเพื่อไทยทำแล้วเกิดผลลัพธ์เชิงบวกได้แบบโดมิโน่ แถมอาจเข้ามาเป็นฮีโร่ปลดล็อกราคาสายรถไฟฟ้าสีอื่น ๆ นอกจาก 'ม่วง-แดง' โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสายหลักสีเขียว (ไม่ต้องถึง 20 บาทก็ได้) โอกาสที่ชื่อเพื่อไทยจะไม่หลุดไกลจากสารบบคนกรุง ในวาระการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็มีความเป็นไปได้สูง

สาวร้องสื่อ ถูกสามีทำร้ายร่างกาย-แอบโอนสินสมรสนับพันล้าน ด้านเพจดังแฉ!! ที่แท้ฝ่ายชายเป็นหนึ่งในทีมงานของ ‘ก้าวไกล’

(18 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ได้โพสต์ภาพผู้หญิงถูกทำร้ายพร้อมระบุข้อความว่า…

“ทุกคนคะ นักการเมืองทำร้ายร่างกายผู้หญิงอีกแล้วค่ะ วันนี้ ‘พี่อ้อ’ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง จะพาพี่ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกายจากสามี ซึ่งเป็นคณะทำงานของพรรคก้าวไกลสกลนคร ไปออกรายการ ‘เคลียร์ชัดๆ’ ช่อง WP23 เวลา 13.00 น. ค่ะ”

เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ยังโพสต์ภาพซึ่งระบุว่า “เป็นสามีของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกาย ขณะลงพื้นที่โดยสวมเสื้อพรรคก้าวไกลด้วย”

ขณะที่เพจเฟซบุ๊กเป็นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มจิตอาสา ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าวว่า…

“คุณลักษณ์ทีมงานเป็นหนึ่ง นักธุรกิจพันล้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกสามีทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังถ่ายโอนทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสนับพันล้านออกไป ไปให้กับบุคคลที่ 3 เตรียมเดินหน้าฟ้องหย่าเต็มที่”

พร้อมระบุรายละเอียดเพิ่มเติมว่า “ทางเป็นหนึ่งหลังได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากทางคุณลักษณ์ว่า มีการทำร้ายร่างกายกันภายในครอบครัวของคนในองค์กร ทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจใดๆ กับเรื่องนี้ เบื้องต้นเราได้ให้คำปรึกษาและแนวทางการฟ้องร้องแล้ว ส่วนทางคุณลักษณ์ก็ได้ดำเนินการฟ้องหย่า เพื่อแบ่งทรัพย์สินและเรียกร้องค่าเสียหายไปบางส่วนแล้ว”

ต่อมาทางทีมเป็นหนึ่งได้สืบทราบว่า คุณลักษณ์ได้ทราบว่ามีการพยายามนำชื่อคุณลักษณ์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัทและเปิดบริษัทภายใต้ชื่อใหม่โดยใช้ชื่อบุคคลที่ 3 ถือหุ้น 90 % และฝ่ายสามีถือหุ้นเพียง 10% โดยที่ตนไม่ได้รับทราบการกระทำนี้มาก่อน ซึ่งหลังจากที่เราตรวจสอบ มีการโยกย้ายชื่อคุณลักษณ์ เข้า-ออก บริษัทถึง 11 ครั้ง ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่มิชอบ และเจ้าตัวไม่ได้รับทราบเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

“ทางเป็นหนึ่งจะตรวจสอบและหาข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความชอบธรรมที่สูงสุดกับตัวคุณลักษณ์ โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ในเมื่อคนในองค์กรไม่ได้รับความเป็นธรรม ทางเราไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป”

'OR' เผยทิศทางขับเคลื่อนธุรกิจในต่างแดน ปักหมุด 'กัมพูชา' ดันไลน์ธุรกิจหลักเจาะโอกาสเปิด

(18 ต.ค.66) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ และนายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจต่างประเทศ ร่วมเปิดเผยถึงกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ OR ดำเนินการอยู่ เพิ่มความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ เช่น การจำหน่ายก๊าซหุงต้ม (LPG) หรือยางมะตอย รวมถึงขยายธุรกิจในต่างประเทศร่วมกับพันธมิตรของ OR ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด เจ้าของธุรกิจร้านสะดวกซักแบรนด์ Otteri Wash & Dry หรือ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ตลอดจนโอกาสในการสร้างการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรในพื้นที่ผ่านการลงทุนใหม่ในรูปแบบต่างๆ ที่มีศักยภาพ โดยมุ่งเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Global เป็น 15% ในปี 2570 โดยมีรายละเอียดการขับเคลื่อนธุรกิจในแต่ละประเทศ ดังนี้

• กัมพูชา เป็นประเทศในการดำเนินธุรกิจของ OR ในต่างประเทศ เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 เนื่องจากเป็นประเทศที่ OR ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดย ณ เดือนสิงหาคม 2566 OR ดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility ได้แก่ การจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ PTT Station ซึ่งมีอยู่ 169 สาขา มีคลังเก็บผลิตภัณฑ์ 7 แห่ง และธุรกิจหล่อลื่น PTT Lubricants รวมทั้งได้ร่วมลงทุนในบริษัทร่วมค้า (Joint Venture) เพื่อให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ณ สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปี 2567 ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ได้แก่ ร้าน Café Amazon ซึ่งมีอยู่ 231 สาขา และร้านสะดวกซื้อ 65 สาขา เป็นต้น โดย OR ยังมีแผนลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ อาทิ คลังน้ำมันและก๊าซ LPG โรงงานผสมยางมะตอย รวมถึงแสวงหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจพลังงานอื่นๆ อาทิ Battery Swapping และสถานีชาร์จไฟฟ้า EV station Pluz

• ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่ OR เข้าไปดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2540 โดย ณ เดือนสิงหาคม 2566 มีสถานีบริการ PTT Station อยู่ 168 สาขา มีคลังน้ำมัน 4 แห่ง และร้าน Café Amazon 17 สาขา จำหน่ายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants  รวมถึงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่สนามบินในประเทศฟิลิปปินส์อีกด้วย

• สปป.ลาว ณ เดือนสิงหาคม 2566 OR มีสถานีบริการน้ำมัน PTT Station รวม 54 สาขา ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto และ Procheck รวม 9 สาขา จำหน่ายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants รวมถึงมีร้าน Café Amazon 87 สาขา ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ 28 สาขา ร้านชานม Pearly Tea 5 สาขา และอยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับการปลูกและค้าเมล็ดกาแฟร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่น โดยเน้นกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า

• เวียดนาม OR ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจร้าน Café Amazon ในเวียดนาม ซึ่ง ณ เดือนสิงหาคม 2566 มีจำนวน 22 สาขา รวมถึงศึกษาเกี่ยวกับโอกาสในการค้าเมล็ดกาแฟร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่น โดยเน้นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า อีกทั้งยังคงแสวงหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจอื่นๆ เพื่อการเติบโตในอนาคต เช่น การค้า LNG และ LPG ในเวียดนาม

นอกจากนี้ ยังมีแผนการขยายร้าน Café Amazon ไปในประเทศอื่นๆ ได้แก่ โอมาน ซึ่งมีแผนเปิดร้าน Café Amazon อีก 4 สาขาในปีนี้ และเพิ่มเป็น 19 สาขาในปี 2567 มาเลเซีย ซึ่งมีร้าน Café Amazon 2 สาขาในปีนี้ และเพิ่มเป็น 10 สาขาในปี 2567 และ ญี่ปุ่น ซึ่งมีแผนเปิดร้าน Café Amazon เพิ่มเป็น 3 สาขาในปี 2567 อีกด้วย

“ทั้งหมดนี้เกิดจากความมุ่งมั่นของ OR ในการขยายฐานการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก โดยนำความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไปปรับใช้ในต่างประเทศ ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ OR มีอยู่จากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยมีการศึกษารูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมในแต่ละประเทศเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันกับสังคม ชุมชน และเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของบุคลากร เพื่อขยายความสำเร็จออกไปยังประเทศอื่น ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก” นายดิษทัต กล่าวเสริมในตอนท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top