Friday, 2 May 2025
TheStatesTimes

'ผบ.ทอ.' มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ '2 ผู้สื่อข่าว'  หลังช่วยเหลือกำลังพลประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 66 ที่โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณผู้กระทำความดีให้แก่...

>> คุณชูชาติ แก้วเก่า ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสด 
>> คุณจิตตราภรณ์ เสนวงค์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เนชั่น

โดยทั้งสองให้ความช่วยเหลือกำลังพลกองทัพอากาศ ที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พลิกคว่ำบริเวณสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงบางจากภายในกองทัพอากาศ ณ บริเวณโถงหน้าพระรูปพระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย

‘จีน’ มุ่งสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดีใน ‘กลุ่มเด็ก-วัยรุ่น’ ปกป้องเด็กจากภาวะวิตกกังวล - โรคซึมเศร้า

(12 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน เปิดเผยว่าหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคมของจีนดำเนินความพยายามร่วมกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตในหมู่เด็กและวัยรุ่นตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อนึ่ง จีนเฉลิมฉลองวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) ครั้งที่ 32 ซึ่งตรงกับเมื่อวันอังคาร (10 ต.ค.) ภายใต้หัวข้อ ‘การส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น’

หลี่ต้าชวน เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการฯ กล่าวระหว่างงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (9 ต.ค.) ระบุว่ากุญแจสำคัญในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของวัยรุ่น คือการให้ความสำคัญกับการป้องกันเป็นอันดับแรก และดำเนินการป้องกันและควบคุมในสังคมวงกว้าง อีกทั้งเน้นย้ำความสำคัญในการจัดให้งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในบริการสังคม บริการสาธารณสุข และระบบประกันสังคม

ข้อมูลการสำรวจสุขภาพจิตที่ครอบคลุมวัยรุ่นมากกว่า 30,000 คน ซึ่งจัดทำโดยสถาบันจิตวิทยา สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ของจีน ในปี 2022 พบว่าร้อยละ 14.8 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าในระดับต่าง ๆ โดยจำเป็นต้องมีการเข้าช่วยเหลือและการปรับเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพและทันเวลา

เจิ้งอี้ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กจากโรงพยาบาลปักกิ่ง อันติ้ง สังกัดมหาวิทยาลัยการแพทย์นครหลวง ระบุว่าเด็กและวัยรุ่นอยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาด้านสุขภาพจิตอย่างรวดเร็ว ภาวะทางจิตของพวกเขามีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางชีวภาพ สภาพจิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

เย่ไห่เซิน นักจิตวิทยาคลินิกประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน ระบุว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มมีอาการทางสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยความผิดปกติทางจิต อาทิ ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า พบได้เด่นชัดในเด็กและวัยรุ่น

คณะกรรมการฯ ดำเนินมาตรการหลายรายการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งรวมถึงการออกแนวปฏิบัติส่งเสริมบริการด้านสุขภาพจิต โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อีก 16 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ออกแผนปฏิบัติการระยะเวลา 3 ปี เพื่อปรับปรุงงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของนักเรียน

แผนดังกล่าวกำหนดความรับผิดชอบของรัฐบาลระดับต่างๆ ในการสร้างเสริมสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น อีกทั้งเน้นย้ำการประสานงานระหว่างหน่วยงานและความพยายามร่วมกันระหว่างสถาบันทางการแพทย์ โรงเรียน และครอบครัว

ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางได้จัดสรรกองทุนพิเศษเพื่อสนับสนุนการป้องกันและการรักษาความผิดปกติทางจิตที่พบบ่อย พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการนำร่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต

หลี่กล่าวว่าการทดลองต่าง ๆ ถูกจัดขึ้นทั่วประเทศเพื่อเดินหน้าบริการด้านจิตวิทยาสาธารณะภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการฯ โดยปัจจุบันหมู่บ้านและชุมชนร้อยละ 96 โรงเรียนประถมและมัธยมร้อยละ 95 ตลอดจนวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั้งหมดในพื้นที่นำร่องเหล่านี้ สามารถเข้าถึงบริการด้านจิตวิทยาสาธารณะได้แล้ว

อนึ่ง จีนยังทุ่มเทความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร การสนับสนุนทางการเงิน และการพัฒนาบุคลากรทั่วประเทศ เพื่อสร้างหลักประกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสำหรับการส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่น

'ตำรวจรัฐพิหาร' โยนศพผู้ตายจากอุบัติเหตุบนถนนลงสู่คลอง ตอกย้ำรัฐไร้ขื่อแปมากที่สุดของอินเดีย ฟากโซเชียลแคปทัน

(12 ต.ค. 66) ในวิดีโอที่กลายเป็นที่พูดถึงกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็นตำรวจรัฐพิหาร 3 นาย กำลังช่วยกันแบกศพผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เต็มไปด้วยเลือด ข้ามแนวกั้นสะพาน จากนั้นก็หย่อนร่างไร้วิญญาณลงไปในคลองที่อยู่เบื้องล่าง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

วิดีโอดังกล่าว เรียกผู้ชมได้มากกว่า 800,000 วิว นับตั้งแต่มันถูกโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันอาทิตย์ (8 ต.ค.)

ตำรวจในอินเดีย ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเต็มไปด้วยการคอร์รัปชันและไร้ประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐพิหาร ซึ่งมีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศ และเป็นรัฐที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสในเขตมูซาฟฟาร์ปุระ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า พวกเจ้าหน้าที่แค่โยนท่อนล่างของศพผู้ชายลงไปในน้ำ เนื่องจากมันถูกรถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วบดขยี้จนแหลกและไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้

"ศพเป็นของชายชรารายหนึ่งซึ่งยังระบุตัวตนไม่ได้ ท่อนบนของเขาถูกส่งไปชันสูตรพลิกศพแล้ว แต่ท่อนล่างนั้นแหลกเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงโยนมันลงไปในคลอง" เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสกล่าว "มันคือความผิดพลาดใหญ่หลวง เราสั่งพักราชการตำรวจทั้ง 3 นาย ที่ปรากฏในวิดีโอแล้ว"

สื่อมวลชนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง รายงานว่าหลังจากวิดีโอเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ ทางตำรวจได้เร่งรีบเก็บกู้ชิ้นส่วนศพบางส่วนขึ้นมาจากคลอง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่พ้นที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด

"พวกเขาเป็นตำรวจหรือปีศาจที่โหดร้ายป่าเถื่อนกันแน่?" ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X หรือเดิมคือ ทวิตเตอร์ กล่าว ส่วนอีกรายเสริมว่า "มันดูเหมือนว่าทุกวันนี้ ความเป็นมนุษย์และศีลธรรม ได้ตายไปจากผู้คนไปแล้ว"

พร้อมรับมือ สอ.รฝ.เตรียมกำลังพล อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ เพื่อบรรเทาสาธารณภัย

เมื่อวันที่ 11 ต.ค.66 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) เตรียมความพร้อมกำลังพล อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ ด้านบรรเทาสาธารณภัย ร่วมพิธีตรวจความพร้อมจาก พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ณ บริเวณหน้ากองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นาวาโท ศิวดล แปลงแดง ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 11 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นหัวหน้าชุดรับตรวจความพร้อม ประกอบด้วย กำลังพล 30 นาย ชุดค้นหาและกู้ภัย (USAR) จำนวน 15 นาย พร้อมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ รถผลิตน้ำดื่ม รถครัวสนาม รถพยาบาล พร้อมเจ้าหน้าที่พยาบาล 

ทั้งนี้ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จัดกำลังพล อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์จากหน่วยต่าง ๆ ประกอบกำลังเป็นหน่วยบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ที่มีขีดความสามารถในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อเป็นการเน้นย้ำ สร้างการตระหนักรู้ ในหน้าที่ของกำลังพลของหน่วยบรรเทาสาธารณภัย และยุทโธปกรณ์ ที่ได้รับการตรวจทดลอง รวมทั้งซ่อมบำรุง เพื่อให้พร้อมในการบรรเทาภัยพิบัติ ตามที่กองทัพเรือ ได้สั่งการให้หน่วยต่าง ๆ เตรียมการรับคำสั่งการปฏิบัติในช่วงฤดูมรสุม ให้ความช่วยเหลือประชาชน และผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กำลังพลของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติได้ทันทีเมื่อมีการสั่งการ เพื่อเป็นกำลังหลักของกองทัพเรือ พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างแท้จริง

'สส.หญิงอิสราเอล' เรียกร้องให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มฉนวน Gaza หวังให้กลายเป็น 'วันโลกาวินาศ' (Doomsday) ของชาวปาเลสไตน์

เฮลิคอปเตอร์ AH-64 Apache ของอิสราเอลโจมตีกลุ่ม Hamas ด้วยปืนใหญ่อัตโนมัติ และ ขีปนาวุธ Hellfire

Revital 'Tally' Gotliv ทนายความชาวอิสราเอลและสมาชิกสภา Knesset สังกัดพรรค Likud ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้เรียกร้องให้กองทัพอิสราเอลใช้อาวุธนิวเคลียร์ เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่ม Hamas โดยได้ตีพิมพ์โพสต์หลายโพสต์ที่สนับสนุนการตอบโต้อย่างแข็งขันภายหลังเหตุโจมตีฉนวน Gaza อย่างไม่คาดคิดเมื่อวันเสาร์ด้วยน้ำมือของกลุ่ม Hamas ซึ่งเป็นองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวปาเลสไตน์ที่สหรัฐอเมริการะบุว่า 'เป็นองค์กรก่อการร้าย'

มีรายงานว่าชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1,600 คนถูกสังหารนับตั้งแต่กลุ่ม Hamas เปิดการโจมตี ตามรายงานของ Associated Press และอีกหลายพันคนได้รับบาดเจ็บ มีรายงานว่ากลุ่ม Hamas ได้จับตัวประกันไปจำนวนหนึ่งแล้วในขณะที่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จรวด Jericho 3 (YA-4) ICBM ติดอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล

"จรวด Jericho! จรวด Jericho! การแจ้งเตือนเชิงยุทธศาสตร์ ก่อนที่จะพิจารณาการนำกองกำลังเข้าไป ใช้อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ! นี่คือความคิดเห็นของฉัน ขอให้พระเจ้ารักษาความแข็งแกร่งทั้งหมดของเราไว้" Gotliv เขียนบน X ซึ่งเดิมคือ Twitter เมื่อวันจันทร์ (เชื่อกันว่า จรวด Jericho 3 (YA-4) เป็น ICBM ติดอาวุธนิวเคลียร์ที่เข้าประจำการในกองทัพอิสราเอลในปี 2011)

ภายหลังชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวน Gaza พากันอพยพออกจากบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2023 นั้นทาง Revital 'Tally' Gotliv สมาชิกสภานิติบัญญัติหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งกลับเรียกร้องและสนับสนุนให้รัฐบาลของเธอใช้ 'อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ' เพื่อระเบิดทำลายล้างกลุ่ม Hamas โดยปราศจากความเมตตา ซึ่งมีอีกโพสต์หนึ่งของเธอกล่าวไว้ด้วยว่า....

"ฉันขอให้คุณทำทุกอย่างและใช้อาวุธแห่งวันโลกาวินาศ (Doomsday) กับศัตรูของเราอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ" และเสริมว่ากองทัพอิสราเอล "ต้องใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ในคลังแสง" และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เธอยังคงกล่าวคำเรียกร้องต่อไปให้กองทัพอิสราเอลเร่งใช้อาวุธทำลายล้างสูงอีกด้วย

"มีเพียงการระเบิดที่เขย่าตะวันออกกลางเท่านั้นที่จะฟื้นฟูศักดิ์ศรี ความแข็งแกร่ง และความมั่นคงของประเทศนี้!" สส. Gotliv โพสต์และเผยต่ออีกว่า "ถึงเวลาจุมพิตวันโลกาวินาศแล้ว ใช้ขีปนาวุธอันทรงพลังที่ไร้ขีดจำกัดไปทำให้ย่านนั้นราบเรียบ บดขยี้ฉนวน Gaza...อย่างไร้ความเมตตา! ไร้ความปราณี"

ทั้งนี้ในโพสต์ต่อเนื่องของเธอ ยังเน้นย้ำให้รัฐบาลอิสราเอลในการตอบโต้กลุ่ม Hamas อย่างรวดเร็วที่ปฏิบัติการ "เยาะเย้ยและหยามเหยียด" ประเทศนี้

ดร. Nikolai Sokov

ด้าน ดร. Nikolai Sokov นักวิเคราะห์อาวุโสของศูนย์การลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธแห่งกรุงเวียนนา บอกกับ Newsweek ทางอีเมลว่า "การพูดโดยไม่คิด" เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นเรื่องที่แพร่หลายและเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากสงครามในยูเครน และตอนนี้จากความรุนแรงในฉนวน Gaza

เขากล่าวว่ามีส่วนหนึ่งที่เข้าใจได้ เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านความมั่นคงที่ร้ายแรง การขาดความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ตำแหน่งทางการเมืองที่มองเห็นได้ และโดยทั่วไปผู้คนจำนวนมากขึ้นไตร่ตรองการใช้อาวุธดังกล่าวและผลกระทบในระดับโลก

"สำหรับอิสราเอล การพูดโดยไม่คิดเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า เนื่องจากอิสราเอลไม่ยอมรับว่า ตนเองมีอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นการพูดโดยไม่คิดเช่นนี้จึงเป็นการยืนยันทางอ้อมและไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของอิสราเอลเอง" ดร. Sokov กล่าว

บางส่วนของความเสียหายในฉนวน Gaza

ดร. Sokov กล่าวเสริมว่า การเรียกร้องของ สส. Gotliv สำหรับมาตรการยกระดับนั้น เป็นเรื่องที่ไร้วิสัยทัศน์ ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก เป้าหมายที่เป็นไปได้ใดๆ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นความเสียหายต่ออิสราเอลจึงมีความสำคัญมาก และประการที่สอง ประโยชน์ใช้สอยทางการทหารของอาวุธนิวเคลียร์มักถูกประเมินสูงเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์อย่างจำกัดหรือไม่มีเลย

"จริงๆ แล้ว ในสงครามหรือความขัดแย้งครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายสำหรับอาวุธนิวเคลียร์เลย" เขากล่าว

สส. Gotliv เป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีเบนจามิน Netanyahu ของอิสราเอล ซึ่งร่วมกับ Yoav Gallant ลันต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกแถลงการณ์ในการป้องกันเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) และหน่วยงานด้านความมั่นคง ในเดือนกันยายน เธอกล่าวหา IDF และ Shin Bet (หน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอล) ว่าทำงานให้กับ 'ผู้ก่อการร้ายและนักโทษด้านความมั่นคง' ชาวปาเลสไตน์ ตามรายงานของ The Jerusalem Post หลังจากที่รัฐบาลอิสราเอลประณามคำกล่าวหาที่ 'สร้างความโมโห' เธอก็ลดความรุนแรงลงสองเท่าและให้ความชอบธรรมในการโจมตีฉนวน Gaza โดยกองทัพอิสราเอลในฐานะสมาชิกสภา Knesset

สำหรับ Netanyahu ได้ประกาศสงครามกับกลุ่ม Hamas และสัญญาว่าจะลดจำนวนผู้ก่อการร้ายให้กลายเป็นซากปรักหักพังที่พวกเขาจะจดจำ 'ไปอีกนานหลายทศวรรษ' อย่างไรก็ตาม เขาเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหม่เกี่ยวกับความล้มเหลวด้านความมั่นคงและข่าวกรองที่ถูกกล่าวหาซึ่งเกิดขึ้นก่อนการโจมตีดินแดนอิสราเอลที่อันตรายที่สุดในรอบกว่าห้าทศวรรษ หนึ่งวันหลังจากวิพากษ์วิจารณ์ Netanyahu ในวันอังคาร Haaretz หนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายของอิสราเอลได้พาดหัวข่าวว่า 'Netanyahu : ลาออกเดี๋ยวนี้!' โดยกล่าวว่า เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อ "ความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้"

บทความนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า อิสราเอลกับปาเลสไตน์มีความโกรธเกลียดกันอย่างมากมหาศาล ชนิดที่สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกฝ่ายหนึ่งได้โดยไม่มีความลังเลใจอะไรเลย แม้กระทั่งสส. ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องมีวุฒิภาวะ (Maturity) เป็นอย่างมาก ต้องมีทั้งสติและความยับยั้งชั่งใจ ยังแสดงออกถึงความกระหายเลือดมากมายถึงเพียงนี้ แล้วประชาชนคนธรรมดาทั่วไปจะมีความโกรธเกลียดและอาฆาตแค้นชิงชังกันมากเพียงใด?

แต่ที่น่าสงสัยก็คือ อิสราเอลที่บอกกับคนทั้งโลกว่า ตน (ชาวยิว) ตกเป็นเหยื่อ ถูกกระทำ ถูกสังหารหมู่ด้วยการรมแก๊ส โดยนาซีเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พฤติการณ์และพฤติกรรมที่กองทัพอิสราเอลกระทำย่ำยีต่อชาวปาเลสไตน์อย่างไม่ลังเลใจ ไม่รู้สึกเขินอายที่จะทำกับผู้อื่นอย่างที่พวกตนเคยถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย กองทัพอิสราเอลก็จึงไม่ต่างจากกองกำลัง SS และรัฐบาลอิสราเอลก็ไม่ต่างไปจากรัฐบาลนาซีเยอรมันแต่อย่างใดเลย

สายการบิน ‘MyAirline’ ประกาศหยุดบินกะทันหัน มีผลตั้งแต่วันนี้ หลังประสบปัญหาด้านการเงินอ่วม

(12 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสายการบินมายแอร์ไลน์ (MyAirline : Z9) ประกาศหยุดให้บริการทำการบินทุกเส้นทาง อ้างเหตุผลประสบปัญหาด้านการเงิน สายการบินได้เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘MyAirline’ โดยระบุว่า มายแอร์ไลน์ประกาศระงับการปฏิบัติการ

มายแอร์ไลน์รู้สึกเสียใจที่จะแจ้งให้ทราบถึงการระงับการปฏิบัติการบินชั่วคราว (Suspension) ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการประกาศอีกครั้ง การตัดสินใจที่ยากลำบากนี้ เกิดจากแรงกดดันด้านการเงินอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้ต้องยกเลิกการให้บริการระหว่างการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการเพิ่มทุนของสายการบิน

แถลงการณ์จากคณะกรรมการบริหารสายการบิน ระบุว่า สายการบินเสียใจอย่างที่สุด และขออภัยต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ เราเข้าใจถึงผลกระทบต่อผู้โดยสารผู้ภักดี พนักงานที่ทุ่มเทและพันธมิตรของสายการบิน เราได้ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อเสาะหาความร่วมมือต่าง ๆ และแนวทางการระดมทุนเพื่อเลี่ยงการหยุดทำการบินนี้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ข้อจำกัดด้านเวลาบีบบังคับให้เราต้องเลือกหยุดปฏิบัติการบิน

ทั้งนี้ เราเข้าใจถึงความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น และเรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนคุณผ่านสถานการณ์นี้ โปรดติดต่อเราที่ [email protected] และทีมสนับสนุนของเราจะพร้อมให้ความช่วยเหลือ

ในระหว่างนี้ เราขอแนะนำให้ผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ อย่ามุ่งหน้าไปสนามบิน และหาทางเลือกอื่นในการเดินทางไปยังจุดหมายของตน

คณะกรรมการ ผู้ถือหุ้น และพนักงาน MyAirline จะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อกลับมาดำเนินการโดยเร็วที่สุด แต่ในตอนนี้เรายังไม่สามารถกำหนดเวลาใด ๆ ได้

เราขออภัยอย่างจริงใจอีกครั้งสำหรับความไม่สะดวกและปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติการบินนี้และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออัพเดตข้อมูลเมื่อมีความพร้อม”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2566 ประชาชาติธุรกิจเคยได้สัมภาษณ์นายเรเนอร์ เทียว เคง ฮอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของสายการบิน MyAirline (มายแอร์ไลน์) โดยครั้งนั้น ผู้บริหารรายนี้ให้ข้อมูลว่า สายการบินเกิดขึ้นในยุคโควิด-19 โดยสายการบินใช้โอกาสช่วงโควิด ‘ล็อกต้นทุน’ ในระยะยาว ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่น

โดยสายการบินได้เริ่มทำการบินแรกเมื่อ 1 ธันวาคม 2565 และเริ่มทำการบินเส้นทางสู่ประเทศไทยเที่ยวบินแรกในวันที่ 28 มิถุนายน 2566 จากนั้นสายการบินได้ให้บริการเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองสู่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ในครั้งนั้นผู้บริหารมายแอร์ไลน์เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตนมีแผนขยายเส้นทางบินสู่จุดบินอื่น ๆ ในไทย เช่น ภูเก็ต กระบี่ และเชียงใหม่ ภายในสิ้นปี 2566 นี้ จากนั้นเตรียมพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินสู่อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และอินเดีย ส่วนในอนาคต 3-5 ปี อาจพิจารณาเปิดทำการบินเส้นทางอินเดียเพิ่มเตม เกาหลีใต้และออสเตรเลีย และที่สำคัญคือ เตรียมขยายฝูงบินเป็น 80 ลำ ในปี 2570 (ค.ศ. 2027)

เมื่อสอบถามว่า สายการบินในเอเชียต่างสั่งซื้อเครื่องบินจำนวนมหาศาล ไม่คิดว่าแนวทางดังกล่าวจะนำไปสู่ปัญหาอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ในภาคการบินหรือไม่ ผู้บริหารรายนี้ตอบว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าซัพพลายเครื่องบินยังไม่มากจนเกินไป ภูมิภาคอาเซียนมีประชากรกว่า 600 ล้านคน หากรวมประเทศรอบ ๆ อาเซียน ประชากรย่อมมีมากกว่านั้น ภูมิภาคอาเซียนจึงยังมีโอกาสและมีศักยภาพในการขยายตัว

“เราไม่ได้มองแค่ตลาด 2-3 ประเทศ แต่เรามองไกลมากกว่านั้น ดังนั้น แผนการสั่งซื้อเครื่องบินดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

สำหรับเรเนอร์ เทียว ‘เรเนอร์ เทียว’ เริ่มต้นจากการทำงานกับสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส (Malaysia Airlines) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแผนกสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสาร จากนั้นได้ร่วมงานกับบริษัท Abacus Distribution Systems (Malaysia) Sdn Bhd ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแผนกการรับรองเอเย่นต์ที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ในระหว่างปี 2536-2547

ต่อมาในระหว่างปี 2547-2562 ‘เรเนอร์’ ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกฝ่ายขายและการจัดจำหน่ายที่บริษัท AirAsia Group Berhad ก่อนที่จะร่วมงานกับสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ ในตำแหน่งที่ปรึกษาเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2562

'ฮามาส' บุก 'อิสราเอล' ยุทธการของ 'เบี้ยสละทิ้ง' แบบหน่วยกล้าตาย  ภายใต้ 'สงครามใหญ่' ระหว่างค่ายตะวันตกกับค่ายตะวันออก

(12 ต.ค. 66) นายวรพจน์ ตั้งพันธุ์เพียร ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ 'เมื่อฮามาสบุกอิสราเอล แบบ Suicide mission' (ภารกิจฆ่าตัวตาย) ระบุว่า...

เกือบทศวรรษที่ไม่มีข่าวกองกำลังฮามาสสู้รบกับอิสราเอลเต็มรูปแบบ จนโลกทั้งโลกแทบจะลืมปัญหา ปาเลสไตน์-อิสราเอล กันไปแล้ว แม้แต่โลกอิสลามเอง ก็ยังมีบางส่วนหันไปญาติดี เริ่มเปิดความสัมพันธ์กับอิสราเอล อย่างบาร์เรน สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ซาอุฯ

นั่นจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ฮามาส ในฐานะตัวแทนของปาเลสไตน์ จะรู้สึกว่าถูกโลกอิสลามทอดทิ้งให้ไร้อนาคต โดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ 5 ล้านคนต้องอยู่กับการปิดล้อมในพื้นที่เล็กๆ อย่าง กาซา และเวสต์แบงค์ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อนที่อิสราเอลจะเข้ามาแทนที่ และทำการขับไล่ รวมทั้งตีกรอบ จนพวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้ตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างที่เคยมีข้อตกลงกันไว้ที่ แคมป์เดวิด สหรัฐฯ (ในขณะที่ชาวอิสราเอลมีจำนวน 7 ล้านคน คุมพื้นที่กว่า 80% และยังมีท่าทีจะรุกคืบเพิ่มเรื่อยๆ)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮามาสก็ย่อมรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป และได้ดำเนินการบุกอิสราเอล ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ Al-Aqsa Flood โดยเลือกเอาวันสำคัญทางศาสนายิว ซิมหัต โทราห์ (Simchat Torah) ในการยิงขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกจากกาซาไปยังอิสราเอล ในวันเดียว และส่งนักรบข้ามแดนไปด้วยการขุดดิน บินข้ามกำแพง รวมทั้งทางน้ำ เพื่อทำการยิงสังหารแบบไม่เลือกเป้าหมาย และจับตัวประกันกลับเข้าไปในกาซา (ล่าสุดอิสราเอลตายเกือบพันคน และส่งเครื่องบินเข้ายิงถล่มกาซา จนประเมินว่ามีปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 500 คน)

ปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้โลกตะลึง และทำให้อิสราเอลเสียศูนย์ เพราะหน่วยสืบราชการลับมอสสาด ที่ว่าข่าวกรองดีที่สุดในโลกไม่ได้ระแคะระคายมาก่อนเลย - อียิปต์ได้เตือนอิสราเอลแล้วว่าอาจมีเหตุรุนแรง แต่อิสราเอลไม่คิดว่าจะเกิดในช่วงวันสำคัญทางศาสนา เพราะฮามาสไม่เคยบุกในวันสำคัญเลย รวมทั้งที่ผ่านก็เชื่อมั่นว่า นโยบายให้ชาวปาเลสไตน์เข้ามาทำงานและได้รับค่าจ้างสูงกว่าในกาซาสิบเท่า น่าจะช่วยให้ชาวปาเลสไตน์เลิกคิดเรื่องการทำสงคราม

ประเด็นก็คือ นายกฯ เนทันยาฮู ของอิสราเอลที่เป็นสายเหยี่ยวตกขอบ ได้ประกาศระดมกำลัง 3 แสนนายเพื่อจะเดินเท้าบุกเข้าเคลียร์กองกำลังฮามาสในกาซา โดยไม่เกรงใจบรรดาประเทศมุสลิมอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อโลกตะวันตกแถลงว่า อิสราเอลมีสิทธิ์ป้องกันตนเอง และพร้อมสนับสนุนอาวุธ ในขณะที่ประเทศอิสลามสายกลาง พยายามขอให้มีการหยุดยิง และเจรจา โดยเริ่มที่การแลกตัวประกันชาวอิสราเอลกับ นักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกควบคุมตัวไว้นานแล้ว

ฮามาสเลือกที่จะบุกทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะโดนสวนกลับอย่างรุนแรง จนถึงขั้นล่มสลาย นั่นก็เพื่อส่งสัญญานไปยังโลกมุสลิมว่า การที่ UAE และซาอุในฐานะพี่ใหญ่โลกอิสลามไปจับมือกับอิสราเอล ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ดังนั้น การบุกอิสราเอลเต็มรูปแบบ จะเป็นการวัดใจว่า ถ้ากาซาถูกอิสราเอลบุกกลับมาถล่มยับ บรรดาประเทศมุสลิมตะวันออกกลางจะยืนนิ่งเฉย ปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฐานะพี่น้องมุสลิมถูกกวาดล้างโดยอิสราเอลหรือไม่? หรือจะเข้ามาปกป้อง และกดดันอิสราเอล ให้มีการตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างจริงจังเสียที?

ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ภารกิจฮามาสครั้งนี้ คือภารกิจฆ่าตัวตายโดยแท้

แม้การวัดใจโลกมุสลิมครั้งนี้ ถือเป็นการทุ่มสุดตัวของฮามาส แต่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มุสลิมสายกลางจะตัดสินใจอย่างไร? เนื่องจาก ฮามาสถูกระบุว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่รัฐประเทศ รวมทั้งครั้งนี้มีพฤติกรรมบุกก่อน และสังหารแบบไม่เลือกเป้าหมาย แม้แต่อิหร่านที่เป็นแบ็คอัพใหญ่ให้ฮามาส ก็ยังอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ออกมาประกาศชัดเจน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าก็ส่งเสบียงให้กับฮามาสมาโดยตลอด

ในกรณี โลกอิสลามสายกลางตัดสินใจนิ่งเฉย ปล่อยให้อิสราเอลถล่มกาซาตามอำเภอใจ ฮามาสก็จะถูกกวาดล้างอย่างหนักจนอาจไม่มีความสามารถในการตอบโต้ไปอีกนาน และอิสราเอลคงบุกเข้าเวสแบงค์ด้วยอีกที่ ในการนี้จะส่งผลให้มีการสอดส่องครับคุมดูแลชาวปาเลสไตน์ที่เข้มงวดมากกว่าเดิม และสงครามจะไม่น่ายืดเยื้อนาน แม้จะมีประเทศอิสลามสายแข็งให้การสนับสนุนฮามาสก็ตาม

แต่หากโลกอิสลามสายกลางตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอล และส่งความช่วยเหลือให้ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งก็มีท่าทีว่าจะขยายวงขึ้นทันที ขึ้นกับว่าจะมีประเทศมุสลิมใดช่วยเหลือปาเลสไตน์บ้าง หากหันมาช่วยกันหมดเหมือนสมัยสันนิบาตอาหรับ กับสงคราม 6 วัน อิสราเอลจะกลายเป็นแนวรบตะวันออกกลาง ลักษณะสงครามตัวแทน (Proxy War) ระหว่าง ตะวันตกที่ถือหางอิสราเอล กับ ตะวันออก (มุสลิม + จีน + รัสเซีย) ทันที

ซึ่งน่าจะยืดเยื้อไม่แพ้ สงครามยูเครน-รัสเซีย ที่เป็นสมรภูมิแนวรบในยุโรป ซึ่งจะยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกเข้าไปอีกขั้น เพราะรู้ๆ กันว่า ตะวันออกกลางคือแหล่งน้ำมันโลก ในขณะที่ยูเครนและรัสเซียเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ และปุ๋ยโลก

หากเกิดแบบกรณีหลัง คงได้เดือดร้อนทั้งโลกแน่นอน และถ้าเหตุการณ์บานปลาย ก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไม่ยาก

ทั้งหมดนี้ มีเพียงสิ่งเดียวจะช่วยให้อุณหภูมิการเมืองโลกไม่เดือด นั่นคือการเปลี่ยนใจนายกฯ เนทันยาฮู ให้เลิกล้มแผนบุกกาซา และหันมาปัดฝุ่นข้อตกลงแคมป์เดวิด ที่จะตั้งประเทศปาเลสไตน์ และกำหนดเขตแดนระหว่างกันอย่างชัดเจน รวมทั้งยอมให้กองกำลัง UN เข้าไปควบคุมสันติภาพในกาซา และเวสแบงค์ ซึ่งดูแล้วคงเป็นเรื่องระดับปาฏิหารย์หากจะเกิดขึ้นได้

ในฐานะชาวโลก ก็คงต้องพยายามทำใจ และอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองโลกให้ได้ และคงต้องนั่งลุ้นกันต่อไปว่า ฝ่ายตะวันตกจะเปิดแนวรบทะเลจีนใต้ ที่มีไต้หวันเป็นชนวน อีกแนวรบหรือไม่?

อาจจะเพราะหลังการล่มสลายของโซเวียต โลกเราสงบสุขมานานเกินไป จนทำให้ชาวโลกลืมไปว่าก่อนหน้านั้น เราก็มีความขัดแย้งระหว่างประเทศอยู่บ่อยๆ มีสงครามกันเนืองๆ ในภูมิภาคต่างๆ ไม่หยุดหย่อน

เพียงแต่ยุคนั้น แต่ละฝ่าย ยังไม่มีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในมือกันมากมายขนาดทุกวันนี้เท่านั้นเอง

โลกนี้แม้จะใหญ่พอที่จะแบ่งปันให้มนุษยชาติทุกคน

แต่กลับใหญ่ไม่พอให้กับมนุษย์ที่โลภและบ้าอำนาจเพียงคนเดียว

ขณะที่ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เสริมมุมมองบทความดังกล่าวด้วย ว่า...

แนวโน้มคงเกิดเป็นกรณีหลัง และจะบานปลายเป็นสงครามใหญ่ค่อนข้างแน่ ... เพราะมันเป็นบทที่เขียนไว้แล้ว

ถ้าเราอ่านสถานการณ์สงครามฮามาส-อิสราเอลครั้งนี้ จากมุมมองของนักยุทธศาสตร์ เราจะรู้ทันทีว่าฝ่ายฮามาสจะต้องมี 'หมากตามหลัง' มาแน่นอน 

เพราะฮามาสเป็นแค่ 'เบี้ยสละทิ้ง' แบบหน่วยกล้าตาย ใน 'สงครามใหญ่' ระหว่างค่ายตะวันตก กับค่ายตะวันออกเท่านั้น

'ทนายสิทธิฯ' เผย!! 'เวหา' ทำสถิติอดอาหารได้ 49 วัน  หลังถอดใจประท้วงนิรโทษผู้ต้องขังคดีการเมืองไม่สำเร็จ

(12 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานความคืบหน้ากรณีนายเวลา แสนชนชนะศึก ผู้ต้องหาในคดีความผิดอาญามาตรา 112 อดอาหารประท้วงระหว่างจำคุกในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2566 ทนายความเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม ‘เวลา’ ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี 18 เดือน ในคดีมาตรา 112 กรณีใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘ฟ้าฝา ver.เกรี้ยวกราด’ โพสต์ข้อความ และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ประกันตัว

วันที่ทนายความเข้าเยี่ยมเวลานี้ นับเป็นการอดอาหารประท้วงวันที่ 49 ของเขา ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 2566 มีจุดประสงค์เพื่อเคียงข้าง ‘วารุณี’ ที่อดอาหารประท้วงก่อนหน้าเขาเพียง 2 วัน และเพื่อยืนหยัดตาม 3 ข้อเรียกร้องของตนเอง ซึ่งได้แก่

1. เรียกร้อง ‘สส.’ เข้ามารับข้อเสนอ ‘ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม’ จากผู้ต้องขังในเรือนจำ 
2. เรียกร้อง ‘คณะรัฐมนตรีชุดใหม่’ ออกมาแถลงความคืบหน้าและความเป็นไปได้ของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทางการเมือง 
3. เรียกร้อง ‘ศาล’ ให้คืนสิทธิประกันตัวให้ผู้ต้องขังทางการเมืองที่คดียังไม่สิ้นสุดเด็ดขาด และปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองที่คดีสิ้นสุดเด็ดขาดแล้ว

ทว่าตลอดการประท้วงของเวลาและวารุณี ไม่มีผู้ต้องขังคดีการเมืองคนใดได้รับสิทธิประกันตัวจากศาลเลย รวมถึงข้อเรียกร้องของพวกเขาก็ไม่ได้มีความคืบหน้า ขณะที่ทั้งสองนั้นได้รับผลข้างเคียงจากการอดอาหารประท้วงและทุกข์ทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตลอดการอดอาหารเกือบ 50 วันที่ผ่านมาของเวลานั้น เขาปฏิเสธอาหารทุกอย่าง โดยประทังชีวิตด้วยการดื่มเพียงน้ำเปล่า นม และน้ำหวาน รวมถึงสารอาหารเหลวที่คล้ายกัน ทำให้ที่ผ่านมาน้ำหนักตัวของเขาลดลงไปกว่า 9 กิโลกรัมแล้ว ปัจจุบันเวลามีร่างกายซูบผอมมาก มีอาการอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ปวดท้องมาก และมีภาวะขาดสารอาหาร

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวเวหาต่อศาลอาญาเป็นครั้งที่ 3 เสนอหลักทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาท ต่อมา ศาลอาญาส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่ง จากนั้นในวันที่ 7 ต.ค. ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง ‘ยกคำร้อง’ ยืนยันไม่ให้ประกันตัวเช่นเดิม โดยอ้างเหตุผลว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี มีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี และไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

เมื่อวันนี้เวลาทราบผลของคำสั่งไม่ให้ประกันตัว เขาจึงประกาศเจตจำนง ‘ขอยุติการอดอาหารประท้วง’ รวมทั้งสิ้น 49 วัน เนื่องจากเวหาเห็นว่าร่างกายของตัวเองได้รับผลข้างเคียงจากการอดอาหารเกินขีดจำกัดที่จะรับได้ไหวแล้ว โดยจะขอใช้วิธีอื่นเพื่อต่อสู้เรียกร้อง ‘การนิรโทษกรรม’ ให้กับผู้ต้องขังคดีการเมืองต่อไป

‘นาซา’ พบ 'คาร์บอน-น้ำ' จากตัวอย่างดาวเบนนู ข้อบ่งชี้ ‘ต้นกำเนิด-รากฐาน’ สิ่งมีชีวิตบนโลก 

(12 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เมื่อวันพุธที่ 11 ต.ค.66 องค์การนาซาได้แสดงผลการศึกษาเบื้องต้นของตัวอย่างดาวเคราะห์น้อยเบนนู (Bennu) อายุ 4.5 พันล้านปี ซึ่งนาซาเก็บรวบรวมมาจากอวกาศและนำกลับสู่โลก ได้เปิดเผยปริมาณคาร์บอนสูง และน้ำที่อยู่ในตัวอย่างดังกล่าว ซึ่งองค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้อาจบ่งชี้ว่ารากฐานของสิ่งมีชีวิตบนโลก มาจากตัวอย่างเหล่านี้

ดังนั้น จึงถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากมีทฤษฎีว่า ดาวเคราะห์น้อยที่อุดมไปด้วยคาร์บอนกับน้ำลักษณะเดียวกับ เบนนู อาจเป็นสิ่งที่นำองค์ประกอบสำคัญมายังโลกวัยเยาว์เมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน โดยมันอาจเป็นสาเหตุที่โลกได้รับน้ำในมหาสมุทร รวมถึงองค์ประกอบบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการกระตุ้นกระบวนการสร้างชีวิต

อนึ่ง ยานอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ (OSIRIS-Rex) ของนาซา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจเก็บตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยครั้งแรกของสหรัฐฯ กลับถึงโลกพร้อมตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู (Bennu) เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยบิล เนลสัน ผู้บริหารของนาซา กล่าวว่าตัวอย่างจากภารกิจโอไซริส-เร็กซ์ เป็นตัวอย่างดาวเคราะห์น้อยซึ่งอุดมด้วยคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยถูกส่งกลับมายังโลก ซึ่งจะช่วยให้คณะนักวิทยาศาสตร์สืบค้นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกเพื่อคนรุ่นต่อไป

“เกือบทุกสิ่งอย่างที่พวกเขาทำที่นาซาเป็นการหาคำตอบของคำถามที่ว่าพวกเราเป็นใครและพวกเรามาจากไหน ซึ่งภารกิจของนาซาอย่างภารกิจโอไซริส-เร็กซ์ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยที่อาจเป็นภัยคุกคามโลก ทั้งยังช่วยเปิดเปลือยถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยตัวอย่างนี้ได้ถูกส่งกลับมายังโลกแล้ว ทว่ายังมีวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่รอคอยการค้นพบ วิทยาศาสตร์ที่พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน” เนลสัน ทิ้งท้าย

‘จีน’ เผย ‘การค้าส่านซี-กลุ่มประเทศ BRI’ ดีด!! โต 4 เท่าใน 10 ปี มีมูลค่ากว่า 5.6 แสนล้านบาท

(12 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักงานสารสนเทศประจำรัฐบาลมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่ระบุว่า การค้าระหว่างส่านซีกับกลุ่มหุ้นส่วนตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) เพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ปริมาณการค้าระหว่างส่านซีและกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 18.4 ต่อปี โดยการนำเข้าและส่งออกของส่านซีกับกลุ่มประเทศดังกล่าวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ราว 1.13 แสนล้านหยวน (ราว 5.64 แสนล้านบาท) ในปี 2022 เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของส่านซีในกลุ่มหุ้นส่วนตามแผนริเริ่มฯ ระหว่างปี 2013-2022 มีตัวเลขรวมอยู่ที่ 1.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.53 หมื่นล้านบาท) และมูลค่าการซื้อขายทางธุรกิจของโครงการตามสัญญาที่เสร็จสมบูรณ์ในกลุ่มประเทศดังกล่าวอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.95 แสนล้านบาท)

อนึ่ง ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี การเปิดบริการรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป (ซีอัน) ซึ่งปัจจุบันมีการเดินรถมากกว่า 20,000 เที่ยวแล้ว ครอบคลุม 45 ประเทศและภูมิภาคในยูเรเซีย และให้บริการแก่ผู้ประกอบการมากกว่า 16,500 ราย

สำนักงานฯ ระบุว่ามีการเดินรถไฟสินค้าข้างต้นเพื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในปี 2022 จำนวน 198 เที่ยว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.9 เมื่อเทียบปีต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top